ตอนที่ 101 ความหยิ่งทระนง (ฟรี)
“หลงเฉิน”
เงาร่างที่เพิ่งมาเยือนนั้นทำให้ทุกผู้คนต่างก็เกิดความหวั่นเกรงขึ้นมาภายในจิตใจ ในที่สุดหลงเฉินก็มาถึงแล้วอีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่แสนจะคับขันเป็นอย่างยิ่งด้วย
ฉู่เหยาที่กำลังหลับตารอคอยความตายอยู่นั้นก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังอันคุ้นเคย เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นเงาร่างนั้นก็ทั้งตกใจทั้งยินดีขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ภายในดวงตาคู่งามก็ได้มีหยาดน้ำตาไหลรินออกมาด้วยความอัดอั้นที่ไม่อาจจะหยุดยั้งเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
“ขออภัยด้วยที่มาช้า”
หลงเฉินโอบกอดร่างบางของฉู่เหยาจนแน่น แล้วตบไปที่แผ่นหลังของนางอย่างแผ่วเบาคล้ายกับกำลังปลอบโยน “วางใจเถิด ที่เหลือให้ข้าจัดการเอง”
“ฮูม”
ทันใดนั้นเสียงคำรามก็ดังขึ้นมาจากข้างกายของหลงเฉิน เหล่าทหารที่กำลังปิดล้อมลานประหารอยู่นั้นก็ได้ส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวออกมาถ้วนหน้า
หมาป่าขนสีขาวที่มีรูปร่างใหญ่โตกำลังยืนตระหง่านอย่างสง่างามอยู่ที่เบื้องหน้าของพวกเขา อีกทั้งกำลังอ้าปากกว้างขึ้นมาแล้วพ่นคมวายุออกมาเป็นสาย
คมวายุสายนั้นเปรียบเสมือนคมเคี้ยวอันคมกริบของสัตว์ดุร้ายชนิดหนึ่งกำลังพุ่งออกมาจากปากของเสี่ยวเสว่ย ทันใดนั้นคมวายุสายนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วฟาดไปโดยรอบอย่างไร้เยื่อใย
“ฉับฉับฉับฉับ……”
พลังคมวายุอันน่าหวานกลัวเมื่อครู่นั้นราวกับเป็นอาวุธของเทพชิ้นหนึ่ง พุ่งทะลุร่างของทหารนับหลายสิบคนจนกลายเป็นเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่สาดสายโลหิตพุ่งขึ้นไปสูงเสียดฟ้า
“เสี่ยวเสว่ยยอดเยี่ยมมาก ฆ่าไปให้หมดอย่าได้สนใจผู้ใด”
หลงเฉินตะโกนออกมาเสียงดัง ไม่ว่าเหล่าทหารที่ปิดล้อมคนในตระกูลของเขาเอาไว้จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ทว่าเขาย่อมไม่อาจเห็นใจต่อผู้ที่คิดจะลงมือทำร้ายต่อคนของเขาอย่างแน่นอน
ถ้าหากเมื่อครู่เขามาช้าไปเพียงก้าวเดียวทั้งฉู่เหยาและมารดาคงจะตายไปแล้ว เหตุการณ์เช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวมากที่สุดสำหรับเขา เช่นนั้นเขาจำเป็นจะต้องลงมืออย่างไร้ซึ่งไมตรีจิตต่อคนพวกนี้
“ฮูม”
เสี่ยวเสว่ยคำรามออกมาอีกครั้งแล้วปลดปล่อยคมวายุออกมาอีกสายหนึ่ง ทหารเหล่านั้นไม่เคยพบเห็นสัตว์มายาที่น่าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้มาก่อน จึงแตกตื่นจนจิตใจแทบหลุดลอยออกไปจากร่าง บ้างก็แตกฮือถอยออกไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเสว่ยใช้การโจมตีออกมาเพียงสองครั้งก็สามารถกดดันกองทัพทหารได้อย่างง่ายดาย หลงเทียนเซียวนำพายอดฝีมือทั้งสองคนแหวกวงล้อมออกมา ส่วนซือเฟิงและพวกพ้องก็ได้กลับเข้ามาช่วยป้องกันในจุดเดิมต่อ
“ท่านแม่ ข้าเป็นบุตรอกตัญญูยิ่งนัก ทำให้ท่านได้รับความลำบากจนถึงเพียงนี้” หลงเฉินมองไปยังใบหน้าที่อิดโรยของมารดา พลันก็ได้กล่าวออกมาด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“เด็กโง่ มารดาไม่ได้รับความลำบากอันใด เป็นเจ้าเองที่ลำบาก”
ถึงแม้จะไม่ทราบว่าที่ผ่านมานั้นหลงเฉินจะเป็นอยู่อย่างไรบ้าง ทว่าคงจะเป็นวันที่ผ่านพ้นไปอย่างยากลำบากแน่นอน เมื่อฮูหยินหลงได้มองไปยังใบหน้าของหลงเฉินก็ได้เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาในใจอย่างท้วมท้น
หลงเฉินกำลังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกไป ทว่ากลับหยุดลงเมื่อมองไปเห็นอาหมานที่อยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก จึงได้รีบเข้าไปหาเด็กน้อยผู้นั้นในทันที
ในเวลานี้อาหมานมีใบหน้าขาวซีดประดุจกระดาษสีชาวแผ่นหนึ่ง ลูกตาปูดโปนออกมา หลงเหลือลมหายใจที่โรยรินอย่างถึงที่สุด อีกทั้งพลังแห่งชีวิตช่างอ่อนล้าพร้อมที่จะมอดดับลงไปได้ทุกเมื่อ ต่อให้เป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ไม่อาจทนทานรับเข็มหนอนกระดูกที่มากมายถึงเพียงนี้ได้อยู่แล้ว
อาหมานที่กำลังมึนงงอยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงของหลงเฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ราวกับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
“พี่หลง ข้าต้องขอโทษด้วย อาหมานช่างโง่เขลานัก อาหมานไร้ประโยชน์ ไม่อาจทำตามที่ท่านสั่งเอาไว้ได้ จนทำให้มารดาได้รับความขมขื่นมากถึงเพียงนี้……”
“อย่าได้กล่าววาจาอันใดให้วุ่นวายไปเลย เจ้าทำได้ดีมากแล้ว ต่อจากนี้มอบให้ข้าเป็นคนจัดการเอง” หลงเฉินมองไปยังเข็มหนอนกระดูกที่ปักอยู่ทั่วทั้งร่างของอาหมานที่มีลมหายโรยริน
ภายในจิตใจของหลงเฉินก็ได้เกิดจิตสังหารขึ้นมาอย่างสูงสุด ไม่อาจอดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดแทนอาหมานเอาไว้ได้ เข็มหนอนกระดูกเป็นสิ่งที่ผู้หลอมโอสถย่อมต้องทราบดีว่าการที่ยังสามารถมีชีวิตอยู่เช่นนี้ได้คงจะเป็นความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ ทันใดนั้นเพลิงโทสะของหลงเฉินก็ได้ลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรง
“พี่หลงข้าไม่ไหวแล้ว” อาหมานกล่าวออกมาด้วยความละอายใจ
“อย่าได้อันใดอีก ข้าอยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าจะไม่ตายอย่างแน่นอน หลังจากนี้เจ้ายังต้องติดตามเคียงบ่าเคียงไหล่ข้าไปจนแก่เฒ่าเลย”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น หลงเฉินก็ได้ล้วงเอาไข่มุกเม็ดหนึ่งออกมา สิ่งนั้นคือของขวัญที่ได้มาจากหญิงสาวผู้ที่มาจากดินแดนหลิงเจี่ยนั่นเอง
ทว่าสิ่งนั้นกลับไม่ใช่ไข่มุกอย่างแท้จริง ทว่าเป็นหยดน้ำสายหนึ่งที่อัดแน่นไปด้วยสภาวะอันลี้ลับบางอย่างจนแปรสภาพเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งที่ใจกลางของไข่มุกนั้นมีพลังแห่งชีวิตอันเข้มข้นอัดแน่นอยู่เป็นจำนวนมาก
จากนั้นหลงเฉินก็ได้ใช้นิ้วมือเจาะเข้าไปที่ไข่มุกเล็กน้อยจนมีน้ำใสไหลออกมาจากภายในจ่อไปที่ปากของอาหมานในทันที น้ำจากไข่มุกที่เพิ่งจะเข้าสู่ร่างกายของอาหมาน จากที่เคยหายใจอย่างโรยรินกลับค่อยๆ มีสติขึ้นมาอย่างช้าๆ
“ทนเอาไว้ก่อนนะ ข้าจะช่วยเอาเข็มออกให้” เมื่อพบว่าหยดน้ำกำลังสร้างผลลัพธ์ขึ้น หลงเฉินก็เริ่มไหลเวียนพลังจิตแห่งวิญญาณออกมาทั้งหมด
“ฉับ”
เข็มหนอนกระดูกทั่วทั้งร่างของอาหมานได้ถูกดึงออกมาจนหมดสิ้น อาหมานส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดจนสลบเหมือดลงไป
หลงเฉินตรวจสอบเข้าไปในร่างกายของอาหมานครู่หนึ่งก็พบว่าร่างกายนั้นเข้าสู่ภาวะจำศีลไปแล้ว นั่นถือว่าเป็นการป้องกันตัวเองชนิดหนึ่ง ทว่าพลังชีวิตอันเข้มข้นค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็วคล้ายกับไม่เคยได้รับอันตรายอันใดมาก่อน
หลงเฉินก็กำชับกับเป่าเอ๋อและพวกพ้องให้คอยดูแลอาหมานให้ดี จากนั้นก็ได้หันไปมองบริเวณโดยรอบ เมื่อมีเสี่ยวเสว่ยเข้าร่วมศึกด้วยแล้ว เหล่าทหารที่จู่โจมเข้ามาอย่างต่อเนื่องก็ยังไม่อาจฝ่าการป้องกันเข้ามาได้แม้แต่น้อย
แม้การปรากฏตัวของหลงเฉินจะทำให้ผู้คนแตกตื่นขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าซือเฟิงและพวกพ้องกลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังเหมือนกับถูกเพิ่มความห้าวหาญขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว
หลงเฉินสังเกตสถานการณ์การต่อสู้โดยรอบอย่างละเอียด สายตามองทอดไปยังบริเวณที่ห่างไกลออกไป ที่ที่มีประกายเพลิงลุกโชติช่วงจนแตะไปถึงผืนฟ้าเบื้องบน อีกทั้งยังเกิดเสียงระเบิดขึ้นมาไม่หยุด นั่นคือพื้นที่การต่อสู้ของปรมาจารย์หวินฉีกับเว่ยชาง
และอีกบริเวณหนึ่งนั้นมีชายฉกรรจ์ที่มีร่างกายกำยำผู้หนึ่งกำลังกวัดแกว่งดาบยาวร่ายรำไปมาด้วยพลังสภาวะอันมหาศาลประดุจท้องมหาสมุทร เพียงคนเดียวก็สามารถต่อกรกับยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ถึงสามคนในเวลาเดียวกัน
เงาร่างที่ทำให้จิตใจของหลงเฉินเกิดความอบอุ่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็คือบิดาของเขาเอง ทำให้ภาพที่หลงเหลืออยู่ในจิตสำนึกนับหลายสิบปีของเขาค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาทีละน้อย
หลงเฉินเหยียดรอยยิ้มกว้างขึ้นมา พร้อมทั้งเก็บเข็มหนอนกระดูกทั้งหมดเอาไว้ในแหวนมิติ เขาสะพายกระบี่หนักเอาไว้ที่แผ่นหลังแล้วมุ่งหน้าเดินฝ่าวงล้อมออกไป
“สหายที่ดี” หลงเฉินตบไปยังแผ่นหลังของซือเฟิง
“ทางนี้ข้าขอมอบให้พวกเจ้าจัดการก็แล้วกัน ข้าจะไปสะสางคดีความกับยิงฮวาเสียหน่อย” หลงเฉินไม่รอให้ซือเฟิงกล่าววาจาอันใด พลันก็ได้กุมกระบี่หนักเอาไว้แน่นแล้วพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
“กลัวอันใดเล่า เขาก็เป็นคนเฉกเช่นเดียวกัน เช่นนั้นมาลงมือพร้อมกันเถิด ขอเพียงสังหารหลงเฉินลงได้ก็จะทำให้พวกเราได้ลาภยศและการสรรเสริญเทียบชั้นฟ้าแล้ว”
จู่จู่ก็มีทหารนายหนึ่งตะโกนออกมาเสียงสูง เพียงพริบตาเดียวก็ได้ปลุกระดมผู้คนขึ้นมามากมาย ต่อให้หลงเฉินจะแข็งแกร่งกว่านี้อีกก็คงจะไม่อาจต้านทานกองทัพนับสิบหมื่นคนได้ ต่อให้ทำได้ก็คงจะเหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดรอนอย่างแน่นอน
เหล่าทหารต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความฮึกเหิมพร้อมทั้งกระจายกำลังเข้าล้อมหลงเฉินอย่างรวดเร็ว ทว่าหลงเฉินราวกับมองไม่เห็นพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น สายตายังคงเหม่อมองไปยังเงาร่างของยิงฮวาที่อยู่ห่างไกลออกไป
“ระวัง”
ซือเฟิงตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นหลงเฉินคล้ายกับมองไม่เห็นเหล่าทหารที่ถืออาวุธครบมือพร้อมเข้าจู่โจมแล้ว
และหลงเฉินก็ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของซือเฟิงด้วยเช่นกัน เขายังคงก้าวฝีเท้าไปด้านหน้าอย่างไม่ลดละ เพียงครู่เดียวก็ได้ถูกทัพใหญ่ปิดล้อมจนไม่อาจมองเห็นภายนอกได้อีกต่อไปแล้ว
“ปะทุพลังโอสถเพลิง”
“ซูม”
ทันใดนั้นเองประกายเพลิงอันร้อนระดุก็ได้พุ่งสูงขึ้นมาอย่างทันควัน เพียงพริบตาเดียวในระยะร้อยกว่าจั่งก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงที่ลุกโชนจนแผดเผาร่างกายของเหล่าทหารที่ปิดล้อมหลงเฉินอยู่จนไม่หลงเหลือแม้แต่ซากศพ
“อา……”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นมาเป็นสายภายใต้เพลิงขนาดใหญ่อันน่าหวาดกลัว กองทัพใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะแผดเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดก็ได้ถูกเพลิงคลอกจนมอดไหม้และสูญสลายหายไปในทันที
ทหารราบที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยต่างก็กรีดร้องเสียงดังระงมออกมาราวกับพึมพำบทเพลงอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทว่าเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวก็กลายเป็นสภาวะที่ไร้ซุ่มเสียงไปเสียแล้ว
ส่วนเหล่าทหารที่อยู่นอกเขตร้อยจั่งก็ได้เกิดความหวาดกลัวเข้าไปถึงจิตวิญญาณ พลันก็ได้รีบเริ่งฝีเท้าถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดพวกเขาก็นึกขึ้นมาได้แล้วว่าหลงเฉินนั้นเป็นผู้หลอมโอสถผู้หนึ่งจึงมีพลังแห่งเพลิงกาฬที่น่าหวาดกลัวอยู่
นับตั้งแต่ต้นจวบจนถึงบัดนี้หลงเฉินยังไม่ได้หยุดฝีเท้าลงไปเลยแม้แต่ก้าวเดียว เหล่าผู้คนที่ได้ขัดขวางหลงเฉินอยู่นั้นราวกับเป็นเส้นทางที่มีไว้ให้เขาเหยียบย่ำลงไปก็เท่านั้น
หลงเฉินก้าวผ่านขุมเพลิงกาฬของตัวเองไปอย่างช้าๆ ความร้อนระอุรอบกายแผดเผาไปทั่วทั้งบริเวณรวมไปถึงภายในจิตใจของผู้เป็นศัตรูด้วย
เพลิงกาฬแห่งเทพได้ลงมาปรากฏยังโลกหล้าแห่งนี้แล้ว พลังอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันฟ้าดินอีกทั้งความหยิ่งทระนงตน หลงเฉินค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดเข้าขวางรั้งเขาเอาไว้อีกแล้ว อีกทั้งยังหนีหายจนแหวกออกเป็นทางสายยาว
ฉู่เหยามองไปยังแผ่นหลังประดุจเทพสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์นั้นก็ได้ทำให้จิตใจของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบ หลงเฉินเป็นผู้ที่สามารถพึ่งพาได้มาโดยตลอด เขาไม่เคยทำให้ผู้คนผิดหวังมาก่อนเลย
ซือเฟิง เจ้าอ้วน และพวกพ้องก็จ้องมองไปยังแผ่นหลังของหลงเฉินด้วยเช่นกัน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่มีโลหิตสูบฉีดขึ้นมาอย่างรุนแรง หลงเฉินเดินฝ่ากลางวงล้อมของทหารนับหมื่นนายเข้าไปโดยที่ไม่มีผู้ใดกล้าหาญกล้าเข้ามาขัดขวางได้ เป็นเพราะระดับพลังแห่งจิตวิญญาณอันสูงส่งที่ยากจะคาดเดาความลึกล้ำของหลงเฉินนั่นเอง
ซือเฟิงและพวกพ้องได้เปลี่ยนแรงกดดันให้เป็นความห้าวหาญขึ้นมาในทันที อีกทั้งยังมีกำลังรบของฉู่เหยาและยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นอีกสองคน หากว่าพวกเขาคิดจะสังหารขึ้นมาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายประดุจพลิกฝ่ามือแล้ว
อีกทั้งยังมีเสี่ยวเสว่ยที่เป็นสัตว์มายาระดับสองอันมีระดับพลังเทียบเท่ากับยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นผู้หนึ่งเข้าร่วมด้วย ก็ยิ่งทำให้อุ่นใจขึ้นมาอย่างมาก
ถึงแม้ว่าคมวายุของเสี่ยวเสว่ยจำเป็นจะต้องใช้เวลาในการรวบรวมพลังขึ้นมาในแต่ละครั้ง ทว่าร่างกายอันแข็งแกร่งของมันก็แทบจะไม่อาจทำให้หอกยาวเหล่านั้นทิ่มแทงผ่านชั้นผิวหนังได้เลย
หลงเฉินเดินฝ่าออกมาจากวงล้อมของกองทัพใหญ่ออกมาจนมาอยู่ข้างกายของบิดาแล้ว ทางด้านของมารดาก็มีพวกพ้องมากมายคอยคุ้มกันเอาไว้แล้ว อีกทั้งศัตรูเหล่านั้นต่างก็เป็นเพียงทหารธรรมดา เขาจึงสามารถวางใจลงไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว ในตอนนี้เขาจึงต้องสะสางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั่นก็คือการสังหารคู่ต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้านั่นเอง
องค์ชายสี่เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเมื่อเห็นการปรากฏตัวของหลงเฉิน อีกทั้งยังเห็นว่าพลังฝีมือของหลงเฉินช่างน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าที่ผ่านมา และในตอนนี้แผนการที่เขียนขึ้นมาทั้งหมดกลับตาลปัตรจนยุ่งเหยิงไปทั้งหมด เรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมามากมายจนไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะเกรงกลัวคนผู้นั้นอยู่ เขาคงจะจากไปตั้งแต่ต้นแล้ว ทันใดนั้นองค์ชายสี่ก็ได้หันไปมองยังเซี่ยโหยวอวี่แล้วกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำออกมาว่า “ทัพใหญ่ของข้าก็ได้เคลื่อนไหวแล้ว ทางเจ้าก็สมควรที่จะเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน”
บนใบหน้าเซี่ยโหยวอวี่ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา แล้วชายตามองไปยังองค์ชายสี่อยู่ครู่หนึ่ง “นี่เจ้ากำลังออกคำสั่งกับข้าหรือว่ากำลังขอร้องข้าอยู่?”
องค์ชายสี่อับจนซึ่งปัญญาและหนทางอันใดแล้ว จึงอดกลั้นคำด่าทอต่อเซี่ยโหยวอวี่ว่าเป็นดั่งสตรีเพศลงไป
เซี่ยโหยวอวี่จงใจส่งยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นผู้หนึ่งลงไปเพื่อให้เฟิงหมิงและตระกูลหลงแลกชีวิตกันจนตายไปสักข้างหนึ่ง อีกทั้งยังส่งผลให้กำลังรบของเฟิงหมิงลดทอนลงไปด้วย
ถึงแม้เขาจะได้ครอบครองเฟิงหมิงในภายหลัง ทว่าเฟิงหมิงคงจะได้รับความเสียหายอย่างหนักหน่วง แล้วต้าเซี่ยคงจะฉวยโอกาสนี้เคลื่อนไหวทัพแล้วยึดครองจักรวรรดิเฟิงหมิงไปอยู่ในมืออย่างแน่นอน
“พวกเราควรจะร่วมมือกัน ทางที่ดีเจ้าควรทำความเข้าใจเอาไว้ด้วย” องค์ชายสี่กัดฟันแล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าไม่ร่วมมือกับเจ้าหรอก คนที่ข้าร่วมมือด้วยยังไม่ได้กล่าววาจาอันใด ข้าจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไหว” เซี่ยโหยวอวี่แสยะยิ้มอันแสนชั่วร้ายขึ้นที่มุมปาก
สีหน้าขององค์ชายสี่เปลี่ยนไปจนกลายเป็นปั้นยากขึ้นมาในทันที สายตาของเขาจ้องมองไปยังด้านหลังของกลุ่มคนที่อยู่ไกลโพ้นออกไป ชายหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่อย่างไม่รู้สึกร้อนรนอันใด
ทว่าภายในจิตใจของเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความร้อนรนขึ้นมาจนแทบจะบ้าคลั่งแล้ว หลงเฉินก็ได้เดินไปจนถึงวงต่อสู้ของหลงเทียนเซียวแล้ว
“สามารถแบ่งให้ข้าสักส่วนได้หรือไม่?”....
ติดตามตอนอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ : 9 ดารา <<< (ถึงตอนที่ 267 แล้วครับ)