บทที่12: ความเป็นตาย
บทที่12: ความเป็นตาย
ทั้งที่เป็นช่วงสายของวัน แต่อากาศกลับหม่นมัว ม่านฝุ่นที่รายล้อมอยู่รอบตัวทำให้มองเห็นสภาพรอบด้านได้ลำบากยิ่ง เงาร่างของศัตรูปริศนาพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไร สองพี่น้องแซ่ไป่พร้อมจะรับมือ
ทว่าที่น่าเป็นกังวลไม่ใช่เพียงศัตรูตรงหน้าหรือสภาพรอบด้านเท่านั้น ไป่ยู่เริ่มกังวลเกี่ยวกับร่างกายของไป่หลง แดดอ่อนหลบเร้นเข้ากลีบเมฆ อากาศเย็นชื้น ฝนทำท่าจะตกอีกครั้ง หากยังเป็นอย่างนี้ ร่างกายของไป่หลงที่เปรียบเสมือนเปลวไฟคงได้ดับแสงจนอาจสิ้นใจ
ระหว่างที่สมาธิกำลังไขว้เขว เกิดเสียงดังลั่นสนั่นปฐพีขึ้นครั้งหนึ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ในความเงียบสงัด ราวกับในม่านฝุ่นที่หม่นมัวนี้เป็นอีกโลกหนึ่งที่ถูกกลืนหายไปจากความเป็นจริง สองพี่น้องแซ่ไป่ไม่เห็นเงาร่างที่วิ่งใกล้เข้ามาแล้ว มันหายไปเหมือนไร้ตัวตน ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นด้านบน
เป็นจริงดังคาด!
กงเล็บขนาดใหญ่จากมือที่เต็มไปด้วยขนสีดำแหวกม่านฝุ่นตะปบลงมายังที่ที่ทั้งสองยืนอยู่ ไป่ยู่ที่มัวแต่พะวงกับร่างกายของพี่ชายขยับตัวช้าเกินกว่าที่ควร สองคนพลิกตัวหลบทันแบบฉิวเฉียด พื้นบริเวณนั้นยุบตัวลงเป็นหลุมลึก แอ่งน้ำรอบๆ ในจุดใกล้เคียงแตกกระจายพุ่งสูงก่อนโปรยปรายคล้ายหยาดฝน เสียงฟาดกระแทกทำสองหูอื้ออึ้ง ไป่ยู่จึงไม่ได้ยินเสียงร้องเตือน ทันทีที่เขาคิดว่าหลบพ้นการโจมตี ฝ่ามือมหึมาของปีศาจยักษ์กลับตวัดตามใส่อย่างต่อเนื่องมาทางตน ไป่ยู่ยังอยู่ในสภาพที่ย่อตัวกับพื้นจึงไม่อาจหนีทัน
เสี้ยวนาทีที่ความตายจะมาถึง ก่อนที่จะได้ทันใช้ยันต์ป้องกันตัว ก่อนกงเล็บแหลมคมจะตวัดมาถึงตัว ไป่หลงที่เคลื่อนไหวเร็วกว่าใครทั้งหมด พุ่งตัวเข้าไปผลักร่างของน้องชายให้พ้นวิถีการโจมตี ปลายแหลมจากหนึ่งเล็บคมแฉลบผ่านศีรษะของไป่ยู่ไปเพียงข้อนิ้วเดียว หยาดโลหิตจำนวนมากสาดกระเซ็นเปื้อนเต็มใบหน้าเขา เพราะไป่หลงซึ่งเอาตัวกันไว้ใช้แผ่นหลังของตนรับทุกกงเล็บที่เหลือแทนน้องชาย
ร่างของสองคนกระเด็นกระแทกต้นไม้ใหญ่ ไป่ยู่ใช้ตัวกันการปะทะเพื่อไม่ให้พี่ชายบาดเจ็บหนักไปกว่าเดิม แม้รู้สึกปวดร้าวไปทั้งร่าง แต่ไม่มีเวลาใส่ใจกับตัวเอง เพราะที่เขาห่วงคืออาการของไป่หลง แผลจากรอยเล็บที่ด้านหลังเป็นทางยาวและลึกจนเลือดทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก เมื่อพลิกร่างไป่หลงกลับมา อีกฝ่ายหมดสติไร้การรับรู้ สีหน้าขาวซีดไร้สีเลือด
หยาดน้ำที่โปรยปรายกระจายลงสู่พื้นเมื่อครู่ ทำม่านฝุ่นที่หม่นมัวหายไปในพริบตา ร่างของศัตรูปรากฏชัดในสายตา มันคือปีศาจที่มีหัวเป็นหมูป่าแบบเดียวกับที่ไป่ยู่เคยเจอในเมื่อไม่นานมานี้ ต่างเพียงแค่ว่าตัวที่อยู่ตรงหน้าสูงใหญ่กว่ามาก ทั่วทั้งตัวปกคลุมไปด้วยขนสีดำ รูปร่างคล้ายลิงยักษ์ สองแขนใหญ่ ไหล่กว้าง ช่วงล่างเล็ก ยืนสองข้าง เท้าสองข้างเป็นกีบแบบสัตว์เดรัจฉาน
มันหันมองรอบบริเวณ เพราะสองพี่น้องกระเด็นออกมาไกลพอสมควร ไป่ยู่พยายามจะอุ้มร่างพี่ชายเข้าพุ่มไม้ให้หลบรอดสายตาของอีกฝ่ายเพื่อความปลอดภัย ทว่าด้วยร่างกายเช่นที่เป็น ทำให้เขาไม่ได้มีแรงมากขนาดนั้น เสียงขยับทำให้ปีศาจหมูป่ารู้ตัว ไป่ยู่รีบหยุดนิ่ง มันหันมอง แต่ยังไม่เห็น จึงคำรามเสียงดังลั่น นาทีนั้นเกิดเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวขึ้นจากพุ่มไม้ทางด้านขวาที่ไป่ยู่หลบอยู่ไม่ไกล
เด็กสาวคนหนึ่งตัวสั่นใช่แขนสองมืออุดหูด้วยความตระหนก ปีศาจหมูป่ารู้ตัวมันรีบวิ่งตรงไปที่ต้นเสียง ไป่ยู่รีบหยิบยันต์จากอกเสียง ท่องคาถาอย่างรวดเร็วแล้วสะบัดยันต์ออกไปกลายเป็นมังกรเพลิงแบบเดียวกับที่เคยปราบปีศาจหมูป่าครั้งก่อน ทว่าครั้งนี้ไม่ง่ายเช่นนั้น
เมื่อมังกรเพลิงพุ่งเข้าใกล้ปีศาจหมูป่า มันที่ไหวตัวทันหยุดนิ่งแล้วใช้หลังมือฟาดกำปั้นใส่หัวมังกรเพลิงจนกระเด็นเบี่ยงทิศทาง ไป่ยู่รีบขยับนิ้วควบคุมให้มังกรเพลิงวนอ้อมไปทางซ้าย แต่ปีศาจหมูกลับหมุนตัวดักทางไว้ได้อย่างเท่าทัน มันใช้สองมือตะปบหัวมังกรเพลิงไว้แน่นจนไป่ยู่ไม่สามารถบังคับได้อีก
ปีศาจหมูกระชากหัวมังกรเพลิงจนขาดออกมา ทำให้ส่วนตัวที่ลอยอยู่สลายกลับกลายเป็นยันต์ตามเดิม แตกต่างที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวเดียว ปีศาจหมูคำรามลั่นคล้ายสะใจก่อนจับส่วนหัวที่ยังไม่คืนสภาพยัดเข้าปาก แต่กลับทุรนทุรายด้วยเปลวไฟที่ยังลุกไหม้เสียเอง
ไป่ยู่อาศัยจังหวะนี้ ขยับมือทำนิ้วในลักษณะแบบมุทรา ก่อนจะชี้ไปที่ยันต์ใบที่ขาด มันขยับกลับกลายเป็นมังกรน้ำแข็งพุ่งใส่โดยที่ปีศาจหมูไม่ทันตั้งตัว มันจับมังกรน้ำแข็งคิดขว้างออกไปให้พ้นตัว ทว่าทันที่ที่สัมผัสกับถูกเกล็ดน้ำแข็งลุกลามกัดกินผิวที่มือจนส่งเสียงโหยหวน ไป่ยู่ที่เกร็งกำลังส่งปราณไปที่ยันต์เหงื่อกาฬไหลเต็มใบหน้า พลันแขนข้างที่ควบคุมยันต์เกิดไอเย็นขึ้นจำนวนมาก ผิวเนื้อบริเวณนั้นซีดขาวคล้ายภายในก็กำลังถูกน้ำแข็งกัดกินเช่นกัน
ปีศาจหมูดิ้นรนกลิ้งไปมาอยู่เช่นนั้นแต่ไม่อาจสลัดเกล็ดน้ำแข็งที่ลุกลามบีบรัดเนื้อไปทั่วแขนได้ สุดท้ายมันตัดสินใจฟาดมือที่เป็นน้ำแข็งลงกระแทกพื้นอย่างเต็มกำลังจนแขนข้างซ้ายแตกกระจาย ก่อนจะพุ่งตัววิ่งหนีหายเข้าไปในป่า จังหวะนั้นมือไป่ยู่ที่ขาวซีดเกิดประกายน้ำแข็งขึ้นในพริบตา เขารีบใช้เสื้อคลุมเกล็ดมังกรคลุมมันไว้ กว่าครู่ใหญ่ที่ความเจ็บปวดซึ่งเกิดขึ้นจะทุเลาลงและกลับกลายเป็นปกติ
ไป่ยู่ทรุดตัวลงท่าทางไม่สู้ดีนัก อาการของเขาหนักพอๆ กับตอนที่ต่อสู้กับผีไร้ร่างในชุมชนประตูทิศตะวันตก ทว่าเขาจะหมดสติไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ไม่ใช่ตัวเองที่น่าห่วง แต่ไป่หลงที่บาดเจ็บเพราะความเลินเล่อของตนอาจกำลังจะใกล้ตาย
“ท่านพี่... ท่านพี่ ฟื้นสิท่าน...พี่” เสียงของไป่ยู่อ่อนระโหยและขาดช่วงอย่างช้าๆ
ทว่าไป่หลงกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนองกลับมา เลือดจากแผลลึกยังไหลนอง ใบหน้าของชายหนุ่มยิ่งซีดขาว ไป่ยู่พยายามรวบรวมกำลัง เขย่าร่างนั้นให้คืนสติ แต่ไม่มีได้ผลใดๆ
สายตาและสติที่มีเริ่มเลือนรางลงทีละน้อย ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป ไป่ยู่เห็นเด็กสาวคนที่เกือบโดนปีศาจหมูทำร้าย เดินเข้ามาใกล้ทีละน้อยด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ
...................................
ในความมืด กลางความเงียบและอากาศที่เย็นเยียบ ไป่ยู่ยืนอยู่ในสถานที่ที่ตัวเองไม่รู้จัก เขามองไปรอบด้านเพื่อสังเกตให้รู้แจ้ง แต่ที่เห็นมีเพียงกำแพงหินที่ยาวไล่เรียงไปเป็นทางยาว มีแค่คบไฟที่วางอยู่ด้านข้างเป็นระยะเท่านั้นที่ให้ความสว่าง แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เขารู้ว่าที่นี่คือที่ใด
ไป่ยู่ตัดสินใจอยู่นานว่าควรทำเช่นไร ทว่าทันทีที่ออกเดิน เบื้องหน้ากลับปรากฏเงาร่างของสตรีนางหนึ่งและเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง ไป่ยู่เรียกคนทั้งสอง แต่ทั้งสองกลับไม่รับรู้ถึงตัวตนของไป่ยู่ สตรีนางนั้นใบหน้างดงาม รอยยิ้มอ่อนหวาน คำพูดอ่อนโยน ทว่าภายในดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง
ไป่ยู่รู้สึกคุ้นเคยราวกับรู้จัก แต่เมื่อขบคิดจึงได้พบว่าไม่เคยพบพานสตรีนางนี้มาก่อน นางจูงมือเด็กชายเดินนำหน้าเขาไปอย่างช้าๆ
“เทียนป้อเดินดีๆ นะ” นางกล่าวกับเด็กชาย
“ครับท่านแม่” เด็กชายตอบ
ไป่ยู่มองผู้เยาว์แล้วนึกเอ็นดู ก่อนที่จะได้สังเกตเห็นใบหน้านั้นชัดๆ ครานี้ เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับเด็กคนนี้ ยิ่งกว่าที่รู้สึกกับสตรีนางนั้น แต่ยิ่งคิด สมองกลับยิ่งตีบตันอับจนที่จะไตร่ตรองได้ว่าทั้งคู่เป็นใคร
“ปวด... ปวดหัว สองคนนี้คือใคร ทำ ทำไมนึกไม่ออก”
ไป่ยู่ตั้งใจจะตรงเข้าไปคว้าจับคนตรงหน้า เพื่อเมื่อกระทำเช่นนั้น มือของเขากลับแทรกผ่านร่างทั้งสองไปราวกับจับอากาศ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะคนตรงหน้าที่ไร้ตัวตน หรือเป็นที่ฝ่ายเขาเองที่กลายเป็นวิญญาณล่องลอย ไป่ยู่ลองสัมผัสตัวเอง ก็รับรู้จับได้ทุกส่วนของร่างกาย
หรือนี่จะเป็นเพียงความฝันอีกครั้ง...
จะว่าเขามีความรับรู้ว่ามันเป็นจริง เขาก็รู้สึกเช่นนั้น จะว่ามันดูเลื่อนลอยราวกับไม่ใช่ความจริง เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นไป่ยู่จึงตัดสินใจได้เพียง เดินตามคนทั้งสองไปเพื่อค้นหาความจริง ว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ไหนและสองคนตรงหน้าคือใคร
สองคนย่างก้าวอย่างเชื่องช้า ไป่ยู่เดินตามอย่างสงบใจ เมื่อลองสำรวจให้แน่ชัด จึงได้รู้ว่าสถานที่ในตอนนี้เป็นคุกที่ไว้กักขังผู้คน ทว่าไม่มีนักโทษหลงเหลืออยู่อีก บางที่มันอาจเป็นคุกร้างที่เลิกใช้ไปนานแล้ว เพราะรอบข้างเต็มไปด้วยหยากไย่และฝุ่นหนา
สุดทางเบื้องหน้า เป็นประตูไม้ทั้งบาน ดูเก่าแต่ไม่โทรม มันแข็งแรงพอที่จะปิดกั้นไม่ให้ใครเข้าผ่านได้โดยง่าย หากไม่มีกุญแจไข สตรีนางนั้นหยิบกุญแจขึ้นมา มือนางสั่นเทาจึงยากลำบากในการเปิดทั้งที่รูกุญแจก็แน่นิ่งอยู่เช่นนั้น การเสียบกุญแจไขกลับเป็นไปได้ยาก ที่สุดนางทำลูกกุญแจหลุดจากมือ ครั้นพอจะก้มลงเก็บ ใบหน้างดงามกลับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
ไป่ยู่รู้แล้วสิ่งใดแฝงอยู่ในแววตาคู่นั้น... เป็นความโศกเศร้าของนางเอง
เด็กชายเห็นสตรีนางนั้นสะอื้น จึงเอื้อมมือเช็ดให้อย่างเบามือ ท่าทางนั้นไร้เดียงสาและอ่อนโยน
“ท่านแม่ไม่ต้องกลัวนะ เทียนป้อจะช่วยท่านแม่เอง ไม่ต้องร้องไห้นะ” กล่าวจบเด็กชายก้มลงเก็บลูกกุญแจแล้วไขประตูจนเสียงของมันดังสะท้านในความเงียบ
เด็กชายมีท่าทางหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย อาจเพราะความมืดที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น สตรีที่ถูกเรียกว่าท่านแม่คว้าร่างเล็กเข้ามาสวมกอด...
นางกอดอยู่เช่นนั้น ราวกับนี้เป็นอ้อมกอดสุดท้ายที่จะได้สัมผัสและสื่อถึงกันระหว่างนางและเด็กชาย
“ท่านแม่ เทียนป้อหายใจไม่ออก”
“แม่ขอโทษ แม่คงกอดเจ้าแน่นไป”
“ไม่เป็นไรครับ เทียนป้อชอบให้ท่านแม่กอด” สตรีนางนั้นยิ้มเศร้า
“เราเข้าไปกันเถอะ”
บานประตูไม้ถูกผลักให้เคลื่อนเปิด เสียงของมันดังกังวานราวกับเสียงของปีศาจร้ายกำลังกรีดร้องโหยหวน เด็กชายกอดมือท่านแม่ของเขาไว้แน่นกว่าเดิม สตรีนางนั้นหยิบคบไฟที่วางอยู่ข้างกำแพงแล้วเดินนำเข้าไป ไป่ยู่เดินตาม
ภายในมืดสนิท ที่พื้นเป็นร่องยาวเชื่อมต่อกัน มีของเหลวบางชนิดอยู่ในนั้น สตรีนางนั้นหันปลายคบไฟลงในนั้น เกิดเป็นประกายเพลิงวิ่งไล่ไปตามทางยาวรอบทิศก่อนที่จะบรรจบกันให้ความสว่างขึ้นมา จนไป่ยู่ได้เห็นว่าตนกำลังยืนอยู่ในโถงกว้างทรงกลม คล้ายกับห้องขนาดใหญ่
กำแพงรอบข้างเป็นสีเขียวเข้มอ่อนไล่ไปตามทาง ที่พื้นมีลักษณะคล้ายกำแพง แตกต่างตรงที่เป็นสีดำ ไป่ยู่ลองสำรวจจึงได้รู้ว่ามันเป็นหยกธรรมชาติขนาดใหญ่ ตรงกลางลานโถงนั้น มีหยกแบบเดียวกันโผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นเป็นแท่นยาวคล้ายหินย้อย สิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นไม่ใช่เพียงแค่ลักษณะ แต่เป็นสีแดงเหมือนโลหิตของมัน และก้อนหยกสีขาวที่ฝังอยู่บนยอดปลายนั่น
ไป่ยู่รู้สึกปวดในศีรษะคล้ายกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบเค้นมันอยู่ภายใน
“เทียนป้อ ลูกไปหยิบมันให้แม่ได้ใช่ไหม” สตรีนางนั้นกล่าวขึ้น พร้อมชี้ไปที่หยกสีขาว
เสียงของนางทำไป่ยู่หันไปมองเด็กชายที่ยังมีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
“ถ้าเทียนป้อไปหยิบมันมา ท่านแม่จะไม่เสียใจใช่ไหม” คำถามไร้เดียงสาทำให้สตรีนางนั้นชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง
“แม่... จะไม่เสียใจ” นางกล่าวพร้อมลูบใบหน้าของเด็กชาย
เทียนป้อพยักหน้ายิ้มแล้วสูดลมหายใจลึก ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้แท่นหยกสีแดงนั่น เมื่อถึงที่หมาย เด็กชายค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบก้อนหยกสีขาวอย่างระวัง มันติดแน่นฝังอยู่เช่นนั้น แม้เด็กชายจะขยับก็ไม่เป็นผล
ใบหน้าไร้เดียงสาเป็นกังวลจนทำให้ต้องหันไปหาท่านแม่ของตน สตรีนางนั้นเพียงยิ้ม เด็กชายจึงหันกลับไปใช้สองมือและออกแรงยิ่งกว่าเดิม
อาการปวดหัวของไป่ยู่ยิงทวีคูณขึ้น จนเขาไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ก่อนจะทรุดลงไปกับพื้น...
พริบตานั้น เทียนป้อดึงหยกสีขาวหลุดออกจากแท่น...
เกิดแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นออกมากจากแท่นหินนั้น ก่อนที่มันจะกลับกลายเป็นควันสีดำทะมึน เทียนป้อตระหนกพยายามจะวิ่งหนี แต่กลับถูกกลุ่มควันนั่นโอบล้อมบีบรัดและแทรกซึมเข้าไปในทุกทวารของร่างกาย เด็กชายกรีดร้องอย่างทรมาน ดวงตาสีดำเหลือกขึ้น ร่างสั่นเกร็งด้วยความเจ็บปวด
ไป่ยู่พยายามจะลุกขึ้นและเข้าไปช่วย แต่กลับขยับไม่ได้ดังที่ใจต้องการ เขาหันไปทางสตรีนางนั้นแล้วตะเบ็งเสียงลั่นให้นางช่วยลูกของตน
แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา...
ไป่ยู่เห็น สตรีนางนั้นยืนตัวแข็งท่าทางทั้งหวาดกลัว ทั้งลังเล แต่สุดท้ายสิ่งที่นางกระทำคือถอยหลังก้าวไปที่ประตู
ไป่ยู่หันไปที่เทียนป้อ เห็นร่างของอีกฝ่ายลอยสูงอยู่เหนือพื้นด้วยม่านควันสีดำที่แทรกผ่านเข้าไปในร่าง เด็กชายน้ำตาไหลด้วยความกลัวและเจ็บปวด กรีดร้องอย่างสุดเสียง เรียกเพียงท่านแม่ของตน...
ไป่ยู่ตะเบ็งเสียงอยู่อย่างนั้นเพื่อเรียกนางให้กลับมา แม้จะรู้ว่านางไม่มีวันกลับมา
ไป่ยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมา พบตัวเองอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย น้ำตาไหลเต็มสองแก้ม เขารู้สึกว่าภาพที่เห็นเมื่อครู่ดูจริงราวกับไม่ใช่เพียงความฝัน ที่สะท้านอยู่ในกายคือการรับรู้ว่า...
เสียงของความเงียบที่ได้ตะเบ็งออกไปนั้น ช่างเจ็บปวดเหลือเกิน...