บทที่ 20 เปิดฉากงานประลองยุทธ์!
บทที่ 20 เปิดฉากงานประลองยุทธ์!
ในโลกยุคปัจจุบันที่มีวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่ก้าวไกลนั้น ทำให้การจะดำเนินการทำอะไรต่อมิอะไรก็ดูจะง่ายไปเสียหมด ด้วยยุคสมัยที่พลังคือความสำคัญอย่างที่สุด มนุษย์ที่มีพลังปราณล้ำลึกสามารถใช้พลังปราณในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งสนามประลองที่มีขนาดความกว้างถึงเก้าสิบเมตร และมีความยาวร้อยยี่สิบเมตรพอดิบพอดี พื้นลานประลองถูกปูด้วยกระเบื้องสีอ่อนวางเรียงรายอย่างสวยงามแฝงไว้ด้วยความประณีตของผู้จัดทำ
สนามประลองดังกล่าวถูกขับเคลื่อนด้วยพลังปราณของนักรบปราณระดับสูงที่ไม่เข้าร่วมในงานประลองกว่าสามร้อยคน และจะผลัดเปลี่ยนเวรกันทุก ๆ หกชั่วโมงเพื่อพักฟื้นพลังปราณทำให้สนามประลองสามารถคงความแข็งกล้าและทนทานต่อการโจมตีหนัก ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
พื้นที่จัดงานถูกจัดขึ้นที่บริเวณนอกรั้วสถาบันห่างออกไปไม่ถึงห้ากิโล ซึ่งมีการลงมติให้ใช้พื้นที่ว่างที่เกิดจากการเคลียร์ป่าจนกลายเป็นพื้นที่ราบเรียบเตียนโล่งสร้างเป็นสนามประลองขึ้นมา และใช้พื้นที่ว่างส่วนที่เหลือสำหรับการตั้งบูธอื่น ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบูธโซนของกิน โซนกิจกรรม หรือโซนพบปะกับคนดังประจำสถาบัน เป็นต้น
โซนพบปะกับคนดังจะเป็นที่นิยมในช่วงเริ่มต้นการประลอง เพราะนอกจากจะเป็นโซนที่อยู่ใกล้กับสนามประลองมากที่สุดแล้ว บรรดาคนดังจะคอยทำหน้าที่เป็นเหมือนกับนักบรรยายสถานการณ์การต่อสู้ต่าง ๆ ให้พวกมือใหม่ได้ฟัง ทุกอย่างเกิดขึ้นยังไง เป็นมายังไง ต่อไปน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา ทุกสิ่งจะคาดเดาจากประสบการณ์ของบรรดาคนดังนั่น และจะสร้างเสียงเฮฮาให้เพื่อไม่ทำให้คนดูเครียด เป็นเสมือนกับนักพากย์โต๊ะที่สองก็ว่าได้
ทางเข้างานมีโต๊ะสีขาวยาวตั้งขวางทางเข้าเอาไว้ โต๊ะนั้นถูกควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน และจะคอยบันทึกลายนิ้วมือของผู้สมัครเข้าร่วมงานประลองอย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบประวัติความเป็นมารวมถึงสถานะปัจจุบันว่ามีคุณสมบัติจะเข้าร่วมการประลองนี้หรือเปล่า หากไม่มีคุณสมบัติจะถูกจัดที่นั่งให้ไปอยู่โซนคนดูทันที หากเป็นบุคคลอันตรายที่มีการบันทึกไว้ในบัญชีดำก็จะถูกตัดสิทธิ์ห้ามเข้างานในทุกกรณี ส่วนคนที่ไม่มีปัญหาอะไรระบบจะให้เลือกว่าจะเข้ามาเป็นคนดูหรือเข้ามาในฐานะของผู้ท้าชิงในศึกนี้
ฟาร์ชูลันเดินทางมาที่นี่พร้อมกับซิลเวอร์ในฐานะผู้เข้าร่วมงานประลอง เธอตรงไปยังโต๊ะสีขาวตรงหน้าด้วยความมั่นใจ ก่อนจะทาบฝ่ามือลงไปบนแท่นวางนิ้ว ระบบตรวจสอบข้อมูลลายนิ้วมืออย่างรวดเร็วก่อนจะระบุว่าตัวเธอไม่มีพิษมีภัย ฟาร์ชูลันเลือกเป็นผู้เข้าร่วมศึกนี้อย่างไม่ลังเลก่อนจะหันกลับไปมองซิลเวอร์ที่เดินตามเข้ามา
ชายผมแดงหน้าตาหล่อเหลา ในยามนี้ก็ยังไม่หยุดโปรยเสน่ห์ใส่สาว ๆ รอบข้าง เขาวางนิ้วมือลงไปบนเครื่องตรวจจับลายนิ้วมือก่อนจะระบุทางเลือกไม่เข้าร่วมงานประลอง ซึ่งหมายถึงการเป็นคนที่นั่งดูอยู่บนที่นั่งเฉย ๆ
สีหน้าของฟาร์ชูลันเปลี่ยนไปทันควัน
“ประเดี๋ยวสิยะ ไหนว่าจะเข้าร่วมงานประลองด้วยกันไง!”
“ช้าก่อนนายหญิง! ข้ามาคิด ๆ ดูแล้วนะ ต่อให้เข้าร่วมไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ขอเป็นผู้ชมที่มองดูความเทพของเจ้าอยู่ในที่ที่ห่างออกไปจะดีกว่า เพราะเดิมทีข้าก็ไม่ได้สนใจจะเป็นเจ้าตำหนักอยู่แล้วด้วย” ซิลเวอร์ตอบกลับในขณะที่พยายามเอามือทั้งสองทำท่าโบกไปมาเหมือนต้องการจะบอกว่าตนอยากเป็นแค่ผู้ชมเฉย ๆ จริง ๆ
“ก็เราคุยกันไว้ว่าจะถ่วงเวลารอให้สไปค์กลับมาถึงไม่ใช่รึไงกันล่ะยะ?”
“เพราะงั้นไง ระหว่างที่เจ้าทำข้าก็จะคอยสอดส่องมองหาว่าเจ้านั่นมาถึงรึยัง เป็นไง แผนนี้เข้าท่าว่ามั้ยล่ะ” ซิลเวอร์ดูจะภูมิใจในแผนของตัวเองมาก
เดิมทีทั้งคู่คุยกันไว้เสียดิบดีว่าจะเข้าร่วมงานประลองนี้ด้วยกัน และตั้งใจจะยืดเยื้อการต่อสู้ในรอบของตนให้นานที่สุดเพื่อรอเวลาที่สไปค์จะกลับมาถึง แต่พอสถานการณ์จริงกลับกลายเป็นว่ามีแค่ตัวฟาร์ชูลันเองที่ลงมือเข้าร่วมงานประลองเสียอย่างนั้น
“ชิ เจ้าผู้ชายไม่ได้เรื่อง” เธอสบถพลางสะบัดหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่ต้องการจะเหลียวแลชายหนุ่มที่ตอนนี้มีสีหน้าเหงาหงอยอย่างเห็นได้ชัด
“ง่า...ขอโทษ แต่ข้าคิดอย่างนั้นจริง ๆ นา เพราะถ้าสไปค์มาถึงล่ะก็ คนที่ต้องเห็นเขาก่อนอย่างน้อยคงจะเป็นข้านี่ล่ะ”
“ตามใจนายละกัน” เธอกล่าวพลางเดินนำหน้าเข้าไปยังสนามประลองที่เปิดประตูอ้ารออยู่นานแล้ว
ระยะเวลาในการลงทะเบียนเข้าร่วมงานมีทั้งหมดสามชั่วโมงด้วยกัน หลังจากสามชั่วโมงระบบจะเริ่มสุ่มคู่ต่อสู้โดยอัตโนมัติเพื่อค้นหาจำนวนคนที่จะลงแข่งขันในสนามประลองรอบแรก
จำนวนรอบทั้งหมดจะมีอยู่สามรอบด้วยกัน รอบแรกจะคำนวณจำนวนผู้เข้าร่วมทั้งหมดแล้วหารแปดออกมาเพื่อแบ่งกลุ่มย่อยทั้งหมดเป็นแปดกลุ่มด้วยกัน หลังจากนั้นภายในกลุ่มจะต้องต่อสู้กันเองเพื่อค้นหาผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งภายในกลุ่มและเข้าสู่รอบถัดไป
ในรอบที่สองจะเป็นการเจอกันเองของผู้ชนะจากกลุ่มทั้งแปดก่อนหน้านี้ รวมแล้วจะมีแปดคนพอดิบพอดี กติกาการต่อสู้จะเป็นการพบเจอกันทั้งหมดและตัดสินคนที่จะเข้ารอบต่อไปสี่คนด้วยคะแนนที่สูงที่สุดจากที่เก็บมาได้ในการต่อสู้รอบนี้
รอบสุดท้ายจะจับคู่ด้วยวิธีวัดผลคะแนน คนที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งจากรอบที่สองจะต้องต่อสู้กับผู้ที่ได้คะแนนอันดับสี่ และผู้ที่ได้คะแนนอันดับสองจะต้องต่อสู้กับผู้ที่ได้คะแนนอันดับที่สาม เมื่อได้ผู้ชนะแล้วก็จะมาตัดสินกันในสังเวียนสุดท้ายอีกทีเพื่อค้นหาคนที่จะเข้าไปชิงตำแหน่งกับเจ้าตำหนักที่รอคอยอยู่ก่อนแล้ว
งานนี้มีระยะเวลาทั้งหมดสามวันด้วยกัน และการประลองทั้งสามรอบก็จะเริ่มต้นรอบละวันเพื่อแบ่งเวลาให้ผู้เข้าแข่งขันได้พักผ่อนบ้าง ซึ่งการจะพักผ่อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้เข้าแข่งขันเองว่าในการต่อสู้จะบาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน หากบาดเจ็บมากเท่าไหร่ก็ยิ่งใช้เวลาในการรักษานานขึ้นเท่านั้น และจะเป็นอุปสรรคในการต่อสู้ครั้งถัดไปอย่างแน่นอน
ไม่นานก็ครบกำหนดสามชั่วโมงในการเปิดรับสมัคร หลังพ้นสามชั่วโมงไประบบจะใช้เวลาในการสุ่มไม่เกินหนึ่งนาทีเพื่อบอกว่าตนเองอยู่ในกลุ่มที่เท่าไหร่
เสียงสัญญาณดังขึ้น ฟาร์ชูลันบนที่นั่งคนดูมองขึ้นไปบนตารางอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งค่อย ๆ เปิดรายชื่อไปทีละกลุ่มจนกระทั่งพบเจอชื่อของเธอที่อยู่กลุ่มที่แปดซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายพอดิบพอดี หนำซ้ำเลขลำดับยังเป็นเลขที่แปดสิบแปดอีกต่างหาก ฟาร์ชูลันดูมีสีหน้าไม่พึงพอใจสักเท่าไหร่นัก
“เกลียดเลขแปดจริง ๆ”
“หา เมื่อกี้ว่าไงนะ” ซิลเวอร์เหมือนได้ยินอะไรบางอย่างจากปากเธอ
“เปล่า ไม่มีอะไร” ฟาร์ชูลันบอกปัดไปก่อนจะหันไปสนใจสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
จำนวนผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดของปีนี้มีด้วยกันทั้งหมดเก้าร้อยยี่สิบแปดคน พอหารแปดกลุ่มแล้วจะตกกลุ่มละหนึ่งร้อยสิบหกคน ซึ่งไม่มีเศษเลยแม้แต่กลุ่มเดียว การประลองจะเริ่มต้นขึ้นในอีกครึ่งชั่วโมงนับจากนี้ ทางผู้บรรยายได้กล่าวไว้ว่าหากใครคิดจะเข้าห้องน้ำก็ขอให้รีบเข้าโดยไว เพราะจะไม่มีโอกาสได้เข้าเด็ดขาดถ้าการประลองเริ่มต้นขึ้น
แน่นอนว่าฟาร์ชูลันจัดการเรื่องกิจธุระส่วนตัวเสร็จสรรพไปนานแล้ว เธอได้แต่รอให้การแข่งขันรอบแรกเริ่มต้นขึ้นเสียที
“สู้ ๆ น้า” ซิลเวอร์ส่งสายตาให้กำลังใจมา ซึ่งฟาร์ชูลันรู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่ารอยยิ้มและสายตานั้นจะทำให้สาว ๆ รอบข้างหลงใหลเพียงใดก็ตาม
“ขยะแขยง” เธอกล่าวสั้น ๆ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับโบกมือไปมาทั้งที่ยังหันหลังให้
“เฮ้อ ถ้าทำตัวน่ารักกว่านี้หน่อยก็จะโอเคที่สุดเลย” ซิลเวอร์พูดเหมือนคนเสียดายของ
ในขณะนี้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกคนได้เข้ามาประจำจุดพื้นที่ที่จะใช้แข่งขันของแต่ละกลุ่มเรียบร้อยแล้ว อัตราส่วนของผู้เข้าร่วมแข่งขันคิดเป็นชายถึงแปดสิบ ส่วนผู้หญิงมีเพียงยี่สิบในอัตราส่วนร้อยละของทั้งหมดเท่านั้น
และบังเอิญตรงที่ว่ากลุ่มแปดนั้นไม่มีผู้หญิงคนอื่นเลยนอกจากฟาร์ชูลันแค่คนเดียว
ฟาร์ชูลันยืนเหยียดแข้งเหยียดขาเพื่อยืดกล้ามเนื้อก่อนสู้ศึกอยู่ไม่มากก็น้อย เธอแต่งกายด้วยชุดวิคก้าสไตล์ตามปกติ แน่นอนว่าคนที่แต่งตัวแบบนี้ในสถาบันดูจะมีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น ทำให้ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นเธอต่างก็ต้องจำเธอได้เมื่อได้เห็นอีกในครั้งต่อไป
ไม่รวมถึงข่าวลือเมื่อสามสัปดาห์ก่อนที่เธอเคยถูกมารจับตัวไป และยังที่เล่าลือกันว่าเธอเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของสไปค์ผู้ทรยศมวลมนุษย์นั่นอีก
“ไม่นึกเลยนะว่ากลุ่มของเราจะมีสาวสวยมาเข้าร่วมด้วยแบบนี้” ฟาร์ชูลันได้ยินเสียงร้องทักจากทางขวามือ พอหันไปก็พบกับชายหนุ่มผมดำร่างผอมหน้าตาหล่อเหลาเดินเข้ามา “เจ้าดูบอบบางกว่าที่คิด ข้าหวังว่าพอสัญญาณการแข่งเริ่มต้นขึ้น เจ้าจะถอนตัวออกไปจากที่นี่ซะ”
“ห่วงตัวเองเถอะ” ฟาร์ชูลันตอบกลับสั้น ๆ
“ว้าว มีความมั่นใจซะด้วย ก็ดี ข้าชอบคนที่มั่นใจในตัวเองแบบเจ้า” ชายหนุ่มคนนั้นแอบยิ้มออกมาเบา ๆ “เพราะเวลาได้บดขยี้ผู้หญิงที่มีความมั่นใจล้นปรี่แบบนี้ มันช่างชวนให้รู้สึกสุขีอย่างบอกไม่ถูกเลยจริง ๆ”
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นหลังจากที่เขาคนนั้นเดินจากไป พร้อมกันนั้นก็มีผู้คนอีกมากมายมองมาทางฟาร์ชูลันเป็นสายตาเดียวกัน
การเป็นผู้หญิงมันก็คงจะลำบากแบบนี้ล่ะนะ
ฟาร์ชูลันคิดในใจเช่นนั้นก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างเอือมระอา
“ขอให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดเตรียมตัวให้ดี สัญญาณจะเริ่มนับถอยหลังในอีกไม่ช้านี้ เมื่อสัญญาณนับถอยหลังจนหมดแล้ว การต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้น กลุ่มไหนที่สามารถยืนหยัดได้เป็นคนสุดท้ายจะเข้ารอบต่อไปโดยอัตโนมัติ!”
เสียงของผู้บรรยายดังขึ้นผ่านลำโพงใหญ่ที่ติดตั้งอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของงาน ไม่นานนักเสียงนับถอยหลังก็ดังขึ้นมา
10...9...8...7...
ฟาร์ชูลันสังเกตเห็นผู้คนรอบข้างเดินวนเวียนไปมารอบตัวเธอ
6...5...4...
พวกผู้ชายพวกนั้นเริ่มหันมามองที่เธอเป็นสายตาเดียวกัน
3...2...1...
เจ้าพวกนี้
0
“เริ่มต้นการต่อสู้ได้!”
สิ้นสุดเสียงประกาศ เหล่าชายฉกรรจ์จำนวนมากก็พุ่งทะยานเข้าหาร่างอันบอบบางของสาวน้อยที่ตกเป็นเป้านิ่งอยู่จุดศูนย์กลาง ที่แท้พวกมันตั้งใจจะกำจัดจุดอ่อนของกลุ่มที่เป็นผู้หญิงให้พ้นออกไปก่อนที่จะต่อสู้กันเอง ทางผู้ชมที่อยู่บนที่นั่งของคนดูต่างออกเสียงฮือฮาออกมาเมื่อได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มแปดกำลังจะถูกรุมทึ้งโดยชายหนุ่มทั้งหมด
“ไอ้หยา...เจ้าพวกบ้าเอ๊ย” ซิลเวอร์เอามือกุมศีรษะตนเอง สีหน้าบอกบุญไม่รับ “หาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ”
ใบหน้าของฟาร์ชูลันไม่ได้ปรากฏรอยยิ้มหรือความรู้สึกอันใดเลย มีแต่เพียงความเวทนาที่เธอแสดงออกผ่านพลังเวทที่แผ่ขยายออกมาจากทั่วทั้งร่าง
“พวกผู้ชายงี่เง่า”
พลังเวทสีครามพุ่งขึ้นมาจากพื้นรอบกายเธอ กระแทกร่างของชายหนุ่มจำนวนมากจนกระเด็นออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน เธอยกมือขึ้นควบคุมกระแสคลื่นพลังเวทกลุ่มนั้นก่อนจะบงการให้มันแตกแขนงออกเป็นเส้นหลายเส้น โดยจำนวนเส้นทั้งหมดมีเท่ากับผู้เข้าร่วมการแข่งขันในกลุ่มแปดของเธอเอง
“ว้ากกก”
“นี่มันอะไรกันวะเนี่ย!”
“ป...ปีศาจชัด ๆ”
หลายเสียงเริ่มโวยวายเมื่อรู้ว่าตนไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ พวกเขาถูกพลังเวทมนตร์ของฟาร์ชูลันกระแทกออกนอกอาณาเขตสนามนี้ไปทีละคนสองคน
“น้ำหน้าอย่างพวกนาย ไม่จำเป็นต้องใช้เวทใหญ่ ๆ หรอก แค่เวทพื้นฐานก็พอแล้ว” ฟาร์ชูลันกล่าวจบก็สะบัดมืออีกครั้ง กวาดพลังเวทกระแทกเอาร่างของชายฉกรรจ์ทั้งหมดกระเด็นออกไป เหลือไว้แต่เพียงชายผมดำหน้าตาหล่อเหลาที่เข้ามาทักทายเธอตอนแรกเพียงคนเดียว หญิงสาวจงใจปล่อยเขาคนนี้เอาไว้เพราะตั้งใจจะทำอะไรบางอย่างที่ทุกคนคาดไม่ถึง
“จ...เจ้าเป็นใครกันแน่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ความหวาดกลัวประดังเข้ามาอย่างหยุดไม่อยู่
“ฉันมีอะไรจะบอกนายแน่ะ” เธอกล่าวเสียงเรียบนิ่ง
“ฉันน่ะชอบที่จะเห็นพวกปากดีแบบนายหมอบราบคาบแก้วต่อหน้าฉันมากที่สุดเลยล่ะ” สิ้นสุดเสียงของฟาร์ชูลัน ร่างของชายหนุ่มตรงหน้าก็ถูกอะไรบางอย่างที่หนักหน่วงกดลงตรงพื้นจนไม่สามารถขยับไปไหนได้ ความรู้สึกมันเหมือนมีแรงโน้มถ่วงขนาดมหึมากดทับลงมา พื้นบริเวณนั้นกลายเป็นหลุมที่เกิดจากการจู่โจมครั้งนี้ทันที
“แค่เวทแรงโน้มถ่วงเบาะ ๆ แค่นี้ยังต้านทานไม่ได้ ฝีมือแค่นี้คิดจะเข้าร่วมชิงชัยตำแหน่งสูง ๆ งั้นเหรอ กลับไปดูดนมแม่ซะเถอะ” เธอสะบัดมือเหมือนต้องการปัดแมลงที่เกาะอยู่ปลายนิ้ว ร่างของชายหนุ่มตรงหน้าก็ลอยกระเด็นออกนอกเขตสนามไป เป็นอันสิ้นสุดการแข่งขันรอบแรก
“ผู้ชนะเลิศในกลุ่มที่แปดได้แก่ฟาร์ชูลัน!”
เสียงของผู้บรรยายดังกึกก้องจนผู้คนที่มองดูการต่อสู้ในกลุ่มอื่นต้องหันความสนใจมา
ชั่วขณะที่เริ่มต้นการประลองนั้น เวลาพึ่งจะผ่านไปเพียงนาทีเศษ ๆ แต่การแข่งขันของกลุ่มแปดกลับจบลงแล้ว นี่มันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไวที่สุดในประวัติศาสตร์!
ใบหน้าของฟาร์ชูลันไม่ได้ยี่หระต่อสายตาและน้ำเสียงที่ดังขึ้นอย่างฮือฮา เธอเดินออกจากสนามประลองนี้ด้วยความรู้สึกไม่ได้วิเศษวิโสอะไร บางทีอาจจะเป็นเพราะคู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไปจนไม่สามารถเรียกอารมณ์ตื่นเต้นจากเธอได้นั่นเอง
บนที่นั่งพิเศษของนักรบปราณระดับสูง เหนือขึ้นไปอีกจะเป็นที่นั่งของคนระดับเจ้าตำหนักซึ่งเรียงรายไปด้วยเก้าอี้นั่งอัจฉริยะทั้งหมดสี่ตัว และเจ้าตำหนักทั้งสี่คนกำลังมองดูการแข่งขันที่เกิดขึ้นบนจอมอนิเตอร์ ทันทีที่เห็นกลุ่มแปดจบการแข่งขันในเวลาเพียงหนึ่งนาทีกว่า ๆ ก็ทำให้เจ้าตำหนักคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เธอคนนั้นสินะที่บอกว่าเป็นแม่มด” ผู้พูดคือชายหนุ่มผมยาวสลวยสีเงิน เขาสวมชุดคลุมยาวสีเดียวกับเส้นผมคลุมไว้ทั่วทั้งร่างกาย มีใบหน้าที่หล่อเหลาและสง่างามประดุจชนชั้นสูง เขาคนนี้นับว่าเป็นหน้าเป็นตามากที่สุดแล้วในหมู่เจ้าตำหนักด้วยกัน
เจ้าตำหนักอัสนี บาลล์
ผู้มีรูปกายหล่อเหลาเสมือนเทพยดาจุติลงมาจากสรวงสวรรค์ เขาคือคนที่มีอารมณ์ขันมากที่สุดในหมู่เจ้าตำหนักด้วยกัน “ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ ซิลเฟร์?” บาลล์หันไปทางซิลเฟร์ ในยามปกติซิลเฟร์จะต้องพูดอะไรบางอย่างออกมาสักคำเมื่อได้เห็นฝีมือของรู้คกี้หน้าใหม่ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม แต่ในตอนนี้เขากลับไม่ส่งเสียงอะไรออกมาเลย นับว่าเป็นสิ่งที่ชวนให้รู้สึกแปลกใจเสียจริง ๆ
“ทายาทแห่งเอนด์เลส...คาดเดาไม่ถูกเลยว่าเวทมนตร์ที่ใช้ได้ตอนนี้มีทั้งหมดกี่แขนง” เจ้าตำหนักอัคคีฟาร์เชนกล่าวออกมาพลางทำหน้าคิดวิเคราะห์ตัวตนอีกฝ่าย
“อะไรนะ เอนด์เลส?” บาลล์ทวนคำที่เขาไม่เข้าใจ
ฟาร์เชนไม่ตอบกลับ ในใจเธอตอนนี้เต็มไปด้วยความว้าวุ่นที่ไม่สามารถหาจุดระบายได้
เมื่อสามสัปดาห์ก่อนหน้านี้เธอสามารถจับฟาร์ชูลันมาได้ก็จริง แต่มันก็มาจากกลอุบายบางอย่างที่ทำให้แม่มดคนนี้พลาดท่า และตอนนี้แม่มดคนที่ว่าก็กลายเป็นอิสระแล้ว การจะจับตัวมาอีกเห็นทีคงจะไม่ง่ายเป็นแน่ นี่เป็นปัญหาที่น่าหนักใจที่สุดสำหรับฟาร์เชนในช่วงนี้
แม่มดคนนี้แข็งแกร่งเกินไป...เธอซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ แม้กระทั่งฟาร์เชนก็ไม่อาจคำนวณได้ว่าแท้จริงแล้วก้นบึ้งของพลังเวทมนตร์ที่ฟาร์ชูลันแสดงออกมาจะไปสิ้นสุดที่ตรงจุดไหน
เธอได้แต่หวังว่าในการแข่งขันครั้งนี้จะมีปาฏิหาริย์บางอย่างที่ช่วยให้แม่มดสาวคนนี้ไม่ต้องกลายเป็นผู้ชนะเลิศ จะได้ไม่มีการกำหนดคู่ท้าชิงซึ่งนั่นน่าจะเป็นเธอแน่นอนถ้าหากว่ายัยแม่มดคนนี้เกิดเป็นแชมป์การแข่งขันขึ้นมาได้ กว่าจะถึงตอนนั้นจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวาง ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม
ระหว่างที่ฟาร์เชนพยายามใช้ความคิดอยู่นี้ ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้สายตาของซิลเฟร์ตลอดเวลา
ภายในแวดวงเจ้าตำหนักเองก็ดูจะมีเรื่องภายในอยู่อีกมากที่คนภายนอกไม่อาจล่วงรู้ได้เลย...