บทที่ 14 ห้ามตัดสินคนจากหน้าตานะ!
บทที่ 14 ห้ามตัดสินคนจากหน้าตานะ!
ดันเจี้ยนคือสถานที่ยอดฮิตในต่างโลกรองลงมาจากกิลนักผจญภัย แต่อย่าได้คิดเชียวว่ามันเป็นสถานที่ที่ดี นักผจญภัยมือใหม่จำนวนมากมักจะตกตายภายในดันเจี้ยน แม้ว่ามันจะเป็นเพียงดันเจี้ยนระดับต่ำเกรด F ให้คิดไว้ว่าดันเจี้ยน คือสถานที่คัดกรองความสามารถของนักผจญภัย ไม่ใช่ใครจะเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปได้ ถ้าไม่อยากตายไวก็ควรอยู่ห่างดันเจี้ยนเข้าไว้
แต่มนุษย์ก็คือมนุษย์ ความโลภย่อมมาก่อนชีวิตที่สุขสบายเรียบง่ายไปวัน ๆ ถึงจะรู้ว่าดันเจี้ยนเป็นสถานที่อันตราย และมีโอกาสตายสูงเสียดฟ้า กระนั้น มนุษย์เราต่างก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ดันเจี้ยนคือตัวทำเงินอันดับหนึ่งของโลก เพียงแค่แข็งแกร่ง ก็จะมีชีวิตที่สุขสบายไม่ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานกรรมกรไปวัน ๆ
เด็ก ๆ เกือบทุกคนบนโลกมักใฝ่ฝันว่าหนึ่ง ตนจะกลายเป็นผู้พิชิตดันเจี้ยน และกลายเป็นตำนาน แต่นั่นไม่ได้ง่ายเลย แค่การเป็นนักผจญภัยยังยากเย็นแสนเข็น และเมื่อได้เป็นนักผจญภัย กว่าจะเก่งพอเข้ากันเจี้ยนได้ กว่าจะผ่านแต่ละชั้นของดันเจี้ยนก็จำต้องมีปาร์ตี้ที่เชื่อถือได้ เพื่อน ๆ ที่คอยช่วยเหลือสนับสนุนกันและกัน
เท่านั้นยังไม่พอ การที่จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้พิชิตดันเจี้ยน นอกจากสิ่งจำเป็นที่กล่าวมา ยังต้องเก่งกาจเหนือใคร ๆ เพราะในทุก ๆ 5 ชั้น ของดันเจี้ยนจะมีสัตว์ประหลาดสุดแข็งแกร่งคอยคัดคนออกอีกที ผู้คนจำนวนมากเรียกมันว่า ‘บอส’ พวกมันแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อถ้าความสามารถส่วนตัวคุณไม่แข็งแกร่งพอก็อย่าได้ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ๆ นี้เด็ดขาด แม้ว่าคุณจะมีปาร์ตี้ที่เก่งกาจค่อยช่วยเหลือก็ตาม เนื่องจากผู้ที่เคยผ่านห้องบอสตนนั้น ๆ และขึ้นไปยังชั้นถัดไปแล้ว จะไม่สามารถเข้าไปท้าทายบอสตนนั้นได้เป็นครั้งที่สอง
การปีนดันเจี้ยนมันยากลำบาก แต่เมื่อวันที่คุณสามารถปีนขึ้นไปสูงขึ้น สูงขึ้น จนอยู่เหนือผู้คน จนได้กลายเป็นแนวหน้าฝ่าดันเจี้ยน บุกตะลุยไปยังชั้นที่ไม่มีใครเคยไปมาก่อน ผู้คนทั่วโลกจะให้ความเคารพนับถือ และเมื่อคุณคือคนที่พิชิตดันเจี้ยนได้ คุณก็จะกลายเป็นตำนานที่มีชีวิต คุณจะมีทั้ง ชื่อเสียง ความร่ำรวย และอาร์ติแฟคระดับเทพเจ้า แต่ทว่าแม้ผู้คนทั้งโลกจะรู้เรื่องนี้ แม้ว่านักผจญภัยจำนวนมากต่างตบเท้าเข้าดันเจี้ยนทุก ๆ วัน กระนั้นในปัจจุบันกลับมีดันเจี้ยนที่ถูกพิชิตไปเพียงไม่กี่แห่ง จากดันเจี้ยนจำนวนมากทั่วโลก และมีดันเจี้ยนถูกทิ้งร้างมากมายยิ่งกว่า เนื่องจากระดับความยากที่สูงเกินไปจนไม่มีใครสามารถฝ่าไปได้แม้แต่ชั้นแรก
และภายในอาณาเขตเมืองรีโอ ก็มีดันเจี้ยนอยู่ถึงสองแห่งด้วยกันคือดันเจี้ยนเกรด B เจ้าแห่งพงไพร และดันเจี้ยนเกรด D โบราณสถานที่ล่มสลาย
หลังจากผมออกจากกิลนักผจญภัย ก็ปั่นจักรยานตามทางที่มีอาได้บอกไว้ ดีที่ดันเจี้ยนอยู่ไม่ห่างจากเมืองมากนักและไม่ซับซ้อน ตอนนี้ผมเลยมาอยู่ด้านหน้าทางเข้าดันเจี้ยนเกรด D เกรดต่ำที่สุดในเมืองเพื่อพาผู้ชมไปเปิดหูเปิดตาในดันเจี้ยน ดันเจี้ยนนี้ ถ้าผมจำไม่ผิด มันถูกเรียกว่าโบราณสถานที่ล่มสลาย ที่นี่มีแผงลอยพ่อค้าอยู่หลายเจ้า และมีนักผจญภัยเดินไปมาอยู่ประปรายจนให้บรรยากาศเหมือนตลาดนัดยามกลางวัน บรรยากาศชื่นมื่น ผิดกับแบล็คกราวด์เบื้องหลังที่เป็นซากปรักหักพังของอารยธรรมแปลก ๆ
“เฮ้ ไอ้หนุ่ม” เสียงร้องทักจากผู้ชายในชุดเกราะ คอสตูมที่ยังกับหลุดออกมาจากเกม MMORPG สมัยเก่าดังขึ้นเบื้องหน้าในระยะประชิด “เจ้าพึ่งเคยมาดันเจี้ยนเป็นครั้งแรกใช่ป่ะ ข้าพาเจ้าขึ้นไปถึงห้องบอสชั้น 5 ได้ภายในวันเดียวเลยนะ สนใจรึเปล่า ข้าคิดราคาไม่แพงหรอก”
“คุณรู้ได้ไงว่าผมมาครั้งแรก” ภาวินเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“แน่นอนก็เจ้าดันยืนจ้องดันเจี้ยนอยู่นานแถมเอาแต่มองนู่นนี่ไปทั่ว แล้วว่าไง เจ้าสนใจให้ข้าพาลงดันไหมล่ะ เห็นแบบนี้ปาร์ตี้ข้าเก่งมากนะ เราอยู่ในชั้น 14 ดันเจี้ยนเจ้าแห่งพงไพรแล้ว”
“ไม่ล่ะ” ผมเดินผ่านหมอนั่นไปอย่างไม่สนใจ ผมรู้กลโกงของพวกเอ็งหรอกน่า แถวบ้านผมมีเยอะแยะ พวกหลอกลวงนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ สกิลการชักจูงแค่นี้ไปฝึกมาใหม่นะพี่ชาย ถึงจะพูดปฏิเสธไปหนึ่งคน แต่ในระหว่างที่ผมเดินตรงเข้าหาประตูทางเข้าดันเจี้ยน ก็มีหน้าใหม่เข้ามาเชิญชวนเป็นระยะ ๆ จนทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า คนหน้าตาแบบผมมันดูหลอกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ แน่นอนว่าผมตอบปฏิเสธไปหมดทุกคนนั่นแหละ
และก่อนที่ผมจะได้ก้าวเข้าไปในดันเจี้ยนอีกเพียงไม่กี่ก้าวก็โดนคู่หูนักผจญภัยอ้วนผอมโผล่ขึ้นมาดักหน้า ปิดทางเข้าเสียมิด “ไงเด็กใหม่ จะเข้าดันเจี้ยนได้ต้องจ่ายพวกเรามาก่อน 5 coin อิอิ” ชายหนุ่มร่างผอมซูบแบมือออกมาพร้อมกระดิกนิ้วท่าทางกวนXสุดๆ
“ใช่ ๆ อิอิ ค่าเข้าครั้งละ 5 coin จ่ายมาซะดี ๆ เจ้าเซ่อ” เจ้าอ้วนคู่หูส่งเสียงหัวเราะตลก ๆ ดังมาเป็นลูกคู่ ช่วงจังหวะการพูดของทั้งคู่พอเหมาะพอเจาะ ประหนึ่งสคริปเปิดตัวของลูกกระจ๊อกในหนังสมัยเก่า
อ่าต่างโลกก็มีสินะ พวกนักเลงปลายแถว ผมมองมือผอมแห้งที่ยื่นมาเบื้องหน้าแล้วก็กลอกตา 360 องศาใส่อย่างไม่มีปิดบัง นี่ดันเจี้ยนหรืออะไรฟะ แต่ก่อนที่ผมจะพูดปฏิเสธก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นมา
“อย่ารังแกหน้าใหม่นะ พวกนายอยากโดนกิลจับไปสอบวินัยนักผจญภัยรึไง ถึงมาเที่ยวไถเงินแบบนี้” จบคำร่างของชายหนุ่มหัวทองหน้าตาคมเข้มประหนึ่งเคนชิโร่เวอร์ชั่นฝรั่ง ก็โผล่ออกมาจากด้านในดันเจี้ยน และคว้าคอเสื้อของคู่หูอ้วนผอมไว้ในกำมือทั้งสองข้าง
“อึ๋ย คุณราฟ พวกข้าแค่พูดเล่นขำ ๆ เองน่า ฮะฮะ ใครมันจะไปกล้าเก็บเงินไอ้คนหน้าตาเอ๋อ ๆ แบบเจ้านี่กันเล่า”
“นะ...นั่นสิ อิอิ เราแค่ไม่อยากให้มันเข้าไปตายเปล่าเฉย ๆ เอง จะเข้าดันเจี้ยนต้องมีปาร์ตี้ พวกเราหวังดีต่อเจ้าเซ่อนะ อิอิ ปล่อยก่อน ปล่อยสิ!”
“ใช่ ๆ พวกเราเป็นพลเมืองดีช่วยเหลือหน้าใหม่!”
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังดิ้นรนอยู่ในมือของเคนชิโร่ ไม่ใช่สิ นายคนที่ชื่อราฟ ก็มีนักผจญภัยคนอื่น ๆ ปรากฏตัวออกมาจากภายในดันเจี้ยน เป็นหญิงสาวสองคนและชายหนุ่มอีก 3 ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นสมาชิกปาร์ตี้เดียวกับราฟ
“พี่ราฟปล่อยพวกเขาเถอะ ถึงพี่ชายอ้วนผอมจะหน้าตาแย่ชวนให้เข้าใจผิดว่าเป็นคนไม่ดี แต่พวกเขาเป็นคนดีนะ” เสียงใส ๆ ของเด็กหญิงวัยไม่น่าจะเกิน 15 ในชุดนักผจญภัยกระโปรงสั้นดังขึ้นมาจากเบื้องหลังราฟ “ตอนที่น้องเป็นหน้าใหม่ก็ได้พวกเขาช่วยไว้หลายเรื่องเลย ปล่อยพวกพี่เขาเถอะ พวกเราสายแล้วนะคะ เลยเวลานัดมานานโขแล้ว”
จากคำพูดของสาวน้อย มันทำให้ผมประหลาดใจจนต้องหันไปมองเจ้าอ้วนผอมอีกที จะว่าไปตั้งแต่เดินเข้ามาแถวดันเจี้ยนก็มีคนมาทักชวนเข้าปาร์ตี้หรือพาลงดันเป็นระยะ แต่ผมกลับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพวกเขาทักเพราะหวังดี เมื่อปาร์ตี้ของราฟโผล่มา ทุกคนก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลย หัวหน้าปาร์ตี้เขาแส่เรื่องชาวบ้านอีกแล้ว แถมต้องเป็นสถานะการณ์ที่เข้าใจผิดไปเองแน่ ๆ พวกเขาก็เลยทำการลากผู้นำปาร์ตี้ของตัวเองที่เข้มงวดเรื่องความยุติธรรม และชอบช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเกินพอดี ออกไปจากที่เกิดเหตุ มีผู้นำแบบนี้ก็ทำเอาปวดหัวอยู่บ่อย ๆ แต่ก็เพราะนิสัยชอบช่วยเหลือคน และรักความยุติธรรมของราฟ พวกเขาก็เลยติดตามสนับสนุนและเคารพราฟอย่างทุกวันนี้ไงล่ะ
“พวกเจ้าห้ามรังแกคนอ่อนแอนะ” ราฟที่โดนเพื่อนชายหิ้วปีกลากออกไป ไม่วายหันกลับมาตะโกนกำชับอีกรอบ
“พอเถอะราฟ สองคนนั้นเป็นคนดีจริง ๆ พวกเรารีบอยู่นะ”
“หวาโคตรอายเลย” พวกสาว ๆ รวมปาร์ตี้ก็พากันเดินก้มหน้างุด ๆ ไปตลอดทาง
พวกนั้นไปกันหมดแล้ว มาไวไปไวจริง ๆ ผมที่ยืนทำหน้าเซ่อ ไร้บทพูดมานานก็หันกลับไปถามเจ้าคู่หูอ้วนผอมอย่างสงสัย
“ถ้าอยากจะช่วย ทำไมพวกนายสองคนไม่บอกกันดี ๆ ล่ะ”
“ก็แหม มันเคยมีกรณีที่หาว่าพวกหน้าเก่า ๆ อย่างเราจุ้นจ้าน ยุ่งไม่เข้าเรื่อง พวกหน้าใหม่อีโก้สูง มักจะคิดว่าพวกเราดูแคลนความสามารถของเขาจนต้องช่วยพาลงดันไรงี้ รุ่นพี่อย่างพวกเราก็เลยต้องหามาตรการที่ไม่ระคายเคืองต่อศักดิ์ศรีนักผจญภัย และได้ประโยชน์ทั้งคนพาลงดัน และคนหน้าใหม่” เจ้าผอมที่โดนปล่อยคอเสื้อพูดขึ้นพลางยักไหล่ “คนที่ไม่เคยลงดันเจี้ยนไม่รู้หรอก ว่าข้างในนั้นมันคือนรกสำหรับคนโง่และคนอ่อนแอโดยแท้”
“เราเห็นเจ้าไม่สนใจปาร์ตี้กับใคร เลยต้องงัดท่าไม้ตายออกมาดักไว้ก่อน เพราะถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าเก่งกาจจนฝ่าดันเจี้ยนด้วยตัวคนเดียว ก็มีเพียงแค่เจ้าไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างคนพาลงดัน”
“แล้วท่าทางเจ้าก็ดูเซ่อ ๆ เหมือนข้อหลัง อิอิ เราไม่อยากเห็นใครตายโง่ในดันเจี้ยนหรอกนะ”
ทำไมกันทั้ง ๆ ที่พวกมันหวังดี และเป็นคนจิตใจดีแท้ ๆ แต่ผมดันรู้สึกว่าพวกมันกวนX อย่างไม่ทราบสาเหตุ จนแทบจะหลุดคำว่า ‘มองหน้าหาเรื่องอ่อ’ ออกไปซะแล้ว วันนี้ผมพึ่งได้เข้าใจ ที่คนเขาพูดกันว่า หน้าตาวอนหาเรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ ผมนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจเพื่อให้สมองโล่งขึ้น “ขอบใจพวกนายมาก ที่เป็นห่วงผม ผมไม่มีเงินจริง ๆ นั่นแหละ”
“งั้นเจ้าก็กลับไปได้แล้ว นักผจญภัยเกรด F เข้าไปคนเดียวไม่ได้หรอกน่า ภารกิจกิลที่หาเงินได้ ก็มีอีกเยอะแยะ รอเจ้ามีเงินจ้างคนพาลงดัน หรือมีเงินซื้อคู่มือการลงดันเจี้ยนแห่งนี้ก่อน ค่อยมาลองใหม่ก็ยังไม่สาย”
“ดีกว่ามาตายฟรีเป็นปุ๋ยดันเจี้ยน อิอิ”
“แต่ผมเป็นเกรด D”ผมพูดพร้อมชูบัตรกิลของตัวเองขึ้นมายืนยัน
“หา! เกรด D” ทั้งคู่ประสานเสียงกันออกมาอย่างไม่เชื่อหู แล้วเอียงหัวกระซิบคุยกันเสียงดัง
“แต่ข้าไม่เคยเห็นไอ้หน้าจืดนี่มาก่อนเลยวะ หรือว่าจะเคยเห็น แต่หน้ามันจืดเราเลยจำไม่ได้กันเจ้าอ้วน”
“ไม่ ๆ เราไม่เคยเห็นมันแน่นอน ข้าความจำดีนะ”
“หรือว่ามันจะมาจากเมืองอื่น”
“มีความเป็นไปได้”
“เดี๋ยวข้าจะลองถามดู”
“ผมพึ่งสมัครกิลเมื่อกี้” ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจ ดังขนาดนี้พวกเอ็งเรียกกระซิบหรือ
“ไอ้คนหลอกลวง! ไหนเมื่อกี้เจ้าบอกว่าจนไงเล่า”
“ใช่ ๆ ไอ้คนนิสัยไม่ดี เป็นนักผจญภัยเหมือนกันห้ามหลอกลวงกันนะ”
ท่าทางตกใจจนโอเวอร์ของพวกมัน ยิ่งดูยิ่งเหมือนลูกกระจ๊อกในหนังเข้าไปใหญ่
ไอ้สองหน่อนี่ใสซื่อกว่าที่คิดแฮะ
“ไม่ได้บอกว่าจน แต่บอกว่าตอนนี้ไม่มีเงิน เพราะลืมเอาเงินมา”
“โอ้! นายท่านผู้ร่ำรวย ให้พวกข้าพาลงดันเจี้ยนไหม พวกข้าพาไปได้ถึงชั้น 4 เลยนะ”
“ไว้จ่ายเงินเราพรุ่งนี้ก็ได้ อิอิ พวกเราเก่งนะ เดินจนทะลุหมด 4 ชั้นแล้วด้วยไม่มีซอกมุมไหนที่เราไม่รู้จัก”
"4 ชั้นแรกพวกเราคือเซียนเหนือเซียน"
"ใช่ ๆ อิอิ ไว้ใจเราได้"
อุ๊...จะเปลี่ยนจากหน้าใหม่เป็นนายท่านผู้ร่ำรวยไวไปไหมพวกเอ็ง! เมื่อกี้ผมยังโดนด่าว่าเป็นพวกหลอกลวงอยู่เลย ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ และพยักหน้าให้พวกมัน
“เอางั้นก็ได้ ผมแค่อยากลองไปเปิดหูเปิดตาในดันเฉย ๆ พวกนายชื่ออะไรล่ะผมชื่อภา”
"รับทราบนายท่าน พวกเรายินดีที่ได้ทำหน้าที่นี้ หุหุ ราคาค่าพาลงดันเจี้ยนเราคิดเพียงชั้นละ 50 coin เท่านั้น ถูกกว่าพวกเราไม่มีอีกแล้ว รับรองไม่มีผิดหวัง ข้าชื่อแดริล แต่ใคร ๆ ก็เรียกว่าเจ้าผอม”
“ข้าชื่อเดอนี่ ใครๆ ก็เรียกว่าเจ้าอ้วน”
“พวกเราคือ! คู่หูอ้วนผอมผู้โด่งดัง”
“เด็กปั้นของพวกเรากลายเป็นนักผจญภัยเกรดสูงกันหลายคนแล้ว แม่สาวน้อยปาร์ตี้คุณราฟก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“นายท่านวางใจได้ อนาคตนายท่านต้องได้เป็นเกรด S แน่ ๆ นอกจากแม่สาวน้อยแล้วก็มีอีกเด็กเราอีกนับร้อย...บลา ๆ ๆ”
“เออ ๆ ไป ๆ เข้าไปได้แล้วเลิกโม้” มัวแต่ฝอยความสำเร็จในการปั้นเด็กใหม่อยู่ได้ ตูรู้นะโว้ย ถ้าพวกเอ็งเทพจริงอย่างว่า คงไม่มีเวลาว่างมายืนป้วนเปี้ยนแถวหน้าดันเจี้ยนเกรด D แบบนี้หรอก
.........
ความรู้สึกเมื่อเดินผ่านประตูดันเจี้ยนเข้ามา มันช่างคล้ายกับตอนที่ตัวผมโดนวาร์ปมายังโลกใบนี้ ผมกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้น ตอนแรกผมนึกว่ามันจะมีแต่อะไรพัง ๆ ตามสภาพด้านนอกแต่ไม่ใช่เลย ทันทีที่ก้าวข้ามประตูเข้ามาภายในมันกลับดูเป็นระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อ กำแพงอิฐทอดยาวไปยังห้องโถง มีพืชไม้เลื้อยเกาะตามพนังคอยให้แสงสว่างจากใบเรืองแสง
“สวยใช่ไหมล่ะ อิอิ ถึงดันเจี้ยนจะอันตรายแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันถูกรังสรรค์โดยเหล่าเทพเจ้า เพื่อเป็นบททดสอบ”
“ตำนานเล่าว่า เมื่อพิชิตดันเจี้ยนสำเร็จจะได้รับอาร์ติแฟคระดับเทพเจ้า และรูปปั้นของคนผู้นั้นจะปรากฏอยู่ภายในหอเกียรติยศ กลายเป็นตำนานที่เล่าสืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน”
ระหว่างที่เดินไปผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ผมหยิบสนับมือที่พกไว้ในกระเป๋าเป้ออกมาสวม มันมีลักษณะคล้ายถุงมือหนัง ที่ด้านหลังมือมีแผ่นเหล็กติดหนามแหลมสามอัน นักมวยแบบผมก็ต้องใช้หมัดนี่แหละ ประสบการณ์ที่สู้กับพวกวิหารเทพแห่งความมืด ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่า การจะมีชีวิตอยู่ในต่างโลกต้องพกอาวุธติดตัวไว้เสมอ เพราะแค่เดินไปเดินมาอยู่ดี ๆ ก็อาจจะตายได้โดยไม่รู้ตัว เพื่อไม่ให้ขายหน้าต่อผู้ชม ผมต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้เสมอ หึหึ
“เดี๋ยวพอเดินไปถึงห้องโถง จะมีสัตว์ประหลาดโครงกระดูกอยู่เต็มไปหมด ระวังตัวด้วย” เจ้าผอมพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง และหยิบหน้าไม้ที่สะพายอยู่ด้านหลังขึ้นมาถือ เจ้าอ้วนกระชับโล่ใหญ่และดาบหนักในมือ จากที่เดินตามอยู่ด้านหลังสุด เจ้าอ้วนก็เดินแซงขึ้นมาด้านหน้า
ช่องแชทบนหัวทีมงานซังปรากฏขึ้นเป็นความคิดเห็นแรกในวันนี้
Say Pan : ปาร์ตี้มาตรฐานลงดันนี่หว่า มีตัวแทงค์ มีสายโจมตีไกล กับสายโจมตีระยะประชิด ฮ่า ๆ ๆ
Say Pan : รอดูฉากบู๊ ๆ
เมื่ออ่านข้อความของผู้ชม ผมเลยยกนิ้วโป้งและยักคิ้วให้กล้องไปทีหนึ่ง เหลือบตามองเจ้าสองคนนั้นพร้อมป้องปากกระซิบเสียงเบา“ก็จริง ดูเหมือนเจ้าสองหน่อนี่จะพึ่งพาได้มากกว่าที่คิด”
ไม่นานพวกเราก็เดินมาถึงปากทางเข้าห้องโถ่ง เจ้าอ้วนที่ทำตัวพลิ้วไม่สมกับน้ำหนักตัว พาผมลัดเลาะย่องไปหลบอยู่ใต้ซากเสาที่ถล่มแถวมุมห้อง และทำการปักโล่บังทาง
“นายท่านเพื่อความปลอดภัย เดี๋ยวพวกเราจะหลบอยู่หลังโล่ ข้าจะทำการยิงหน้าไม้ล่อมันเข้ามาสู้ทีละตัว”
“โอเคจัดไป” เรื่องนี้ผมไม่มีความเห็น ปล่อยให้พวกผู้ชำนาญเขาทำไป เสียเงินจ้างแล้วก็ต้องใช้ให้คุ้ม
สิ้นคำอนุมัติ เจ้าผอมนอนราบไปกับพื้นยกหน้าไม้ขึ้นเล็งผ่านช่องว่างขนาดจิ๋ว ท่าทางประหนึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการซุ่มยิง
ฟิ้ว ฉึก! เสียงลูกศรดอกแรกแหวกอากาศปักเข้าหัวไหล่ของโครงกระดูกถือดาบที่กำลังสู้อยู่กับนักผจญภัยอีกกลุ่มจนมันร่างสลายตายคาที่
“เฮ้ย! ใครแย่งโครงกระดูกตูวะ”
ตามมาด้วยดอกที่สอง
“ไอ้ฉิบหาย อย่าให้ตูเจอตัวนะ”
และดอกที่สาม
“ไอ้ลูก@#%$#^*&”
สถานการณ์ในลานกว้างห้องโถงวุ่นวายโกลาหล เสียงด่านักธนูดังขึ้นระงม ผมที่หลบอยู่ในซอกหลืบ ได้แต่เหล่ตามองเจ้าผอมที่แย่งลาสช็อตชาวบ้าน 3 รอบติด
“แฮะ ๆ พอดีชินมือไปหน่อย แต่อีกรอบข้าต้องลากมันมาได้แน่ ๆ”