บทที่ 12 : อพยพ
บทที่ 12 : อพยพ
ในความวุ่นวาย เสียงกรีดร้องตื่นตระหนกดังระงมไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ด้วยบัดนี้ทุกสายตาต่างก็เห็นภาพเดียวกันบนเส้นขอบฟ้าเหนือป่าอาเคนไกลๆ เป็นเงาร่างขนาดใหญ่ยักษ์สูงเกือบสิบห้าเมตรของโกเลมไฟ หนึ่งในกึ่งอสูรที่ถูกขนานนามว่าเป็นจอมทำลายล้าง
ด้วยรูปลักษณ์ที่ผิดเพี้ยนเป็นหินก้อนยักษ์ลุกท่วมไปด้วยไฟ ประกอบกันออกมาเป็นรูปร่างของสิ่งมีชีวิตที่ยืนด้วยสองขาตัวใหญ่มหึมาราวขุนเขา แม้จะดูงุ่มง่ามเชื่องช้าทว่านั่นก็เพียงแค่ตอนมองมันจากไกลๆ เท่านั้น ลำพังแค่ขนาดตัวและพละกำลังของมันก็มากพอจะเหยียบย่ำทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางให้กลายเป็นซากธุลี ไม่รวมเพลิงที่โหมท่วมตัว ซึ่งร้อนระอุเผาผลาญโลหะจนหลอมละหลายได้ในไม่กี่ชั่วอึดใจ การปรากฏตัวของมันเพียงหนึ่งตนก็มากพอจะถูกจัดระดับความอันตรายให้เป็นภัยพิบัติ
ทว่าไม่ใช่กับครั้งนี้เมื่อภัยพิบัติที่ว่านั้นไม่ได้มาเพียงหนึ่งหากแต่มากถึงหก ต่อให้เป็นเมืองกลางขนาดใหญ่มีระบบป้องกันตนเองแน่นหนา เต็มไปด้วยนักผจญภัยระดับสูงก็ยังไม่แน่ว่าจะรับมือภัยคุกคามระดับนี้ได้หรือไม่ อีกทั้งปัญหาแท้จริงก็ไม่ใช่เพียงเรื่องของโกเลมไฟอย่างเดียว หากแต่ยังมีอสูรชั้นเลวแต่อันตรายจำพวกกึ่งสัตว์อย่างหมาบลัดคลอว์ (ฺBlood Claw) อีกฝูงใหญ่นับได้มากกว่าครึ่งร้อย
เหตุที่พวกมันถูกเรียกเช่นนั้น เพราะรูปร่างดูคล้ายสุนัขไร้ขนตัวใหญ่ แต่ไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ เลยกับสุนัข พวกมันสามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็วโดยใช้เพียงสองขาหลัง ขณะเดียวกันก็มีกรงเล็บสีแดงคมกริบยาวเกินหนึ่งคืบบนขาหน้า กรงเล็บนี้เองที่มันใช้เพื่อปลิดชีพทำลายล้างชีวิตอื่น ไม่ใช่เพื่อกิน ทว่าเพียงฆ่าและทำลายทุกสิ่งตามสัญชาตญาณดิบเถื่อนที่แยกอสูรกับสัตว์ป่าดุร้ายออกจากกัน
พวกมันคืออสูร สิ่งที่คงอยู่เพียงเพื่อทำลาย ไม่มีถิ่นอาศัยแน่ชัด ไม่มีอายุขัยและไม่ปรากฏวิธีขยายพันธุ์แต่ไม่ว่ากำจัดไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยหมดไปจากโลก เป็นความผิดแผกแปลกแยกเกินกว่าจะเข้าใจ เหมือนโรคร้ายที่ไม่มีหนทางรักษาให้เด็ดขาด เป็นดั่งคำสาปของโลกใบนี้
ในชั่วขณะแห่งความวุ่นวายระหว่างที่กาลอวสานของหมู่บ้านเก่าแก่แห่งนี้กำลังใกล้เข้ามานั้นเอง เหล่านักผจญภัยผู้กล้าภายใต้สังกัดของสมาคมท้องถิ่นที่ว่างอยู่ ไม่ได้ออกไปทำภารกิจใดๆ นอกหมู่บ้านซึ่งรวมแล้วมีจำนวนอยู่เพียงไม่กี่สิบคน ตอนนี้ต่างก็กระจายกันออกไปเตรียมแผนรับมืออย่างฉุกละหุก ส่วนใหญ่ออกไปควบคุมฝูงชนและเตรียมการอพยพตามคำสั่งภารกิจ เพราะสมาคมประเมินสถานการณ์ออกมาแล้วว่าเทรียลรับมือไม่ไหว ขณะที่อีกส่วนหนึ่งปักหลักเตรียมปะทะทั้งๆ ที่ใจก็รู้ดีว่าทำอะไรมากไม่ได้ และอีกส่วนนั้นก็กำลังมุ่งหน้ากลับไปยังสมาคมเพื่อประชุมแผนในขั้นสุดท้าย
“นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง ไม่มีรายงานอะไรเลย อยู่ดีๆ ก็โผล่มาเฉยๆ เนี่ยนะ!!” สาวชาวช่างตัวเล็กสูงสองศอกครึ่ง คำรามลั่นผ่านริมฝีปากสีเขียวอ่อนใต้ผงเครื่องสำอางสีฟ้าด้วยน้ำเสียงห้าว กลางโถงของสมาคมนักผจญภัยซึ่งบัดนี้กำลังวุ่นวายกันไปหมด
ดวงตากลมโตหรี่เล็กลง ขมวดปลายคิ้วชนกันบนสันจมูกโด่งเด่นตามเอกลักษณ์เผ่าพันธุ์ช่าง แม้สีหน้าและแววตาจะดูดุดัน ทว่าใบหูรูปแหลมคล้ายหูเอลฟ์แต่กว้างและยาวกว่ามากกำลังตกลู่ไปด้านหลัง บ่งบอกความว่าความจริงนางก็กำลังหวาดกลัวเหมือนกับคนอื่นๆ เพียงแต่ยังมีภาระหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ของสมาคม เป็นคนที่จะต้องมีสติที่สุดหากเกิดเหตุฉุกเฉิน
นางคือคนที่คอยควบคุมภารกิจต่างๆ ที่สมาคมมอบให้กับนักผจญภัยรวมทั้งจัดสรรดูแลทรัพยากรและข้อมูลเพื่อลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บล้มตายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ให้เหลือน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็การันตีโอกาสสำเร็จให้มากที่สุดด้วยพร้อมๆ กัน แต่กลายเป็นว่าตอนนี้นางต้องมานั่งวิเคราะห์หาความเป็นไปได้ที่หมู่บ้านแห่งนี้จะรอดจากการถูกทำลายโดยใช้ทรัพยากรอันน้อยนิดที่มีอยู่ในมือแทน ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นงานยากเพราะมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก
“ลูกลองใช้คริสตัลส่งสัญญาณเรียกวัลเจอร์ดูอีกทีได้รึเปล่า? ไอน์” ในชั่วขณะของความตึงเครียดนั้นเอง ที่ชาวช่างตัวเล็กอีกคนซึ่งไว้หนวดเคราขาวหงอกดูชราไม่เข้ากับมัดกล้ามเนื้อบนร่างกาย เอ่ยกับ ‘ไอน์’ อย่างใจเย็น ผิดกับปกติที่มักจะตะคอกหยาบคายกับทุกคนโดยเฉพาะลูกค้าและนักผจญภัยที่มาใช้บริการโรงตีเหล็กของเขา ด้วยว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นลูกสาวสุดหวงแหน
ขณะเดียวกัน เขาก็พูดถึงชื่อของนักผจญภัยระดับอัญมณีเพียงคนเดียวของเทรียลที่ยังไม่ปลดประจำการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ค่อยโผล่หัวมาที่สมาคมบ่อยเท่าไหร่นัก ความจริงคือเป็นเวลากว่าครึ่งปีมาแล้วที่นักผจญภัยสมญาวัลเจอร์ผู้นี้ออกไปทำภารกิจเก็บสมุนไพรให้เอลีอา แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย จนคนในหมู่บ้านแทบจะลืมไปแล้วว่าพวกเขามีนักผจญภัยระดับไพลินอยู่
“ต่อให้เรียกหมอนั่นกลับมาได้ เขาก็คงกลับมาทันเก็บศพพวกเราพอดี หนูไม่มีทางฝากชะตาทั้งหมู่บ้านไว้กับเจ้าบ้านั่นเด็ดขาด…” ไอน์ ว่าพร้อมกับกำหมัดแน่นคล้ายจะโกรธเจ้าของชื่อที่ไม่อยู่ในเวลาที่ต้องการที่สุด
ทว่าคำตอบนั้นกลับทำให้ผู้เป็นบิดาแอบเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วคิดในใจ ‘ก็เห็นฝากไว้ทุกทีนี่นา..’
และดูเหมือนจะไม่ใช่แค่บิดาของนางเพียงคนเดียวที่คิดว่าชาวช่างสาวคนนี้มักจะพึ่งพากำลังของวัลเจอร์มากเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นความไว้ใจของนักวิเคราะห์กับนักผจญภัย มันมากเกินไปจนคนอื่นรู้สึกได้ว่ามีอะไรมากกว่านั้น โดยเฉพาะเมื่อเอลีอาที่บึ่งลงมาจากบันใดชั้นบน เห็นการวางแผนภารกิจแล้วเลือกที่จะเอ่ยกับเธอเป็นคนแรกด้วยการถามถึงวัลเจอร์
“นี่มันเรื่องอะไรกัน เธอเรียกวัลเจอร์แล้วใช่มั้ยจ้ะ ไอน์?” เอลีอาที่เพิ่งลงมาจากห้องพักเอ่ยกับนักวิเคราะห์สาวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก เรียกความสนใจทุกคนที่นั่งอยู่ ซึ่งความจริงก็มีเพียงแค่ไม่กี่คน ประกอบด้วย นักวิเคราะห์ไอน์ ช่างของสมาคมหรือพ่อของเธอ นักผจญภัยชั้นอาเกตกลุ่มนึง และพ่อครัวของสมาคมที่นั่งฟังอยู่เฉยๆ ไม่ยอมรีบอพยพไปเหมือนคนอื่นๆ
นักวิเคราะห์ตัวเล็กได้ยินคำถามของเอลฟ์สาว แต่เลือกที่จะไม่ตอบ เธอเพียงแค่นัดแนะลำดับขั้นตอนต่างๆ อย่างรวบรัดรวดเร็วด้วยรู้ว่าเวลาไม่คอยท่า
“ตอนนี้เราต้องมุ่งเป้าการอพยพเป็นอันดับหนึ่ง เด็ก คนเจ็บและผู้หญิงตามลำดับมาตรการทั่วไป ต้องมีหน่วยสำรวจมุ่งหน้าตะวันออกเพื่อเคลียร์เส้นทางไปถึงเมืองนอร์รัค เท่าที่ประเมินพวกเรามีเวลาเกินยี่สิบนาทีกว่าที่โกเลมจะมาถึงหมู่บ้าน แต่ปัญหาคือพวกบลัดคลอว์ ยังไงก็ต้องมีนักผจญภัยที่รับมือกับพวกมันได้อยู่ยันพวกมันเอาไว้ที่นี้จนกว่าการอพยพจะสมบูรณ์…” เธอเอ่ยแล้วถอนหายใจสิ้นหวัง “พวกเราไม่มีเวลาให้เตรียมตัวเลย ถ้ามีเวลามากกว่านี้เราอาจขอความช่วยเหลือจากสภากลางได้บ้าง พวกเราคงมีโอกาสจะรักษาหมู่บ้านนี้เอาไว้ได้บ้าง…”
ไอน์ตัดพ้อ เธอรู้ว่าหมู่บ้านนี้จบสิ้นแน่แล้ว สิ่งที่ทำสำคัญในตอนนี้คือการรักษาชีวิตชาวบ้านเอาไว้มากกว่า แต่แล้วระหว่างนั้นเองที่เสียงแผ่วเบาของพ่อครัวประจำสมาคมดังขึ้นตอนที่เขามองออกไปนอกประตูสมาคมที่เปิดกว้างเอาไว้
“ความช่วยเหลือที่ว่านั่น... หมายถึงแบบนั้นรึเปล่า”
สิ้นเสียงทุกสายตาก็หันมองออกไปด้านนอกพร้อมเพรียงกัน สิ่งที่เห็นคือภาพของนักผจญภัยเผ่าจิ้งจอกจากต่างแดนซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นกำลังยื่นมือสองข้างออกไปบนฟ้าร่ายคาถาลวงสัมผัส ลบเลือนหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านให้จางลง
ถึงแม้ไม่ได้ทำให้หายไปอย่างสิ้นเชิง เพียงแค่ทำให้ตัวตนและกลิ่นอายความหวาดกลัวของฝูงชนหายไป ให้พวกอสูรจับสัมผัสของหมู่บ้านได้ยากขึ้นเล็กน้อย ซื้อเวลาในการอพยพให้มากขึ้น ทว่าเพียงแค่นั้นก็เป็นการฝืนร่างกายตัวเองจนถึงขีดสุดแล้ว สังเกตได้จากเลือดกำเดาที่ไหลออกจากจมูก และมือที่สั่นเทาอยู่บนอากาศ
เป็นเวลาเดียวกันกับ ที่อวตารกระดูกมากมายเป็นร้อยเป็นพันปรากฏตัวขึ้นครอบคลุมทั่วบริเวณหมู่บ้านช่วยควบคุมฝูงชนที่ตื่นตระหนกให้อพยพออกจากหมู่บ้าน รวมทั้งเตรียมเป็นกำลังรบเมื่อพวกอสูรมาถึง
“แม่คะ ทุกคน” ตอนนั้นเองที่ครึ่งเอลฟ์สาวเอเดลและจระเข้หนุ่มเร่งเท้าเดินเข้ามาในโถงของสมาคม
“คุณเอเดล” นักวิเคราะห์สาวเอ่ย เมื่อได้เห็นกลุ่มนักผจญภัยเฉพาะกิจกลุ่มนี้
ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้มีนักผจญภัยระดับอัญมณีจากส่วนกลางอยู่กับตัวถึงสามคน ทว่าเท่าที่เธอรู้ทั้งหมดบาดเจ็บไม่อยู่ในฐานะที่จะปฏิบัติภารกิจได้ อีกทั้งเธอก็ไม่มีอำนาจสั่งงานกับนักผจญภัยเหล่านี้ด้วย การที่ได้เห็นทั้งหมดฝืนตัวเองเพื่อช่วยหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้เป็นจึงสิ่งที่ไม่อยู่ในความคาดหมาย แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีและที่สำคัญมันทำให้ตัวแปรในการคาดการณ์ของเธอเปลี่ยนไป ตอนนี้เธอมั่นใจมากว่าทุกคนจะอพยพออกไปได้อย่างปลอดภัย
“รีบไปเถอะค่ะ คุณคร๊อกคัสอัญเชิญเกวียนกระดูกออกมาหลายคัน น่าจะเพียงพอให้ทุกคนอพยพไปได้พร้อมกัน ฉันจะอยู่ยันที่นี้ซื้อเวลาเอาไว้ให้เอง แค่ฝูงบลัดคลอว์ฉันสู้ได้แน่” เอเดลเอ่ยเร่งให้ทุกคนในโถงรีบออกไป
ขณะเดียวกันคร๊อกคัสไม่สนใจ เพียงแค่เดินผ่านทุกคนมุ่งหน้าไปยังสถานพยาบาลเพื่อช่วยสหายของตนออกจากหมู่บ้านแห่งความวิปลาสนี้
“หมอทำหน้าที่ได้ดีแล้ว รีบอพยพออกจากนี้ไปพร้อมกับคนอื่นๆ เถอะ เราจะดูแลสหายของเราต่อเอง” เขาเอ่ยเสียงแหบแห้งสุขุมนิ่งเรียบกับแพทย์ที่ดูแลอยู่ในห้อง ก่อนจะอัญเชิญรถเข็นที่สร้างจากกระดูกออกมาเพิ่มแล้วอุ้มชายหนุ่มที่ยังนอนไม่ได้สติขึ้นมานั่ง เข็นออกไปยังโถงเดิมที่ทุกคนยังยืนคุยกันอยู่ไม่ยอมอพยพออกไป สร้างความแปลกใจให้แก่จระเข้หนุ่มเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกท่านถึงยังไม่ไปกันอีก...” จระเข้หนุ่มเอ่ยถามพร้อมกวาดสายตามองเหล่าคนรุ่นเก่าอย่างช่างเหล็กของสมาคม เอลฟ์สาวเอลีอา รวมไปถึงพ่อครัวที่เขารู้สึกคุ้นหน้าอย่างประหลาด ก่อนจะเริ่มเข้าใจคำตอบได้ด้วยตัวเอง
“เรื่องนั้น... คิดว่าพวกเราคงไม่ไปไหนหรอกพ่อหนุ่ม” ช่างเหล็กชราตัวเล็กแต่กำยำกล้ามใหญ่กอดอกพูดแทนทุกคน ด้วยรู้ว่าทั้งหมดคงจะเห็นตรงกับเขาเรื่องการย้ายออกจากบ้านที่เติบโตมาจนปูนนี้
แต่แล้วโดยไม่รอฟังเหตุผล สาวน้อยชาวช่างที่ได้ฟังคำพูดของพ่อตนเองดังนั้นก็พลันทุบกำปั้นลงกับโต๊ะไม้อย่างแรงก่อเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งโถงแห่งนี้ ก่อนจะตะเบงเสียงดุกร้าวกินเลือดกินเนื้อออกมา
“นี่มันไม่ใช่เวลามาทำตัวเป็นตาแก่หวงบ้าน รีบไปขึ้นเกวียนกันเดี๋ยวนี้เลย!!!” ไอน์ตวาดเสียงดังลั่นต่อหน้าบิดาของตัวเองด้วยอารมณ์ที่หนักหน่วง จริงจัง
เธอรู้จักความหัวดื้อของพวกคนแก่ในสมาคมนี้ดี และคาดเดาความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อยู่เสมอ นั่นคือเธอรู้ว่าพวกเขาจะต้องดึงดันไม่ยอมออกจากหมู่บ้านแน่ๆ เพราะแบบนั้นเธอถึงต้องมีแผนสำรองเป็นไม้ตายก้นหีบสำหรับรับมือกับความดื้อรั้นเหล่านี้เก็บเอาไว้หากว่าการใช้คำพูดไม่ได้ผล
ทว่าดูเหมือนคำขู่ของเธอจะไม่เป็นผล ถึงมันจะทำให้ช่างเหล็กแสดงท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบจะทรุดลงไปคุกเข่าเพราะถูกลูกสาวดุเข้า แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความคิดของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ส่วนคร๊อกคัสที่เห็นแบบนั้นก็เพียงแค่ยักไหล่แล้วเข็นรถเข็นพาสหายของตนออกไปยังรถเกวียนกระดูกเตรียมอพยพ โดยไม่สนใจว่าเหตุการณ์นี้จะคลี่คลายลงอย่างไร เพราะเขาทำสิ่งที่ทำได้ในฐานะนักผจญภัยแล้ว และเขาก็จะทำเพียงเท่านั้นด้วย หากจะถามว่าทำไม คำตอบมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก เขาเพียงแค่เกลียดหมูบ้านนี้ เกลียดด้วยอคติ เกลียดความคาดเดาไม่ได้และเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนับแต่ที่เดินผ่านเข้ามาในเขตพื้นที่ของเทรียล เป็นความเกลียดที่เกิดขึ้นโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันก่อตัวขึ้นในใจ
ขณะเดียวกันไอน์ที่รู้ว่าใช้คำพูดไม่ได้ผล จึงตั้งใจจะใช้ไม้ตายก้นหีบ บังคับกันด้วยวิธีการที่รุนแรงกว่า ซึ่งเธอวางแผนเอาไว้กันเหนียวถึงสองชั้น
ทว่าตอนนั้นเองที่กลุ่มคนที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นจู่ๆ ก็เดินขึ้นมาจากคุกใต้ดินของสมาคมที่ควรจะร้างไปนานแล้ว
“เธอพาพวกเขาออกจากที่นี่ไม่ได้หรอกสาวน้อย... เธอก็น่าจะรู้ว่าวางยาต่อหน้าพ่อครัวกับนักปรุงยาระดับนั้นไม่ได้ ส่วนลูกดอกยาสลบก็คงไม่รอดสายตาช่างทำอาวุธชั้นปรมาจารย์อย่างพ่อของเธอด้วย... พวกเขาไม่ได้อาลัยที่จะต้องเสียบ้าน แต่ไม่คิดจะเสียมันไปตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก... เทรียลก็ยังเป็นเทรียลว่ามั้ย” องค์ราชินีกล่าวพร้อมกับร้อยยิ้มขณะเดินนำกลุ่มองครักษ์มายังโถง สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ทุกสายตาในบริเวณนั้น
ยกเว้นก็เพียงแค่เอเดลกับเหล่านักผจญภัยจากสภาที่รู้อยู่นานแล้วว่านางอาสาเป็นคนนำภารกิจกักกันเฝ้าระวังฮอรัส ซึ่งเป็นภารกิจลับระดับหนึ่งด้วยตัวเอง ส่วนเอลฟ์สาวเอลีอาที่ได้เห็นใบหน้าขององค์ราชินีอีกครั้งถึงจะไม่แปลกใจนัก แต่ก็แสดงอาการขบฟันแน่น
ท่ามกลางมวลอารมณ์ที่หลากหลายแตกต่างกันไป องค์ราชินีดีดนิ้วใส่หน้าของชาวช่างสาวเบาๆ หนึ่งที ความสับสนจากการได้เห็นองค์ราชินีในสมาคมเล็กๆ ของตัวเองก็พลันหายไปกลายเป็นความตื่นตกใจที่เข้ามาแทนที่ความทรงจำซึ่งถูกทำให้ลืม
“ขอโทษทีนะเรื่องความทรงจำ แต่อย่างว่า... มันเป็นภารกิจลับ” อดีตมหาจอมเวทเอ่ยเบาๆ เมื่อคลายมนต์ลบเลือนความจำให้กับนักวิเคราะห์ ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับชาวช่างหนวดเฟิ้มที่ตอนนี้กำหมัดจ้องเขม็งมาที่นางราวกับเห็นสัตว์ร้าย “ไม่ได้เจอกันนาน ลูกโตกันหมดแล้ว... เราคงใช้มนต์กาลเวลามากไปจริงๆ อย่างที่เธอเตือนเลย กูลน์”