ตอนที่แล้วตอนที่ 5 นี่อาจจะเป็นเหตุผล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 7 ว่าแล้วเชียว

ตอนที่ 6 และแล้วก็ได้พบกัน


ตอนที่ 6 และแล้วก็ได้พบกัน

 

เมื่อผ่านพ้นพิธีศพอันสมเกียรติของประมุขเสวี่ยผู้ยิ่งใหญ่ เขาเป็นชายผู้กอบกู้ภาพลักษณ์ของสกุลเสวี่ยที่เคยมีชื่อเสียให้กลับขึ้นมาดีในรุ่นของตน อีกทั้งยังคุณความดีที่ปกป้องเมืองเอาไว้จนตัวตาย ทำให้มีคนจำนวนมากที่มาร่วมไว้ทุกข์แสดงความอาลัยกันอย่างเต็มใจ จนทำให้พิธีนี้ถูกบันทึกเอาไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ของโลกอวิ๋นเจวี้ยน

ทุกอย่างได้ผ่านพ้นมา ใช่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกาลเวลาและไหลไปอย่างที่มันควรจะเป็น ความเปลี่ยนแปลงก่อเกิดที่ละเล็ก ทีละน้อย

รวมถึงผ่านพ้นพิธีแต่งตั้งประมุขสกุลที่ค้านสายตาผู้ใหญ่หลายท่าน

แม้เสวี่ยหงเยว่นั้นจะเป็นสายเลือดโดยชอบธรรมแต่ด้วยวัยที่ยังน้อยนิดย่อมมีแต่คนกังวลใจ

ต่อให้เป็นเด็กอัจฉริยะมีอนาคตไกลเพียงใดหากต้องขึ้นเป็นประมุขสกุลโดยยังไม่ผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะ อีกทั้งยังยังมีวีรกรรมการก่อเรื่องงามหน้าเป็นฉนักติดหลังไว้อย่างโจ่งแจ้งอีกหลายคดี ...ใครมันจะไม่กังวลใจกัน

ในคราแรกผู้อาวุโสหลายท่านต่างลงความเห็นว่าจะรอให้เสวี่ยหงเยว่บรรลุนิติภาวะก่อนจึงแต่งตั้งขึ้นเป็นประมุขหากแต่ธรรมเนียมของโลกนี้ก็ไม่อาจให้บัลลังก์ประมุขสกุลใหญ่ว่างได้ถึงหกปี

และยิ่งเป็นสกุลเสวี่ยที่เคร่งเรื่องสายเลือดผู้สืบทอดยิ่งกว่าสิ่งใดจึงทำให้ผู้ครองบัลลังก์ต้องเป็นทายาทโดยชอบธรรมเท่านั้น ผู้อื่นไม่สามารถขึ้นครองสถานะบนบัลลังก์นี้แทนได้ ธรรมเนียมสกุลมันถูกระบุเป็นอย่างนั้น

สายเลือดแห่งเสวี่ยที่หลงเหลือมีเพียงเสวี่ยหงเยว่กับจงฉิงเจีย ซึ่งจงฉิงเจียถูกตัดสินว่าเป็นผู้หายสาบสูญไปแล้วจากความร่วมมือกันลับๆ ระหว่างเหมินจิ้นเค่อและหลานซิ่นหลิง

เสียงในที่ประชุมแตกเป็นหลายเสียง บ้างก็ว่าจะให้สนับสนุนเสวี่ยหงเยว่ขึ้นเป็นประมุขทันที บ้างก็ว่าควรละทิ้งพิธีกรรมเก่าและตั้งผู้สำเร็จราชการแทนเพราะวีรกรรมการปลุกชีพศพบิดาของเสวี่ยหงเยว่นั้นสร้างความหวาดวิตกให้กับผู้อาวุโสหลายคนเป็นอย่างมาก

แต่ทว่าคนที่เคยค้านการขึ้นเป็นประมุขของเสวี่ยหงเยว่กลับต้องยอมสงบ เพียงเพราะผู้สนับสนุนเบื้องหลังประมุขน้อยนั้นคืออาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิและนายทัพอัจฉริยะ ทั้งหลานซิ่นหลิงและเหมินจิ้นเค่อทั้งคู่ต่างออกตัวว่าเสวี่ยหงเยว่ในนี้นั้นเหมาะสมกับตำแหน่งแล้ว

เพราะความดีความชอบของเสวี่ยหงเยว่ที่สร้างไว้ในศึกสกุลจงแท้ๆ จึงทำให้ทหารที่ร่วมทัพหลายนายที่ได้เห็นพลังการสร้างม่านป้องกัน (โดยไม่รู้ตัว) การซัดพลังเปิดหน้าด่าน (โดยบังเอิญ) ต่างออกมาสนับสนุนถึงพลังความสามารถ ยกความดีความชอบเรื่องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าตลอดจนถึงการดำเนินแผนการจัดการปัญหาทั้งหมดแทนประมุขเสวี่ยที่เสียไปแล้วให้อีกด้วย

อีกทั้งหลานซิ่นหลิง ยังกล่าวกับที่ประชุมอีกด้วยว่าหากบัลลังก์สกุลเสวี่ยว่าง จะต้องให้สกุลรองอื่นๆ ขึ้นแท่นสามสกุลใหญ่แทน ซึ่งนั่นคงร้ายแรงยิ่งกว่าการมีเด็กเป็นประมุข

จึงทำให้ แม้บางคนจะไม่ใคร่พอใจ...แต่ก็ต้องยอมให้เสวี่ยหงเยว่ขึ้นเป็นประมุข

จบปัญหาภายในได้ในพริบตาเดียว สมกับเป็นหลานซิ่นหลิงชายผู้ได้ชื่อว่าแม้แต่ประมุขต่างสำนักยังกลัวเกรง

สิบสามปีผ่านพ้น ทุกอย่างที่เคยสูญเสียเรื่มกลับเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง

เวลาผ่านและสร้างประสบการณ์ อีกทั้งยังมีผู้ทรงวุฒิมากมายให้การประคับประครองสนับสนุน เสวี่ยหงเยว่ในวัยยี่สิบสามก็ได้กลายมาเป็นประมุขสกุลเสวี่ยอย่างเต็มตัว โดยไม่ค้านสายตาใคร หรือผู้ใดอีกต่อไป

แค่สายตาคนมองจากภาพลักษณ์ภายนอกล่ะนะ

เสียงจอกเหล้ากระแทกลงโต๊ะอย่างแรงจนของเหลวกระฉอกหกเลอะโต๊ะ เสวี่ยหงเยว่เคาะคางตัวเองอย่างหงุดหงิด จนคนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยได้แต่ถอนหายใจออกมา

“นายท่าน ท่านควรรักษากริยา” เสียงของหญิงสาวที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยเอ่ยเบาๆ ก่อนจะรินเหล้าแทนคืนที่หกไปแล้วให้ เสวี่ยหงเยว่ถอนหายใจยาวเพื่อระบายความคับแค้นใจจากการประชุมรวมผู้อาวุโสเช้านี้ มันทำให้เขาหงุดหงิดมากเสียจนเกือบปากระดาษใส่หน้าคนแก่

ความรู้สึกเหมือนประชุมรวมแผนก แล้วทีนี้ดันมีคนเสนออะไรไม่ได้ความแถมยังแถอย่างไร้เหตุผล นอกจากจะไม่โน้มน้าวจิตใจหัวหน้าแล้ว ยังทำให้คนร่วมประชุมประสาทเสีย

ปัญหาภายในมีเยอะแยะเต็มไปหมด เรื่องชวนปวดหัวหรือก็มีมาก เขาไม่ได้รับความรักความไว้ใจจากผู้ใหญ่บางส่วนเท่าไรจากการกระทำหลายอย่างตามอำเภอใจในวัยเด็ก ถ้าหากไม่มีคนที่ยังเอ็นดูคอยสนับสนุนเขาอยู่บ้าง มีหวังได้เหนื่อยมากกว่านี้

นี่มันความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นประธานบริษัทรุ่นสองที่พ่อทำผลงานไว้ดีมากแต่ตัวลูกดันเป็นเด็กดอกๆ ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง เลยไม่ได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการบริษัท ทำอะไรก็มีแต่คนคอยติคอยขัดแข้งขัดขา

อา...นี่มันบทละครช่องไหนเหรอ

“ช่างเถิด ฉิงเจีย ไม่มีใครจำข้าได้หรอก”

เสวี่ยหงเยว่ในตอนนี้เขาได้ลงมายังหมู่บ้านตีนเขาเสวี่ย หมู่บ้านเดียวกับที่เขาได้เข้ามาช่วยเหลือเมื่อสิบสามปีก่อนนั้นเอง แม้ปากจะบอกกับหลานซิ่นหลิง (ที่ตอนนี้นับวันจะทำตัวเป็นพ่อเขาแล้ว) ว่าตนมาสำรวจความเป็นอยู่และบำบัดทุกบ์บำรุงสุขให้ประชาชน

แต่ในความจริงแล้ว ก็แค่อยากหาเรื่องลงมาเที่ยวเล่น ดื่มสุรา ‘น้ำทิพย์เหมันต์’ อันเลื่องชื่อประจำหมู่บ้านนี้ต่างหาก

ชักเข้าใจบิดาตัวเองที่ชอบ 'งานสำรวจความเป็นอยู่ แล้วสิ

เพื่อป้องกันความเด่น เสวี่ยหงเยว่จึงปรับเปลี่ยนสีของเส้นผมตนเองให้เป็นสีดำ อีกทั้งยังสวมชุดปกติสามัญชนดูกระชับคล่องตัว ไม่ใช่เครื่องทรงสูงค่าราคาแรง อลังงานปัก เดินทีก็หน้าแทบทิ่มพื้นทีด้วยความหนักอย่างเวลาที่อยู่ในบ้านสกุลเสวี่ย

“ถึงจำไม่ได้ท่านก็ไม่ควรวางใจนะเจ้าคะ” หญิงสาวที่นั่งทานอาหารและรินเหล้าให้เสวี่ยหงเยว่จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากจงฉิงเจีย ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา

จงฉิงเจียในตอนนี้เองก็โตเป็นสาว เส้นผมยาวสีดำสนิทยาวสวยมัดรวบครึ่งหัวปักด้วยปิ่นดอกไม้เป็นทรงเรียบร้อย ใบหน้าอ่อนหวาน ดวงตากลมโตสีสนิม ที่ทำให้แม้นางจะอยู่ในชุดธรรมดาอย่างเช่นชาวบ้านก็ยังดูงดงามโดดเด่น

หลังจากที่เหมินจิ้นเค่อพาเธอหนีออกมาจากบ้านสกุล เขาก็ได้นำเธอลงมาเมืองด้านล่างเขาเสวี่ย ไปฝากไว้กับบ้านอุปการะเด็กเล็ก ให้การสนับสนุนเงินบริจาคเพื่อเป็นค่าเลี้ยงดูนาง อีกทั้งยังคอยเทียวไปเทียวมาเยี่ยมเยียนนำสิ่งของมาฝากจนกระทั่งจงฉิงเจียโตพอจะดูแลตัวเองและออกจากสถานรับเลี้ยงเด็กนั้นได้

ดูแลอย่างดีกว่าเสวี่ยหงเยว่ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเสียอีก

กว่าที่เสวี่ยหงเยว่รู้ว่านายทัพเหมินนั้นดูแลลูกพี่ลูกน้องตนอย่างดีเพียงไร ก็ปาเข้าไปตอนที่จงฉิงเจียโตเป็นสาวและมาเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง...ร้านที่เขากำลังนั่งดื่มนั่งกินอยู่ในเวลาปัจจุบันนี้นี่แหละ

ร้ายกว่านั้น ทุนการเปิดร้านอาหารแห่งนี้นายทัพเหมินก็เป็นผู้ช่วยออกเกินครึ่ง...

ท่านนายทัพคนนี้ร้ายใช่เล่น...บางทีถ้าอยู่ในโลกเก่าด้วยกันอาจจะเป็นสหายรสนิยมเดียวกันก็ได้นะ

“เอาเถิด ข้าแค่อยากพักผ่อนก่อนเริ่มงานในวันพรุ่ง หากเจ้าใจดีกับข้าก็โปรดทำเป็นมองข้ามไปได้หรือไม่” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถาม เสียงอ่อนลง ด้วยความเมาสุราจนลืมเก็ก ส่วนจงฉิงเจียก็ได้แต่ถอนใจบางๆ แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมาให้ทีท่าของชายผู้ซึ่งถูกขนานนามว่าเย็นชาราวกับหิมะบนยอดเขาเสวี่ย

จงฉิงเจียรู้ดีว่าเสวี่ยหงเยว่นั้นเป็นคนที่ไม่แสดงอารมณ์ทางใบหน้าโดยไม่จำเป็น แต่พอคุ้นเคยแล้วก็ไม่ใช่คนเย็นชา เธอรู้ข้อนี้ดีตั้งแต่เด็กแล้ว

ทว่าพอเหล้าเข้าปากทีไร ลูกพี่ลูกน้องของเธอคนนี้ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ดูร่าเริง พูดมาก และเป็นกันเอง

เธอชอบเวลาเสวี่ยหงเยว่เมาแบบนี้มากเพราะกริยาท่าทางการแสดงออกดูเป็นธรรมชาติราวกับนี่เป็นนิสัยที่แท้จริงของเขาเอง

เสวี่ยหงเยว่กรอกเหล้ารสดีทีเดียวจนหมดก่อนจะส่งจอกคืนจงฉิงเจีย ซึ่งเธอก็รับกลับคืนมาอย่างรู้หน้าที่

“อิ่มแล้วหรือเจ้าคะ?” เธอถามพร้อมกับรับเงินค่าอาหารและค่าเหล้ามา อันที่จริงอย่างเสวี่ยหงเยว่นั้นไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าอาหารด้วยซ้ำ เพราาะต่อให้ไม่ได้มองว่าเป็นประมุขบนเขานี้แล้วก็ยังเป็นลูกพี่ลูกน้องเจ้าของร้าน เสวี่ยงเยว่ย่อมมีสิทธ์ที่จะกินอยู่ร้านนี้โดยไม่ต้องจ่ายอะไรด้วยซ้ำ

แต่เสวี่ยหงเยว่กลับปฏิเสธทั้งการกินโดยไม่จ่ายหรือส่วนลด ซ้ำยังบอกอีกว่า

‘นี่เป็นของซื้อของขาย หากลดราคาของ หรือกดราคาต่ำกว่าราคาทุนให้คนซื้อด้วยเหตุผลที่ลำเอียง จะได้กำไรจากการค้าได้อย่างไร’

จงฉิงเจียแอบหัวเราะคิกให้กับลูกพี่ลูกน้องตนที่พูดอย่างรู้ดีราวกับว่าเจ้าตัวเคยทำงานขายมาก่อน

เขามองไปรอบร้านว่าตรงจุดที่เขานั่งเป็นว่าจุดที่ลูกค้าคนอื่นสามารถได้ยินบทสนทนได้ชัดหรือไม่ พอเห็นว่ามันอยู่ไกลมากพอ จึงเริ่มพูด “ข้ามาที่นี่เพราะว่าได้รับจดหมายคำร้องแจ้งเรื่องสัตว์ร้ายที่ป่าใกล้เมืองนี้...เจ้าเองก็ได้ยินข่าวนี้ใช่ไหม?”

เสวี่ยหงเยว่หัวเราะแห้ง ต่อให้ตอนนี้อู้งานอยู่ แต่เห็นอย่างนี้เหตุผลที่ลงมานี่ก็เพราะพรุ่งนี้เขาจะมาประชุมที่หมู่บ้านนี่แหละ

เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้น จงฉิงเจียพยักหน้าเล็กน้อย

“สองรายที่เสียชีวิต และสามรายที่เจ็บหนักเจ้าค่ะ” เธอเล่า เพราะเธอเองก็เห็นภาพของการแบกคนเจ็บคนตายมากับตา “มีรอยบาดแผลคล้ายฟันกับกรงเล็บขนาดใหญ่…”

หล่อนเงียบลงเล็กน้อย อ้าปากอยากจะพูดบางอย่างต่อ แต่เสวี่ยหงเยว่กลับพูดขึ้นมาก่อน

“นั่นนับเป็นสถานการณ์ที่แย่ มิน่าเล่า อัตราการขายส่งของป่าของที่นี่จึงลดลง”

ป่าตีนเขาเสวี่ยนั้น ขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์เป็นหนักหนา ทั้งพืชป่า ทั้งสัตว์ป่า ล้วนเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติที่น่าซื้อหาแก่พวกคนในเมืองใหญ่ที่ต้องการวัตถุดิบคุณภาพสูง แต่พอมีข่าวการพบสัตว์ร้าย จึงไม่มีใครกล้าเข้าป่าไปทำงานด้วยความกลัวอันตราย

การส่งออกของป่าหรือของแปรรูปคุณภาพดีเป็นหนึ่งในรายได้หลักของที่แห่งนี้ไม่แพ้การเกษตรกรรม หากยังปล่อยให้สัตว์ร้ายอาศัยอยู่ก็จะไม่มีใครไปเก็บพืชป่าหรือล่าสัตว์มาขาย รายได้ก็จะลดลงไปด้วย ปล่อยนานไปจนเรื้อรังเข้าเศรษฐกิจในเมืองจะต้องแย่ลง

หากเศรษฐกิจเมืองในสังกัดแย่ก็ย่อมร้อนไปถึงคนที่เป็นประมุข

หากของขายมีน้อยไม่เพียงพอกับความต้องการแบบนี้ ก็อยู่ในสภาวะขาดตลาด ให้ตายเถอะ! จิตใจคนเคยเป็นเซลส์ช่างเจ็บปวดนัก

“ถ้าซัพพลายเชนมีปัญหาตั้งแต่การหาวัตถุดิบแบบนี้ธุรกิจก็แย่น่ะสิ”

“ซับ…เอ?” เมื่อได้ยินศัพท์ประหลาดๆ ออกมาให้ได้ยินจงฉิงเจียก็ทำหน้างงใส่ เสวี่ยหงเยว่จึงโบกมือ คล้ายจะบอกว่าอย่าไปใส่ใจสิ่งที่ตนหลุดปากออกมา

โชคดี จงฉิงเจียคนงามนั้นมองโลกในแง่ดี และไม่เก็บคำพูดแปลกๆ ของเสวี่ยหงเยว่ไปใส่ใจ

“เช่นนั้นข้าขอตัวลา” เพื่อตัดจบการพูดจาแปลกๆ ของตน เสวี่ยหงเยว่จึงขอตัวไปสำรวจป่า

แต่ทว่าจงฉิงเจียที่ตอนแรกจะพูดบางอย่างก็รั้งไว้ เธอพูดเสียงเบาๆ

“...ข้าคิดว่ารอยเล็บกับรอยฟันของสัตว์ร้ายนั้น...ใหญ่กว่าสัตว์ปกติเจ้าค่ะ นายท่านโปรดระวังตัวด้วย”

แม่ย้อย...แล้วจะมาเตือนอะไรให้ขวัญหนีดีผ่อแบบนี้ละเจ๊!!

หวีดร้องในใจแต่ก็แสร้งตีสีหน้านิ่งไม่กังวล เขาเดินออกจากร้านไป โดยมีจงฉิงเจียออกมาส่ง

 

เสวี่ยหงเยว่ถอนหายใจ ระหว่างเดินอยู่ในตัวเมือง มองสองข้างทางที่เป็นตลาดแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ

ต่อให้เขามักจะชอบปลอมตัวหนีเที่ยวเวลาว่างงานสักแค่ไหน แต่ปกติเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนมาไหนมาคนเดียว ออกนอกเขตตำหนักเสวี่ยแต่ละครั้งต้องมีคนคุ้มกันฝีมือดีติดตามเสมอเพราะผู้อาวุโสหลายคนในยังฝังใจกับศึกสกุลจงอยู่

แต่งานลงมาสำรวจความเป็นอยู่เป็นงานที่เลี่ยงไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่ในส่วนของการดูแลประชาชนในสังกัด

นอกจากไม่ไว้ใจจอมก่อเรื่องเช่นเขาแล้ว พวกท่านทั้งหลายก็ไม่อยากให้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับประมุขที่ยังหาเมียมาแต่งไม่ได้อีกด้วย

แต่วันนี้เขาแอบเที่ยวโดยได้รับอนุญาต...เอ้ย มาสำรวจพื้นที่เป็นการส่วนบุคคลกับองครักษ์ประจำตัว

...อา...นายเหมินจิ้นเค่อนั่นแหละ

ซึ่งตอนนี้เขาใช้ให้นายทัพเหมินไปซื้อของ อ้างว่าจะเป็นเครื่องใช้และของฝากให้จงฉิงเจียพอซื้อเสร็จให้ตามไปเจอกันที่ร้าน

การที่เขาแอบหนีออกมาก่อนไม่ใช่ว่าเพราะลืมอะไรหรอกนะ แต่อยากจะให้นายทัพเหมินคนแสนดีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ได้มีเวลาอยู่กับลูกพี่ลูกน้องเขาก็แค่นั้น

นายทัพเหมินจิ้นเค่อน่ะถึงจะอายุสามสิบกว่าๆ แล้วแต่ก็ยังหล่อ หุ่นดีซิกแพ็คล่ำสาวน้อยสาวใหญ่ในสำนักต่างแอบปาดน้ำลายเป็นแถบๆ เป็นคนดี หน้าที่การงานก็ดี จงฉิงเจียเองก็เป็นสาวงามอ่อนหวานวัยยี่สิบสามก็เหมาะจะแต่งงานออกเรือนแล้วด้วย

ไม่ติดคุกแล้วนะ! ถึงที่นี่จะไม่มีกฎหมายพรากผู้เยาว์ก็เถอะ

เขามองออกว่าสองคนนั้นคิดต่อกันเช่นไร แต่...ดันหน้าบางทั้งคู่ มัวแต่เงอะงะ ไม่ได้ไม่ดีก็เอาแต่เขินใส่กัน คนมองอกจะแตกตายแทบอยากทำตัวเลียนแบบ meme now kiss จับหัวหันหน้าเข้าหากันให้มันรู้แล้วรู้รอด

เสวี่ยหงเยว่เดินอย่างอารมณ์ดีมาหยุดยังส่วนของท้ายหมู่บ้านใกล้กับป่า ดวงตาสีแดงสนิมค่อย ๆ ปิดลง ฟังเสียงของธารน้ำกำลังไหล สูดกลิ่นอายสายลมที่พัดพาความหอมของดอกไม้ป่าให้ลอยอบอวลจางๆ จนเต็มปอด ธรรมชาติที่แสนอุดมสมบูรณ์สวยงาม ไม่ว่าจะมาเยือนสักกี่ครั้งก็ทำให้ชายที่อดีตชาติเติบโตมาในป่าคอนกรีตเช่นเขารู้สึกประทับใจได้ทุกครั้ง

เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านพ่อถึงชอบมาที่นี่ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านพ่อถึงอยากมากับเขา

ถึงแม้ครั้งแรกที่จะมาด้วยกันคือตอนมีศึกสู้รบ ถึงแม้จะไม่ได้มีโอกาสได้มาด้วยกันอีกเป็นครั้งที่สอง

แต่มันก็เป็นสถานที่ในความทรงจำ ที่เจ็บปวดและแสนงดงาม

ท่านพ่อขอรับ ข้าเองก็รักสถานที่แห่งนี้ ไม่แพ้ท่านเลย

“ท่านตรงนั้น ระวัง!!” เสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้นมา และทำให้เสวี่ยหงเยว่รีบหันไปมองตามต้นเสียง

เขาเห็นร่างเล็กอันอวบอั๋น ผิวนวลเนียนสีน้ำตาลเข้มที่อาจจะมีขนปกคลุมเยอะไปเสียหน่อยแต่ก็ไม่ปิดซ่อนความน่ารักได้ เธอคนนั้นวิ่งเต็มฝีเท้าตรงมาทางเสวี่ยหงเย่ว พร้อมกับโดดพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของชายหนุ่มเสียเต็มรัก...เต็มรักมากชนิดจุกจนพูดไม่ออก

เพราะเธอนั้น ช่างมีน้ำหนักเยอะเกินกว่าที่เสวี่ยหงเยว่คาด

คิดว่าคำบรรยายข้างบนคงเหมือนสาวน้อยผิวแทนสุดอวบอึ๋มวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดหรือ

ไม่ใช่หรอก

ที่อยู่ในอ้อมแขนเขานั้น…คือลูกหมูตัวกลมอ้วนฉุทำตาแป๋วอ้อนอยู่ต่างหาก!

“พี่ชาย ไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ” พอได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของเด็ก พูด ‘คีย์เวิร์ด’ สำคัญสวิตซ์รักเด็กของเสวี่ยหงเยว่ก็เปิดพ่างทันที

เสวี่ยหงเยว่ก็รีบหันหน้าไป เก็กหน้านิ่งแม้จะดูบิดเบี้ยวประหลาดไปบ้าง มุมปากของเขากำลังกระตุกรัวเพราะพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้ม! การถูกเรียกว่าพี่ชายน่ะ มันเป็นความฝันสูงสุดของคนรักเด็กเลยนะ!

เมื่อมองไปหาเจ้าของเสียงที่เรียกตนนั้น เสวี่ยหงเยว่รู้สึกเหมือนมีพระอาทิตย์เปล่งแสงจ้าสาดใส่หน้า เด็กผู้ชายเส้นผมสีดำยาวมัดเป็นหางม้าสูง ดวงตาสีทองกลมโตสดใส รูปร่างเล็กดูเพรียวแต่ก็ไม่ผอมแห้ง อีกทั้งยังมีออร่าความหน้าตาดีที่เปล่งประกายออกมาจนเขาแทบตาบอด

เป็นรอยยิ้มที่ดูคุ้นๆ อยู่ไม่ใช่น้อยเลย

“ข้าต้องขออภัยท่านจริงๆ เด็กคนนี้หลุดมาจากกรง เขาได้ทำให้พี่ชายบาดเจ็บหรือไม่?” เด็กชายคนนั้นวิ่งมาหยุดที่หน้าของเสวี่ยหงเยว่ สีหน้าดูเป็นห่วงเป็นใยเพราะเห็นว่าถูกหมูป่าพุ่งชนอย่างแรง

เสวี่ยหงเยว่สูดลมหายใจยื่นลูกหมูป่าคืนเจ้าของ ลอบสังเกตุคู่สนทนา ดูจากส่วนสูงที่เลยบ่าเขามาเพียงเล็กน้อย ก็ตัดสินใจเอาได้ ว่าอายุคงไม่เกินสิบห้าปีเป็นแน่

เด็กหน้าตาดีพูดจาสุภาพ โคตรน่ารักเลยครับคุณ!

ถึงแม้เขาจะไม่มีอำนาจติดต่อเทพแบบสกุลซุนแต่ก็อยากกู่ร้องขอบคุณสวรรค์ หลังจากที่จงฉิงเจียออกจากบ้านสกุลเสวี่ย เขาก็แทบไม่เจอเด็กน่ารัก ยิ้มตรงสเปค มาฮีลลิ่งจิตใจอีกเลย

“พี่ชาย ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า อ้ะ! ขออนุญาตนะขอรับ” ว่าแล้วไม่ว่าเปล่า เอื้อมมือไปแตะตรงที่ถูกหมูป่าชนหากแต่เสวี่ยหงเยว่กลับรีบถอยหลบมือน้อย ๆ นั้นไปด้วยความเคยชินจากการวางมาดเป็นคนหวงตัว สร้างความตกอกตกใจให้กับเด็กชายคนนั้นเป็นอย่างมาก

เขาสีหน้าสลดลงรีบหดมือกลับเข้าไปกอดเจ้าลูกหมูป่าตัวนั้น

“ข้าต้องขออภัยที่ล่วงเกินขอรับ” สีหน้าราวกับหมาน้อยถูกดุเล่นทำเอาคนมองดิ้นพรวดๆ อยู่ในใจ

จะให้เด็กน้อยทำหน้าเศร้าคงไม่ดี ใจจริงนี่แทบอยากพุ่งไปลูบหัวปลอบแทบแย่ แต่แบบนั้นมีหวังได้โดนมองว่าเป็นโรคจิต เขาเลยได้แต่กระแอม ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ข้าเพียงแค่ตกใจ เจ้าอย่าถือสาอะไรข้าเลย” มองสีหน้าหงอๆ นั้นแล้วใจก็อ่อนลงยวบ เอ่ยพูดออกมาด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมคล้ายจะปลอบใจ

สภาพผมดำชุดชาวบ้านไม่น่าจะมีใครจำได้ว่านี่คือประมุขเสวี่ยหงเยว่ เขาไม่จำเป็นต้องเก็กเป็นคนเย็นชาให้ใครเห็น...แต่น่าเสียดาย ผลพวงจากการทำหน้านิ่งมาตลอดยี่สิบกว่าปีของเขา มันทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าชินชากับการไม่แสดงอารมณ์ไปเสียแล้ว

พอได้ยินแบบนั้น เจ้าลูกหมาน้อยหน้าซึมก็เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มกว้าง ๆ อย่างร่าเริงและโล่งใจที่ไม่ได้ถูกดุ

“โล่งใจไปทีขอรับ”

“ก่อนที่จะห่วงใยข้า...ห่วงตัวเจ้าก่อนเถิด เหตุใดเด็กน้อยเช่นเจ้าจึงมาเล่นตัวคนเดียวที่ชายป่า ไม่รู้หรือว่ามันอันตราย” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถาม เขารู้สึกเหนื่อย ความยับยั้งชั่งใจกับการหวีดร้องกำลังตบตีกันอย่างหนัก

เด็กน้อยคนนั้นทำหน้าคล้ายอยากกล่าวอะไรแต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่อ้าปาก เขาร้องด้วยความตกใจเพราะเจ้าหมูตัวน้อยที่อุ้มอยู่นั้นมันดิ้นอย่างแรงจนหลุดออกจากอ้อมแขน พร้อมกับที่วิ่งพุ่งเข้าไปในป่าอย่างไวเท่าที่กีบเท้าหมูอันน้อยๆ ของมันจะไวได้

“เสี่ยวจู!!” เด็กคนนั้นร้อง แล้วผลีผลามวิ่งตามเจ้าหมูน้อยไป

“รอ-!!” เสวี่ยหงเยว่จะร้องห้ามบอกว่าป่าตอนนี้มันอันตรายก็ไม่ทันเสียแล้ว ทั้งคนทั้งหมูหายวับไปในเข้าไปในป่าเรียบร้อย เสียงหญ้าสวบสาบของการวิ่งดังทิ้งห่างไปเรื่อยๆ เขาจึงต้องตัดสินใจวิ่งตามเจ้าเสี่ยวจูและเจ้าของเสี่ยวจูนั้นไปก่อนที่จะห่างจากหมู่บ้านไปไกลกว่านี้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด