ตอนที่ 12 ความลับสุดยอด...
ตอนที่ 12
ความลับสุดยอด...
แม้จะเพิ่งผ่านสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานมา แต่เคนเซย์กลับรู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในออฟฟิศเช้าวันนี้กลับดูละมุนละไมอย่างแปลกแปร่ง กลิ่นของพายเบคอนที่เหมือนเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ โชยฟุ้งทั่วห้อง คลุกเคล้ากับกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นหลายแก้ว แต่ดูแล้วอะไรก็ไม่มากเท่ากลิ่นอายความโรแมนติกอันน่าพิศวงที่พุ่งออกมาจากคู่ที่กัดกันเป็นประจำ
พี่เฮคเตอร์ยังคงปิดตาไว้ทั้งสองข้างเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ผ่านมา เขานั่งอยู่โต๊ะทำงานของตัวเอง โดยมีคุณโซอีที่ลากเก้าอี้อีกตัวไปนั่งอยู่ข้างๆ ไม่มีคำพูดจิกกัดชวนสะดุ้ง ไม่มีเสียงที่คอยถกเถียงกันอีกแล้ว ทั้งสองกินพายไปชวนคุยกันไปเรื่อยเปื่อยด้วยน้ำเสียงที่เบาและนุ่มนวลกว่าปกติที่ผ่านมา
ที่โต๊ะหน้าโซฟายังมีพายเบคอนเหลือพอสำหรับทุกคน เอ็ดจังกับพี่ชาเกลก็นั่งเงียบๆ กินพายไปกดมือถือกับแท็บเล็ตของตัวเองกันอยู่ตรงนั้น ข้อดีนับตั้งแต่การมีคุณโซอีมาที่หน่วยคือพวกเขามีขนมของว่างให้รับประทานกันตลอดเวลา
“สองคนนั้นยังไงกันน่ะ เกิดอะไรขึ้นผมตกข่าวอะไรไปรึเปล่า” เคนเซย์ตรงดิ่งไปหาพรรคพวกที่โซฟา พยักพเยิดหน้าไปที่อดีตคู่กัดซึ่งวันนี้ทำตัวแปลกๆ แล้วพูดขึ้นแผ่วเบาแทบเป็นเสียงกระซิบ
“ไม่รู้เหมือนกัน เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ตอนมาถึงแล้ว เมื่อวานที่เจ้าเฮคเตอร์หยุดงานไปวันนึงต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ” เอ็ดเวิร์ดจางเป็นคนตอบกลับด้วยเสียงกระซิบเช่นกัน
“เฮคเตอร์ตาเจ็บอยู่ คุณโซอีอาจจะขอสงบศึกชั่วคราวก็ได้นะ” หนนี้เป็นชาเกลที่ตอบด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดา
“ให้ตายเถอะ เหม็นความรักจัง ผมเองก็อยากมีใครสักคนแบบนี้บ้างเหมือนกันนะ”
เคนเซย์เอนหลังพิงโซฟาหงายใบหน้าขึ้นแผ่ไปตามพนักผิงที่สูงแค่ไหล่ เสียงบ่นยานคางนั้นเรียกความสนใจของคนสองคนที่ทำตัวเหมือนมีกันแค่สองคนในโลกให้หันหน้ามา
“พายไม่ถูกปากเหรอคะ” โซอีเอียงคอถามอย่างงุนงงเมื่อเห็นทุกคนจ้องมองมา
สามหนุ่มสามรุ่นอายุได้แต่ทำตาปริบๆ อันที่จริงพวกเขาก็ไม่ได้พูดกันเบาขนาดนั้น หากถามแบบนี้กลับมาแสดงว่าโซอีกับเฮคเตอร์ไม่ได้สนใจฟังพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
“พวกพี่เป็นแฟนกันแล้วเหรอครับ ทำตัวกันแปลกๆ นะเนี่ยรู้ตัวรึเปล่า” เคนเซย์ไม่สนใจเรื่องพาย เขาอยากรู้เรื่องนี้มากกว่าแย่แล้ว
“หา...นายพูดถึงอะไรเนี่ยเคนเซย์ พวกเราทำตัวแปลกๆ ตรงไหน” เฮคเตอร์หมุนเก้าอี้กลับมาตอบ และมันยิ่งทำให้ทั้งคู่น่าสงสัยมากขึ้นไปอีก
“ก็เนี่ยแหละแปลกที่สุดแล้ว ปกติพวกพี่คุยกันดีๆ ได้เกินสามประโยคที่ไหนกันล่ะ”
“เข้าใจผิดกันหมดแล้วค่ะ พวกเราไม่ได้เป็นแฟนกัน เฮคเตอร์แค่บอกว่าจะอยู่กับฉันจนแก่ตายด้วยกันเท่านั้นเอง”
หนนี้เป็นโซอีที่ตอบกลับ และนั่นเรียกสีหน้าสะพรึงให้กับผู้ฟังทั้งสามยิ่งกว่าเดิม อันที่จริง...เฮคเตอร์เองก็แอบสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน
“เดี๋ยวสิพวกพี่... นั่นมันยิ่งกว่าแฟนอีกไม่ใช่รึไง”
“หืม...ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย เฮคเตอร์แค่บอกแบบนั้นแล้วก็นอนกอดฉันไว้ทั้งคืน หลังจากนั้นก็... อ๊ะ”
เฮคเตอร์ปิดตาไว้จึงไม่ทันได้ตั้งรับ รู้ตัวอีกทีข้อมือของเขาก็มีกุญแจมือล็อกไว้ พร้อมกับเปิดระบบต้านทานพลังวิญญาณเป็นที่เรียบร้อยด้วยฝีมือของชาเกล ท่านรองของหน่วยเดินตรงเข้ามาแตะที่หัวจนชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันไปหาต้นตอที่ทำให้เขาถูกจับตัว
“นี่เธอ! อย่าพูดอะไรชวนให้คนอื่นเข้าใจผิดได้มั้ย!”
แต่โซอีไม่รับมุกเฮคเตอร์เลยสักนิด เธอเอาสองมือปิดหน้า ตอบเสียงเศร้าที่ทำเอาความผิดเฮคเตอร์ดูหนักหน่วงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“ฉันพยายามดิ้นหนีแล้วแต่ก็สู้แรงของเขาไม่ได้เลยค่ะคุณเอ็ด”
“แก...เบื่อบ้านพักจนอยากเข้าไปนอนในคุกแทนแล้วสินะ ไอ้เด็กบ้า!”
“เดี๋ยววว เดี๋ยวก่อนเอ็ดจัง! ทุกคนเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว! ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นนะ!”
“คืนก่อนนอนกอดฉันแน่นขนาดนั้น เมื่อวานก็ไม่ยอมลุกขึ้นจากเตียงให้ฉันทำ............ให้ทั้งวันเลย แล้วนายยังบอกว่าไม่มีอะไรเหรอเฮคเตอร์”
“วันนี้ฉันต้องสั่งสอนนายเรื่องความรับผิดชอบแล้ว!”
“ม่ายยย หยุดนะเอ็ดจัง ผมผิดไปแล้วววว”
เฮคเตอร์ไหลลงจากเก้าลงไปที่พื้นก่อนจะเอามือปิดหูสองข้างดิ้นทุรนทุรายไปมา โซอีมองตามอย่างตกอกตกใจไม่น้อยเพราะนึกว่าเกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้น แต่เมื่อหันไปมองชาเกลกับเคนเซย์ที่หันไปตักพายใส่จานจิบกาแฟกันต่อแล้ว หญิงสาวตัวเล็กก็เข้าใจได้ว่านี่คงเป็นเรื่องปกติ แต่เฮคเตอร์ที่ยังบาดเจ็บอยู่ดูทรมานมากเลยเนี่ยสิ จะไม่เป็นไรแน่หรือ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมเฮคเตอร์เป็นแบบนั้น” โซอีเดินไปที่โซฟาแล้วถามชาเกลขึ้น
“พลังวิญญาณของท่านรองน่ะ ถ้าแปะพลังที่ตัวใครไว้ เอ็ดจังสามารถส่งเสียงเข้าไปในหัวของคนคนนั้นได้โดยตรงแบบไม่ต้องพูดออกมา อันนั้นคือการสื่อสารปกติ แต่ลองนึกว่ามีใครมาทำเสียงอะไรบางอย่างที่เราไม่ชอบอย่างเสียงโฟม เสียงลูกโป่งเสียดสีกันแบบนั้นข้างหูตลอดเวลานานๆ โดยที่หนีไม่ได้ดูสิ...นี่แหละ เอ็ดจังถึงได้น่ากลัวที่สุดในหน่วยแล้ว อย่าไปทำอะไรให้ท่านรองของเราโกรธเชียวนะครับ”
ฟังที่ชาเกลตอบแล้วโซอีก็หันไปมองเฮคเตอร์อย่างนึกสงสาร ถึงจะเห็นใจก็เถอะ แต่เธอก็แอบหัวเราะสมน้ำหน้าเขาเช่นกัน
“เฮคเตอร์ยังบาดเจ็บอยู่ พอแค่นี้ก่อนเถอะนะคะ เขาแค่กอดปลอบฉันตอนเสียขวัญหลังกลับมาจากที่นั่นเท่านั้นเองค่ะ เมื่อวานฉันก็เลยดูแลเขาที่ยังเจ็บตัวจนต้องนอนพัก หาข้าวหาน้ำหายาให้กินช่วยหยอดตาเท่านั้นเองค่ะ”
เอ็ดเวิร์ดจางหยุดการใช้พลังแล้วหันมาอมยิ้มกับโซอี อันที่จริงเขาก็พอรู้อยู่แล้ว แค่นานๆ ทีอยากจะแกล้งเจ้าเด็กแสบขึ้นมาเท่านั้น
ในตอนนั้นเอง เสียงประตูห้องเปิดออกพร้อมกับหัวหน้าหน่วยเคซีโร่ที่มาถึง
“มากันครบแล้วสินะ อีกสักพักท่านผู้บัญชาการสูงสุดจะมาประชุมด้วยเตรียมตัวไว้ แล้วนั่น...เป็นอะไรไปเฮคเตอร์ ทำไมไปนอนอยู่ตรงนั้น”
“พี่เฮคเตอร์แกล้งคุณโซอี เอ็ดจังเลยจัดการให้” เป็นเคนเซย์ที่รีบตอบขึ้นมา
“อ่อ...งั้นจัดการต่อเลยคุณเอ็ด”
เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นทั้งห้องรวมถึงโซอี แต่แค่นี้ก็สงสารคนเจ็บแย่แล้วเธอจึงเดินไปขอให้ปล่อยเฮคเตอร์เสียที โซอีพาคนถูกรุมแกล้งกลับไปนั่งบนเก้าอี้ทำงานที่โต๊ะของเขาเอง จัดแจงซับเหงื่อที่แตกพลั่กให้ด้วยอย่างเบามือ มือของเฮคเตอร์ยังสั่นเกร็งนิดๆ ดูท่า...พลังการลงโทษแบบนี้ของคุณเอ็ดเวิร์ดน่าจะร้ายกาจสมกับที่พวกเด็กๆ ในหน่วยกลัวอย่างแท้จริง
“ขอโทษที่แกล้งนะ ฉันไม่นึกว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้”
“ฉันได้ยินเสียงเธอหัวเราะ” เฮคเตอร์ควานหามือโซอีมากุมไว้แล้วอมยิ้ม “แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”
เฮคเตอร์ปิดตาไว้จึงทำให้เขาไม่ได้เห็นสิ่งที่คนอื่นกำลังเห็น มันคือท่าทีเขินอายจนหน้าแดงเป็นสาวน้อยของโซอีนั่นเอง
อีกฟากหนึ่งของห้อง เมื่อฟอแกนด์เดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ท่านรองของหน่วยก็ตามไปถามข้อมูลสำคัญอีกอย่างเช่นกัน
“คนร้ายที่จับมาเป็นยังไงบ้าง”
“ยังไม่ฟื้นเลยป่านนี้ คงจะช็อคจากพลังเจ้าเฮคเตอร์มากเกินไป”
“แล้วธาวินล่ะ”
“ยังอยู่ที่แผนกพยาบาล ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยเหมือนกัน”
“แต่เมื่อวานคุณหมออนาเซียบอกว่าเขาฟื้นตัวดีแล้วไม่น่าเป็นห่วงอะไร แค่รอให้ได้สติเท่านั้นเองนี่ แปลว่าเมื่อวานผลกระทบทางจิตใจน่าจะเสียหายกว่าที่คิดสินะ”
“ใช่ ถ้าไม่นับสภาพภายนอกที่ยังบาดเจ็บอยู่นิดหน่อยตั้งแต่พาตัวมาแล้ว สภาพวิญญาณเขาก็ปกติดีแล้ว คงเพราะทุกอย่างในโลกวิญญาณยังใหม่เกินไปสำหรับเขาเลยตั้งรับไม่ทัน เอาไว้ถ้าเกินปกติสามวันแล้วยังไม่ฟื้นค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้มีเรื่องใหญ่อีกหลายเรื่องที่เราต้องคุยกัน”
ไม่นานหลังจากนั้นท่านผู้บัญชาการสูงสุดก็มาถึง เคนเซย์กับชาเกลจัดแจงที่นั่งบนโต๊ะประชุมโดยหนนี้มีโซอีเข้ามานั่งคุยรวมอยู่ด้วย
“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว ผมว่าถึงเวลาที่จะบอกเรื่องที่ปิดพวกเราไว้ได้แล้วนะครับ พวกพลังวิญญาณนอกระบบนั่นไม่ได้มีแค่คนเดียว แถมยังมีอีกเท่าไหร่พวกเราก็ประเมินไม่ได้เลย”
ฟอแกนด์เป็นคนเปิดฉากการประชุมนี้ ท่านผู้นำสูงสุดทำท่าทางหนักใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะหันไปมองที่ผู้หญิงคนเดียวที่นั่งอยู่ในวง
“ผมไม่แน่ใจว่าคุณโซอีควรจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า บางครั้งยิ่งรู้อะไรมากๆ ก็ยิ่งทำให้อันตรายมากขึ้น”
ทุกคนหันไปมองที่เจ้าของชื่อนั้น ซึ่งให้มองยังไงเธอก็เป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กดูอ่อนแอที่จะรับมือต่ออะไรๆ ได้
“เธอยิ่งควรต้องรู้ต่างหากครับ เพราะดูเหมือนจุดประสงค์หลักของเจ้าพวกนั้นคือการลักพาตัวเธอไปให้ได้ รู้อะไรไว้บ้างเผื่อจะระวังตัวได้ทัน อีกอย่างเธออยู่กับผมตลอดเวลาคงไม่น่าห่วงขนาดนั้น” เฮคเตอร์ตอบกลับขึ้นแทน แม้เขาจะยังปิดตาไว้แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับการประชุม
“ฉันรู้ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูดค่ะ”
ใบหน้ามึนตึงกับน้ำเสียงจริงจังสร้างบรรยากาศของโซอีคนเดิมกลับมา ภาพลักษณ์ที่ราวกับจะบ่งบอกว่าเธออายุยี่สิบหกแล้ว และรู้ว่าอะไรที่ควรหรือไม่ควรทำ ได้ยินดังนั้นแล้วผู้ใหญ่สุดบนโต๊ะก็ไม่ดึงดันค้านเรื่องนี้ต่อไป
“ในตอนแรกที่ไม่ได้บอกพวกคุณ เพราะผมยังไม่ได้รับอนุญาตให้พูดเรื่องนี้ แต่จากรายงานการต่อสู้เมื่อวันก่อนทำให้ผมได้รับคำสั่งอนุญาตเรียบร้อยแล้ว ก่อนอื่นคงต้องถามว่า พวกคุณเคยได้ยินชื่อเจ้าหญิงเฌอรีนมั้ย”
คาเรมยังมีกษัตริย์ที่เป็นผู้ปกครองสูงสุดนับแต่โบราณมา แต่ในปัจจุบันอำนาจการปกครองโดยพื้นฐานก็ขึ้นอยู่กับคณะรัฐบาลเช่นเดียวกับประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ในโลก
“หมายถึงเจ้าหญิงพระองค์สุดท้องที่เห็นว่าไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เล็กๆ นั่นเหรอครับ” เอ็ดเวิร์ดเป็นคนทวนคำถามนั้นขึ้น
“ใช่แล้ว ปัจจุบันเจ้าหญิงเฌอรีนอายุยี่สิบแล้ว แต่ปัญหาก้ำกึ่งนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่สามปีก่อน เจ้าหญิงปะทุพลังวิญญาณขึ้นมา และเป็นแบบพลังสายพิเศษที่สามารถให้กำเนิดพลังวิญญาณเฉพาะสายพิเศษได้”
ห้องเงียบกริบขึ้นมาในทันที บนใบหน้าคนที่เพิ่งรู้เรื่องนี้ต่างขมวดคิ้วมีคำถามมากมายเต็มไปหมด และก็เป็นฟอแกนด์ที่ไขความข้องใจนี้เป็นคนแรก
“หมายถึงว่า สามปีก่อนหน้านี้ เจ้าหญิงปะทุพลังวิญญาณเป็นนักปราบวิญญาณสายพิเศษ ที่มีความสามารถทำให้คนอื่นปะทุพลังได้ และคนที่ปะทุพลังจากพลังของเจ้าหญิงจะเป็นสายพิเศษเท่านั้นเหรอครับ”
“คุณเข้าใจถูกต้องแล้วฟอแกนด์ แต่เพราะมันเป็นพลังที่ค่อนข้างอันตรายเบื้องบนจึงต้องลบประวัติเจ้าหญิงออกจากฐานข้อมูลทั่วไปและเก็บเป็นความลับ เจ้าหน้าที่ทั่วไปแม้แต่พวกคุณถึงได้ไม่เคยเห็นทะเบียนประวัติพลังของเจ้าหญิง”
คำเฉลยนี้ทำเอาคนในหน่วยรู้สึกแปลกแปร่งต่างกันไป หากเจ้าหญิงคนนั้นมีพลังขนาดนั้นจริงๆ ทำไมไม่สร้างผู้มีพลังออกมาทำงานเพิ่มสักหน่อยเพราะตอนนี้คนทำงานขาดแคลนจะแย่แล้ว มิหนำซ้ำหากแม้แต่เรื่องแบบนี้ยังปิดบังพวกเขา ทั้งๆ ที่มันเกี่ยวพันโดยตรงกับการตามหาคนร้ายที่กองปราบวิญญาณตามหามานาน ยังมีอะไรอื่นอีกบ้างที่ ‘เบื้องบน’ ซุกซ่อนไว้
“ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นมาสามปีแล้ว เจ้าหญิงเองน่าจะเคยทำให้ใครปะทุพลังมาบ้างแล้วใช่มั้ยครับ ตัวเจ้าหญิงเองก็ไม่รู้ตัวเหรอว่าใครได้พลังนี้จากเธอไปบ้าง” เอ็ดเวิร์ดจางถามต่อในทันที
“เราได้ลองทดสอบพลังแล้ว แต่ตัวเจ้าหญิงดูเหมือนจะไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าใครปะทุพลังเพราะพลังของเธอบ้าง ถึงแม้ว่าตัวเจ้าหญิงนั้นได้รับพลังจากกระจกแห่งชะตากรรมถึงได้ปะทุพลังวิญญาณจนมีรายชื่อขึ้นทะเบียนก็จริง แต่คนที่ปะทุพลังวิญญาณด้วยพลังของเจ้าหญิงน่ะ จะว่ายังไงดี เหมือนเจ้าหญิงกลายเป็นแหล่งให้กำเนิดของวงจรพลังวิญญาณสายใหม่ รายชื่อพวกนั้นก็เลยไม่เด้งเข้ากระจกชะตากรรม ไม่ขึ้นอยู่ในทะเบียนตามที่ควรจะเป็น แถมตัวเจ้าหญิงเองก็ไม่รู้ด้วยว่าใครที่ปะทุพลังเพราะเธอบ้าง”
“นั่นแปลได้ว่า สามปีมานี้เจ้าหญิงทำให้ใครปะทุพลังไปแล้วกี่คน เป็นพลังอะไรบ้างเราก็ไม่สามารถรู้ได้เลยเหรอครับ” ชาเกลถามขึ้นต่อ
“ก็ไม่เชิงแบบนั้น ช่วงที่ตัวเจ้าหญิงปะทุพลังวิญญาณจนรายชื่อขึ้นในทะเบียน เราใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ในการพาเจ้าหญิงกลับมาทดสอบพลังได้ และพอรู้ว่าเจ้าหญิงมีพลังแบบนั้นเธอก็ถูกกักบริเวณห้ามออกไปไหนมาสามปีแล้ว จำนวนคนที่ปะทุพลังเพราะเจ้าหญิงเราก็ทราบจำนวนจากการทดสอบต่างๆ อย่างชัดเจน ปัญหาคือช่วงเวลาคาบเกี่ยวของการปะทุพลังใหม่ๆ นั่นแหละ ที่ไม่รู้ว่ามีใครได้พลังจากเธอไปบ้างหรือเปล่า”
“ฟังดูแล้วถ้าแค่สองสัปดาห์จำนวนก็ไม่น่าจะเยอะเลยนะครับ” ยังคงเป็นชาเกลที่ย้ำเรื่องนี้ต่อด้วยตัวเอง ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอกราวกับเริ่มครุ่นคิด ประมวลผลถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา
“ใช่ จำนวนที่เราไม่รู้ ตัวเลขที่พวกคุณกังวลที่จริงอาจไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น”
“ว่าแต่เจ้าหญิงใช้วิธีอะไรในการทำให้คนอื่นปะทุพลังได้เหรอครับ” เอ็ดเวิร์ดถามขึ้น ชาเกลและรวมถึงคนอื่นๆ อ้าปากเหวอเล็กน้อยเหมือนจะร้อง อ๊ะ เบาๆ ราวกับเพิ่งนึกออกว่าพวกเขาลืมคำถามนี้ไปได้ยังไง
“ให้กินส่วนต่างๆ ของร่างกายน่ะ อ่า พูดแบบนี้ฟังดูน่ากลัวไปหน่อย ถ้าลดมาเหลือแค่พลังติดต่อได้ทางเลือดหรือน้ำลายน่าจะฟังดูเข้าท่ากว่าสินะ”
“นั่นแปลว่าในช่วงสองสัปดาห์ก่อนกลับมาทดสอบพลัง เจ้าหญิงอาจจะเผลอทำให้ใครปะทุพลังไปโดยไม่รู้ตัวไปจำนวนหนึ่งสินะครับ เจ้าคนร้ายหัวทองนั่นอาจจะเป็นหนึ่งในนั้น” ฟอแกนด์สรุปออกมา และดูเหมือนว่าเขาจะมาได้ถูกทางเมื่อคนที่มีตำแหน่งสูงสุดบนโต๊ะพยักหน้ารับ
“มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นแบบนั้น”
“ถ้าท่านบอกว่าเจ้าหญิงผ่านการทดสอบการให้กำเนิดพลังมาแล้ว นั่นก็แปลว่ายังมีนักปราบวิญญาณที่เป็นสายพิเศษที่หน่วยเราไม่รู้จัก และยังไม่ขึ้นทะเบียนอยู่อีกจำนวนหนึ่งเลยสินะครับ แน่ใจรึเปล่าว่าทุกคนยังอยู่ครบแล้วไม่ได้หายไปรวมกลุ่มกับเจ้าคนร้ายหัวทองนั่น” ท่านรองของหน่วยถามเพื่อหาข้อมูลเพิ่มอีก
“ทุกคนที่ปะทุพลังในการทดสอบของเรายังอยู่กันครบดี และตอนนี้ก็ทำหน้าที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยให้เจ้าหญิงนั่นแหละ”
“ถ้ามีเหลือใช้ ฝากมาทำงานทางนี้บ้างนะครับ พวกเราขาดคนมากๆๆๆ ผมเองก็อยากหยุดเสาร์อาทิตย์หาเวลาไปออกเดตบ้าง ไม่งั้นขึ้นคานเหมือนท่านหัวหน้าของเราแน่ๆ”
“ไอ้เด็กพวกนี้นี่...”
ไม่มีใครสนใจเสียงบ่นของฟอแกนด์ เพราะคำพูดของเคนเซย์สร้างเสียงหัวเราะคลายบรรยากาศความตึงเครียดขึ้นมาได้มากทีเดียว
“ทุกคน...” แต่เมื่อท่านผู้บัญชาการสูงสุดเอ่ยเสียงหนักแน่นออกมาอีกครั้ง เสียงหัวเราะทั้งหมดก็ถูกกลบไป “เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดที่จะสั่นคลอนกองปราบวิญญาณได้เลย จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนรู้เรื่องนี้แล้วพยายามจับตัวเจ้าหญิงไปเพื่อมุ่งหวังประโยชน์ในทางที่ไม่ดี ขอให้ทุกคนตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ไว้ให้ดี และระวังเรื่องความลับนี้ด้วย”
ท่ามกลางความหนักหน่วงของการแบกรับความลับขั้นสุดยอดนี้ สมาชิกหน่วยเคซีโร่ต่างพยักหน้ารับคำพูดของผู้บัญชาการสูงสุดโดยพร้อมเพรียงกัน
“เจ้าหญิงคนนั้น...” แต่อยู่ๆ เสียงของโซอีก็ดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน “แล้วเจ้าหญิงคนนั้นจะต้องถูกกักบริเวณแบบนั้นไปตลอดเลยเหรอคะ”
“ในตอนนี้เรายังไม่มีทางออกที่ดีมากไปกว่านี้แล้วครับ ตัวเจ้าหญิงเองก็เข้าใจเรื่องนี้และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”
เฮคเตอร์ได้ยินเสียงคนข้างตัวถอนใจ เธอคงนึกเห็นใจเจ้าหญิงคนนั้นขึ้นมา จริงสินะ...เพราะพลังของเขามันสะดวกใช้ได้ดีขนาดนี้ก็เลยไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนว่า อาจไม่ใช่ทุกคนที่พอใจกับการมีพลังอะไรบางอย่างของตัวเองก็ได้ เจ้าหญิงเองก็น่าเห็นใจหรอก แต่สำหรับเขา...ไม่มีเรื่องของใครน่าสงสารเท่าผู้หญิงตัวเล็กข้างตัวคนนี้อีกแล้ว
เฮคเตอร์ยังไม่ได้บอกเรื่องของโซอีกับคนในหน่วย โซอีต้องถูกหัวหน้าของเขาบังคับจับโยนเข้าศูนย์วิจัยแน่นอนถ้ารู้เรื่องเข้า แม้ว่าเขาเองก็อยากให้เธอได้ลองไปที่นั่นอีกสักครั้ง แต่ก็อยากจะรอให้โซอีอยากไปด้วยตัวเองโดยไม่มีใครบังคับดีกว่า
“ทางเราจะขอเข้าพบเจ้าหญิงเพื่อสอบถามเบาะแสเจ้าหัวทองนั่นได้มั้ยครับ” ฟอแกนด์ถามขึ้นเพื่อปะติดปะต่องานของหน่วยให้เดินหน้า
“ไม่น่ามีปัญหานะ เพราะยังไงพวกคุณก็รับผิดชอบหน้าที่จับคนร้ายพวกนี้โดยตรงอยู่แล้ว เดี๋ยวผมจะติดต่อเข้าไปทางสำนักงานราชวังให้ ถ้ายังไงทางนั้นคงจะติดต่อนัดหมายมาที่หน่วยเคซีโร่โดยตรงเอง”
ทุกคนลุกขึ้นยืนส่งท่านผู้บัญชาการสูงสุดที่ลุกออกไป มีฟอแกนด์กับเอ็ดเวิร์ดที่ตามเดินไปส่งจนถึงประตูหน้าห้องก่อนจะเดินกลับเข้ามา
“หัวหน้า ถ้าทางนั้นติดต่อมาให้ผมไปด้วยนะ ให้คนวัยเดียวกันเป็นคนคุยน่าจะคุยกันรู้เรื่องกว่า” เคนเซย์ยกมือขึ้น เสนอตัวอย่างออกหน้าทันที
“หยุดเลย แกเป็นคนแรกที่ฉันจะไม่ให้ไปเจ้าเคน ก็แค่อยากไปดูว่าสวยมั้ยเผื่อจีบได้แค่นั้นล่ะสิ เฮคเตอร์ก็ยังเจ็บ ฉัน คุณเอ็ด กับชาเกลไปกันสามคนพอแล้ว”
เคนเซย์ได้แต่ยู่หน้าด้วยความเซ็ง เหลือบมองพี่ชายสุดหล่อในกองแล้วก็หันไปโวยวายกับหัวหน้าต่อ
“โหยลุง! เอาพี่ชาเกลไปไม่ได้นะ แบบนี้เจ้าหญิงนี่เสร็จเทพบุตรแห่งกองปราบวิญญาณแน่ๆ”
ชาเกลได้แต่อมยิ้มส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ยกมือปัดหัวเจ้าน้องเล็กของหน่วยแล้วก็เตือนสติเคนเซย์ออกมา ความลับขั้นสุดยอดยิ่งกว่าที่มีเพียงสมาชิกในหน่วยแห่งนี้ที่รับรู้...
“ใครจะชอบพี่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย นายจะกลัวอะไรเคนเซย์ ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าคนที่อยู่บ้านกับพี่ไม่ใช่ผู้หญิง...”