บทที่ 4 : ภารกิจแรก
บทที่ 4 : ภารกิจแรก
ห้องพักพนักงานบริษัทแจ๊สแอนด์โคเฟอร์นิเจอร์ พนักงานชายร่างเล็กใช้ดวงตาเรียวเล็กของเขาเพ่งจ้องสำรวจวัตถุสีดำสลับกับสีเงินที่อยู่ในมือของตน มันคือปืนพกกึ่งอัตโนมัติรุ่นดังที่เขาเพิ่งจะได้มาไม่นานนี้
เขาบรรจงยกปืนเล็งไปยังประตูทางเข้า หรือจะบอกว่าตั้งใจเล็งไปทางรูปของหัวหน้าสาขาผู้กำลังยืนยิ้มแฉ่ง รูปที่เขาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทะลึ่งเอามาติดไว้ที่ประตูเพื่อหวังเอาใจ
"ไอ้หัวหน้าเฮงซวย ชอบนักไอ้พวกสอพลอเนี่ย คนทำงานแทบตายไม่เคยเห็นหัว" ชายร่างเล็กบ่นงึมงำ
“เฮ้ย อย่าเล็งปืนไปทางประตูสิฟะ” รุ่นพี่หนวดเฟิ้มที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไปเตือนรุ่นน้องผู้มีตาเรียวแหลมแต่เขาไม่ได้ยี่หระนักความรู้สึกอยากแก้แค้นหัวหน้าทำให้เขาอยางยิงใส่สักเปรี้ยง แน่นอนว่าก็ลงได้กับรูปภาพเท่านั้นแหละ
“นี่มันปืนอัดแก๊ส” เขาแก้ตัว
“ปืนจริง ปืนปลอม ยิงออกมาได้มันก็อันตรายได้ทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวจะไปโดนใครเข้า”
กึกกก เสียงเปิดประตูอย่างกะทันหันทำให้เจ้าหนุ่มตาเรียวที่เล็งปืนไปที่ประตูสะดุ้ง แม้จะเห็นแล้วว่าชายที่ยืนอยู่หลังประตูคือกิลเลนเพื่อนร่วมงานของเขาเองแต่นิ้วก็ดันเผลอกระตุกออกไปแล้ว
ฟุบบบ
กระสุนพลาสติคความเร็วสองร้อยฟุตต่อวินาทีพุ่งเข้าใส่กิลเลนในระดับหน้าอกของเขา แต่ราวกับรู้ล่วงหน้ามือของกิลเลนอยู่ตรงนั้นพอดี เขาทำสิ่งที่เพื่อนร่วมงานไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะเป็นเรื่องจริง นั่นคือการหยุดกระสุนพลาสติคนั้นไว้ด้วยการจับด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้
“โอ้ อันตราย ๆ เกือบไปแล้วนะครับ” กิลเลนตอบหน้าตาเฉย ดูไม่ได้เดือดร้อนหรือตกใจใด ๆ เลย
เพื่อนร่วมงานผู้ก่อเรื่องอึ้งตาค้าง เขาพยายามพูดแต่ไม่เป็นภาษา เมื่อหันไปบุ้ยใบ้กับทางรุ่นพี่ที่กำลังนั่งตรวจสอบเอกสารเพื่อถามว่าเห็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่รึเปล่าแต่ดูเหมือนว่าจะไร้ประโยชน์
“พูดเป็นเล่น มือเปล่าจับกระสุนได้เนี่ยนะ” รุ่นพี่หัวเราะเสียงลั่น “จะโกหกอะไรก็ให้มันสมจริงหน่อยสิฟะ”
“ไม่ได้โม้นะ ดูดิมันยังอยู่ในมือกิลเลนมันอยู่เลย” เพื่อนร่วมงานร่างเล็กเร่งเสียงแข่งแต่รุ่นพี่ของทั้งคู่ก็ยังไม่ได้สนใจ
“ก็ไม่ใช่ปืนจริงสักหน่อยครับ แถมผมก็เห็นทันก่อนที่คุณจะเหนี่ยวไกก็เลยยกมือขึ้นมาเตรียมรับไว้แล้ว”
“อย่าพูดเหมือนมันเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้สิฟะ”
ในตอนนั้น กิลเลนไม่เคยตั้งคำถามมาก่อน ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีในเรื่องทำนองนี้ แต่เขาก็ไม่เคยรู้ตัวว่าสิ่งที่มีติดตัวนั้นเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยาก ถ้าเขาเกิดในยุคก่อนหน้านั้นหลายร้อยหลายพันปีชีวิตของเขาอาจจะเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ…
และตอนนี้โอกาสที่ว่านั้นได้กลับมาอยู่ในมือเขาอีกครั้ง เขากำลังอยู่ในโลกที่กำลังคือทุกอย่าง
กิลเลนบรรจงกดลงบนแผงควบคุมที่รูปร่างเหมือนเกราะหุ้มแขน จากนั้นโดรนขนาดเล็กจิ๋วที่ถูกติดตั้งไว้บนชุดรบของคู่หูขนสีทองก็แยกตัวออกมา โดรนขนาดเล็กกว่ากำปั้นของบากะอินุเข้าสู่ "โหมดล่องหน" จากนั้นก็นบินเอื่อย ๆ เข้าไปในห้องที่อยู่ติดกันด้วยเสียงอันเงียบกริบ
ภาพที่ปรากฏขึ้นบนโฮโลแกรมคือแผนที่ที่ประกอบขึ้นด้วยเส้นสีเขียวลากบอกลักษณะภูมิทัศน์โดยประมาณ จุดสีน้ำเงินสองจุดที่อยู่คือตัวเขาเองและบากะอินุ พวกเขากำลังอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่เป็นมุมอับของสายตา ในขณะที่ห้องใหญ่ที่อยู่ถัดออกไปมีจุดสีแดงกระจายตัวอยู่ถึงหกจุด
...หกตัวเลยรึเนี่ย เฉียดฉิวแฮะ แต่แค่นี้ยังไงก็คงเทียบไม่ได้กับตอนที่เจอกับเจ้านั่น…
สามวันก่อน…
เพื่อเตรียมรับมือกับภารกิจจริงที่กำลังจะเริ่ม ครูฝึกแมดเดอลีนจึงทำการฝึกฝนเหล่าผู้ถูกเลือกอย่างหนัก ในยานดิกนิตีจะมีห้องจำลองการรบที่สามารถสร้างภาพและสถานการณ์เสมือนจริงได้ ในช่วงแรกแมดเดอลีนได้ทดลองให้พวกเขาจับคู่ต่อสู้กันเองบ้าง จับกลุ่มกันสู้บ้างเพื่อให้ทุกคนต่างรู้ขีดจำกัดของกันและกันและเข้าใจการทำงานของห้องเสมือนจริงนี้
กิลเลนได้สังกัดในทีมเดลตา ซึ่งเป็นทีมที่สี่จากห้าทีม ในทีมของเขาประกอบไปด้วยจัสติน เกรซนักกีฬายิงธนูดีกรีระดับเหรียญทองโอลิมปิก จีค คาร์ลินซันหนุ่มผมตั้งเจาะหูทั้งสองข้างที่เคยประกาศว่าจะไม่ร่วมงานกับกิลเลน เนวิล ไดเยอร์อดีตหัวหน้าบอดีการ์ดของผู้นำประเทศหนึ่งที่ก็ไม่ได้ดูเป็นมิตรกับเขานัก รวมทั้งเหล่าคาตาลิสต์ของแต่ละคน ซึ่งพีโอเนียก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
แมดเดอลีนพยายามป้อนบทเรียนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ถูกเลือกรู้จักกับศัตรูที่ต้องรับมือให้มากที่สุด แวนเดียร์เป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนเมือกสีดำสนิท พวกมันมักจะมีลวดลวยเรืองแสงสีอ่อนสลับมากบ้างน้อยบ้างในแต่ละตัว แม้จะมีรูปร่างที่หลากหลายแต่แวนเดียร์ระดับล่างสุดกลับมีลักษณะแบบเดียวกัน พวกมันเหมือนก้อนเหลวที่ไม่มีอวัยวะใด ๆ ชัดเจนนอกจากส่วนที่พอจะมองออกได้ว่ามันคือหัว เพราะว่ามีดวงตากลมดำประดับอยู่สองดวง
นักพันธุกรรมศาสตร์วิเคราะห์ไว้ว่ามันคือรูปร่างเดิมของแวนเดียร์
ทำไมถึงเรียกว่า “รูปร่างดั้งเดิม” นั่นก็เพราะว่าแวนเดียร์มีคุณสมบัติพิเศษที่น่ากลัวอยู่อย่างหนึ่ง พวกมันสามารถแพร่กระจายได้คล้ายกับเชื้อโรค จากสิ่งมีชีิวิตหนึ่งสู่อีกชีิวิตหนึ่ง ทั้งพืช สัตว์ หรือแม้แต่พวกฟังไจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกมันจะสามารถเข้าไปยึดร่างอะไรก็ได้ตามใจชอบ พวกมันจำเป็นต้องใช้ซากศพของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ เป็นพื้นฐานและหากได้ตัวอย่างพันธุกรรมมามากพอ แวนเดียร์รูปแบบใหม่ที่มีลักษณ์ผสมของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ถึงจะถือกำเนิดขึ้นมาจากรังโดยไม่ต้องหยิบยืมซากของสายพันธุ์นั้นอีกต่อไป
“ไอ้เจ้านี่มันสไลม์ชัด ๆ” จีคทำท่าขยะแขยงหลังจากที่กลุ่มของพวกเขาช่วยกันรุมแวนเดียร์ระดับล่างสุดที่แมดเดอลีนตั้งชื่อว่า “แมสไทป์” ร่างสีดำเป็นเมือกเมื่อถูกทำลายส่วนที่เคยเป็นอวัยวะหลักก็แตกออกเป็นของเหลวสีดำข้น ในขณะที่ของเหลวใสที่น่าจะเป็นเลือดก็ไหลทะลักออกมาจนเจิ่งนองไปทั่ว
กิลเลนมองดูเจ้าสัตว์จากต่างมิตินี้ด้วยความรู้สึกไม่ดี แต่มันแตกต่างจากผู้อื่น มันไม่ใช่ความรังเกียจและหวาดกลัว เขาแค่รู้สึกเศร้าใจที่ต้องมาเข่นฆ่ากันต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวแบบนี้
การจำลองการฝึกดำเนินอย่างต่อเนื่องจนแทบไม่เหลือเวลาสำหรับพักผ่อน โชคดีที่เตียงรูปแคปซูลในห้องของแต่ละคนไม่ใช่เตียงธรรมดา พวกมันมีฟังก์ชั่นพิเศษที่สามารถเยียวยาความเสียหายของร่างกายและช่วยเร่งการฟื้นฟูกำลังได้ การนอนหลับในนั้นเพียงสองสามชั่วโมงก็ให้ผลเทียบเท่ากับการได้หลับจนเต็มอิ่มแปดชั่วโมง นั่นจึงทำให้พวกกิลเลนยังคงฝึกโหดกันต่อไปได้โดยไม่ล้มป่วยไปซะก่อน
นอกจากแวนเดียร์แบบแมสไทป์ พวกกิลเลนยังได้พบกับแวนเดียร์อีกหลายชนิด เช่น ฮิวแมนด์ไทป์ที่จริง ๆ แล้วก็แทบไม่ต่างจากแบบแรก แต่แทนที่จะมีแต่หัวและตัวเป็นสภาพกึ่งของเหลว รูปแบบนี้ดันมีสองแขนสองขาเหมือนมนุษย์ พวกนี้อ่อนแอกว่าเดิมแต่ก็ฉลาดขึ้นและบางครั้งก็ยังใช้อาวุธที่แย่งชิงมาจากมนุษย์ได้อีก แบบบอลลูนไทป์ ที่เรียกแบบนั้นเพราะมันมีแก๊สอัดอยู่ในตัวปริมาณมากจนทำให้ลอยตัวได้ นอกจากพวกมันจะเป็นหน่วยสอดแนมที่ดีแล้ว พวกมันยังสามารถสร้างสะเก็ดไฟเพื่อใช้ระเบิดพลีชีพได้อีกด้วย
หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับแวนเดียร์นับสิบชนิดไปแล้ว แมดเดอลีนก็พาทุกคนไปพบกับความสิ้นหวัง…
...บอสไทป์… เธอเรียกแบบนั้น
จากที่เคยแบ่งเป็นห้ากลุ่ม คราวนี้แมดเดอลีนนำทุกคนมารวมกันในการต่อสู้ที่มีแวนเดียร์เพียงตนเดียว หลาย ๆ คนรู้สึกย่ามใจกับชัยชนะที่ผ่าน ๆ มาโดยไม่ได้นึกระแวงเลยว่าพวกเขาเคยปะทะก็เพียงแค่แวนเดียร์ระดับล่างซ้ำยังเป็นเพียงแค่ในภารกิจที่ถูกออกแบบเอาไว้เพื่อใช้สำหรับการฝึกฝน
แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือ “นิดฮอก” แวนเดียร์ระดับบอสไทป์ที่เก็บข้อมูลมาจากของจริง นี่ไม่ใช่ภารกิจเพื่อสอนให้รู้จักกลยุทธ์ แต่เป็นภารกิจที่มีเป้าหมายอื่นออกไป
วูบบบบบบ
เสียงที่เกิดจากการวาดหางของนิดฮอกดังจนเสียดแทงเข้าไปในโสตประสาท เพียงแค่การทักทายครั้งแรกจากแวนเดียร์ที่รูปร่างเหมือนมังกรตัวนี้ก็ทำให้เกิดความระส่ำระสายไปทั่ว
ร่างที่เหลือเพียงครึ่งร่างของพวกที่ยืนอยู่แถวหน้าทรุดลงเกือบจะพร้อมกัน เป็นภาพน่าสยดสยองที่ทำให้ทุกคนถึงกับเข่าอ่อนไปตาม ๆ กัน
เพียงแค่การตวัดหางครั้งเดียวของแวนเดียร์ร่างยักษ์ ชีวิตของผู้ถูกเลือกและคาตาลิสต์ก็หลุดปลิวหายไปอย่างง่ายดาย ยังไม่ทันที่ทุกคนจะตั้งตัวได้นิดฮอกก็วกกลับมาพร้อมกับอ้าปากที่เต็มไปด้วยฟันคบกริบ
...ตายซะ เจ้าพวกมนุษย์…
เสียงที่ไม่ได้มาจากออกจากปากของแวนเดียร์ยักษ์พุ่งตรงเข้าสู่สมองของทุกคน ภาพที่มันอ้าปากค้าง ตามมาด้วยแสงสว่างเจิดจ้าคือภาพสุดท้ายที่หลาย ๆ คนได้เห็น
กิลเลนเป็นคนเดียวที่รอดจากการโจมตีนั้นมาได้อย่างฉิวเฉียด เขารู้ตัวก่อนที่การโจมตีจะเริ่มและกระโดดหาที่กำบัง แต่แม้จะเร็วแค่ไหนมันก็ยังช้าเกินไป ขาทั้งสองข้างถูกลำแสงประหลาดเผาจนระเหิดหายไป การโจมตีเมื่อครู่ทำให้ผู้ถูกเลือก คาตาลิสต์รวมทั้งบากะอินุสลายไปจนหมดสิ้น
อาเบลและแมดเดอลีนจ้องมองหน้าจอที่ตอนนี้เหลือเพียงกิลเลนที่กำลังดิ้นรนเอาตัวรอดในโลกเสมือนจริงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งสองตระหนักดีว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับฝันร้ายอย่างนิดฮอก
“นี่ไม่ใช่บทเรียนเพื่อการเอาชนะ” ผู้บัญชาการชราเปรย “พวกลูกเจี๊ยบพวกนี้ต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความสิ้นหวังด้วย”
ปัจจุบัน…
กิลเลนเพ่งมองจุดสีแดงบนหน้าจอโฮโลแกรมที่ลอยอยู่เบื้องหนัา เขาสูดหายใจลึกราวกับต้องการรวบรวมกำลังทั้งหมดจากอากาศที่ล่องลอยอยู่ แววตาฉายแววเปลี่ยนไปกลายเป็นแววตาของผู้ที่เตรียมใจไว้แล้ว จากนั้นสองเท้าก็ขยับออกไป
...เทียบกับสู้กับเจ้านิดฮอกนั่น เจ้าพวกนี้ก็ไม่เท่าไหร่หรอกน่า...
คิดได้แบบนั้น กิลเลนก็กระโจนเข้าไปอีกห้องด้วยความเร็วที่ราวกับลูกธนูพุ่งแหวกอากาศ พลาสมาสเปียร์ถูกเหวี่ยงสะบัดออกไปด้วยความแม่นยำราวกับเครื่องจักรสังหาร เป้าหมายแรกของมันคือที่ว่างแคบ ๆ ระหว่างดวงตากลมโตสีดำของแวนเดียร์ตัวที่อยู่ในระยะ
ฉึก….
มันงดงามราวกับภาพศิลป์ กิลเลนรู้สึกราวกับเห็นภาพช้า ๆ ของตนเองสังหารอีกฝ่ายด้วยท่วงท่าอันไร้ที่ติ ทั้งจังหวะ ทั้งมุม สมบูรณ์จนนึกภาพไม่ออกว่ามันจะสมบูรณ์แบบไปมากกว่านี้ได้อย่างไร แวนเดียร์ตนแรกที่ถูกเจาะหน้าจนเป็นรูโหว่ไม่มีโอกาสรู้ตัวด้วยซ้ำว่าชีวิตของมันถูกปลิดทิ้งไปแล้ว
โดยไม่ปล่อยให้โอกาสทองนี้เสียไป กิลเลนที่เท้าเพิ่งสัมผัสกับพื้นก็ถีบตัวพุ่งออกไปอีกครั้ง
แวนเดียร์ตนที่สองมีสภาพไม่ต่างกันกับตนแรก การโจมตีที่เฉียบขาดของกิลเลนสังหารมันในเสี้ยวพริบตา ส่วนหัวของมันปลิวออกจากร่างที่ไม่มีคอด้วยรอยตัดที่เรียบเนียนที่สุด มันเป็นผลจากการจำลองการต่อสู้นับร้อยครั้งในไม่กี่วันที่ผ่านมา กิลเลนเรียนรู้ที่จะสร้างความเสียหายมากที่สุดโดยใช้กำลังให้น้อยที่สุดนั่นเอง
แม้การจู่โจมนี้จะรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แต่มันก็ไม่เร็วพอที่เขาจะจัดการกับตัวที่สามได้โดยง่าย แวนเดียร์ตนนี้รู้ตัวแล้วว่ามันกำลังตกเป็นเป้าโจมตีจึงใช้ระยางเมือกของมันปัดการโจมตีของกิลเลนก่อนที่มันจะถึงตัว
...ซวยล่ะ ถ้าฆ่าเจ้าตัวนี้ไม่ได้ตอนนี้ พออีกสามตัวพุ่งเข้ามามีหวังไม่รอดแน่…
โฮ่งงงง โฮ่งง....
บากะอินุที่กิลเลนสั่งให้รออยู่ด้านนอก กระโจนเข้ามาร่วมวงด้วย ปืนที่ถูกติดตั้งไว้ด้านข้างของชุดรบทำงานทันทีที่บากะอินุรู้สึกถึงอันตราย กระสุนแรงดันอากาศพุ่งตรงออกไปยังแวนเดียร์อีกสามตัวที่กำลังจะเข้าไปล้อมกรอบกิลเลน
เขาใช้พริบตานั้นให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด หอกในมือถูกสะบัดออกไปในขณะที่ความสนใจของแวนเดียร์ทั้งหมดหันไปทางบากะอินุที่เพิ่งโผล่เข้ามา
ฉึกกก…
เมื่อสิ้นเสียง กิลเลนก็กระโจนถอยหลังออกจากวงล้อมโดยยังมีบากะอินุยืนคุมเชิงอยู่เบื้องหลัง
“ไอ้หมาโง่เอ๊ย บอกให้รออยู่ข้างนอกยังไง”
“โฮ่งงง” บากะอินุเห่ารับพร้อมกระดิกหาง กิลเลนก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันเข้าใจคำพูดของเขาแค่ไหน แต่ก็รู้สึกขำขึ้นมาที่รอดตายได้เพราะเจ้านี่ดันขัดคำสั่งเขานี่แหละ
“เหลืออีกสาม ว่าไง คิดว่าไหวไหม” กิลเลนถามโดยไม่ยอมละสายตาจากแวนเดียร์ทั้งสามตัวที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ดูเหมือนว่ากระสุนอากาศของบากะอินุก่อนหน้าจะทำให้พวกมันชะงักได้เท่านั้น
“โฮ่งงงง”
ที่ห้องควบคุม แมดเดอลีนกำลังง่วนอยู่กับการสั่งการแต่ละทีมที่ต่างก็กำลังเผชิญหน้ากับแวนเดียร์อยู่เช่นกัน เกือบทุกกลุ่มมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แมดเดอลีนจึงต้องมองหาทางหนีทีไล่ให้กับพวกเขา
แต่แล้วเธอก็หันไปสะดุดกับจุดสีน้ำเงินสองจุดที่อยู่แยกออกไป
“ทีมเดลตาหมายเลขสามและสี่… นั่นมันเจ้าหนุ่มชื่อกิลเลนกับบากะอินุ” อาเบลที่มองหน้าจออยู่เช่นกันพูดเสียงเครียด
แมดเดอลีนกดปุ่มเชื่อมต่อการสื่อสารกับกิลเลนในทันที จากนั้นก็ตะโกนถามลงไปด้วยความร้อนใจ “มิสเตอร์ไรน์ฮาร์ท ทำไมอยู่ที่นั่นคนเดียว แล้วทีมของนายล่ะ”
“ไว้ค่อยคุยกันได้ไหมครับ ตอนนี้กำลังเดือดเลย เหวอออออ ไอ้หมาโง่อย่าไปยืนตรงนั้นโว้ย!!”
“ทางนั้นไง” อาเบลชี้ไปที่อีกมุมของแผนที่ มันคือจุดสีน้ำเงินหกจุดที่กำลังล้อมจุดสีแดงอยู่ แมดเดอลีนซูมหน้าจอเพื่อให้เห็นรายชื่อของกลุ่มนั้นและพบว่ามันคือเดลตาทีมที่กิลเลนและบากะอินุควรจะอยู่ด้วย เธอเปลี่ยนไปติดต่อกับหนึ่งในนั้นแทน
“เกิดอะไรขึ้น”
“พวกเรากำลังสู้อยู่ครับ” จีคตะโกนกลับมา เสียงการต่อสู้ เสียงเอะอะโวยวายดังระงมบ่งบอกได้ชัดเจนว่าพวกเขากำลังสู้กันอย่างตึงมือกับแวนเดียร์ที่มีเพียงตัวเดียว
“มิสเตอร์ไรน์ฮาร์ทล่ะ ทำไมไม่อยู่ด้วยกัน”
“หมอนั่นแยกตัวออกไปครับ ขอโทษนะครับพวกเรากำลังใช้สมาธิในการต่อสู้ ขอตัดการสื่อสารก่อนนะครับ” โดยไม่รอให้แมดเดอลีนถามซ้ำจีคก็ตัดการสื่อสารไป
แมดเดอลีนพยายามจะติดต่อกับพีโอเนียและคนอื่น ๆ แทน แต่อาเบลดึงมือเธอเหมือนหลาย ๆ ครั้งก่อนหน้านี้ “ไม่มีประโยชน์หรอก” เขาพูด
“พวกนั้นไม่คิดจะทำงานกับเจ้าหนุ่มนั่นตั้งแต่แรกแล้ว”
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด แม้ว่าภารกิจนี้จะเป็นการบุกโจมตีรังที่เพิ่งเกิดใหม่และมีแวนเดียร์อยู่ไม่มากแถมยังเป็นเพียงแมสไทป์ทั้งหมด แต่การต่อสู้ในโลกเสมือนจริงที่ไม่ต้องกลัวบาดเจ็บล้มตายกับการต่อสู้ของจริงนั้นแตกต่างกันมาก ผู้ถูกเลือกและคาตาลิสต์มากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บในขณะที่พวกเขาสามารถกำจัดแวนเดียร์ไปได้เพียงไม่กี่ตน
กระสุนอัดอากาศพุ่งเข้ากระแทกศัตรูสีดำที่ซุ่มอยู่ มันชะงักเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่นั่นก็มากพอที่จะสร้างโอกาสให้กิลเลน
ฉึกกก...
"เสร็จอีกหนึ่ง!"
สิ้นเสียงการจากแทงร่างดำนั้นก็ทรุดลงและแตกตัวเป็นของเหลว กิลเลนเปิดหน้าจอรายงานภารกิจและพบว่ามันคือแวนเดียร์ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ นั่นทำให้ภารกิจแรกของพวกเขาจบสิ้นสมบูรณ์แล้ว
มันควรจะจบลงแบบนั้น ถ้ากิลเลนไม่พบว่ายังมีอีกห้องที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในแผนที่
ในห้องที่ไม่ควรจะมีอยู่ กิลเลนพบแวนเดียร์ที่มีขนาดเท่ากับเด็กทารกนอนเรียงรายอยู่บนโต๊ะที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเมือกสีดำ มันคือตัวอ่อนของแวนเดียร์นั่นเอง กิลเลนรู้ว่าเขาต้องทำอะไรต่อ เขาเดินไปที่พวกมันแล้วก็เงื้อหอกในมือขึ้น
กิลเลนยกค้างอยู่อย่างนั้นนานหลายอึดใจ เสียงเห่าของบากะอินุทำให้เขารู้สึกตัวว่าแมดเดอลีนส่งสัญญาณเรียกตัวทุกคนกลับ เขาลังเลใจว่าควรจะแจ้งเรื่องนี้กับเธอรึไม่
...เอาไงดี เจ้าพวกนี้ไม่ได้อยู่ในภารกิจด้วย แล้วอีกอย่างมันก็ยังเป็นตัวอ่อนอยู่เลย ฆ่ามันทั้งแบบนี้จะดีเหรอ…
กิลเลนลดแขนลง เขาสะบัดหน้าเหมือนพยายามสะบัดความกังวลทิ้งออกไป เขาทำท่าจะแจ้งสิ่งที่ได้พบแต่แล้วพอเห็นตากลมโตของตัวอ่อนที่จ้องกลับมามันก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ
...เอาเถอะ คราวนี้ปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน…
ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับหางตาก็ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง กิลเลนหันขวับไปในทิศนั้นหันทีแล้วก็ต้องตกใจ มีสิ่งที่ไม่ควรจะอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่แวนเดียร์ ไม่ใช่ผู้ถูกเลือกหรือคาตาลิสต์ แต่เป็นหญิงสาวที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
หญิงสาวปริศนาในชุดเดรสสีดำที่ไม่ค่อยจะเข้ากับยุคสมัยจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่รู้อารมณ์ เมื่อสังเกตให้ดีก็พบว่าสาวประหลาดผู้นี้กำลังอุ้มตัวอ่อนแวนเดียร์ตัวหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนของเธอ
"เธอเป็นใครกัน..."
"อ.. คา.. ลา..." หญิงสาวชุดดำไม่ได้เผยอปากพูดแม้แต่น้อยแต่กิลเลนกลับได้ยินชื่อของเธออย่างชัดเจน เขาสังหรณ์ใจบางอย่างจึงเปิดแผนที่ดูอีกครั้งและก็จริงดังคาด
ในห้องนั้น มีจุดสีน้ำเงินเพียงสองจุดคือของเขาและบากะอินุที่กำลังเห่าใส่ผู้หญิงปริศนาคนนี้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้ปรากฏขึ้นบนนั้นเลย เธอไม่มีสัญญาณชีพที่แม้แต่แวนเดียร์ก็ควรจะมี
...หรือว่าเป็นผี...
...ชิบห...แล้วไง...