บทที่ 19 เรื่องของอดีต [3]
บทที่ 19 เรื่องของอดีต [3]
“เขา...คือบิดาของข้า”
บิดา...คำนี้มีความหมายยิ่งนัก
สไปค์เองก็มีบิดา และบิดายังสำคัญต่อเขามาก เขารับรู้ว่ามันหมายถึงอะไร
อาเทียร์ไม่อาจทรยศต่อบิดาได้ ไม่สามารถต่อสู้หรือสังหารบิดาตนได้ เพราะเหตุนั้นเธอจึงต้องรับฟังคำสั่งของเขามาตลอด แต่อย่างน้อยเธอยังแสดงการขัดขืนต่อคำสั่งด้วยการที่ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้รับมอบหมาย
ทั้งอย่างนั้นเรื่องราวก็จบลงด้วยการที่อาเทียร์จำเป็นจะต้องจากหมู่บ้านวาตะนี้ไปโดยไม่ได้บอกร่ำลาใคร ซึ่งสไปค์ไม่สามารถยอมรับได้อย่างเด็ดขาด เธอดีต่อทุกคนมาตลอด หากต้องจากไปโดยทิ้งความรู้สึกอาวรณ์นี้ไว้ ใครมันจะไปยอมรับได้กัน
“ถ้าเจ้ายังดึงดันจะต่อสู้หรือขัดขวาง ข้าก็คงต้องเป็นคู่มือให้” อาเทียร์ไม่เพียงพูดปากเปล่า เธอยังเปล่งรัศมีปราณเข้าขู่
จิตใจสไปค์ยิ่งทวีความเศร้าหนักมากขึ้น เขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะมีวันที่ตนต้องมายืนประจันหน้ากับเธอได้แบบนี้ มันกะทันหันเกินไป เขาตั้งรับความรู้สึกที่ประดังเข้ามานี้ไม่ทัน
“สไปค์!” จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากข้างหลัง “อย่าได้ลังเลในการตัดสินใจ จงคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องและควรทำ!”
เป็นเสียงของครูฝึกซึ่งเกาะขอบเนินสูงอยู่ด้านบน
สิ่งที่ถูกต้องและควรทำงั้นหรือ...?
“แล้วข้าต้องทำยังไงกันล่ะ” สไปค์เปล่งรัศมีปราณไร้ลักษณ์ออกมาต่อต้าน พลังของเขากับอาเทียร์ประสานเข้าด้วยกัน ส่งมอบความรู้สึกต่าง ๆ นานาเข้าปะทะกันจนแผ่นดินสั่นไหว อากาศสะเทือน
“ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ จนแล้วจนรอดเจ้าก็ตัดสินใจจะต่อสู้กับอาเทียร์จนได้รึ สุดท้ายมนุษย์ก็ต้องต่อสู้กับมารอยู่ดีสินะ” จ่าฝูงมารหมาป่ากล่าวด้วยรอยยิ้มแสยะอย่างพึงพอใจ
สไปค์กับอาเทียร์ไม่พูดไม่จาอะไรอีก ตลอดเวลาที่ผ่านมาสไปค์ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เพื่อสร้างพลังที่สามารถต่อสู้กับมารได้ แต่ไม่นึกว่ามารตนแรกที่เขาต้องเผชิญหลังจากฝึกฝนมากว่าสามเดือนจะกลายเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่ดีต่อเขามาตลอดอย่างอาเทียร์
ทั้งสองจ้องตากัน ในแววตาปรากฏความรู้สึกมากมาย
“ย้าก!” สไปค์กู่ร้อง เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมกับปราณไร้ลักษณ์ อาเทียร์เคยเห็นพลังของปราณนี้ตั้งแต่ตอนที่มารสามตนบุกรุกเข้ามา เธอไม่รู้จักปราณนี้ก็จริงแต่ก็คงจะประมาทไม่ได้ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหน
ปราณหมาป่าของอาเทียร์ครอบคลุมร่างเธอ ส่งผลให้พละกำลัง ความเร็ว ทุกอย่างเพิ่มขึ้นอย่างพร้อมเพรียงไม่เว้นแม้กระทั่งสติรับรู้และปฏิกิริยาตอบสนองอย่างทันท่วงที เธอเหวี่ยงปลายเล็บอันแหลมคมใส่สไปค์ที่พุ่งเข้ามา
สไปค์มองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทุกอย่างดูเชื่องช้าราวกับเป็นภาพสโลว์โมชั่น
นิ่งไว้...ใจเย็น...มองดูการจู่โจมนั่นให้ดี...
การฝึกฝนตลอดสามเดือนกับปราณไร้ลักษณ์ทำให้สไปค์รับรู้ว่าแท้จริงแล้วพลังปราณนี้มีกระบวนท่าเฉพาะตัวแฝงอยู่
วิชายุทธ์ที่หล่อหลอมขึ้นจากพลังปราณ สไปค์รู้สึกถึงสิ่งนี้มาได้สักพักแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามันมีชื่อเรียกว่าอย่างไรก็เท่านั้น
ในการรับมือกับปราณหมาป่านี้...
การจู่โจมของอาเทียร์รวดเร็วและฉับไว แต่พอเกิดขึ้นกับสไปค์เขากลับรู้สึกว่ามันเชื่องช้าจนมีเวลาให้คิดอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ในสายตาของอาเทียร์เธอมองเห็นร่างของสไปค์เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วหลบการจู่โจมของเธอได้อย่างหมดจด แต่ในสายตาของสไปค์ เขากลับไม่คิดว่าตนเองเคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนั้น เพียงแต่อีกฝ่ายช้าเกินไปมากกว่า
ทั้งหมดเป็นผลที่เกิดมาจากปราณไร้ลักษณ์!
มันช่วยเพิ่มสติรับรู้ให้เขาเหนือกว่าอีกฝ่าย และยังช่วยทำให้เขามองเห็นจุดอ่อนของกระบวนท่าที่อีกฝ่ายแสดงออกมา
ก่อนจะตอบโต้ด้วยการทำลายกระบวนท่านั้นแล้วกำจัดอีกฝ่ายอย่างทารุณ!
รับเพื่อรุก... นี่ก็คือพลังของปราณไร้ลักษณ์ที่สไปค์ได้เรียนรู้มาตลอดสามเดือนที่ผ่านมา!
เด็กหนุ่มอาศัยความพลิกแพลงไร้ขีดจำกัดของกระบวนท่าไร้ลักษณ์สยบการเคลื่อนไหวอันหมดจดของอาเทียร์ เขาคว้าข้อมือของเธอได้ก่อนจะพลิกร่างของเธอให้หมุนคว้างกับอากาศ และเมื่อเท้าอาเทียร์สัมผัสพื้นอีกครั้งก็พบว่าตนเองถูกอีกฝ่ายล็อคแขนเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
“ครูฝึก!”
เหมือนเตรียมการกันมาก่อน ครูฝึกเล็งเห็นโอกาสที่สไปค์สร้างขึ้นอย่างแม่นยำ เขาพุ่งตัวลงมาจากเบื้องบนและตรงเข้าจับแขนของอาเทียร์ล็อคเอาไว้ ปล่อยให้สไปค์พุ่งตัวออกไปหมายจะจัดการศัตรูที่แท้จริง
ฝูงมารมนุษย์หมาป่าจำนวนมากมีท่าทีสับสนระคนตกใจ พวกมันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเมื่อได้เห็นนายหญิงของพวกมันโดนจับเอาไว้เหมือนเป็นตัวประกันแบบนั้น
“อย่าสับสน บุกเข้าไปเลย!” จ่าฝูงมารหมาป่ากลับตะโกนไล่ความลังเลนั้นออกไป ทันใดนั้นเหล่าสมุนมารหมาป่าก็พุ่งกระโจนเข้าหาสไปค์ที่กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการโจมตีทั้งหมด ท่ามกลางพายุเล็บอันแหลมคมที่บังเกิดจากรอบทิศทาง สไปค์มองสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับภาพสโลว์โมชั่น เขาหมุนกายเหมือนตนเองเป็นลูกข่าง พลังปราณไร้ลักษณ์กระจายตัวออกมา กระแทกเอาร่างสมุนมารหมาป่ากระเด็นออกไปไกล
“สุดยอด...”
พอหยุดการหมุน เจ้าตัวก็พูดออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต่อสู้อย่างจริงจังในฐานะของผู้ใช้พลังปราณ และก็ไม่คาดฝันว่ามันจะร้ายกาจมากถึงขนาดนี้
เขาไม่ได้ฝึกฝนกระบวนยุทธ์อะไรนอกเสียจากการออกหมัดออกเท้าแบบพื้นฐานเท่านั้น ดังนั้นทุกสิ่งที่ปรากฏออกมาล้วนเกิดจากปราณไร้ลักษณ์รังสรรค์ให้เกิดขึ้นมาเอง
มันทำให้เขากลายเป็นยอดฝีมือที่สามารถต่อสู้ได้อย่างเข้มแข็งจนตัวเขาเองยังตกใจ!
“ต่อไปก็ตาแกล่ะนะ!” สไปค์พุ่งทะยานเข้าหาจ่าฝูงมารหมาป่าหมายจะกำจัดมันทันที
แต่ดูเหมือนเขาจะมั่นใจเกินไปหน่อย
ฉัวะ!
“อึ๊ก!”
กรงเล็บแหลมคมตวัดเข้าที่กลางลำตัว ก่อนจะตามมาด้วยพายุกรงเล็บอีกหลายตลบ สร้างรอยแผลจำนวนมากบนร่างกายของสไปค์
“ท...ทำไม!?” สไปค์แปลกใจ เขามองไม่เห็นการจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามทั้งที่ปราณไร้ลักษณ์ก็ยังทำงานอยู่เหมือนเดิม หรือเป็นเพราะความเร็วของเจ้านี่มันสูงเกินกว่าจะตามได้ทัน?
“คิดว่าเก่งมากนักหรือไง ไอ้หนู! อย่าดูถูกข้า!” จ่าฝูงพุ่งตัวเข้ามา เอาเล็บตะปบร่างของสไปค์ลงกระแทกกับพื้นจนพื้นถ้ำแตกกระเจิงเป็นหลุมขนาดใหญ่ เขาใช้แรงมหาศาลกดร่างของสไปค์ไว้อย่างหนักหน่วงจนขยับไปไหนไม่ได้ เด็กหนุ่มเอามือทั้งสองจับกรงเล็บมันและพยายามจะแงะออกให้ได้ แต่เรี่ยวแรงต่างกันเกินไป
“ตายยย!!!”
“อ๊ากกก” เสียงกรีดร้องของสไปค์ดังลั่นไปทั่วท้องถ้ำ ทำเอาครูฝึกเกือบจะเสียสมาธิในการจับอาเทียร์เอาไว้
“ปล่อยข้านะ เห็นมั้ย เขาจะตายอยู่แล้ว!” อาเทียร์ตะโกนกลับหลัง เธอพยายามคลายล็อคจากครูฝึก แต่เพราะถูกจับไว้ด้วยพลังปราณจึงไม่สามารถดิ้นหลุดได้
ครูฝึกไม่ตอบอะไรกลับไป จริง ๆ เขาเองก็ค่อนข้างสับสนต่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่าควรทำอะไรระหว่างปล่อยอาเทียร์แล้วตรงเข้าไปช่วยเหลือสไปค์ที่กำลังจะตาย
“ไม่ต้องเข้ามา!” แต่สไปค์กลับตะโกนขึ้นทำลายความสับสนของครูฝึก “อย่าให้อาเทียร์หลุดออกมาได้ ข้าจะจัดการเจ้าบ้านี่เอง” ขณะที่พูดก็กระอักเลือดออกจากริมฝีปากเรื่อย ๆ สภาพดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่นัก
ทำไมถึงอ่านการจู่โจมของมันไม่ออก?
แน่นอนว่านี่เป็นข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่มี เพราะเท่าที่เขารู้มาจากการฝึกฝนอย่างหนัก ปราณไร้ลักษณ์นั้นมีกลไกความสามารถในการอ่านพลังต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นปราณหรือกระบวนท่า แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป
‘เพราะเจ้าต้องรู้จักพลังของตัวเองให้ดีกว่านี้ยังไงล่ะ’
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในใจ ชัดเจนจนคิดว่ามีใครมากระซิบอยู่ข้างหู
“แกพูดบ้าอะไรของแก” สไปค์กล่าวกับจ่าฝูงมารหมาป่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไปด้วยความอึดอัด
“พล่ามบ้าอะไรของเจ้าวะไอ้หนู อยากโดนหนักกว่านี้เรอะ” แต่จ่าฝูงกลับทำเหมือนไม่รู้เรื่อง
‘เจ้าเด็กโง่ คนที่พูดกับเจ้าคือข้า ไม่ใช่ไอ้หมางี่เง่านี่’
“ก...แกเป็นใคร”
“อ๋า? เพ้อเจ้ออะไรวะ”
‘อย่างี่เง่าออกเสียงสิ มีใครบ้างมองคนอื่นพูดคนเดียวแล้วไม่คิดว่าเป็นบ้า’
สไปค์เงียบไปทันที ในใจก็คิดว่าถ้าไม่ให้พูดแล้วจะสื่อสารยังไงกัน
‘ฟังข้าคนเดียวก็พอ ก่อนอื่นเลยนะไอ้หนู ตอนนี้เจ้าใช้เคล็ดหักเขี้ยวได้แล้ว วิชานี้เหมาะที่จะใช้ปราบพวกหมางี่เง่านี่มากที่สุด’
‘ที่ผ่านมาข้าแค่ใช้มันแทนเจ้า แต่หลังจากนี้เจ้าต้องลงมือด้วยตัวเอง’
‘กำจัดมันด้วยตัวเองซะ!’
เสียงนั้นเงียบไป ฉับพลันสติของสไปค์ก็เหมือนรับรู้อะไรหลายอย่างมากมาย มันค่อย ๆ เทเข้ามาในสมองจนแทบล้น เขารู้สึกว่านี่ก็คือ เคล็ดหักเขี้ยว ที่เสียงปริศนาบอกมา
ใช้มันด้วยตัวเองงั้นรึ
“ว้ากก!!!”
ปราณประสานปราณ เมื่อปราณหมาป่าปะทะกับเข้าปราณไร้ลักษณ์ ส่งผลให้ถูกลบออกไปทันที ร่างของจ่าฝูงกระเด็นเด้งขึ้นไปบนอากาศ สไปค์พลิกตัวขึ้นมายืนอีกครั้ง บาดแผลทั่วทั้งร่างกายกำลังสมานตัวเองอย่างน่าอัศจรรย์
‘ยังมีอีกหลายอย่างที่เจ้าต้องรู้เกี่ยวกับพลังปราณของเจ้า’
สไปค์ดีดตัวพุ่งเข้าหาจ่าฝูงร่างใหญ่ด้วยตัวเอง ทั่วร่างเขาห่อหุ้มด้วยพลังปราณ เตรียมจะกำจัดอีกฝ่ายให้ราบคาบไป จ่าฝูงมารพยายามรีดเร้นพลังปราณของตนเองออกมา แต่ยิ่งแสดงพลังออกมามากเท่าไหร่กลับยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองโดนกดดันมากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วเขาก็โดนสไปค์เตะเข้าที่ท้อง ต่อยเข้าที่หน้า ถูกมือที่กุมเข้าด้วยกันเหวี่ยงฟาดลงมากระแทกกับพื้นถ้ำ สไปค์ตามลงมาด้านล่างและตั้งใจจะปิดฉากการต่อสู้อันยืดเยื้อนี้ลงซะ
“หยุดนะ!”
ทว่าตอนนั้นเขากลับได้ยินเสียงของอาเทียร์ดังขึ้นมาขัดจังหวะ เด็กหนุ่มหยุดการจู่โจมอย่างกะทันหันพลางถอยร่นออกไปหลายก้าว หากเสียงนั้นดังขึ้นช้ากว่านี้อีกนิด เขาคงจะกำจัดเจ้าจ่าฝูงนี่ไปแล้ว
พลังตอนนี้เอ่อล้นท่วมท้นไปทั้งร่างจนมอบความรู้สึกแปลกประหลาดให้ เขารู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้นนับสิบถึงยี่สิบเท่า อย่าบอกนะว่านี่คืออำนาจของพลังปราณไร้ลักษณ์?
“ถ้าจะฆ่าเขา ก็ฆ่าข้าก่อน!” อาเทียร์ใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของครูฝึก และดูเหมือนว่าครูฝึกเองจะจงใจลดพลังของตัวเองลงจึงทำให้เธอหลุดจากการควบคุมมา บางทีอาจเป็นเพราะครูฝึกเองก็เหนื่อยล้าจากการใช้พลังต่อเนื่องเหมือนกัน
อาเทียร์ตรงเข้าไปขวางร่างของจ่าฝูงเอาไว้ด้วยแววตาที่แน่วแน่ นั่นยิ่งทำให้สไปค์ลำบากใจมากยิ่งขึ้น การกระทำนี้แม้กระทั่งสมุนหมาป่าที่ถูกอัดกระเด็นไปก่อนหน้ายังไม่กล้าเสนอตัวเข้ามายุ่งเกี่ยว ความจริงการจู่โจมของสไปค์ไม่ได้ทำให้พวกมันหมอบราบคาบแก้วเร็วขนาดนั้น แต่พอถูกอัดกระเด็นไปสักรอบกลับไม่กล้าพุ่งเข้ามาจู่โจมอีก บางทีอาจจะเป็นสัญชาตญาณส่วนตัวของพวกมันเวลาเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าก็เป็นได้
สไปค์ซึ่งเปล่งพลังปราณไร้ลักษณ์ออกมา พลังท่วมท้นจนสลัดคราบเด็กน้อยวัยสิบขวบไปอย่างหมดจด นี่ก็เป็นเหมือนกับห่วงโซ่อาหาร เมื่อรับรู้ถึงสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่าย่อมไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยว มีแต่จะต้องหลีกหนีไปให้ไกลเพื่อการอยู่รอดของตน
“ถอยไปอาเทียร์ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?” สไปค์พยายามพูดให้อาเทียร์เปลี่ยนใจ แม้ว่าแววตาอันแน่วแน่นั้นจะไม่สั่นไหวเลยก็ตาม
“ข้าไม่สามารถทรยศต่อบิดาข้าได้ ใจหนึ่งก็ไม่อยากทำร้ายเจ้าเช่นกัน” คำตอบของอาเทียร์แม้ไม่เป็นไปตามที่สไปค์หวัง แต่เธอก็ตอบได้ตรงตามที่สไปค์คิดเอาไว้ “อย่าทำให้ข้าลำบากใจไปมากกว่านี้เลย”
สไปค์แอบคิดในใจ ถ้าเช่นนั้นจะให้ข้าทำยังไง?
คนที่ลำบากใจคือข้าคนนี้ไม่ใช่รึไง...
ความสับสนที่มีแสดงออกมาทางสีหน้าของเด็กหนุ่มอย่างเห็นได้ชัด
“ได้โปรด...” อาเทียร์กล่าววิงวอน “ช่วยปล่อยพวกเราไปเถอะ”
“สไปค์ คิดให้ดีนะ สองคนนั้นคือมาร ไม่ใช่สหายของเจ้าอีกต่อไปแล้วนะ!”
เสียงของครูฝึกดังไล่หลังมา นั่นช่วยทำให้สไปค์ตัดสินใจยากขึ้นไปอีก
“อย่าปล่อยสองคนนั้นไปเด็ดขาด อย่าลืมว่าหมู่บ้านเราเคยประสบปัญหาจากมารมายังไงบ้าง!”
ใช่แล้ว เรื่องนี้สไปค์ก็รับรู้เช่นกัน ที่เขาตั้งใจฝึกฝนเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งส่วนหนึ่งก็เพื่อปกป้องหมู่บ้านไม่ใช่หรือ เขาเคยปฏิญาณตนหนักแน่นว่าสักวันหนึ่งจะจัดการเผ่ามารให้ได้ด้วยตนเองไม่ใช่หรือ แล้วทำไมพอมารที่ว่าเป็นคนที่เขารู้จัก เป็นสหายคนที่ใจดีกับเขามากที่สุด ตัวเขาถึงได้ลังเลแบบนี้
เธอไม่ได้สนิทกับเขาถึงขนาดที่เขาจะต้องลังเลใจไม่ใช่หรือไง
รอยยิ้มของอาเทียร์ในรูปลักษณ์ของมนุษย์ปรากฏอยู่ในห้วงความคิดคำนึง สไปค์มองภาพนั้นสลับกับรูปลักษณ์ปัจจุบันของเธอ พลางสะบัดศีรษะไล่ภาพนั้นให้หายไป เขาไม่ได้เตรียมใจรับมือเรื่องนี้เลยสักนิด มันกะทันหันเกินไปสำหรับเด็กอย่างเขา
จะปล่อยเธอไปก็ไม่ได้ จะสังหารเธอยิ่งทำไม่ได้
“ทำไมเจ้าต้องเป็นมารด้วยนะ...” อารมณ์สับสนทำให้บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไป ความขุ่นมัวเริ่มรวมตัวกันจนก่อเกิดเป็นความรู้สึกขุ่นมัว ปราณไร้ลักษณ์สีม่วงเข้มพลันเปลี่ยนแปรเป็นสีดำสนิท ดวงตาของสไปค์เริ่มเหม่อลอยเหมือนคนไม่มีสติ นี่มันเหมือนกับเมื่อสามเดือนก่อนนั้นไม่มีผิด
อาเทียร์มีสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อได้รับรู้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น และถ้ามันเป็นอย่างที่เธอคิดล่ะก็...
เปรี้ยง!!
ร่างของอาเทียร์ถูกปัดกระเด็นไปอัดกับผนังถ้ำในพริบตาเดียว สไปค์ในโหมดไร้สติซึ่งถูกห่อหุ้มร่างกายไว้ด้วยปราณสีดำเมี่ยมตรงเข้าใช้ฝ่ามือบีบไปที่ลอคำใหญ่ ๆ ของจ่าฝูงมารหมาป่า เขาใช้แขนเพียงข้างเดียวยกคอมันขึ้นจนเท้าไม่ติดพื้น เด็กหนุ่มมองไปที่ใบหน้าของมารตรงหน้าด้วยความรู้สึกเวทนา
“เป็นความผิดของแก” หมัดจากแขนที่ว่างอยู่เงื้อขึ้นสูง “เพราะแกคนเดียว”
ผัวะ!!
มารร่างใหญ่กว่าห้าเมตรถูกเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าหลายเท่ายกตัวเองขึ้นด้วยแขนเพียงข้างเดียว ก่อนจะใช้หมัดที่ว่างอยู่ระดมอัดเข้าไปอย่างถี่รัว ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ต่างต้องคิดไปในทิศทางเดียวว่านี่มันบ้าสิ้นดี แต่หากลองสังเกตดี ๆ จะพบได้ว่าร่างของจ่าฝูงมารไม่ได้ถูกจับไว้ แต่มันลอยอยู่เหนือฝ่ามือของสไปค์ขึ้นไปอีก ด้วยอำนาจบางอย่างทำให้สไปค์สามารถควบคุมตัวมันได้แม้ไม่ต้องใช้มือสัมผัส
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
เสียงต่อยดังขึ้นถี่รัว เป็นการต่อยผ่านอากาศแล้วส่งแรงอัดกระแทกไปตามลม การจะทำแบบนี้ได้จำเป็นจะต้องมีพลังปราณไม่ต่ำไปกว่าระดับสาม ซึ่งสไปค์ในตอนนี้ยังไม่ได้บรรลุถึงขั้นนั้น ทั้งที่เป็นอย่างนั้นเขากลับแสดงพลังระดับนี้ออกมาได้ เป็นเรื่องที่น่าแปลกจริง ๆ
สไปค์ลงมืออย่างทารุณโดยไม่ปล่อยจังหวะให้อีกฝ่ายพูดหรือหายใจ พลังที่อีกฝ่ายเปล่งออกมาต่อต้านเริ่มเบาบางลง เป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานคงจะสิ้นสุดแล้ว
ครูฝึกมองภาพความเหี้ยมโหดตรงหน้าแล้วก็รู้สึกตกใจไม่น้อย นี่คือศิษย์ที่สามเดือนก่อนหน้าเขาคิดว่ามีฝีมือล้าหลังที่สุดในบรรดาศิษย์ทุกคนอย่างงั้นสินะ แต่ดูนี่สิ เขากำลังทำเรื่องที่แม้แต่ครูฝึกอย่างเขายังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“อั่ก...ค...ค่อก...” จ่าฝูงหมาป่ากระอักเอาก้อนเลือดออกมาก่อนจะถูกทิ้งร่างลงไว้กับพื้น สภาพสะบักสะบอมจนทนดูไม่ได้
นาทีนั้นมันหันมามองที่สไปค์ และพบเห็นว่าบาดแผลทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้นบนร่างกายอีกฝ่าย ล้วนถูกอะไรบางอย่างฟื้นฟูจนหายดีดังเดิม เหมือนไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน
“นี่มันอะไรกัน...” มันเค้นเสียงพูดออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
สไปค์ที่ในตอนนี้ไม่ได้มีสติรับรู้ย่อมไม่ได้ยินเสียงพูดของมัน เขาย่อมไม่มีทางรู้ว่าบาดแผลบนร่างกายสมานตัวเองได้สักพักแล้ว และในความจริงเรื่องนี้ไม่ได้พึ่งเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้นก็คือตอนที่เขาโดนฝูงหมาป่าที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเฟียร์เล่นงาน หลังจากที่ถูกช่วยเหลือเอาไว้โดยฟลอร์เลนและนำมาส่งที่หมู่บ้านแล้ว ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตนเองไม่มีบาดแผลจากพวกหมาป่าพวกนั้นเลย ทำเอาคิดว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน หากแต่มันคือความจริง
พลังในการฟื้นฟูบาดแผลล้วนไม่ได้เกิดจากปาฏิหาริย์หรือการหยิบยื่นพลังจากใคร หากแต่เป็นความสามารถพิเศษของปราณไร้ลักษณ์ที่แฝงอยู่ในตัวเขาต่างหาก!
สไปค์เดินไปหาจ่าฝูงเหมือนคนใจลอยคิดเรื่องอื่น แต่จิตสังหารกลับนิ่งสงบไม่เปลี่ยนเป้าหมายเดิม
เขายกมือขวาขึ้นกางไว้เหนือศีรษะ ก้อนแสงสีดำปรากฏขึ้นก่อนจะยืดตัวออกกลายเป็นหอกแหลมคมลอยอยู่บนฝ่ามือ มันสั่นสะท้านผิวอากาศจนมองเห็นภาพสั่นไหวรอบบริเวณนั้น สไปค์เหยียดแขนไปด้านหลัง เตรียมเหวี่ยงหอกเล่มนั้นอย่างเต็มกำลัง
ชั่วขณะของวินาทีแห่งความเป็นตาย อาเทียร์กลับพุ่งเข้ามาขวางไว้ เธอตวัดเล็บแหลมคมใส่หอกสีดำของสไปค์เพื่อหวังจะทำลายมัน แต่หอกสีดำเล่มนั้นกลับดีดร่างของเธอออกจนกระเด็นไปไกล สไปค์ชะงักไปชั่วเสี้ยววินาทีหลังจากที่เห็นอาเทียร์ปรากฏตัวเข้ามาขวาง
‘นั่นแหละ แสดงพลังที่แท้จริงของเจ้าออกมา แล้วกำจัดพวกมันให้ราบคาบซะ’
เสียงอันทรงพลังดังกึกก้องอยู่ในจิตใจ ราวกับต้องการจะควบคุมความคิดของเด็กหนุ่มเอาไว้
ทันใดนั้นเอง
สวบบ!
ร่างของสไปค์กลายเป็นรูโหว่ในพริบตาที่เกิดช่องว่าง ผู้ที่แทงทะลุร่างเขาไม่ใช่ใครอื่น
อาเทียร์...
เธอแทงเขาพร้อมน้ำตาที่หลั่งออกมา
ปราณสีดำที่ห่อหุ้มร่างสลายออกไปเหมือนเศษริ้วกระจัดกระจาย สไปค์ฟื้นคืนสติมาได้และพบว่าอกของตนถูกแขนเรียวเล็กของเด็กสาวแทงกลายเป็นรูทะลุถึงกลางแผ่นหลัง เธอดึงแขนของตนกลับมาและมองดูร่างของสไปค์ที่กระตุกขึ้นและทรุดเข่าล้มลง เลือดไหลออกจากปากแผลพร้อมกับริมฝีปากที่ค่อย ๆ กระอักเอาก้อนเลือดออกตามกันมา
“ฮึก...ข้า...ข้าขอโทษ...สไปค์” เธอร่ำไห้ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์
“ดีมาก” จ่าฝูงมารหมาป่าผู้เป็นบิดาของเธอเดินเอียดอาดมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บที่ยังไม่ทุเลาลง สีหน้าของหมาป่าแม้ดูออกยาก แต่ก็ยังพอมองออกว่าเขากำลังปลื้มปิติต่อสิ่งที่ลูกสาวทำลงไป
“ผลงานครั้งนี้จะต้องทำให้พวกเราทั้งหมดยอมรับในความผิดพลาดที่เจ้าไม่ทำตามแผนการที่วางไว้”
อาเทียร์ทรุดเข่าลง ร่ำไห้เสียงดังไม่ยอมหยุด ในขณะที่บิดาของเธอส่งเสียงหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ
แต่ความยินดีมักจะเกิดขึ้นมาได้ไม่นาน
ฉัวะ!!
คอของจ่าฝูงถูกมีดสั้นปลายแหลมตัดขาดในชั่วเสี้ยวจังหวะที่มันประมาทจนลดการป้องกันลง มันคงลืมไปเสียสนิทว่าที่แห่งนี้นอกจากพวกมันแล้วยังมีมนุษย์อีกคนที่เฝ้ารอโอกาสนี้มาเนิ่นนาน คราวนี้ครูฝึกไม่คิดประมาทเช่นเดิม เขาตวัดมีดคู่ในมือทั้งสองอย่างเชี่ยวชาญ ห่อหุ้มด้วยปราณ ทำลายศีรษะของมารร้ายตรงหน้าอย่างโหดเหี้ยมไม่รอให้อาการบาดเจ็บฟื้นฟูตัวได้
อาเทียร์มองภาพที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ บิดาของเธอถูกสังหารแท้ ๆ แต่จิตใจตอนนี้กลับเหมือนว่างเปล่า เธอไม่ห้ามปรามครูฝึก แต่กลับปล่อยให้เขาดำเนินการแบบนี้ต่อไปจนในที่สุดบิดาของเธอก็ถูกฆ่าจนตาย
มีดสั้นจากมือขวาจ่อเข้าที่ต้นคอเธอ
“เจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ดีต่อข้าและทุกคนมาเสมอ ข้ายินดีที่ครั้งหนึ่งได้มีเจ้าเป็นศิษย์” ครูฝึกกล่าวออกมา แววตาทั้งคู่แม้มองดูเด็ดเดี่ยวแต่กลับแฝงอารมณ์อ่อนไหวต่อเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
“ข้าไม่เป็นไร” อาเทียร์กล่าว แม้ใบหน้ายามนี้จะเปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา แต่เธอก็ยินดียอมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ในหนทางที่กลับไปไม่ได้ และไปต่อไม่ได้ หากจบลงแค่ตรงนี้ก็นับว่าเหมาะสมที่สุด
“ฝากท่านช่วยดูแลเขาด้วย และบอกเขาทีว่าข้าขอโทษ ข้าไม่ได้อยากจะหลอกเขาเลย”
“ข้ารู้”
“หากเป็นไปได้ ข้าไม่ได้อยากเกิดมาเป็นมาร ข้าอยากเป็นมนุษย์ เพื่ออยู่ร่วมกับพวกท่าน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสันติ”
“ข้ารู้”
“พอแล้วล่ะ อย่ายื้อให้เวลาเดินต่อไปอีกเลย”
สิ้นสุดคำลา ครูฝึกก็เงื้อมีดขึ้นมาอีกครั้ง เตรียมลงมือสังหารลูกศิษย์ที่เฝ้าฝึกสอนมาหลายปี สีหน้าของครูฝึกหากเปรียบกับสไปค์แล้วดูจะตัดขาดจากความลังเลมากกว่า ในสถานการณ์แบบนี้เขาที่เป็นผู้ใหญ่กว่ากลับสามารถลงมือได้อย่างเลือดเย็น โดยไม่สนว่าจะกระทบกระเทือนกับความรู้สึกของตัวเอง
“ท่านคิดจะทำอะไร?”
แต่แล้วเสียงของสไปค์ก็ดังขึ้น ทั้งคู่ตกใจจนต้องหันไปมองยังทิศทางที่สไปค์นอนอยู่ ปรากฏว่าตรงนั้นไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยนอกจากคราบเลือดเปล่า ๆ เท่านั้น
เพราะตอนนี้สไปค์ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าอาเทียร์แล้ว
“หากต้องสังหารเจ้า...” สไปค์เอ่ยคำพูดอย่างยากเย็น แม้บาดแผลจะเริ่มสมานตัวดีขึ้น แต่ก็ยังคงมีอาการบาดเจ็บตกค้างอยู่ เพียงแต่รูที่อกดูเหมือนจะสมานกันเกือบหมดแล้ว นี่มันเป็นพลังรักษาตัวเองที่บ้าบอสิ้นดี ครูฝึกคิดแบบนั้น
“ข้าจะเป็นคนลงมือเอง”
“ถ้าตายด้วยมือเจ้า ข้าก็ยินดี”
อาเทียร์ส่งมอบรอยยิ้มและคำพูดให้กับเด็กหนุ่มเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
หลังจากเรื่องนี้จบลง ครูฝึกได้ใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง ว่าเพราะเหตุใดหมู่บ้านที่ไม่ได้เข้มแข็งอย่างหมู่บ้านวาตะจึงจำเป็นจะต้องอาศัยวิธีการกำจัดด้วยการส่งเด็กผู้หญิงเข้ามาแทรกซึม ถ้าบุกมาตรง ๆ พร้อมกับสมุนหมาป่าล่ะก็ ไหนเลยนักรบในหมู่บ้านจะสามารถต้านทานได้
เขาคิดคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เมื่อนึกถึงขุมพลังที่สไปค์แสดงมันออกมาก่อนหน้านี้
บางทีอาจจะมีสัมผัสอันตรายบางอย่างคอยบอกพวกมันอยู่เสมอ ว่าหมู่บ้านนี้มีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาแฝงอยู่ และมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ
ปราณไร้ลักษณ์...ความสามารถที่ยังไม่ระบุชัดว่าทำอะไรได้บ้าง เพียงแค่แสดงออกมาไม่กี่อย่างนี้ก็ยังคุกคามทุกสิ่งอย่างได้อย่างไม่ยากเย็นแล้วกระมัง...
“หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาข้าก็ตั้งปณิธานแรงกล้าว่าจะเข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อต่อสู้กับมารที่ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน” สไปค์กล่าวกับมีลาร์หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง “อาเทียร์เป็นเพื่อนที่ดีกับข้าที่สุด เวลาที่มองดูท้องฟ้าข้ามักจะเห็นใบหน้าของอาเทียร์ลอยผ่านเข้ามา”
“ข้าได้ยินเสียงเธอกระซิบข้างหูเบา ๆ เหมือนเป็นเสียงที่ลอยมาตามลม” รอยยิ้มของชายหนุ่มบ่งบอกถึงความคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด “เธอบอกกับข้าให้ข้าเข้มแข็ง และต้องต่อสู้ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร”
“ถึงว่าสิ ข้าก็คิดว่าเจ้ามันบ้าบิ่นพอสมควร”
“นั่นถือเป็นข้อดีของข้าเลยล่ะ” สไปค์ยิ้มตอบ
“เอาเถอะ ฟังเรื่องเล่าของเจ้ามามากพอแล้ว ทีนี้ก็มารับผิดชอบเรื่องเดิมที่เจ้าทิ้งไว้ซะโดยดี” มีลาร์เปลี่ยนเรื่องพร้อมกับสีหน้าที่เริ่มจริงจังมากขึ้น
“เฮ้อ...รู้แล้วน่า”
สไปค์ผละตัวออกจากริมหน้าต่าง ก่อนจะเดินตามมีลาร์ที่เดินนำออกไป สิ่งที่มีลาร์พูดถึงด้วยน้ำเสียงจริงจังนั้น ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยสักนิด
เพราะเมื่อทั้งสองเดินออกไปแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็เริ่มหมุนบิดเบี้ยวราวกับถูกอะไรบางอย่างบีบรัดเข้ามา อากาศบริเวณนี้สั่นสะเทือนและปริแตกจนมองเห็นรูที่เชื่อมกับโลกภายนอก
เดิมทีที่นี่ก็คือมิติอีกมิติหนึ่งที่เป็นเหมือนกับห้องส่วนตัวที่มีลาร์สร้างขึ้นมาจากพลังของตน แต่ตัวมันเองในตอนนี้ไม่สามารถคงอยู่ได้ถ้าหากขาดการส่งมอบพลังของตัวผู้สร้างอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น
สาเหตุมีเพียงหนึ่งเดียวก็คือการคงอยู่ของสไปค์และปราณไร้ลักษณ์
พลังแปลกปลอมนี้ทำลายห้องส่วนตัวของมีลาร์ไปจนแทบจะพังพินาศสิ้น ส่งผลให้มีลาร์แทบจะเป็นลมล้มพับลงไป เขาออกคำสั่งให้สไปค์ช่วยเขาซ่อมแซมห้องส่วนตัวห้องนี้ขึ้นมาใหม่ ไม่งั้นจะไม่ยอมเริ่มต้นการฝึกขั้นต่อไปอย่างเด็ดขาด
แม้ว่าตอนนี้จะได้เวลาที่งานประลองชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วก็ตาม...