บทที่ 11 : คำถาม
บทที่ 11 : คำถาม
บรรยากาศวิเวกเงียบงันไร้สิ่งใดจะรบกวนได้ภายในมิติเวลาปิดกั้นการรับรู้จากภายนอก ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านในก็จะไม่มีใครรู้ ด้วยว่ามันถูกแยกออกจากความเป็นจริงโดยสมบูรณ์ กลายเป็นพื้นที่แห่งความลับอย่างแท้จริง เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับทำการใดๆ ที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ เช่นทดลองสร้างศิลานักปราชญ์ สังเวยดวงวิญญาณเพื่อปรุงน้ำอมฤต แอบเข้าถึงมหาตำราต้องห้าม หรือแยกส่วนศึกษาผลงานเอกแห่งอาร์มุน
ทว่าข้อดีก็อาจกลับกลายเป็นข้อเสียได้ไม่ต่างอะไรจากดาบสองคม เมื่อบัดนี้ร่างสาวเท้าไม่แตะพื้น ห้อยคอล่องแล่งอยู่ในมือของตุ๊กตาสงคราม ดวงตามณีสีนิลที่จับจ้องใบหน้าแดงก่ำขึ้นสีของหญิงสาวไม่แสดงร่องรอยความรู้สึกใดๆ มันดูว่างเปล่าน่ากลัวราวกับพร้อมจะออกแรงหักคออีกฝ่ายทิ้งได้ตลอดเวลาและคงจะไม่มีใครรับรู้หรือช่วยอะไรได้เลยหากว่ามันเกิดขึ้นจริงในมิติเวลาแห่งนี้
แต่ขณะเดียวกันสาวเจ้ากลับไม่ดิ้นรนต่อสู้ นางเพียงปล่อยร่างของตัวเองให้ถูกกระทำเช่นนั้น ทั้งที่ลำคอถูกบีบรัดแน่นเสียจนเส้นเลือดปูดโปน เหลือกตาขาวดูใกล้จะหมดลมหายใจอยู่รอมร่อ ทั้งยังปรากฏรอยยิ้มผิดปกติฉีกกว้างบนใบหน้ายิ่งดูยิ่งผิดวิสัยคล้ายนางจะพอใจกับการถูกทรมานขาดอากาศ
จนในที่สุดชั่วอึดใจที่ม่านมิติกาลเวลาเริ่มวับไหวแตกร้าวบ่งบอกถึงสติที่จวนเจียนใกล้จะดับลงขององค์ราชินีนั้นเอง ที่นางเริ่มส่งเสียงบางอย่างออกมาจากลำคอยากจะฟังให้เข้าใจความหมาย แม้แต่ส่วนรับสัมผัสของหุ่นสงครามตรงนั้นก็ตีความไม่ออก ต้องขยับมือดึงร่างสาวเข้ามาใกล้ๆ
ทว่าฉับพลันทุกสิ่งที่ฮอรัสรับรู้ก็เปลี่ยนไป ภาพขององค์ราชินีตรงหน้าถูกแทนที่ด้วยภาพของอาร์มุนผู้สร้างซึ่งกำลังจ้องตอบเขากลับด้วยดวงตาช้ำเลือดจากลำคอที่ถูกบีบรัด ห้วงบรรยากาศหนักหน่วงขึ้นทันทีเมื่อร่างในมือหุ่นส่งเสียงอันคุ้นเคยในความทรงจำออกมา
“ลูกแม่...” เป็นเสี้ยวพริบตานั้นที่ประกายบางอย่างสะท้อนผ่านดวงตาสีนิล ขณะที่ฝ่ามือของฮอรัสเผลอคลายออกเล็กน้อยโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตั้งใจ
“ผู้สร้า…” ฮอรัสเอ่ยแผ่วเบาๆ ในลำคอไม่เต็มเสียงคล้ายไม่แน่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะจับจ้องร่างตรงหน้าด้วยสัมผัสประสาททุกอย่างเท่าที่ร่างหุ่นของเขาจะมีเพื่อพิสูจน์สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ด้วยรู้ดีว่าอาร์มุนนั้นไม่มีวันกลับคืนมา แต่มณีรู้แจ้งที่ใช้ทำดวงตาของเขาไม่มีวันผิดพลาด สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่ภาพลวงตาแน่ แต่ก็ไม่มีทางเป็นความจริง
และเป็นชั่วขณะแห่งความไม่แน่นอน ภาพของอาร์มุนพลันสลายไปพร้อมกับอีกเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยไม่ต่างกันซ้อนทับเข้ามา
“ไม่ใช่จ้ะ…” เสียงนุ่มนวลละมุนหวานแบบเผ่าพันธุ์แห่งป่าดังผ่านริมฝีปากขาวซีดของเอลีอาที่ฉีกยิ้มมาให้เขา เพียงแต่ยิ้มนี้ไม่ใช่ยิ้มแบบที่หุ่นสงครามคุ้นเคย มันไม่ใช่ยิ้มของเอลฟ์สาว เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เขาสัมผัสเป็นเพียงฉากที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากอำนาจเวทมนต์เหนือชั้นของใครบางคนเท่านั้น ก่อนที่เขาจะบีบข้อมืออย่างฉับพลันหมายมั่นทำลายอะไรก็ตามที่อยู่ในมือนั้น
แต่แล้วร่างเอลฟ์สาวก็กลับกลายเป็นฝุ่นผงร่วงหล่นลงบนพื้นไปทั้งอย่างนั้น
“เธอโกรธรึเปล่า ฮอรัส… นั่นคือความโกรธใช่รึเปล่า” ในชั่วขณะแห่งความสับสน เสียงขององค์ราชินีดังขึ้นที่มุมห้องห่างไปไม่ไกล มือขวากุมคทา มือซ้ายลูบคอระหงร่ายมนตร์เยียวยารักษาอาการบาดเจ็บที่คั่งค้าง เป็นการบ่งบอกว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริง นางถูกบีบคอจริงไม่ใช่ภาพลวง แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่ใหญ่เรื่องใหญ่ในเมื่อสุดท้ายแล้วนางก็สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์หลบเลี่ยงความตายมาได้อย่างง่ายดายเหมือนดีดนิ้ว
แม้ไม่อาจล่วงรู้ว่านางทำเช่นนั้นได้อย่างไร แต่ก็เพราะใช้ศาสตร์แห่งความลับและบิดเบือนความเป็นจริงได้เช่นนี้เองจึงถูกเรียกว่าจอมเวท ซ้ำนางยังเคยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในจอมเวทที่ทรงอำนาจเหนือจอมเวททั้งปวง เพียงจะควบคุมความนึกคิดของหุ่นตนเดียวคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร กระนั้นใครเล่าจะคาดเดาใจมหาจอมเวทได้
ใครจะรู้ มันอาจเป็นอุบัติเหตุจริงหรือนางอาจวางแผนให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ทั้งนั้น
หุ่นสงครามรีดเร้นสายธารแห่งชีวิตในเส้นอาเคนอัดไปตามสัมผัสประสาททั่วร่างเร่งความสามารถในการรับรู้ถึงขีดจำกัด ให้มั่นใจว่าคราวนี้เขาจะไม่ถูกปั่นหัวอีก แล้วทะยานตัวเองเข้าใส่เป้าหมายเพื่อทำการยืนยันภัยคุกคาม
ทว่าขยับได้ไม่ถึงองคุลี ร่างกายก็พลันหนักอึ้ง สัมผัสได้ถึงแรงกดทับขนาดมหาศาลราวกับจะสามารถบดขยี้โครงร่างโลหะให้แหลกเละได้ไม่ยากหากดึงดัน ต้องทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าอำนาจเวทมนต์เหนือล้ำของมหาราชินี
ต่อให้ถูกสร้างมาอย่างสมบูรณ์แบบเพียงใด แต่อย่างไรบนโลกนี้ก็มีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้าท้าทายสายตาดุกร้าวเอาจริงของมหาจอมเวทได้ และมันชัดเจนแล้วว่าฮอรัสไม่ใช่หนึ่งในนั้น
“โกรธจริงๆ ด้วย” องค์ราชินีเอ่ยเบาๆ ในลำคอ พอใจกับคำตอบที่นางตีความเอาเองโดยไม่รอให้อีกฝ่ายปริปากพูด “ยังไงก็เถอะ ดูท่าท่านอาร์มุนคงไม่ได้สอนเธอเรื่องการวางตัวต่อหน้าผู้อื่นละสิ งั้นเราจะสอนให้นะว่าสุภาพบุรุษจะไม่ทำร้ายผู้หญิงรู้มั้ย… ผู้หญิงอ่อนแอสู้แรงผู้ชายไม่ไหวหรอกนะฮอรัส”
หญิงสาวเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหุ่นสงคราม พลางว่าถึงเรื่องมารยาทสุภาพชนที่รู้กันโดยทั่วไป แต่ก็แอบอมยิ้มในตอนท้ายด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปมันขัดแย้งกับความเป็นจริงขนาดไหน ขนบคร่ำครึเช่นนี้คงใช้ได้แค่กับหญิงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้นไม่ใช่กับมหาจอมเวท หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่กับนักผจญภัย
“ท่านต้องการอะไร” ฮอรัสข่มเสียงเรียบไร้อารมณ์ผ่านริมฝีปาก เมื่อได้รับรู้อำนาจแท้จริงของหญิงสาว เขาอาจถูกสร้างและฝึกฝนมาให้สามารถต่อสู้ทำลายล้างกองทัพอสูรหรือดวลเดี่ยวประจันหน้ากับปีศาจ ทั้งยังสามารถดูดซับพลังเวทใดๆ มาใช้รักษาตัวเองได้ ฟังคล้ายจะเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ใช้ศาสตร์แห่งเวทมนตร์ ทว่าแท้จริงมันกลับไร้ค่าต่อหน้าจอมเวทผู้ชำนาญไหวพริบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้ามหาจอมเวท
เวทมนตร์บนโลกนี้มีนับหมื่นนับแสนรูปแบบเป็นศาสตร์แห่งความลี้ลับ ทั้งบิดเบือนมิติความเป็นจริง แทรกแซงกาลเวลาหรือเปลี่ยนแปลงความแตกต่างของแรงกดดัน กระทั่งการรังสรรค์ชีวิตขึ้นในร่างของหุ่นไม้ ทั้งหมดนั้นคือปลายทางผลลัพธ์ของเวทมนตร์ทั้งสิ้น
ลำพังความสามารถในการดูดกลืนพลังเวทของฮอรัสเปรียบเทียบแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับ 'ค้อน’ ในเกมเป่ายิ่งฉุบที่กฎเกณฑ์ไม่แน่ชัด มันอาจชนะ 'กรรไกร' แต่ใช่ว่าเวทมนตร์จะต้องเป็นกรรไกรเพียงอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ ยังมีทางเลือกอีกมากมายที่ให้เลือกใช้ แม้แต่จะแก้กฎเกณฑ์นอกเกมให้กรรไกรตัดทำลายค้อนก็ยังได้เพราะนั่นเองคือนิยามของจอมเวท กลุ่มคนที่โกงความเป็นไปของธรรมชาติ
เช่นนั้นกับอีกแค่การมีอยู่ของพฤกษาโลกในอกของหุ่น จึงไม่ได้สร้างความลำบากให้กับมหาจอมเวทถึงขั้นจะเรียกได้ว่าเป็น ‘อมันตรา’ มหาธาตุต่อต้านเวทมนต์แต่อย่างใด
นางคือทับทิมสีโลหิต อัญมณีในหมู่อัญมณี ตัวตนที่อยู่สูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการถึง ไม่ใช่ระดับที่หุ่นไม้อย่างฮอรัสจะต่อต้านขัดขืน
“ต้องการอะไรงั้นหรอ? อืม… งั้นเอาเป็นคำถามง่ายๆ สักข้อสองข้อเป็นไง” องค์ราชินีจับคางครุ่นคิดพร้อมกับนั่งไขว่ห้างบนอากาศ พลางวางคทาไขว้ลงบนตักด้วยท่าทางสง่างาม ชายตามองร่างของหุ่นสงครามที่คุกเข่าอยู่แทบเท้าด้วยสีหน้ายิ้มละไมซ่อนความกระหายใคร่รู้เอาไว้
“คำถาม? ประเภทไหน” ฮอรัสก้มหน้านิ่งสนิทตอบเสียงเข้มลึกไร้จิตวิญญาณ มือสองข้างกำแน่นก่อเสียงเสียดสีเบาๆ ในกำปั้น ด้วยรู้ตัวว่าทำอะไรไม่ได้
ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งนับแต่ถูกสร้างที่ทุกกระบวนการนึกคิดของเขาประมวลโอกาสชนะในการเข้าปะทะออกมาเป็นศูนย์อย่างสิ้นเชิง ทางเลือกที่เหลือจึงมีเพียงแค่ยอมทำตามสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ตราบใดมันไม่ส่งผลต่อภารกิจหรือละเมิดกฎเกณฑ์ใดๆ ที่ถูกห้ามไว้ก็ถือเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับได้
“ประเภทว่า…” สาวเจ้าหรี่ตา ยื่นศีรษะเข้าไปใกล้ให้เห็นใบหน้าเนียนเหมือนรูปสลักของฮอรัสชัดขึ้น “เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือก เธอจะเลือกอะไรฮอรัส ความรู้สึกหรือเหตุผล… เป็นผู้ปกป้อง หรือจะเป็นผู้ทำลายล้าง”
สิ้นคำถามของสาวงาม ห้วงมิติคุมขังแห่งนี้ก็พลันเงียบสงัดขึ้นมาชั่วอึดใจ ในห้วงภวังค์ความคิดของหุ่นสงคราม ใบหน้านิ่งเฉยของฮอรัสไม่แม้จะขยับร่องรอยต่อแสดงอารมณ์รับรู้ใดๆ ไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้ยินคำถามขององค์ราชินี เพียงแต่ไม่อาจเรียบเรียงหาคำตอบตามความเข้าใจให้ได้ “ผมไม่เข้าใจคำถาม”
“ก็ไม่ได้บอกว่าต้องให้คำตอบตอนนี้นี่นะ” องค์ราชินียักไหล่เหมือนคำถามที่ถามออกไปไม่ได้สลักสำคัญนัก ทั้งที่ความจริงแล้วนางแทบจะอดใจรอคำตอบของอีกฝ่ายไม่ไหว “แต่ยังไงก็เถอะ นาฬิกาเริ่มเดินแล้วฮอรัส เวลาที่ต้องเลือกใกล้เข้ามาแล้ว”
“หมายความว่ายังไง ท่านต้องการอะไรกันแน่”
องค์ราชินีได้ยินคำถามของอีกฝ่ายเช่นนั้นก็เผลอหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แล้วว่าต่อ “..นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอจะถามเราหรอก มันเป็นสิ่งที่เธอต้องถามตัวเองต่างหาก”
หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้อากาศ เดินละจากร่างของหุ่นสงครามตรงไปยังประตูเหล็กหนาด้วยท่าทางสง่างาม พร้อมปั้นยิ้มเป็นธรรมชาติเตรียมออกจากห้องกักกัน ด้วยหมดธุระกับมันแล้ว เพราะบัดนี้ทุกอย่างกำลังสุกงอมพร้อมเต็มที่สำหรับแผนการขั้นต่อไปที่เธอเตรียมเอาไว้เป็นพิเศษเพื่อฮอรัสตนเดียว
“ต่อจากนี้ไม่มีใครชี้นิ้วสั่งให้เธอทำอะไรได้อีกแล้ว สิ่งที่เลือกจะเป็นชะตาของเธอเอง… เลือกให้ดี” องค์ราชินีชำเลืองกลับมายังหุ่นสงครามด้วยหางตา กล่าวทิ้งท้ายแล้วดีดนิ้วยกเลิกมนต์สะกดการเคลื่อนไหว เดินทะลุผ่านประตูเหล็กออกไปด้านนอก ทิ้งหุ่นสงครามเอาไว้เพียงลำพังในห้องขังซึ่งบัดนี้ไม่ได้ถูกแยกจากมิติความเป็นจริงอีกต่อไป กลับมาเป็นห้องขังธรรมดาๆ อย่างที่มันควรจะเป็น
“ฝ่าบาท…” องครักษ์ในชุดคลุมขาวที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องโค้งคำนับเมื่อเห็นราชินีของตน
“คืนนี้เทรียลคงจะมีงานเลี้ยงใหญ่เชียว” หญิงสาวเอ่ยเบาๆ ในลำคอพร้อมรอยยิ้มวิปริตที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้า สื่อความหมายว่างานเลี้ยงของนางคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าใดนัก
โดยเฉพาะเมื่อคทาเอเลเมนโต้มีร่องรอยความเปลี่ยนแปลงจากที่เคยใสสนิทบัดนี้มีรอยด่างกระด้างบ่งบอกว่ามันเพิ่งจะถูกใช้ร่ายมนตร์บางอย่างที่ทรงพลังจนแม้แต่การแทรกแซงกาลเวลายังเทียบไม่ได้
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองห่างขึ้นมาไม่ไกล เพียงชั้นบนของสมาคมนักผจญภัย หนึ่งในห้องพักของนักผจญภัยสังกัดประจำติดป้ายชื่อหน้าห้องว่าเป็นของเอเดล ครึ่งเอลฟ์สาว บัดนี้เจ้าตัวไม่อยู่ในห้องด้วยยังติดพันอยู่กับฮารุและคร๊อกคัส แต่กระนั้นห้องก็ไม่ว่างแต่อย่างใด
เพราะบ้านในสวนสมุนไพรเสียหายยับเยินจากการต่อสู้กันของอสุรกายสองตน ทำให้ตอนนี้เอลฟ์สาวเอลีอาจึงจำต้องย้ายมาพักอยู่กับลูกสาวชั่วคราวรอให้การซ่อมแซมเสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะย้ายกลับไป แต่ดูเหมือนยังมีสิ่งหนึ่งที่นางไม่ยอมให้คนงานแตะต้องอย่างเด็ดขาด ถึงกับต้องขนมามันมาซ่อมแซมที่นี้ด้วยมือตัวเอง
นิ้วเรียวสวยค่อยๆ ใช้คีมขนาดเล็กคีบหยิบชิ้นส่วนกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินที่แตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยขึ้นมาหยอดกาวประกอบเข้าด้วยกันช้าๆ อย่างประณีต ก่อเป็นรูปเป็นร่างของแจกันใบใหญ่ที่ไม่สมบูรณ์ เต็มไปด้วยรอยตำหนิแตกร้าว แต่ถึงอย่างนั้นยังไงมันก็ยังเป็นแจกันใบเดิมที่นางเคยปั้นด้วยกันกับสามีเมื่อนานมาแล้ว เป็นสิ่งหวงแหนไม่กี่อย่างที่เหลือทิ้งไว้ให้รำลึก
ไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม แต่เอลฟ์สาวไม่โทษความผิดใครเลยที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นขึ้น ทั้งฮอรัสหรือกลุ่มนักผจญภัยรวมทั้งเอเดล เรื่องทั้งหมดเป็นแค่ความโชคร้ายบังเอิญที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งยามมหาราชินีปรากฏตัวขึ้น มันเป็นเช่นนั้นเสมอนับแต่ที่เอลีอาได้รู้จักกับหญิงนางนี้ และต่อให้มันจะน่าสงสัยว่าเรื่องทุกอย่างถูกจัดฉากขึ้นเพื่อสนองความใคร่รู้ขององค์ราชีนีเพียงใด แต่อย่างไรก็ไม่มีหลักฐานจะเอาไปบอกใครได้อยู่ดี
สุดท้ายแล้วเอลฟ์สาวจึงได้แต่ภาวนาหวังให้เรื่องต่างๆ ไม่เลวร้ายลงไปกว่าที่เป็นอยู่ เพียงเท่านี้ก็มีคนที่ต้องสูญเสียมากพอแล้ว โดยเฉพาะชายหนุ่มนักผจญภัยที่สูญเสียอนาคตของตัวเอง ต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต ทั้งที่เขาอาจจะช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากมายนับไม่ถ้วนในฐานะนักผจญภัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฮอรัสที่นางเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไรในมือของราชินี นางได้แต่คาดหวังว่าองค์ราชินีจะหมดความสนใจตัวเขาเร็วๆ นี้และรักษาสัญญาที่ให้ไว้
ทว่าระหว่างที่เอลฟ์สาวกำลังใช้คีมเล็กประกอบชิ้นส่วนบนแจกันอย่างเบามือนั้นเองที่เธอรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างทำให้มันประกอบให้เข้าที่ได้ยากกว่าปกติ คล้ายว่าแจกันกำลังสั่นสะเทือนเบาๆ ก่อนสายตาจะเหลือไปเห็นผิวน้ำชาในถ้วยข้างมือกำลังกระเพื่อมเป็นวงแผ่วเบาบ่งบอกว่านางไม่ได้คิดไปเองว่าอาจจะกำลังมีแผ่นดินไหว
สาวเจ้ากลืนน้ำลายระหว่างจ้องมองภาพวงน้ำนั้นกระพรือเพื่อมชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นจังหวะผิดแปลกจากแผ่นดินไหวทั่วไป จนกระทั่งเศษชิ้นส่วนของแจกันที่กาวยังไม่แห้งดีพลันหลุดร่วงลงมา พร้อมกับเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังขึ้นเรียกสายตาของนางให้หันมองออกไปนอกหน้าต่าง
เป็นชั่ววินาทีแห่งความจริงนั้นเองที่นางเผลอทำคีมในมือหล่นลงพื้น พร้อมกับความหวังที่ว่าจะไม่มีอะไรเลวร้ายลงไปกว่านี้ซึ่งพังทลายสิ้น เมื่อสิ่งที่เห็นไกลๆ สุดสายตานั้นคือภาพของอสูรโกเลมไฟตัวใหญ่มหึมาดุจขุนเขานับได้หกตนกำเดินตรงเข้ามาทางหมู่บ้าน พร้อมกับอสูรอื่นๆ อีกเป็นฝูงใหญ่ที่แลดูตัวเล็กไปถนัดตาเมื่อเทียบกับโกเลมยักษ์