บทที่ 10: ทุกสิ่งคลี่คลาย
บทที่ 10: ทุกสิ่งคลี่คลาย
กำปั้นหนักหน่วงมีกำลังดุจหินผาที่ตกลงมาจากฟากฟ้า มันแหวกอากาศเฉือนเนื้อของเหล่าผีร้ายจนมีสภาพกลายเป็นเศษริ้ว แม้จะไม่ได้กระแทกโดนโดยตรง ส่วนที่โดนกระแทกโดยตรงยิ่งแหลกเละไม่เหลือชิ้นดี
พื้นดินบริเวณนั้นยุบลงจนเห็นได้ชัด โจวหม่าจงเห็นเช่นนั้นถึงกับตะลึง ผีไร้ร่างแตกกระเจิง ส่วนที่รอดเคลื่อนไหวรวดเร็ววกมาด้านหลังกะจู่โจมในมุมอับ หม่าจงส่งเสียงตระหนก หวั่นอีกฝ่ายจะเพลี่ยงพล้ำ
“ท่านมือปราบไม่ต้องกังวล ท่านพี่หลงจัดการพวกมันได้แน่นอน” ไป่ยู่กล่าวขึ้นราวกับเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาทั้งคู่เกือบตายเพราะพวกมันมาแล้ว
เป็นจริงอย่างที่ไป่ยู่ว่าไว้ พริบตาก่อนที่พวกมันจะได้พุ่งเข้าไปกัดกินเนื้อของไป่หลง เขาใช้กงเล็บแทงใส่ต้นสนเบื้องหน้าที่คะเนจากรูปร่างน่าจะมีอายุราวเกือบร้อยปี ก่อนที่จะใช้สองแขนกระชากต้นไม้นั่นเหวี่ยงสะบัดเป็นอาวุธฟาดพวกมันจนกลายเป็นเศษเนื้อสีดำ
หม่าจงคิด ว่าหากตอนนั้นไป่หลงเอาจริง ตนอาจไม่รอดมาจนถึงตอนนี้
“ท่านมือปราบช่วยข้าหน่อย” หม่าจงหันไปตามเสียง เห็นไป่ยู่ประคองร่างไร้ศีรษะของชิวหยูแล้วใช้หมึกสีแดงเขียนอักขระรอบตัวนาง
“เจ้าทำอะไรน่ะ?”
“ผีไร้ร่างมีนับร้อย หากจะหาตัวต้นเหตุคงต้องเริ่มจากที่ร่างของนาง ข้าจะใช้คาถาเชื่อมวิญญาณเพื่อให้ศีรษะนางปรากฏตัว”
“มันจะได้ผล... ใช่ไหม!?”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ท่านมาช่วยจับร่างของนางที” หม่าจงทำตามแม้มีคำถามมากมายเช่น ไป่ยู่เป็นใครทำไมถึงสามารถใช้คาถาอาคมได้ แต่ก็รู้ดีว่าเวลานี้ยังไม่ควรให้ความสำคัญกับเรื่องนั้น
ทันทีที่ไป่ยู่เขียนอักขระเสร็จสิ้น เขาขยับสองมือในลักษณะมุทรา(1) สลับสับเปลี่ยนรวดเร็ว ก่อนจะใช้สองนิ้วชี้กลางกดไปที่ร่างของชิวหยู พลันเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวน แต่ยังหาต้นทางไม่พบ ไป่ยู่เกร็งกำลังมีเหงื่อไหลซึมจากหน้าผากจรดปลายคาง
ร่างชิวหยูคล้ายมีไอร้อนปรากฏ เหมือนกำลังโดนเปลวไฟแผดเผา เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง ผีร้ายบางตนหันเหจากไป่หลงมาโจมตีใส่ไป่ยู่ หม่าจงเฝ้าระวังอยู่แล้วจึงสะบัดดาบฟาดฟันใส่ได้อย่างทันท่วงที
“ไอ้มือปราบ มองหาต้นเสียง” ไป่หลงที่ยังติดพันกับการต่อสู้ตะโกนขึ้น
หม่าจงหงุดหงิดกับคำเรียกไม่น้อยแต่ไม่มีเวลาต่อคำด้วย เขาทำตามที่บอกจนเห็นศีรษะหนึ่งคล้ายมีไอควันท่าทางทรมานท่ามกลางผีไร้ร่างตนอื่นๆ อยู่บนหลังคาจวนกลาง
“บนหลังคาจวนนั่น” หม่าจงบอก ไป่หลงมองตาม กำหมัดแน่นจนได้ยินเสียงลั่นของกระดูก
“ท่านพี่หลง ในนั้นอาจยังมีคนอยู่!” ไป่ยู่ร้องเตือน ทว่าไม่ทันแล้ว...
ไป่หลงกระแทกหมัดออกไป เกิดเป็นปราณรูปพระโพธิสัตว์พันมือโถมใส่หลังคานั่น เสียงดังสนั่นของการทำลายล้างถูกกลบกลืนอยู่ใต้กลุ่มควัน ผีไร้ร่างที่เหลืออยู่ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง คล้ายเน่าสลายกลายเป็นก้อนเนื้อสีดำไปเอง
“เกิดอะไรขึ้น!?” หม่าจงเอ่ยเปล่าคล้ายรำพึงกับตนเอง
“ต้นเหตุสิ้น ปลายผลมลาย แม่นางชิวหยูคงตายแล้วจากการกระทำเมื่อครู่ของท่านพี่หลง”
ควันจางหาย สิ่งที่เหลืออยู่คือจวนกลางที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมยกเว้นส่วนหลังคาที่แหว่งหายกลายเป็นเศษกระเบื้องกระจายอยู่รอบบริเวณ
“ดีนะที่เจ้าเตือนทัน ไม่เช่นนั้น ข้าคงซัดปลิวไปทั้งจวน” ไป่หลงกล่าวท่าทางไม่กังวล ทั้งสามเดินเข้าไปสำรวจดู
มีบ่าวอีกหลายคนอยู่ในนั้น แต่ละคนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ก่อนจะพบซือเต้าที่มีบาดแผลฉกรรจ์นอนหมดสติเอาตัวกำบังเด็กน้อยแซ่เฉินซึ่งมีเลือดตรงช่องท้องเอาไว้ ไป่ยู่รีบห้ามเลือดให้กับซือเต้า
ทว่าพอหันไปเปิดเสื้อเด็กแซ่เฉินเพื่อจะห้ามเลือดกลับพบว่าอีกฝ่ายสวมตู้โตว(2) ไว้ ไป่ยู่รีบกระชับเสื้อปิดคืนในทันทีเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นอิสตรี หม่าจงเห็นท่าทางพิกลจึงกล่าวถามว่ามีอะไร ไป่ยู่หน้าแดงระเรื่อส่ายศีรษะแทนคำตอบ ก่อนที่หม่าจงจะซักไซ้ไปเกินกว่านี้ ไป่หลงก็ร้องบอกทั้งคู่จากมุมหนึ่งของจวน
“เสี่ยวยู่ ตรงนี้”
ไป่ยู่เดินไปตามที่ถูกเรียก สิ่งที่พบคือศีรษะของชิวหยูที่โชกไปด้วยเลือดและเหลือเพียงแค่ครึ่งเสี้ยว นางมองเขาดวงตาคล้ายยังไม่ปล่อยวาง ก่อนที่หยดน้ำจากตาจะผสมกับโลหิตกลายเป็นน้ำตาเลือด
มากความแค้น มากอาฆาต มากความทุกข์ สิ่งสุดท้าย ที่เหลืออยู่ หนีไม่พ้น เพียงความตาย...
ไป่ยู่พนมมือแล้วสวดคาถาหนึ่งซ้ำวนไปมาก เกิดประกายแสงชำระล้างความดำมืด ก่อนที่ศีรษะของชิวหยูจะสลายไป หม่าจงมองด้วยความรู้สึกตื่นตา นับแต่พบกับคนผู้นี้ เข้าได้เห็นในสิ่งที่คาดไม่ถึงเสมอ
..........................
ในความมืด เด็กแซ่เฉินคล้ายเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวตัวเอง ต้นเหตุที่แท้จริงของโศกนาฏกรรมที่ทำให้พี่สาวจมปลักกับความเคียดแค้น คล้ายกับมีคนต้องการให้เด็กน้อยรู้ความจริงก่อนที่ภาพทั้งหมดจะกลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้า
“เฉินหลิน... เฉินหลิน” เสียงหนึ่งกล่าวขึ้นใกล้ตัว เด็กน้อยแซ่เฉิน ลืมตาขึ้นมองอย่างช้าๆ
สิ่งที่เห็นคล้ายกับตัวเองอยู่ในความฝัน ร่างโปร่งแสงของเฉินเจียวและดวงวิญญาณอีกนับร้อยดวง กำลังยืนอยู่รอบพื้นที่ของจวนซึ่งพังทลายไม่มีชิ้นดี ยามราตรีดูสว่างไสวเพราะเหล่าดวงวิญญาณ บางร่างจางหายไปราวกับถูกชำระล้าง พี่สาวของนางก็เช่นกัน มีสีหน้าสงบอย่างที่ไม่เคยเห็นมานานในรอบหลายปี มีรอยยิ้มที่ห่วงใย
“ที่ผ่านมาพี่ขอโทษ ต่อไป จงใช้ชีวิต อย่ายึดติดกับความแค้นใดๆ”เฉินเจียวกล่าวมือบางเบาลูบสัมผัสใบหน้าน้อง คล้ายจับต้องได้ แต่ความจริงไม่สามารถจับต้องได้
“พี่จ๋า อย่าไป” วิญญาณนั้นทำได้เพียงยิ้ม ซือเต้าสำลักไอ ฟื้นขึ้นมาทันเห็นเฉินเจียว
“เสี่ยวเจียว เสี่ยวเจียวของข้า เจ้ายังไม่ตาย” เสียงนั้นสะอื้น
“ข้ารู้ความจริงหมดแล้ว ข้าขอโทษ หากท่านจะยังมีความกรุณา โปรดช่วยดูแลน้องสาวข้าด้วย” เฉินเจียวกล่าวถึงตรงนี้ร่างก็มลายหายไป
ซือเต้าร่ำร้องเรียกนางอย่างอาวรณ์ เหมือนยังตกอยู่ในความฝันและรักนิรันดร์ เด็กน้อยเฉินหลินก็ไม่ต่างกัน...
เป็นค่ำคืนที่เกิดเรื่องราวมากมาย มีคนตายนับร้อย ไป่ยู่มิคาดคิดว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงสวดส่งวิญญาณทั้งหมดไปสู่สุคติและยอมรับบาปกรรมนั้นไว้กับตัว
มีผู้คนเล่าลือถึงดวงไฟนับร้อยที่ลอยหายไปบนท้องฟ้า บ้างว่าจวนเศรษฐีหม่าจุดพลุฉลอง บางว่าเป็นดาวตก บางว่าเป็นหิ่งห้อย ไม่มีใครรู้ความจริง แต่ทุกคนล้วนกล่าวว่าสวยงาม...
.......................
รุ่งเช้ามาเยือนในตอนที่บ่าวทั้งหมดช่วยกันเก็บกวาดซากปรักหักพัง ซือเต้าอาการทุเลาขึ้นหลังให้คนไปตามมองมาดูแผลและรักษา เฉินหลินหรือน้องของเฉินเจียวมิได้บาดเจ็บอย่างที่คาดเพราะเลือดตรงช่องท้องที่เห็นเป็นเลือดของซือเต้าที่เปื้อนนาง ทั้งหมดอยู่ในจวนพักอีกหลังหนึ่ง
“ขอโทษท่านหม่าที่ทำให้จวนท่านเสียหาย” ไป่ยู่กล่าวอย่างสำนึก
“มิได้ๆ ดีแล้วที่ท่านมาทัน ไม่งั้นคงไม่ใช่จวน ชีวิตข้าก็คงหาไม่ไปด้วย”
“เสียดายที่เรื่องนี้ทำให้มีคนตายนับไม่ถ้วน”
“ท่านไป่ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลชาวบ้านคนที่รอดชีวิตให้ดีและทำบุญอุทิศให้กับคนที่จากไป” สีหน้าของซือเต้าเศร้าหมองลง
“ท่านจะดูแลนาง” ไป่ยู่หมายถึงเฉินหลิน
“ใช่ ข้าจะรับนางเป็นลูกบุญธรรม เพื่อชดเชยเรื่องที่เกิดขึ้น” หลังวิญญาณเฉินเจียวทำให้น้องเข้าใจความจริงทั้งหมด เฉินหลินก็เลิกคิดเรื่องแก้แค้น ทว่านางก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรยังไงต่อไป
ไป่ยู่ละจากซือเต้าเพื่อไปคุยกับเฉินหลิน คล้ายรู้ความกังวลใจนั้น
“เป็นยังไงบ้าง” เขาถาม นางส่ายศีรษะแทนคำตอบ
“เราเคยเจอกันเมื่อวันก่อน เจ้าจำได้ไหม ข้าชื่อไป่ยู่ เจ้าชื่อ...?” อีกฝ่ายก้มหน้าสักพัก ก่อนจะพยักหน้าแล้วตอบ
“เฉินหลิน”
“เราสองคนคือหยกทั้งคู่สินะ(3)” ไป่ยู่เอ่ยยิ้ม เฉินหลินยิ้มตาม
“ท่านเป็นคนช่วยให้พี่สาวไปสู่สุคติใช่ไหม” ไป่ยู่พยักหน้า นางจึงกล่าว “ขอบคุณ”
ไป่ยู่มองดูคนตรงหน้า อายุราวสิบสามย่างสิบสี่ ดวงตากลมโตท่าทางมีแววฉลาดและซุกซน แต่ก็หม่นด้วยเพราะอมทุกข์ ใบหน้ามอมแมม แต่ชุดผู้ชายแบบมิดชิดด้วยผ้ากระสอบ ซ้ำยังสวมหมวกจนชวนเข้าใจผิด
“ทำไมปลอมเป็นหญิง?”
“พี่สาวบอกว่าโลกนี่น่ากลัว ปิดบังไว้จะเหมาะกว่า เดี๋ยวนะ! ท่านรู้ได้ไงว่าข้าเป็นสตรี?”
ไป่ยู่หน้าตึงขึ้นมาเมื่อรู้ว่าตัวเองถามในสิ่งที่ไม่ควร เฉินหลินถอยห่างเขาทีละน้อยพร้อมกระชับเสื้อตัวเอง
“ก็ ก็เจ้าปลอมตัวไม่แนบเนียนนี่ ข้าดูแล้วก็รู้ทันทีเลย ไม่เชื่อถามคนอื่นได้นะ” ไป่ยู่เฉไฉ แต่ยิ่งทำให้เฉินหลินมองอย่างไม่ไว้ใจมากกว่าเดิม
..........................
“พี่หลงจะทำยังไงต่อไป” หม่าจงถามขึ้น ขณะอยู่กับไป่หลงตามลำพัง อีกฝ่ายมองนิ่ง
“เจ้านี่ชอบตีสนิทเหลือเกินนะ เดี๋ยวก็เรียกข้าว่าพี่ไป่บ้าง ตอนนี้ยังมาเรียกพี่หลงอีก ข้าจำไม่ได้ว่าเราเป็นญาติกัน”
“ข้านับถือท่านใยต้องตัดรอน อีกอย่างร่วมเป็นร่วมตายกันขนาดนี้จะถือเป็นพี่น้อง ก็นับว่าไม่แปลก”
“หึ แล้วแต่เจ้าเถอะ” ไป่หลงกล่าวแล้วเดินเลี่ยง
“เดี๋ยวสิ ท่านยังไม่ตอบคำถามข้าเลย หลังจากนี้จะทำยังไงต่อ”
“พาท่านน้าจิ่นสือไปหาลูกที่เมืองหัวอัน หลังจากนั้นก็ทำเหมือนที่เคย”
“เดินทางปราบสิ่งชั่วร้ายน่ะเหรอ”
“ตามหาคนต่างหาก แรกเริ่มข้ากับเสี่ยวยู่ก็ออกเดินทางเพราะเป้าหมายนี้”
“ท่านตามหาใคร?”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” กล่าวจบ ไป่หลงก็หยุดต่อคำอื่นใดอีกแม้ว่าหม่าจงจะพยายามซักไซ้เช่นไรก็ตาม จนรองหัวหน้ามือปราบยังต้องยอมถอยออกมา
“ของท่านมือปราบอย่างได้โกรธเคืองท่านพี่หลงเลย เขาเป็นเช่นนี้มาตลอด แต่หากว่าตามความเห็น ข้าว่าเขายอมรับท่านมากกว่าผู้อื่นทั่วไปแล้ว”
“อะ เอ่อ ไม่ต้องเรียกท่านมือปราบหรอก ผ่านอะไรมาตั้งขนาดนี้แล้ว เรียกข้าพี่จงเถิด” หม่าจงเอ่ย ไป่ยู่ยิ้มรับ “ก่อนนี้ข้าขอโทษนะที่มีอคติกับเจ้า ข้านึกว่าเจ้าเป็นพวก แบบเดียวกับเฉาเกาน่ะ”
“หามิได้ พี่จงกล่าวเกินไปแล้ว เป็นเพราะการกระทำของข้า จึงทำให้พี่เข้าใจผิดไป”
“แต่ไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะเป็นคนเดียวกับที่ชาวบ้านล่ำลือ เดินทางกับเสือปราบภูตผีวิญญาณสิ่งชั่วร้าย เขาก็ดูเหมาะจะเป็นเสือจริงๆ” หม่าจงหมายถึงไป่หลง
“เป็นพยัคฆ์นามมังกรแท้จริงเลยล่ะ(4)” สองคนหัวเราะเบาๆ “จริงสิพี่จง ข้ามีเรื่องอยากรบกวนขอร้องท่าน”
“ว่ามา”
“เรื่องของซุนเถา ท่านจะปล่อยเขาให้ไม่ต้องรับโทษได้หรือไม่”
“ได้สิ ว่าตามตรงเรื่องที่เกิดเป็นเพราะเขาพยายามหยุดยั้ง เพียงแต่ไม่สามารถกระทำได้ หากฆ่าผีร้ายต้องรับโทษทางกฎหมาย ทั้งข้า เจ้าและพี่หลงคงต้องโดนประหารนับร้อยๆ ครั้ง”
“ขอบคุณพี่จงมาก”
“เจ้าจะออกเดินทางต่อหรือ”
“ใช่ครับ ก่อนนี้เพราะเราสองพี่น้องพลัดหลงกันจนเสียเวลาตามหาจึงได้มาที่หัวเมืองนี้ ตอนนี้ได้เบาะแสใหม่ของคนที่ตามหา พวกข้าคงต้องเดินทางต่อ”
“คนที่ตามหา?”
“ซินแสกูเกอ”
“ข้าเคยได้ยินชื่อเขา ปราชญ์ผู้รอบรู้ทุกเรื่องของแผ่นดิน เจ้าตามหาเขาทำไม?”
“ขอโทษด้วยพี่จง ที่เรื่องนี้ข้าไม่สามารถบอกได้” ไป่ยู่เอ่ยเสียงเศร้า
“เอาเถอะ เจ้าไม่สะดวก ข้าก็ไม่ได้ต้องการบีบคั้น ขอให้เจ้าพบเขาในเร็ววัน”
“ครับ ท่านหม่าบอกแล้วว่าเมื่อหกเดือนก่อนที่พบกัน เขาบอกว่าจะไปที่เมืองหัวอัน คงจะต้องไปตามร่องรอยที่นั่นอีกที”
สองคนยิ้มให้กัน เสียงหนึ่งแทรกขัดขึ้น
“ท่านไป่เมื่อครู่ยังตกลงกันไม่จบเลย ทำไมถึงเลี่ยงข้ามา” เฉินหลินที่ยังอยู่ในชุดเด็กน้อยเดินตามมาเพื่อประสงค์ที่ต้องการ
“ข้าบอกแล้วนี่น่า ว่าพี่สาวเจ้าต้องการให้ท่านหม่าดูแลเจ้า แล้วเขาก็ยินดี ตกลงรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม”
“นับเป็นเรื่องน่ายินดี” หม่าจงแทรกขึ้น เฉินหลินหันไปถลึงตาใส่จนมือปราบหน้าเจื่อน
“แต่... แต่ข้าไม่ได้รู้จักเขา ก่อนนี้ยังมองว่าเป็นศัตรูด้วยซ้ำ ให้ข้าตามท่านไปเถอะนะ ข้าสัญญาว่าจะปรนนิบัติดูแลท่านอย่างดี ว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังไม่ดื้อรั้น”
“แค่เริ่มก็ไม่เชื่อฟังแล้ว เจ้าอยู่กับท่านหม่านี่แหละที่ข้าประสงค์ อีกอย่างเจ้าไม่รู้จักเขา แต่ใช่ว่ารู้จักข้า จะไว้ใจตามไปได้หรือ”
“ถึงข้าไม่รู้จักท่าน แต่ข้ามีพี่สาวเป็นญาติเพียงคนเดียว แล้วท่านก็เป็นคนส่งนางให้ไปอย่างสงบ ข้านับท่านเป็นผู้มีคุณนะ” ไป่ยู่ฟังแล้วก็อดหดหู่กับชะตาของคนตรงหน้าไม่ได้
“เฉินหลินเจ้าฟังข้านะ หนทางของข้ามีแต่อันตราย ไม่เหมาะกับเด็ก ถึงเจ้าจะไม่คุ้นเคยกับท่านหม่า แต่เชื่อเถอะเขาจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ไว้วันหนึ่งหากเจ้าโตมากกว่านี้แล้วยังไม่เปลี่ยนใจ ข้าสัญญาจะมาพาเจ้าออกเดินทางด้วยกัน”
“สัญญานะ” เด็กน้อยถาม ชูนิ้วก้อยให้อีกฝ่ายเกี่ยวเพื่อทำสัญญา ไป่ยู่มองยิ้มแล้วยอมยื่นนิ้วก้อยเกี่ยวสัญญา โดยไม่คาดคิดว่าภายหลังการกระทำนี้จะผูกชีวิตเขาไว้กับใจนางชั่วนิจนิรันดร์
“ข้าสัญญา”
........................
ไป่ยู่ ไป่หลงและโจวหม่าจง กลับมาที่กองปราบเพื่อที่ไป่หลงจะได้พาหนานจิ่นสือไปพบลูกชาย มิคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเศร้า เมื่อซุนเถาตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง โดยเขียนอักษรเลือดไว้บนกำแพงแทนคำสั่งเสีย
มีรักผูกพัน ใช้ชีวิตทดแทน
สุดท้ายความรู้สึกของคนผู้นี้ก็กลืนกินชีวิตของเขาไป ไป่ยู่ได้แต่เศร้าใจและสวดส่งวิญญาณอีกหนึ่งดวง หวังเพียงพวกเขาสามคนจะได้พบกันในปรโลก
เฉาเกาฟื้นคืนสติ ท่าทางแม้จะยังไม่หายปกติ แต่ดูเหมือนนิสัยจะเปลี่ยนแปลง เขาแม้จะเห็นหน้าไป่ยู่แต่ก็ไม่ถามหาทรัพย์นับแสนหรือตั๋วแลกเงินอีก
เอาแต่พร่ำบ่นว่าจะทำแต่ความดี ไป่หลงท่าทางยังไม่วางใจ หม่าจงยืนยันว่าเดี๋ยวก็กลับเป็นคนละโมบเหมือนเดิมแน่นอน แต่เขารับปากจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบอีกอย่างเด็ดขาด ไป่หลงจึงยอมปล่อยวาง พาหนานจิ่นสือที่ยังไม่ฟื้นคืนสติดีไปที่เมืองหัวอัน
สองคนนอนเคียงบนเตียงเดียวกัน หนานฮุ่ยจือลืมตาฟื้นขึ้นมาเห็นพ่อนอนอยู่ข้างกาย เรียกร้องอยู่ไม่กี่คำก็ทำให้จิ่นสือได้สติ สองพ่อลูกได้พบกันหลังพ้นผ่านเรื่องเลวร้าย สองพี่น้องแซ่ไป่ยืนมองอยู่ห่างๆ จากด้านนอกของบ้านหมอเหวินถัง
“ท่านพี่หลงจะไม่ร่ำลาพวกเขาหน่อยหรือ”
“ไม่จำเป็น เจ้าเคยเห็นชอบข้าลาจากใครหรือไง”
“ครั้งหนึ่ง... กับ...”
“แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว เดินทางต่อเถอะ แล้วครั้งนี้เจ้าอย่าหลงทางไปไหนอีกละ” ไป่หลงเอ็ด ไป่ยู่ยิ้มรับ มีเสียงคนกลุ่มหนึ่งสนทนากันแว่วเข้ามาในหู
“พวกเจ้ารู้ข่าวหรือยัง มีคนแขวนคอตายที่กำแพงนอกด่าน!”
“ใครกัน! ทำไมคิดสั้นเช่นนั้น?”
“ไม่ใช่คิดสั้น แต่ถูกฆ่า! บนศพมีฝ่ามือเลือดประทับอยู่ ที่สำคัญ ไม่ใช่ศพเดียวนะ”
“เท่าไหร่?” คำถามนี่ไป่หลงเป็นคนเอ่ย
“ห้าสิบสองศพ!”
ปิดคดี ศพไร้หัว ผีไร้ร่าง
เปิดคดี สมบัติตระกูลงัก!