บทที่ 1 : ชีวิตใหม่ในดิกนิตี
บทนำ
“8155394” คือตัวเลขที่ปักอยู่บนเสื้อของชายหนุ่มผู้มีแววตาเลื่อนลอย ชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินหมอง ๆ ป้ายระบุตัวตนที่ไม่มีแม้แต่ชื่อ ชื่อของเรือนจำชื่อดังที่ถูกปักไว้ข้างหลังของเขา สุดท้ายคือกุญแจมือที่นอกจากจะพันธนาการมือทั้งสองข้างไว้ก็ยังถูกคล้องไว้กับพนักพิงที่นั่งข้างหน้า ทุกอย่างบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าชายผิวขาวร่างโปร่งผู้นี้คือนักโทษ
“8155394!” เจ้าหน้าที่หญิงในชุดเครื่องแบบของเรือนจำเรียกเขาซ้ำ “8155394 เหม่ออะไรอยู่ รถจะออกแล้วนะ” ปากพูดอย่างเดียวไม่พอ เธอยังใช้ไม้กระบองในมือเคาะพนักพิงข้างหน้าของเขาจนเจ้าตัวสะดุ้ง
เขาพยักหน้ารับอย่างระอา
“อย่างกับว่าอยู่ในสภาพนี้จะทำอะไรอย่างอื่นได้นอกจากนั่งเหม่อล่ะ” ชายหนุ่มอยากตอบโต้ออกไป แต่รู้สึกเกรงใจกระบองที่อยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ เลยคิดว่าเงียบปากไว้น่ะแหละน่าจะฉลาดกว่า
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ยังคงเดินตรวจความเรียบร้อยของรถและนักโทษรายอื่น ๆ ชายหนุ่มก็เริ่มหวนคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา จนถึงวินาทีนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง ใครจะไปคิดว่าคนที่ไม่เคยสู้คนแบบเขา...
จะกลายเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตาย!
หลายเดือนก่อน...
“กิลเลน! เฮ้ย วันนี้วิ่งรถอีกรอบยังไหวรึเปล่า” ชายร่างใหญ่หนวดเฟิ้มและมีเสียงทุ้มสะกิดชายหนุ่มที่นอนหลับบนโซฟา สภาพหมดสิ้นเรี่ยวแรงและใช้เสื้อนอกคลุมใบหน้าเอาไว้เพื่อบังแสง บ่งบอกได้ชัดเจนว่าชายผู้นี้กำลังอ่อนล้าจนเกินกว่าจะตื่นแม้จะถูกปลุกด้วยเสียงราวกับฟ้าผ่า เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะรู้สึกตัวชายร่างใหญ่จึงดึงเสื้อที่เขาปิดหน้าไว้ออกและลงมือเขย่าแรงขึ้น
หนุ่มผมดำยุ่งกระเซิงตกใจตื่นขึ้นมานั่งทำหน้าเหลอหลาเพราะถูกปลุกด้วยวิธีที่ไม่ได้นุ่มนวลเอาเสียเลย เขาเหลียวซ้ายแลขวาอย่างงง ๆ ราวกับว่ากำลังหาสาเหตุของแผ่นดินสะเทือนที่ปลุกให้เขาตื่นขึ้น
“เฮ้ย! มาช่วยกันหน่อยสิ นอนน่ะจะนอนเมื่อไหร่ก็ได้” เพื่อนร่วมงานรุ่นใหญ่รบเร้าด้วยเสียงที่ดังยิ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องยังดูงัวเงียไม่เลิก
“ผมเพิ่งจะได้นอนนี่แหละครับ นี่ทำมาสามกะต่อกันแล้ว” กิลเลนประท้วงขอความเห็นใจแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้รู้สึกสำนึกหรืออยากยอมแพ้ เขายังคงตื้อต่อไป
“วันหยุดแบบนี้ไม่มีคนเลย น่า... ช่วยกันหน่อย นอนในรถไปก่อนก็ได้แล้วขากลับค่อยสลับกันขับ” พูดไม่พูดเปล่ารุ่นพี่ร่างใหญ่ทำท่าเหมือนจะกึ่งดึงกึ่งอุ้มเขาขึ้นจากโซฟาด้วย ทำเอาอีกฝ่ายต้องปฏิเสธซ้ำอีกหลายรอบ
กิลเลนปฎิเสธไปหลายต่อหลายครั้งก็จริง... แต่รู้ตัวอีกครั้งเขาก็มานั่งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับซะแล้ว พอลองมาคิดดูตอนนั้นเขาควรจะยืนกรานจนถึงที่สุด แต่กิลเลนคือชายผู้ที่ไม่เคยเอาชนะต่อการรบเร้าของผู้อื่นได้ ตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมาเขาได้แต่ยอมตามใจผู้อื่นโดยหวังว่าทุกอย่างมันจะผ่านพ้นไปได้ดี
หลายครั้งมันก็ผ่านพ้นไปได้แหละ แต่ดูเหมือนมันจะใช้ไม่ได้ในวันนี้
“นายน่ะ ปฎิเสธใครไม่เป็นหรอกน่า” ชายหนวดเฟิ้มหัวเราะเสียงดังโดยไม่ได้สำนึกเลยว่ากำลังขโมยเวลานอนที่หาได้ยากยิ่งของรุ่นน้องผู้น่าสงสาร “เฮ้ย! อย่าทำหน้ามุ่ยเซ่ ไว้เดี๋ยวจบงานนี้แล้วพาไปเลี้ยงข้าวก็ได้”
“ถ้าถึงแล้วก็ปลุกผมด้วยละกันครับ” กิลเลนตัดบทเพราะรู้ว่าลองรุ่นพี่คนนี้ได้เริ่มคุยแล้วมันไม่จบง่าย ๆ แน่
“นายต้องหัดปฎิเสธคนบ้าง ช่วยคนนั้นช่วยคนนี้ พอตัวเองเดือดร้อนไปมีใครมาช่วยบ้าง ดูสิทำงานหนักกว่าใครเพื่อนแต่ดันโดนรุ่นเดียวกันแซงขึ้นไปเป็นหัวหน้าบ้างล่ะ โดนขอให้สลับคิวหยุดทั้งที่เป็นเทศกาลแบบวันนี้บ้างล่ะ” รุ่นพี่ร่างใหญ่ไม่ได้ฟังซะเลย เขายังคงชวนคุยต่อไปเรื่อยแม้ว่ากิลเลนจะลอบถอนหายใจด้วยความระอา
กิลเลนเหล่มองชายหนวดเฟิ้มที่ขับรถอยู่ข้าง ๆ ด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ หนึ่งในคนที่ชอบบังคับใช้งานเขาเกินเหตุก็รุ่นพี่คนนี้แหละ แล้วยังมีหน้ามาพูดว่าให้เขารู้จักปฎิเสธคนบ้าง ฟังแล้วมันน่าชูนิ้วไม่สุภาพใส่หน้านัก แน่นอนว่าเขาได้แต่คิด คนอย่างเขาน่ะไม่กล้ามีเรื่องกับใครหรอก
...กิลเลนคิดมาเสมอ ถ้าวันนั้นเขาเลือกที่จะนอนบนโซฟาต่อไป บางทีเรื่องราววุ่นวายแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น บางครั้งจุดพลิกผันในชีวิตของคนเราก็เป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ ในชีวิต...
ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา กำปั้นขวาของชายหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยเลือดที่ไม่ใช่ของเขาเอง เขายืนอยู่เบื้องหน้าของร่างหลายร่างที่นอนแผ่หมดสภาพ หนึ่งในนั้นกรามแตกยับสภาพเละเทะราวกับได้รับอุบัติเหตุสยอง ชายหน้าเยินผู้นี้คือเจ้าของเลือดที่ยังคงเปรอะเปื้อนมือกิลเลนอยู่ ส่วนรายอื่น ๆ ที่นอนกระจัดกระจายอยู่นั้นก็มีสภาพไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่
นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่กิลเลนตัดสินใจสู้คนและผลลัพธ์มันก็เกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
มันคือการดักปล้นโดยกลุ่มอันธพาล เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันปรากฏให้เห็นบนหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เนือง ๆ สิ่งที่แตกต่างออกไป คือผู้เสียชีวิตไม่ได้มีเพียงพนักงานขับรถรุ่นใหญ่ที่เป็นเหยื่อของการปล้น แต่ฝ่ายที่เข้ามาโจมตีเองกลับถูกตอบโต้จนเสียชีวิตทุกคน
ก็แค่การป้องกันตัว อย่างน้อยเขาก็เชื่อแบบนั้น แต่ดูเหมือนว่ากฎหมายจะไม่ได้คิดแบบเดียวกัน ฝ่ายโจรคือผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะและเขาก็ถูกตัดสินว่าทำเกินกว่าเหตุ
บรืนนนน....
กิลเลนกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง เมื่อรู้สึกได้ว่ารถที่เขานั่งอยู่กำลังเคลื่อนตัวออกไป เขากำลังจะถูกย้ายจากที่คุมขังชั่วคราวไปสู่เรือนจำใหญ่ที่จะกลายเป็นบ้านใหม่ในอีกหลายปีหลังจากนี้
เขายอมรับว่าเรื่องที่เกิดส่วนหนึ่งเป็นความผิดของเขาเอง ในตอนที่รู้สึกว่ารถพลิกคว่ำ ตอนที่ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเพื่อนร่วมงานตายคาที่ ตอนที่กลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเรื่องพยายามเข้ามารื้อทรัพย์สินในรถและรู้ว่าเขายังไม่ตาย จากนั้นพอเขาออกมาได้การต่อสู้ก็เริ่มขึ้น แต่ก็เพียงพริบตาเท่านั้นทุกอย่างก็จบลง
ใครล่ะจะไปคิดว่าแค่การต่อยหน้าเบา ๆ เพียงคนละครั้งจะมากพอที่จะปลิดชีิวิตอีกฝ่ายได้
ภาพทุกอย่างวนเวียนเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่ามกลางแสงสว่างจ้าที่กิลเลนคิดว่าเกิดจากจินตนาการของตัวเอง เขารู้สึกได้ถึงไออุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เขาถามตัวเอง หรือว่านี่ก็ยังเป็นหนึ่งในความฝันของเขานะ
“8155…” เจ้าหน้าที่หญิงกรีดร้องเสียงดัง ตรงหน้าของเธอคือเก้าอี้ที่ว่างเปล่า เสี้ยววินาทีก่อนหน้านั้นยังมีนักโทษหมายเลข 8155394 ยังนั่งอยู่เลย แต่ตอนนี้เขาหายตัวไปราวกับเป็นควัน หลงเหลือก็เพียงรอยยุบของเบาะที่บ่งบอกว่าเคยมีใครนั่งมาก่อนหน้านี้ และกุญแจมือห้อยต่องแต่งที่ยังคล้องอยู่กับตัวยึดของพนักพิงเก้าอี้ตัวหน้า
“นักโทษหายไปแล้ว!” เธอตะโกนบอกคนเจ้าหน้าที่อีกสองคนที่ยังมึนงงกับแสงสว่างปริศนาเมื่อครู่จากนั้นจึงหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา “เกิดเหตุด่วน! นักโทษหลบหนี”
กิลเลนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ หนุ่มผมดำขลับพบว่าความฝันครั้งนี้ช่างประหลาดเหลือเกิน เขาไม่ได้อยู่ในรถขนส่งนักโทษหรือย้อนกลับไปเห็นเสี้ยวความทรงจำในอดีตแบบที่วนเวียนให้เห็นมาตลอดหลายเดือนนี้
เบื้องหน้าของเขามีคนแปลกหน้าหลายสิบชีวิตในชุดพิลึกพิลั่นราวกับหลุดออกมาจากนิยายไซไฟ ในขณะเดียวกันฉากหลังของพวกเขาก็ดูแปลกประหลาดไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
...ที่นี่มันอย่างกับในยานอวกาศที่เคยเห็นในหนังเลย...
...นี่เราเสียสติไปแล้วสินะ...
“น่าจะคนสุดท้ายแล้ว เอาล่ะมาเริ่มกันเถอะ” หญิงสาวในชุดล้ำยุคเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มน่าสงสัย
บทที่ 1 : ชีวิตใหม่ในดิกนิตี
กิลเลนกวาดตามองโดยรอบด้วยสติที่ยังไม่ครบถ้วน ฝัน มันต้องเป็นฝันแน่ ๆ เขาบอกกับตัวเองแบบนั้น ไม่งั้นอะไรจะอธิบายสภาพแวดล้อมหลุดโลกแบบนี้ได้ยังไง กลุ่มชายหญิงหลายสิบชีวิตในเครื่องป้องกันสีดำยืนกระจายตัวอยู่โดยรอบ ชุดของพวกเขาคล้ายกับเครื่องแบบของทหารผสมด้วยบางส่วนของชุดเกราะที่ดูล้ำสมัย ที่กิลเลนคิดแบบนั้นเพราะว่าแสงไฟดวงเล็ก ๆ ที่ลอดออกมาจากชุดและเสียงเครื่องจักรทำงานดังหึ่ง ๆ เบา ๆ ลอดออกมาจากชุด มันเหมือนกับเสียงที่ได้ยินคุ้นหูในเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลาย
แล้วก็ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้น เมื่อตัวเขาเองก็สวมชุดที่ว่าแบบเดียวกัน แล้วชุดนักโทษก่อนหน้านี้ล่ะ มันหายไปแล้ว จริงสินะ นี่มันฝันนี่นา อะไรก็เกิดขึ้นได้น่ะแหละ เขาให้คำตอบกับตัวเองราวกับกำลังหนีความจริง
ฟี้ดดดด...
เสียงประตูเลื่อนที่ยกตัวขึ้นเผยให้เห็นใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังประตูนั้น คนแปลกหน้ากำลังก้าวเข้ามาในห้อง รายแรกคือหญิงสาวหน้าตาดีแต่น่าจะมีอายุมากกว่ากิลเลนอยู่พอสมควร ส่วนอีกรายคือชายแก่หน้าตาถมึงทึงที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลและริ้วรอยจากกาลเวลาทั่วใบหน้า
ฝ่ายหญิงแต่งตัวไม่ต่างจากทุกคนในห้อง มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือชุดสำหรับออกรบ เพียงแค่ชุดของเธอดูมีระดับกว่าชุดแบบที่กิลเลนสวมอยู่ ส่วนทางชายแก่ เขาแต่งตัวด้วยชุดเครื่องแบบทหารเต็มยศ บ่าสองข้างและอกเต็มไปด้วยเครื่องประดับยศ กิลเลนไม่รู้ว่ามันคือชุดทหารของประเทศอะไรก็จริง แต่จากจำนวนสัญลักษณ์ที่นับได้บนบ่า เขาก็พอเดาได้ว่าชายแก่ผู้นี้น่าจะเป็นนายทหารระดับสูงเลยทีเดียว
“น่าจะคนสุดท้ายแล้ว เอาล่ะมาเริ่มกันเถอะ” หญิงปริศนาเอ่ยขึ้น แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อแทบทุกคนก็รุมยิงคำถามเธอ
“ที่นี่มันที่ไหน” “พวกคุณเป็นใคร” “นี่พวกเราโดนจับมาเรียกค่าไถ่เหรอ” คำถามทำนองนี้ถูกยิงออกมาเป็นชุด
...หึหึ พวกนี้ไม่เคยอ่านไลท์โนเวลสินะ ออกจะเห็นชัด ๆ ว่าฝันครั้งนี้มันพล็อตไปต่างโลก… กิลเลนแอบลอบอมยิ้มอยู่คนเดียว เขาเคยอ่านเรื่องทำนองนี้มาบ้าง พระเอกโดนรถชนมั่งล่ะ โดนฆ่าตายมั่งล่ะ แล้วสุดท้ายก็ได้ไปต่างโลก โดยส่วนใหญ่โลกนั้นจะมีสภาพเหมือนกับเกม
“ถึงนี่จะเป็นความฝันก็เถอะ แต่ถ้าเป็นโลกเกมมันจะมีหน้าต่างสเตตัสโผล่ขึ้นมารึเปล่านะ” กิลเลนลองปัด ๆ มือกลางอากาศ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรหน้าต่างข้อมูลตัวละครแบบในเกมก็ไม่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นสักนิด นี่มันฝันแบบไหนกันเนี่ย เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังมีคนมอง เขาจึงหยุดและหันไปสนใจสิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าพูดต่อ
“เอาล่ะ ฉันรู้ว่าทุกคนมีคำถามมากมาย แต่กรุณาเก็บเอาไว้ก่อนเถอะ ฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง” หญิงปริศนาว่า
“ก่อนอื่น ฉันคือแมดเดอลีน รามิเรซรองหัวหน้าของที่นี่ ส่วนทางนี้...” เธอผายมือไปทางชายแก่ด้านหลัง “พลเอกอาเบล รามิเรซผู้บัญชาการสูงสุด พวกเราสองคนคือมนุษย์กลุ่มสุดท้ายบนยานลำนี้”
“ยาน” หนุ่มแว่นท่าทางยียวนถามย้ำ ส่วนแมดเดอลีนก็พยักหน้าตอบ
“ดิกนิตี คือชื่อของยานที่พวกเรากำลังอยู่ในตอนนี้” แทนจะที่อธิบายต่อให้เสียเวลา สาวสวยวัยกลางคนเดินตรงไปที่กำแพงโล่งอีกฝั่งหนึ่งของห้อง เธอกดปุ่มสักอย่างบนแผงควบคุมที่อยู่ทางแขนซ้าย จากนั้นกำแพงก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นกระจกขนาดใหญ่และทิวทัศน์ภายนอก
“ฝันคราวนี้เจ๋งแฮะ” กิลเลนยังคงหลอกตัวเองว่านี่คือความฝัน เขาและผู้คนอีกมากต่างวิ่งกรูเข้าไปยืนมองภาพที่อยู่เบื้องหลังกระจก มันคือภาพของท้องฟ้าสุดลูกหูลุกตาและพื้นดินแตกระแหงสีน้ำตาลที่อยู่ห่างไกลออกไป พวกเขากำลังอยู่บนยานที่ลอยสูงห่างออกมาจากพื้นโลก
“บินอยู่จริง ๆ ด้วยสินะ แทบจะไม่รู้สึกตัวเลย” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น ดูเหมือนทุกคนจะเห็นด้วยกับเขา มันนิ่งซะจนราวกับภาพวิวข้างนอกเป็นภาพวาดที่ถูกสร้างขึ้น
“คงไม่ใช่ว่านี่เป็นแค่จอมอนิเตอร์ แล้วนี่เป็นแค่รายการเกมโชว์อะไรสักอย่างนะ” มีคนจุดประเด็นขึ้นมาเพิ่มแต่กิลเลนไม่คิดแบบนั้น
...นี่มันความฝันของตูต่างหากเล่า…
“ที่นี่คือโลกอนาคตในปี 3120” แมดเดอลีนเกร่นเข้าเรื่อง “หลายปีก่อน... โลกของเราถูกโจมตีจากสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่เรียกกันว่าแวนเดียร์ ภาพที่ทุกคนกำลังมองอยู่คือสภาพของโลกหลังจากผ่านการโจมตีนั้นมา”
“อนาคต?” ชายตัวโตเต็มไปด้วยมัดกล้ามถามย้ำแต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบที่ต้องการเสียงก็ดังแทรกขึ้น
“แวนเดียร์?” ผู้หญิงหนึ่งในสามคนจากฝ่ายที่ถูกพาตัวมาก็ถามบ้าง
“เฮ้ ใจเย็น ๆ ก่อนทุกคน ให้เธอเล่าให้จบก่อนเถอะ” หนุ่มแว่นพยายามปรามคนอื่นก่อนทีี่จะวุ่นวายไปมากกว่านี้
“ใช่... โลกนี้คืออนาคต พวกคุณทุกคนถูกดึงตัวมาจากยุคอดีต ต่างเวลา ต่างสถานที่ เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวคือช่วยเหลืออนาคตในยุคนี้ก่อนที่แวนเดียร์จะทำลายมันจนหมด” แมดเดอลีนว่าพลางกดแผงควบคุมบนมือซ้ายอีกครั้ง คราวนี้บางอย่างรูปร่างสี่เหลี่ยมถือผ้าผิวบางใสได้เลื่อนลงมาจากเพดานฝั่งตรงกันข้าม
มันคือหน้าจอแสดงผล แทนที่จะอธิบายปากเปล่าเธอให้ดูคลิปที่คล้ายกับสารคดี มันเริ่มจากภาพรายงานข่าวการโจมตีทั่วทั้งโลกโดยฝีมือของสัตว์ประหลาด แม้ว่าพวกมันจะมีรูปร่างหน้าตาที่หลากหลายแต่ไม่ว่าจะตนไหนร่างของมันก็ล้วนแต่ปกคลุมด้วยเมือกสีดำ นั่นคือแวนเดียร์ที่แมดเดอลีนพูดถึงนั่นเอง
แวนเดียร์อยู่นอกเหนือความเข้าใจแม้จะเป็นองค์ความรู้ของมนุษย์ในยุคนี้ พวกมันไม่เพียงแค่มีร่างกายที่ทนทานต่อสารพัดอาวุธ สารเคมี กัมมันตรังสี แวนเดียร์บางส่วนก็มีพลังพิเศษที่คล้ายกับเวทมนตร์
เมืองแล้วเมืองเล่า ประเทศแล้วประเทศเล่า ต่างทยอยล่มสลายไปตาม ๆ กันในเวลาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์หลังการโจมตี
“ไม่จริง” เสียงพึมพำลักษณะเดียวกันดังขึ้นเป็นระยะตลอดเวลาในแพร่ภาพ บางคนก็ถึงกับน้ำตาคลอเบ้าเมื่อเห็นผู้คนนับพันนับหมื่นถูกฆ่าอย่างทารุณ บางรายก็กัดฟันแน่นด้วยความโกรธแค้นราวกับอยากจะกินเลือดกินเนื้อเจ้าสิ่งมีชีวิตสีทะมึนที่เป็นต้นเหตุ
“ยุคนี้ไม่มีระเบิดนิวเคลียร์หรืออาวุธทำลายล้างที่ได้ผลกับมันเลยเหรอ ทำไมต้องลำบากลำบนดึงคนจากยุคก่อนมาช่วยรบแบบนี้”
“พวกเราลองหลาย ๆ วิธีแล้ว แต่ก็พบว่าวิธีที่ดีที่สุดมีแค่การใช้พลังรูปแบบเดียวกันต่อกรกับมัน ปัญหาคือถึงพบวิธีสู้กับมันแล้ว แต่ตอนนี้มนุษย์ที่ยังเหลือรอดและซ่อนตัวอยู่น่าจะมีไม่ถึงหลักหมื่น มนุษยชาติของเรากำลังจะสูญพันธุ์” แมดเดอลีนย้ำอีกครั้งทำเอาทุกคนนอกจากกิลเลนถึงกับหน้าถอดสี
“ดิกนิตีคือยานและฐานทัพสุดท้ายที่เหลือรอด โชคดีอยู่บ้างที่เรายังเหลือไพ่ตายอยู่สองสามใบและหนึ่งในนั้นก็คือพวกเธอนั่นเอง” ชายแก่ในชุดเต็มยศว่าพลางชี้ไปยังทุกคน “พวกเธอคือผู้ถูกเลือก”
...ผู้ถูกเลือก… กิลเลนคิดว่ามันก็ฟังดูดีนะ ยิ่งสำหรับคนที่ไม่เคยมีใครเห็นหัวแบบเขาด้วยแล้ว ...นี่ต้องเป็นไอ้นั่นแน่ ๆ ที่เขาบอกว่าเวลาคนเราอยากหนีความจริงมาก ๆ แล้วจะเห็นภาพหลอน… ...ลึก ๆ แล้วจิตใต้สำนึกเราคงอยากให้ใครสักคนยอมรับสินะ ถึงได้สร้างโลกแบบนี้ขึ้นมา…
“เราใช้ข้อมูลที่รวบรวมมาจากหลาย ๆ วิธีค้นหาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจากในอดีต น่าเสียดายด้วยข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างทำให้เราสามารถดึงพวกคุณมาได้มากที่สุดเท่านี้” แมดเดอลีนเสริม “พวกคุณคือความหวังสุดท้ายที่จะช่วยเราต่อสู้กับแวนเดียร์ก่อนที่ทุกอย่างจะไม่เหลืออะไรให้ต้องปกป้องอีก”
“ที่ว่ามาทั้งหมด ก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะ” ชายตัวเล็กผู้มีท่าทางขวางโลกพูด ทำให้ทุกคนต้องหันไปมองทางเขา “โลกอนาคตกำลังเกิดปัญหา พวกคุณคิดว่าพวกเราช่วยได้ก็เลยดึงตัวมา ตรงนี้พวกเราเข้าใจแล้ว แต่อยากถามว่าถ้าช่วยโลกนี้ไว้พวกเราจะได้อะไร”
“พูดอะไรแบบนั้น นี่มันโลกของเรานะ มันก็ต้องช่วยกันสิ” เสียงขัดดังขึ้นมาจากใครคนหนึ่งในกลุ่มซึ่งมันทำให้เกิดเสียงแตกเป็นสองสาย
ฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยว่าเมื่อทุกคนต้องมีศัตรูร่วมกันอย่างแวนเดียร์ การทุ่มเทช่วยงานให้กับยานที่เป็นความหวังสุดท้ายก็ควรจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่อีกฝ่ายก็แย้งด้วยเหตุผลว่านี่คืออนาคตที่อยู่ห่างไกลจากยุคของเขามาก พวกเขาควรจะมีผลประโยชน์อะไรที่ชัดเจนสำหรับการต้องทิ้งโลกเดิมมาเสี่ยงชีวิตที่นี่
“เราไม่สามารถส่งพวกคุณกลับไปพร้อมกับทรัพย์สินมีค่าใด ๆ ก็จริง แต่ว่าถ้าพวกเป็นข้อมูลของอนาคตล่ะก็พวกเราเต็มใจแบ่งบัน”
“อนาคตเนี่ยนะ ไม่ใช่พวกเราทุกคนล่ะมั้งที่อยากรู้ว่าอนาคตตัวเองจะเป็นยังไง” ชายกล้ามโตคนเดิมสวนขึ้นมา
“นายนี่ไม่ค่อยฉลาดสินะ ไม่เข้าใจรึไง ถ้ารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตมันจะทำเงินได้ขนาดไหน” หนุ่มแว่นมองไปทางชายร่างใหญ่ด้วยสายตาดูถูก “นี่ต้องให้อธิบายละเอียดเลยเหรอว่าหมายความว่ายังไง”
กิลเลนพอจะเข้าใจความหมายที่ชายแว่นพูด ต่อให้เขาจะไม่ใช่คนหัวดีนักก็ยังเดาออกว่าการรู้อนาคตเป็นข้อได้เปรียบยิ่งใหญ่ขนาดไหน ลองนึกภาพว่าตนเองรู้ว่าผลการแข่งขันกีฬาว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะทุกนัด แค่นี้ก็คงจะรวยจนไม่รู้เรื่องแล้ว ยังไม่นับว่าถ้ารู้ว่าเรื่องร้ายแรงขึ้นเกิดตอนไหนและหาทางหลีกเลี่ยงมันได้ชีวิตคงจะไม่มีวันพบกับความล้มเหลว
ใช่… มันก็เหมือนวันนั้นแหละ วันที่เขาตัดสินใจทำตามคำขอของรุ่นพี่ ช่วงที่เขาตัดสินใจมีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่นพวกนั้น ถ้าเขารู้แต่แรกว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหนเขาก็คงไม่เอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นแน่ ๆ
หลังจากใช้เวลาถกกันอยู่นาน แม้จะต่างความคิด ต่างเหตุผล แต่ผู้ถูกเลือกทั้งยี่สิบรายก็ตกลงเข้าร่วมกับดิกนิตีอย่างพร้อมหน้า เรื่องนี้ทำให้อาเบลและแมดเดอลีนเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ เพราะนี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยที่พวกเขาไม่ต้องส่งกลับผู้ถูกเลือกแม้แต่รายเดียว
“แล้วพวกเราต้องทำอะไรบ้าง”
“เรื่องนั้น ก่อนอื่นทุกคนก็ต้องเข้ารับฝึกฝน เพื่อให้รู้จักวิธีรับมือกับศัตรู ใช้เทคโนโลยีในยุคนี้ได้และ... เชื่อมต่อกับคาตาลิสต์”
...คาตาลิสต์…
เพราะรู้ว่าเดี๋ยวทุกคนก็ต้องมีคำถามมากมายอีก แมดเดอลีนจึงพาเหล่าผู้ถูกเลือกมาหยุดที่อีกห้อง เธออธิบายว่ามันคือห้องสำหรับการฝึกซ้อม กิลเลนเข้าใจว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ในห้องนั้นน่าจะเป็นบรรดาอาวุธล้ำสมัยที่เธอจะมอบให้กับพวกเขา สิ่งที่เขาคิดมันถูกเพียงครึ่งเดียว นอกจากคลังอาวุธที่แมดเดอลีนสัญญาว่าจะมอบให้กับพวกเขาในภายหลังแล้ว เธอยังอยากให้พวกเขาพบกับใครบางคนก่อน
สิ่งที่เขาเห็นคือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาต่างก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับกลุ่มผู้ถูกเลือกหรือบางคนน่าจะเด็กกว่าพอสมควร ชุดที่พวกเขาสวมใส่เป็นลักษณะเดียวกันแต่มีสีสันที่แตกต่างออกไป บ้างก็เป็นชุดสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว ตัดกันจนดูแสบตา
...ดูดี ๆ แล้วพวกนี้มีแต่สาวสวยแฮะ อ๊ะ! ไม่สิ มีผู้ชายปนมาคนสองคน แต่ก็ไม่ต่างกัน หน้าตาดูดีกันหมดอย่างกับพวกนางแบบนายแบบแน่ะ…
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่กิลเลนคนเดียวที่คิดแบบนั้น ผู้ถูกเลือกหลาย ๆ คนจ้องมองกลุ่มของหญิงชายหน้าตาดีกลุ่มนี้ด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
“นั่นก็คือผู้ถูกเลือกเหรอ” เสียงซุบซิบดังขึ้นจากข้างหลัง
“ไม่ใช่หรอก พวกนี้คือคาตาลิสต์” หนุ่มแว่นเฉลยแทนแมดเดอลีน สัญชาตญานบอกเขาว่าคนพวกนี้ผิดปกติที่ไหนสักแห่ง แถมก่อนหน้านั้นแมดเดอลีนก็ยังเคยบอกว่าเธอและอาเบลเป็นสองคนสุดท้ายบนยานลำนี้ นั่นทำให้สรุปได้ง่าย ๆ ว่าพวกนี้ไม่ใช่มนุษย์
“ถูกต้องแล้วค่ะ พวกเราไม่ใช่มนุษย์ หรือจะเรียกว่าเป็นมนุษย์เพียงส่วนเดียวก็ได้ พวกเราคือคาตาลิสต์ อาวุธรูปแบบมนุษย์ที่จะทำหน้าที่คอยช่วยสนับสนุนพวกท่านทุกคนค่ะ” เด็กสาวผมสั้นสีทองอธิบายพร้อมกับแนะนำตัว “ฉันคือพีโอเนีย ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านค่ะ”
หลังจากพีโอเนีย คาตาลิสต์แต่ละคนก็เริ่มแนะนำตัวไล่ไปทีละคน ๆ กิลเลนรู้สึกตื่นเต้นจนจำชื่อได้เพียงไม่กี่คน เช่น พีโอเนีย ไดอาธัส และอีกสองสามคนเท่านั้น ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจหรอก อย่าว่าแต่ประสบการณ์ได้อยู่ในแวดล้อมของสาวสวยราวกับไอดอลชื่อดังแบบนี้เลย แค่ได้พูดคุยกับเพศตรงข้ามก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเจอได้บ่อย ๆ
พูดก็พูดเถอะ กิลเลนเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลย แต่ตลอดเวลายี่สิบสี่ปีที่ผ่านมา เขามีปัญหาในการคบหากับเพศตรงข้ามมาตลอด ถึงจะมีคนรู้จักเป็นผู้หญิงอยู่ไม่น้อยแต่มันก็ไม่ใกล้เคียงพอที่จะเรียกว่าสนิทกับใครได้เลย ด้วยสาเหตุที่ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเขากลายเป็นชายผู้ไร้โชคทางด้านการคบหาใครสักคน
บางทีเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องการคบหาเพศตรงข้ามก็ได้ กิลเลนไม่ค่อยได้รับความสนใจแม้แต่ในครอบครัวของเขาเอง ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาชาชินกับการโดนมองข้ามหัวไปเสียแล้ว
ด้วยเหตุทั้งหมดที่ว่ามากิลเลนจึงยอมรับอย่างไม่อายว่า เขากำลังประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคาตาลิสต์เหล่านี้ พวกเธอไม่เพียงแค่แนะนำตัวเท่านั้นแต่ยังอธิบายเหตุผลที่ผู้ถูกเลือกจำเป็นต้องจับคู่กับพวกเธอด้วย
“...หมายความว่ายิ่งผู้ถูกเลือกและคาตาลิสต์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ผู้ถูกเลือกคนนั้นก็จะได้พลังพิเศษของคาตาลิสต์คนนั้นมาด้วยค่ะ” พีโอเนียอธิบายให้กิลเลนและจัสตินผู้ถูกเลือกอีกคนฟัง เธอลองจับมือของจัสตินดู แล้วเขาก็พบว่าเกิดประกายไฟฟ้าขึ้นที่มืออีกข้างของตน
“ยิ่งผูกพันพลังนี้ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น สุดท้ายผู้ถูกเลือกและคาตาลิสต์ก็จะได้รับพลังที่ทำให้เอาชนะแวนเดียร์ได้ค่ะ” พีโอเนียอธิบายด้วยใบหน้าเขินอายในขณะที่จัสตินที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มหน้าสวยก็มีใบหน้าแดงระเรือตามไปด้วย บรรยากาศน่าอึดอัดนี้ทำให้กิลเลนรู้ตัวว่าเขากลายเป็นส่วนเกินไปแล้ว
กิลเลนลอบมองไปรอบ ๆ ตอนนี้บรรดาผู้ถูกเลือกและคาตาลิสต์ต่างจับกลุ่มคุยกันแยกออกเป็นหลายกลุ่ม เขาเพิ่งสังเกตว่าผู้ถูกเลือกหลายคนในนั้นมาจากยุคเดียวกับเขาแถมยังเป็นคนดังอีกด้วย
ที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งก็คงไม่พ้นโอเวน เคนเนดี กิลเลนเคยเห็นเขาในหน้าหนังสือพิมพ์กีฬาอยู่บ่อยครั้ง เขาเป็นนักกีฬาของสนามต่อสู้ที่เรียกว่าเอ.เอ็ม.เอ.
เจโรม เฟลมมิงรายนี้ก็เป็นนักกีฬาเช่นกัน เขาเป็นนักฮอกกี้น้ำแข็งชื่อดังจนแม้แต่คนที่ไม่เคยสนใจกีฬาชนิดนี้อย่างกิลเลนยังรู้จัก
ทอดด์ ไทเกอร์คนนี้แม้จะไม่ได้เกิดในยุคเดียวกันแต่กิลเลนก็ยังรู้จักเขา ชายร่างใหญ่ผิวหมึกผู้นี้เกิดในช่วงยุคปี 40 และเคยได้เข็มขัดแชมป์เปียนมวยสากลในรุ่นเฮฟวี่เวทมา ก่อนที่จะหายตัวไปอย่างลึกลับ ตอนนี้กิลเลนเข้าใจแล้วว่าอะไรที่สาเหตุที่เขาหายตัวไปทั้งที่น่าจะกำลังอยู่ในช่วงที่รุ่งที่สุดในชีวิต
และอีกมากที่กิลเลนไม่รู้จักแต่ก็เชื่อว่าแต่ละรายล้วนแต่เป็นสุดยอดนักสู้ที่คัดสรรมาแล้ว
...เดี๋ยวนะ แล้วทำไมตูมาอยู่ที่นี่กับเขาด้วยได้เนี่ย...
“ไม่มีใครมาอยู่ที่นี่โดยไม่มีเหตุผลหรอกค่ะ” คาตาลิสต์รายนึงเข้ามาทัก เธออธิบายว่าเธอมีพลังพิเศษเกี่ยวกับพลังจิตหลากหลายรูปแบบและส่วนนึงคือพลังอ่านใจที่เธอเพิ่งจะใช้ไป
“เอ่อ ผะ ผมชื่อ....” ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ หนุ่มแว่นท่าทางยะโสที่เกือบจะวางมวยกับคนอื่นก่อนหน้านี้ก็เข้ามาแทรก
“แพทริค ทเวน นักเศรษฐศาสตร์” เขาตรงดิ่งเข้ามาเขย่ามือหญิงสาวตัดหน้ากิลเลน จากนั้นก็เริ่มบรรยายสรรพคุณตัวเอง ตั้งแต่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้ทุนการศึกษาที่นั่นที่นี่ เคยติดอันดับหนึ่งในสิบ “นักธุรกิจหนุ่มที่สาว ๆ อยากได้เป็นแฟนมากที่สุด” และอื่น ๆ อีกมาก...
“เออร์ซิเนียค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” คาตาลิสต์สาวรีบชิงตัดบทเพราะกลัวว่าเขาจะไม่หยุดเล่าเรื่องตัวเองง่าย ๆ
กิลเลนสงสัยว่านักเศรษฐศาสตร์มาทำอะไรในที่แบบนี้ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าพูดถึงเรื่องอยู่ผิดที่ผิดทางเขาเองก็คงไม่ได้แตกต่างกันนักหรอก พนักงานบริษัทรายได้ต่ำที่กลายเป็นนักโทษดูแล้วก็ไม่น่าจะถูกเลือกมาตั้งแต่แรกแล้ว
….อ่ออ ลืมไป นี่มันฝันนี่เนอะ ช่างเรื่องความสมเหตุสมผลไปเถอะ...
แมดเดอลีนจงใจปล่อยให้เหล่าผู้ถูกเลือกและคาตาลิสต์ได้ทำความรู้จักกันอย่างเต็มที่ สิ่งที่เรียกว่าการ “ซิงโคร” จำเป็นต้องใช้สายใยที่เรียกว่า "ความเชื่อใจ" ระหว่างคาตาลิสต์และผู้ที่พวกเธอเชื่อมต่อ นี่คือโอกาสอันดีที่จะให้ต่างคนได้ค้นหาว่าใครควรจะเป็นคู่หูที่เหมาะกับตนเอง
เรื่องทุกอย่างควรจะเป็นเช่นนั้น จนกระทั่ง…
“เฮ้ย!! แกน่ะ มันฆาตกรฆ่าคนในข่าวไม่ใช่เรอะ” โอเวนโวยวายเสียงดังพร้อมกับชี้ไปทางกิลเลนทำเอาทุกคนต้องหันไปมองทางเขาเป็นสายตาเดียวกัน
...ชิบห...แล้วไง...