ตอนที่ 99 บุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งเฟิงหมิง (ฟรี)
“ตูม”
ปรมาจารย์หวินฉีพลิกทั้งสองแขนขึ้นเกิดเป็นเปลวเพลิงอันแรงกล้าที่น่าหวาดกลัว เพลิงกาฬขุมนั้นปะทุความร้อนสูงขึ้นจนเป็นวังวนแผ่กระจายไปทั้งแปดด้าน ความรุนแรงของมันท่วมท้นเสียจนสามารถเผาผลาญได้ทุกสิ่งอัน
“เว่ยชาง จงตายไปเสียเถิด”
จู่จู่สายลมอันอบอุ่นที่ปกคุลมรอบกายของปรมาจารย์หวินฉีมาโดยตลอด ทว่าในบัดนี้กลับปะทุไอร้อนออกมาอย่างรุนแรง เปลวเพลิงสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่มือพลันก็ได้ยืดยาวออกจนกลายเป็นหอกเพลิง ที่ปลายหอกแฝงเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาลที่สามารถล้างผลาญทุกสิ่งอย่างทั่วทั้งปฐพีจรดสรวงสวรรค์
อาวุธที่ปรากฏอยู่ในมือของพวกเขาต่างก็ไม่ยุทโธปกรณ์ที่แท้จริง ทว่าเป็นเพียงการหลอมพลังจากเพลิงโอสถขึ้นมาจนถึงขั้นสูงสุดเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเพลิงได้ตามใจปรารถนา อาวุธจำพวกนี้จึงถูกเรียกขานกันว่าเครื่องมือเพลิง
เพลิงในที่นี้แปรสภาพมาจากพลังชีวิตของผู้ฝึกวิชาโอสถอันเกิดจากการฝึกปรือพลังขึ้นมาจนสามารถกักเก็บพลังเอาไว้ได้อย่างมากมายมหาศาล กล่าวกันว่าหากฝึกจนถึงระดับที่สูงที่สุดแล้วนั้นจะสามารถก่อเพลิงกาฬที่ทำให้มหาสมุทรทั้งแถบเดือดขึ้นมาได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว
ในช่วงเวลาแรกที่เว่ยชางและหวังลู่หยางได้สัมผัสกับพลังอันน่าหวานหวั่นของปรมาจารย์หวินฉีต่างก็ตกใจขึ้นมายกใหญ่ พลันก็ได้แปรสภาพเปลวเพลิงในมือให้เป็นอาวุธชิ้นหนึ่งเข้าต้านทานหอกเพลิงด้ามนั้นอย่างร้อนรน
อุปกรณ์เพลิงทั้งสามชิ้นปะทะเข้าหากันอย่างรุนแรง เกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าจนไม่อาจหลับตาลงไปได้ หากว่าสบกับแสงสายนั้นคงจะต้องตาบอดอย่างแน่นอน จากนั้นภายในโสตประสาทของทุกผู้คนก็ได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นมา ผิวหนังสัมผัสได้ถึงความร้อนแรงที่แผดเผาประดุจมีเพลิงบรรลัยกัลป์ห่อหุ้มไปทั่วทั้งร่างกาย
ซือเฟิงและพวกพ้องต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พวกเขาทั้งหมดอยู่ใกล้ฉากการต่อสู้มากที่สุดในตอนนี้ทว่าก็ยังห่างออกไปไกลกว่าสิบจั่ง เปลวเพลิงจากการต่อสู้อันดุเดือดแผ่ซ่านไปรอบด้านจนคล้ายกับจะเผาผลาญกายเนื้อของพวกเขาให้กลายเป็นหมูย่างไปได้ในทีเดียว
เมื่อพวกเขาคิดที่จะร่นถอยออกไปจากขุมพลังนั้นก็ไม่ทันเสียแล้ว พลันก็มีคมกระบี่สายหนึ่งผ่าแหวกสายลมลงไปยังพื้นพสุธารุนแรง
ทันใดนั้นทั่วทั้งท้องฟ้าก็ได้มืดครึ้มลงกะทันหัน จากนั้นร่างกายของพวกเขาก็ได้โอนเอนไปมาแล้วก็เหลือบลงไปพบว่ามีดินเหนียวกำลังพอกอยู่เต็มเท้าของพวกเขา
“ซูม”
ซือเฟิงสลัดหลุดออกมาจากความร้อนของดินเหนียวอย่างรวดเร็ว เขาหันขึ้นไปมองยังฉากการต่อสู้เบื้องหน้าก็พบว่าในบริเวณระยะร้อยจั่งได้กลายเป็นเถ้าถ่านส่งไอควันฟุ้งกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุที่แผ่ออกมาจากใจกลาง บรรยากาศในตอนนี้ยากที่จะสูดดมอากาศเข้าไปเพื่อหายใจได้อีกต่อไป
“พวกเจ้าถอยไป”
ฉู่เหยาส่งเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อครู่เป็นนางที่ช่วยเหลือซือเฟิงและพวกพ้องเอาไว้ นางไม่อาจต้านทานเพลิงกาฬอันมหาศาลเช่นนั้นได้จึงใช้ปฏิภาณไหวพริบและอัจฉริยภาพอันเป็นพรสวรรค์ของนางคิดทำการฟันปลายกระบี่ลงไปยังพื้นดินจนเกิดเป็นดินโคลนผืนใหญ่เข้าฝังซือเฟิงและพวกพ้อง
ดินโคลนที่อัดแน่นขึ้นมานั้นได้หนาตัวเป็นชั้นช่วยป้องกันไอจากเพลิงกาฬที่แผ่ออกมาจากการต่อสู้ทำให้พวกเขารอดพ้นจากขุมพลังพลังการโจมตีระลอกนี้ไปได้อย่างทันท่วงที ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้พวกเขาไม่ตายก็คงจะบาดเจ็บอย่างสาหัสอย่างแน่นอน
ซือเฟิงและพวกพ้องรีบถอยหนีออกไปจากวงล้อมการต่อสู้อย่างรีบร้อนจนติดกับลานประหาร ทว่าพวกเขายังไม่หาญกล้าพอที่จะเข้าไปช่วยคนของตระกูลหลงในทันที เพราะว่าที่นั่นยังมีเพชฌฆาตเฝ้าระวังอยู่ อีกทั้งยังกลัวว่าองค์ชายสี่จะสั่งให้ประหารทุกคนอย่างกะทันหัน
เพราะต่อให้พวกเขาจะอยู่ใกล้และรวดเร็วกว่านี้อีก ก็ไม่อาจเร็วไปกว่ามือของเพชฌฆาตเหล่านั้นเป็นแน่แท้ ฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะคิดหรือกระทำการอย่างวู่วามได้
“ตูมตูมตูม”
แล้วก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาติดต่อกันถึงสามครั้ง ทว่ากลับมองเห็นแค่เปลวเพลิงลอยคละคลุ้งอยู่เต็มผืนฟ้าเท่านั้น ไอควันจากความร้อนได้ปกปิดฉากการต่อสู้ภายในเอาไว้ทั้งหมด
มีเพียงยอดฝีมือพลังขอบเขตขั้นก่อโลหิตขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถใช้พลังสายตาอันแหลมคมสอดส่องเข้าไปดูการเคลื่อนไหวของทั้งสามปรมาจารย์ผู้หลอมโอสถได้ ภายในเปลวเพลิงอันลุกโชนเกิดการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงแม้แต่ชั่วครู่เดียว เครื่องมือเพลิงสามชิ้นเข้ากระทบกันจนเกิดการสั่นไหวไปมาแล้วปะทุเป็นพลังทำลายที่สูงเสียดฟ้า
“แท้จริงแล้วเจ้าได้เก็บออมพลังฝีมือเอาไว้เมื่อครั้งก่อนอย่างนั้นหรือ”
หอกยาวฟาดฟันออกมาอย่างรุนแรงอยู่หลายครั้ง เว่ยชางกับหวังลู่หยางก็ได้ถูกกดดันจนต้องถอยหลังติดต่อกันไปหลายก้าว ในที่สุดเว่ยชางก็เข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุของพลังอันมหาศาลเช่นนี้
“อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระอันใดอีกเลย วันนี้พวกเรามาจบความบาดหมางกันเสียทีเถิด”
ปรมาจารย์หวินฉีส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา พลันก็ได้ไหลเวียนพลังลมปราณไปทั่วทั้งร่างกาย ส่งผลให้พลังการโจมตียิ่งทวีความเฉียบคมมากขึ้น อีกทั้งกระบวนท่าที่ถูกใช้ออกมาก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปด้วย จนฝ่ายศัตรูเป็นอันต้องล่าถอยหลังไปไกลอย่างไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้อยู่
ผู้คนต่างก็ตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง นี่คือพลังการต่อสู้ของผู้หลอมโอสถอย่างนั้นหรือ? พลังอันมหาศาลเช่นนี้แทบจะไม่ต่างไปจากพลังยุทธ์ของยอดฝีมือโดยทั่วไปเลย
แม้เครื่องมือเพลิงจะยังไม่ทันได้โจมตีเข้าไปถึงตัว ก็บังเกิดการเผาผลาญที่แม้แต่ไม้ก็ยังถูกหลอมละลายลงไปได้ ผู้หลอมโอสถเหล่านี้ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปจนแทบจะไม่มีผู้ใดทนรับกับสะเก็ดพลังที่ลอดผ่านออกมาได้เลย
ปรมาจารย์หวินฉีใช้หนึ่งพลังต้านกับสองพลังจนเกิดเปลวเพลิงพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ถึงแม้จะเป็นเว่ยชางและหวังลู่หยางร่วมมือกันก็ยังถูกซัดจนลอนกระเด็นออกไปไกล
ทั้งหวังลู่หยางและเว่ยชางต่างก็เป็นผู้หลอมโอสถด้วยเช่นกัน ทว่าความลึกซึ้งของเพลิงปราณกลับไม่อาจเทียบชั้นกับปรมาจารย์หวินฉีได้เลย ทำให้ในตอนนี้เฒ่าชราทั้งสองเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
ภายในจิตใจของเว่ยชางเริ่มสั่นคลอนขึ้นมาเป็นระลอก ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะร่ำร้องออกมาว่าโชคดีเหลือเกิน เขาไม่เคยคาดคิดว่าหวินฉีจะเก็บซ่อนพลังอันลึกล้ำเช่นนี้มาโดยตลอด หากเขาต่อสู้กับหวินฉีเพียงลำพัง เกรงว่าวันนี้คงจะต้องเสียท่าอย่างแน่นอน
พลังเพลิงปราณของทั้งสามปรมาจารย์ถูกเค้นออกมาจนถึงระดับสูงสุดด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พวกเขาต่อสู้กันติดต่อกันออกไปถึงสามสิบกระบวนท่าแล้ว ทว่าพลังทำลายกลับไม่ได้ลดทอนหรือเบาบางลงไปกว่าตอนแรกเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ถึงแม้ว่าเว่ยชางและหวังลู่หยางจะห่างชั้นจากปรมาจารย์หวินฉีไปขั้นหนึ่ง ทว่าฉากการต่อสู้อันดุเดือดเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถแปรผลแพ้ชนะขึ้นมาได้อย่างชัดเจน
“เสี่ยวยาโถว (小丫头แม่หนูน้อย) ครั้งนี้ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าได้อีกแล้ว จงตายซะ”
ทันใดนั้นเองฮาฉีก็ได้แสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา แล้วพุ่งตัวไปยังร่างบางของฉู่เหยาที่อยู่ห่างไกลออกมา ในขณะที่หญิงสาวกำลังเหม่อมองไปยังการต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้าอย่างจดจ่อ เมื่อครู่หากไม่ใช่หวินฉีสอดมือเข้ามาช่วย เขาก็คงจะจัดการหญิงสาวได้อยู่หมัดแล้ว
“สวบ”
ฮาฉีพุ่งปลายกระบี่ไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นสภาวะพลังประหลาดขุมหนึ่งก็ได้ไหลเวียนเข้ามาภายในร่างกายอย่างท่วมท้น พลันก็ได้ดึงประสบการณ์ที่ผ่านความเป็นความตายมานานหลายปีมาเข้าช่วยสลายประบวนท่าอย่างรวดเร็ว
“เหอะ”
พลังที่แฝงความเย็นเยียบเอาไว้อย่างมากมายมหาศาลได้สาดเข้ามาเป็นระลอกใหญ่ ให้ความรู้สึกที่โชกโชนไปด้วยกลิ่นอายของโลหิตสดเอาไว้ ลูกศรดอกหนึ่งเฉียดผ่านใบหน้าของฮาฉีไปอย่างหวุดหวิดทว่าที่ปลายจมูกของเขากลับบูดบี้ไปเล็กน้อย หากเขามีปฏิกิริยาตอบกลับได้เชื่องช้ากว่านี้เพียงพริบตาเดียว ศีรษะอันกลมโตของเขาคงจะถูกลูกศรดอกนั้นแทงทะลุตรงกลางไปแล้ว
“เจ้ากล้ารังแกสะใภ้ของข้าอย่างนั้นหรือ?”
เสียงทุ้มต่ำและห้าวหาญเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากที่ที่ไกลออกไป อีกทั้งยังดังกึกก้องไปทั่วบริเวณราวกับว่ามีเครื่องช่วยขยายเสียงจนทำให้ผู้คนทั้งหมดต่างหวาดหวั่นขึ้นมา ภายในน้ำเสียงนั้นแอบแฝงเอาไว้ด้วยความหยามเหยียดและจิตสังหารอันทรงอานุภาพอย่างถึงที่สุด
เมื่อครู่ทุกผู้คนต่างก็ต้องมนต์สะกดของศึกครั้งใหญ่ของปรมาจารย์หวินฉีที่บังเกิดอยู่ที่เบื้องหน้าของพวกเขา จึงไม่ทราบว่านับตั้งแต่ช่วงเวลาใดที่บริเวณไม่ไกลจากลานประหารมากนักมีการปรากฏเงาร่างเพิ่มขึ้นมาอีกสามสาย
บุคคลที่ยืนอยู่หน้าสุดนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้ม จมูกหนา ปากกว้าง ขนคิ้วประดุจกระบี่เล่มหนึ่ง ร่างกายของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยสภาวะพลังแห่งวิทยายุทธ์ขั้นสูงที่แฝงจิตสังหารอันเย็นเยียบอยู่อย่างมหาศาล
“หลงเทียนเซียว”
องค์ชายสี่และพวกพ้องคนอื่นๆ ต่างก็ร้องเสียงหลงด้วยความตื่นตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้ที่เพิ่งจะมาเยือนนี้เป็นหนึ่งในสามสุดยอดฝีมือแห่งจักรวรรดิเฟิงหมิง ขุนนางเจิ้งหยวนหลงเทียนเซียว ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งเฟิงหมิง
รวมไปถึงเหล่าทหารจากจักรวรรดิต้าเซี่ยและแม้แต่ทหารของจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงเองก็เกิดความแตกตื่นขึ้นมาไม่ต่างกัน พวกเขาถูกสภาวะพลังบนร่างกายของหลงเทียนเซียวเข้ากดดันเอาไว้ทั้งหมดจนไม่สามารถหายใจได้ทั่วท้อง
ลูกศรดอกหนึ่งเกือบจะทำให้ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นผู้หนึ่งตายลงไปได้ นี่เป็นความแข็งแกร่งระดับใดกัน? นามแห่งกองทัพเทพไม่ได้มีดีแค่ชื่อเลยจริงๆ
ฉู่เหยาเริ่มค่อยๆ มีปฏิกิริยาตอบกลับขึ้นมาหลังจากถูกลอบโจมตี ชายผู้นี้คือบิดาของหลงเฉินเองหรือ ทว่าเมื่อครู่หลงเทียนเซียวได้เรียกขานนางว่า ‘สะใภ้’ จึงทำให้นางทอใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาในทันที ภายในจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง
ร่างของบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งเฟิงหมิงได้ขยับคันธนูยาวที่อยู่ในมือหนึ่งครั้ง ส่งให้ปลายลูกศรพุ่งตรงออกไปยังลานประหารอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ละสายตาไปมองก็พบว่าลูกศรดอกหนึ่งไปถึงลานประหารทั้งหมดแล้ว
“ฉับฉับฉับฉับ”
คมศรที่พุ่งแหวกอากาศออกไปด้วยความรวดเร็วและรุนแรงก็ได้ทะลุผ่านหลังศีรษะของเหล่าเพชฌฆาตที่อยู่ด้านหลังของฮูหยินหลงและคนของตระกูลหลงไป ร่างที่กำลังปากอ้าตาค้างด้วยอาการตกตะลึงก็ได้ล้มลงไปกองอยู่บนพื้นพร้อมกันจนเกิดเสียงดังตึง พวกเขาทั้งหมดต่างก็มีแผลรูเล็กๆ ที่มีโลหิตไหลซึมออกมาอยู่บริเวณหว่างคิ้ว
ทั่วทั้งลานประหารตกอยู่ในห้วงแห่งความเงียบงันอย่างถึงที่สุด ทักษะการใช้ธนูของหลงเทียนเซียวช่างร้ายกายและไร้ซึ่งซุ่มเสียงประดุจภูติพรายที่ล่องลอยอยู่ ลูกศรเพียงดอกเดียวสามารถสังหารผู้คนกว่ายี่สิบคนลงไปได้ในครั้งเดียว ยิ่งกว่านั้นเหล่าเพชฌฆาตต่างก็ยืนอยู่คนละตำแหน่งกันอีกด้วย
“ไม่เสียทีเลยที่ถูกเรียกขานว่าเป็นบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งเฟิงหมิง ‘ศรต่อเนื่อง’ นี้ช่างน่าประทับใจอย่างยิ่ง” เซี่ยโหยวอวี่กล่าวชมเชยออกมา
มีเพียงสายตาอันแหลมคมของยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเท่านั้นที่จะมองเห็นความลี้ลับอันสูงส่งของการแผลงศรของหลงเทียนเซียวได้ ลูกศรดอกนั้นได้ถูกปล่อยออกไปด้วยพลังลมปราณที่ค่อยชักนำทิศทางของลูกศรเอาไว้อยู่แล้ว
เมื่อลูกศรดอกนั้นได้หลุดจากคันธนูไปแล้วก็แยกร่างออกเป็นลูกศรขนาดเล็กนับหลายสิบสายพุ่งเข้าไปยังร่างของเพชฌฆาตเหล่านั้น
นอกจากหลงเทียนเซียวแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถใช้ ‘ศรต่อเนื่อง’ ออกมาได้อีกแล้ว เคล็ดวิชานี้จึงทำให้เผ่าคนเถื่อนเกิดความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด เพราะได้ใช้สังหารยอดฝีมือของเผ่าคนเถื่อนไปมากมายจนไม่อาจนับได้แล้ว
เมื่อเพชฌฆาตถูกสังหารไปหมดแล้ว ทั้งฉู่เหยา ซือเฟิง และพวกพ้องต่างก็ตะบึงหน้าตั้งเข้าไปปลดเครื่องจองจำให้กับฮูหยินหลงและคนของตระกูลหลงในทันที จากนั้นก็ไปรวมกันอยู่ที่ด้านหลังของหลงเทียนเซียว
หลงเทียนเซียวหันกายไปทางด้านหลังช้า แล้วจ้องมองไปยังใบหน้าที่ซูบเซียวของภรรยาพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ขออภัยที่ทำให้เจ้าต้องลำบากถึงเพียงนี้”
ฮูหยินหลงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบกลับไปว่า “เป็นเพราะพวกเราถึงทำให้ท่านต้องลำบาก เพียงแต่ข้าอยากจะทราบว่า……เฉินเอ๋อ เขา……”
“วางใจเถิด เฉินเอ๋อย่อมต้องไม่เป็นอันใดอยู่แล้ว บุตรชายของข้าจะถูกผู้อื่นจัดการจนล้มลงไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือ?” หลงเทียนเซียวเอ่ยวาจาปลอบใจอย่างอ่อนโยน
หลงเทียนเซียนเบือนสายตาจากภรรยาของเขาไปยังหญิงสาวร่างบางที่ยืนอยู่ด้านข้าง แล้วพยักหน้าไปมาด้วยความเบิกบาน “เจ้าเด็กโสโครกของข้าช่างมีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งนัก ถึงกับหาสะใภ้ที่ดีให้ตระกูลหลงได้”
ฉู่เหยาเขินอายอย่างไม่อาจปกปิดได้ พลันก็ได้เอ่ยวาจาที่ดังกว่าเสียงยุงบินเพียงเล็กน้อยออกมาว่า “ฉู่เหยาขอคำนับท่านอาหลง”
หลงเทียนเซียวยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังร่างอันสูงใหญ่ของซือเฟิง แล้วตบไปที่หัวไหล่ของชายหนุ่มผู้นั้นด้วยความเอ็นดู “กล้าหาญยิ่งนัก”
ซือเฟิงตื่นเต้นจนทำอันใดไม่ถูก เขาได้รับคำชมเชยจากบุคคลผู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งเฟิงหมิงอย่างนั้นเชียวหรือ ช่างน่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเจ้าอ้วนและพวกพ้องก็ได้ทอสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเคารพนับถือในขณะที่มองไปทางหลงเทียนเซียว
ถึงแม้ว่าชายผู้นี้จะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพนับสิบหมื่นก็ยังคงสาดประกายความเชื่อมั่นในตัวเองออกมาอย่างไม่ลดทอนลงไปเลยแม้แต่น้อย กล่าวได้ว่าในสายตาของหลงเทียนเซียวนั้นแทบจะไม่เห็นศัตรูอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นสายตาของหลงเทียนเซียวก็ได้หันไปประจบกับร่างของอาหมานที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ด้วยความงุนงงขึ้นมาเป็นสาย
“ท่านพี่ (夫君ฟู่จวิน ) อาการบาดเจ็บของหมานเอ๋อยังสาหัสถึงแก่ชีวิตหรือไม่?” ฮูหยินหลงถามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
*夫君ฟู่จวิน คำเรียกแทนสามีของคนในสมัยโบราณ
หลงเทียนเซียวไม่ได้ตอบกลับไปแม้แต่คำเดียว เพียงแต่เอ่ยวาจาตักเตือนฉู่เหยาและพวกซือเฟิงให้ดูแลคนของตระกูลเอาไว้ให้ดี จากนั้นก็ได้เบือนสายตาไปยังการต่อสู้ของปรมาจารย์หวินฉีด้วยใบหน้าที่พยักไปมาเล็กน้อย
จดหมายของหลงเฉินที่ส่งไปถึงเขาได้บอกเล่าเรื่องราวและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอาไว้แล้ว อีกทั้งยังละเอียดและถี่ถ้วนเสียยิ่งกว่ารายงานจากลูกน้องของเขาอีก
“หลงเทียนเซียว บุตรชายของเจ้าได้ต้องโทษถึงตายแล้ว เพื่อทั้งสองจักรวรรดิ……”
หลงเทียนเซียวโบกมือขึ้นมาเพื่อตัดบทพูดขององค์ชายสี่ “ไม่ต้องมาเสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าไม่ชมชอบการก่อกบฏ และข้าก็ไม่ใช่คนโง่งม
พวกเจ้าวางกับดักเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือ? ข้ามาถึงที่แหง่นี้แล้ว หากเจ้าคิดที่จะสังหารคนของตระกูลหลงก็ขอให้รีบเข้ามาเถิด และข้าดูเสียหน่อยว่าพวกเจ้านั้นมีกี่ชีวิตกัน”
วาจาที่เอื้อนเอ่ยออกมาของหลงเทียนเซียวช่างสงบนิ่งยิ่งกว่าผืนน้ำในทะเลสาบ ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายอย่างมหาศาล ทำให้ผู้คนทั้งหมดที่ได้รับฟังต่างก็มีร่างกายที่สั่นเทิ้มขึ้นมาเพราะบรรยากาศอันหนาวเหน็บ ถึงแม้ว่าการต่อสู้ของสามปรมาจารย์จะแผ่พลังความร้อนออกมาอย่างต่อเนื่อง ทว่ากลับไม่สามารถคลี่คลายความเย็นเยียบที่อยู่ภายในจิตใจของพวกเขาได้เลย
หลงเทียนเซียวยืนเอามือไพล่หลังอย่างสงบเสงี่ยม ชายฉกรรจ์เพียงคนเดียวกลับยืนเผชิญหน้ากับการปิดล้อมจากทหารหลายพันนายด้วยท่วงท่าที่สบายราวกับพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ยิ่งทำให้ผู้คนเหล่านั้นไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้
ฮูหยินหลงมองไปยังแผ่นหลังที่คุ้นเคย พลันก็เกิดความอบอุ่นขึ้นมาภายในจิตใจอย่างท่วมท้น เมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นนางก็ได้ถูกความกล้าหาญที่เย้ยทั่วทั้งฟ้าดินเช่นนี้ของเขาดึงดูดจิตใจของนางเอาไว้
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงแผ่นหลังที่ซูบผอมกว่านี้อีกร่างหนึ่ง แม้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าหลงเทียนเซียว ทว่าความห้าวหาญของพวกเขานั้นช่างเหมือนกันเป็นอย่างยิ่ง: เขาจะต้องเป็นเหมือนกับบิดาของเขา กลายเป็นวีรบุรุษที่แท้จริงผู้หนึ่งในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน
เมื่อยิงฮวาเห็นว่าหลงเทียนเซียวยืนอย่างนิ่งสงบอยู่นานแล้ว เขาจึงปะทุพลังทำลายขึ้นมาอย่างมหาศาล ภายในดวงตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความอิจฉาริษยาอย่างแรงกล้า
“เช้ง”
กระบี่ยาวหลุดออกจากฝักอย่างรวดเร็ว ยิงฮวาและเหล่าทหารต่างก็เร่งฝีเท้าพร้อมกับชักกระบี่ยาวชี้ไปทางหลงเทียนเซียว ยิงฮวากัดฟันแน่นแล้วกล่าวออกไปว่า “หลงเทียนเซียว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสคมกระบี่ของข้าเอง ข้าจะต้องแก้แค้นเจ้าให้จงได้”
หลงเทียนเซียวกวาดสายตามาหยุดอยู่ที่ยิงฮวา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเป็นผู้ใดกัน?”....
ติดตามตอนอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ : 9 ดารา