ตอนที่ 5 นี่อาจจะเป็นเหตุผล
ตอนที่ 5 นี่อาจจะเป็นเหตุผล
เมื่อพิธีการในคืนแรกเสร็จสิ้น เหล่าผู้ที่มาร่วมงานต่างถยอยกันกลับไปยังที่พัก กลิ่นหอมของกำยานลอยอบอวลคู่กับดอกไม้นานาพันธุ์ ท่ามกลางงานศพที่เปี่ยมเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย บ้านสกุลเสวี่ยซึ่งปกติแล้วจะแต่งกายด้วยชุดสีขาวตัดแดง ต่างแปรเปลี่ยนเป็นชุดสีดำสนิททั้งตัวเพื่อทำการไว้ทุกข์ ยิ่งสร้างบรรยากาศอันอึมครึมและหมองหม่น สมกับที่เป็นงานศพอย่างดี
เสวี่ยหงเยว่อยู่ตรงนั้น แต่เพราะยังไม่ได้บรรลุนิติภาวะจึงยังไม่ได้รับสิทธิ์ในการพูดคุยกับบุคคลนอกสกุล เด็กชายเลยได้แต่หลบมุมยืนสงบปากสงบคำด้วยสีหน้านิ่งขรึมคล้ายคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว
การที่เด็กน้อยยืนตัวคนเดียวในงานศพพ่อแม่ตัวเองไม่แคล้วจะโดนคนอื่นมองด้วยสายตาที่สงสารปนเห็นใจ
เพราะเมื่อหากตัดสถานะของตัวเองไปแล้ว เสวี่ยหงเยว่ก็ไม่ต่างจากเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรคนหนึ่ง
ช่างอาภัพนัก...นั่นคือสิ่งที่คนมองเสวี่ยหงเยว่จากภายนอกคิด
หากแต่ในความเป็นจริงในใจของเด็กชายนั้น เขากำลังมาเก็บข้อมูลเรื่องพิธีศพของโลกใบนี้อยู่มากกว่า
ถามว่าทำไมต้องมาเก็บข้อมูล หนึ่งก็เพื่อจะได้รู้ว่างานศพนี้จัดอย่างไรจะได้เอาไปจดในสมุดข้อมูลและสองก็เพื่อมาสังเกตุการณ์ว่าจะมีใครมาร่วมไว้อาลัยในวันนี้บ้าง
งานศพคนระดับประมุขสกุลใหญ่ ย่อมมีบุคคลหน้ามีตามากันเสียให้ล้นงานต่อให้เขาเข้าวงสนทนากับผู้ใหญ่ไม่ได้แต่การโผล่ไปให้เขาเห็นหน้าหรือมีโอกาสรู้จักหน้าค่าตาของคนสังกัดสกุลใหญ่มันคงจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาที่ไม่เคยออกไปข้างนอกในช่วงที่ยังไม่ได้บรรลุนิติภาวะเช่นนี้
ถามว่างานศพพ่อแม่ไม่เสียใจเลยเหรอ
...นั่นสินะ...
คนเราน่ะ มันต้องแยกสติออกจากกัน เสียใจกับการที่พ่อแม่ตายน่ะมันก็ใช่แหละ แต่การใช้ชีวิตมาสามสิบสองบวกกับอีกสิบปีจะให้เขาร้องไห้งอแงเป็นเด็กน้อยมันก็ใช่เรื่อง มันอาจจะฝืนตัวเองไปบ้าง ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในตอนนี้มากกว่า
เสียใจน่ะได้ แต่ก็ต้องตั้งหลักรับมือกับสิ่งที่จะเกิดตามมาด้วย
การเคยตายมาครั้งหนึ่งสอนเขาไว้แบบนั้น
ยิ่งเขาเพิ่งเปิดทางให้เหมินจิ้นเค่อพาจงฉิงเจียหนีแล้วด้วย ยิ่งจะเพิ่มข้อหาให้เขาอีกกระทงใหญ่ๆ แม้เสวี่ยหงเยว่จะเชื่อใจอาจารย์หลานว่าคนเช่นนั้นจะไม่ทรยศปริปากบอกใครแน่แต่...
พวกตัวประกอบพวกนั้นน่ะ ไม่แน่
“นายท่าน เมื่อพิธีคืนแรกจบลงโปรดอยู่รอก่อน”
นี่คือสิ่งที่ได้ยินจากปากผู้อาวุโสท่านหนึ่งก่อนพิธีการจะเลิก
ไม่พ้นโดนลากมารุมสอบปากคำอีกแน่นอน เสวี่ยหงเยว่คาดการณ์เอาไว้แล้วว่ากรณีเช่นนี้จะต้องเกิด ในเมื่อก่อเรื่องใหญ่โตเอาไว้ลับหลังมากมายเสียขนาดนั้น ต่อให้เป็นลูกประมุข เป็นว่าที่ประมุข ก็แล้วอย่างไรเล่า ถ้าทำผิดมันก็ต้องโดนเล่นงานได้เหมือนกัน
มันก็เหมือนกับทำงานบริษัทนั่นแหละ
ต่อให้เป็นลูกเจ้านายถ้าทำเรื่องงามหน้าอันนำมาซึ่งความเสียหายแก่องค์กรก็...ไม่พ้นจะโดนฝ่ายบุคคลเรียกเข้าไปสอบสวนในห้องเย็นจ้า
เสวี่ยหงเยว่ได้แต่ถอนหายใจ ปลงพร้อมๆ กับทำใจกับอนาคตที่ต้องเจอข้างหน้าของตัวเอง จะเกิดอะไรก็ต้องเกิด ต้องยอมรับ ในเมื่อเลือกที่จะทำเองเขาก็ควรยืดอกสง่าผ่าเผยรับโทษด้วยเหมือนกัน
“แอะ…” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นพร้อมกับที่เสวี่ยหงเยว่ชะงักไปเพราะรู้สึกราวว่ากับมีอะไรบางอย่างสูงระดับเอวตรงเข้ามาชนตน
และเมื่อก้มลงไป…
ก็ถึงกับกัดปากสูดลมหายใจตั้งสติกับตัวเอง ท่องนโมสามจบให้ใจเย็น
ร่างของเด็กน้อยวัยเดินเตาะแตะสูงไม่เกินเอวของเสวี่ยหงเยว่ มือเล็กๆ จับขยุ้มชายเสื้อเอาไว้แล้วเงยสบสายตาอย่างไร้เดียงสาด้วยดวงตาสีทองกลมโตแสนใสซื่อ แก้มยุ้ยดูนุ่มนิ่มน่าบีบ ส่งเสียงอ้อแอ้ๆ พูดเป็นคำๆ ได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่จับใจความได้ว่าชวนให้มาเล่นด้วยกัน
ใกล้แล้ว ใกล้กัดลิ้นตัวเองตายแล้ว แต่ติดที่ต้องทำหน้านิ่งอยู่ แต่ใกล้...ใกล้สติบินแล้ว พุทโธ ธัมโม
พระสงฆ์องค์เจ้า ท่านเทพส่งเทวดาตัวน้อยมาทดสอบสกิลหน้านิ่งของผมเหรอออ!!!
“หืม…” แล้วเขาก็หลุดเสียงออกมาเมื่อเห็นป้ายตราหยกขาวสลักลายเป็นหงส์คู่ผูกอยู่ตรงผ้ารัดเอวของเด็กน้อย มันเป็นป้ายตราหยกประจำของสกุลหนึ่ง...ซึ่งไม่มีใครรู้จัก
โลกอวิ๋นเจวี้ยนนี้ไม่มีชนชั้นพระราชา ไม่มีฮ่องเต้ สถานที่ต่างๆ ทรัพยากร และประชาชน แบ่งไปตามเขตปกครองของสามสกุลอย่างเท่าเทียม
แต่หากถามว่าในสามสกุล มีสกุลใดที่ใกล้เคียงกับการเป็นฮ่องเต้ที่สุด…
ก็คือสกุลเหอ
และสกุลเหอนั้นเองก็คือสกุลของเจ้าพระเอกในเรื่องที่ต้องมาสังหารเขาในอนาคตอย่างไรล่ะ
คงไม่ใช่ว่า…
แต่พอเหลือบมองใบหน้าอันสุดแสนจะน่ารักของเด็กน้อยที่ประมาณอายุเอาเองว่าคงไม่เกินสองขวบแล้วไอ้ประโยคคิดวิเคราะห์แยกแยะก็หายไปทันที
อนาคตก็อนาคตสิฟะ! กว่าจถึงบทที่โดนแทงตายก็อีกตั้งนาน โลกนี้มันคงไม่ในร้ายขนาดเร่งบทให้ตายตอนสิบขวบหรอกน่า!!
“อ้ะ…” แล้วอยู่ๆ เด็กน้อยที่มาก่อกวนเขาก็ชะงักไป ดวงตาสีทองกลมโตมองข้ามไปยังด้านหลังของเขา เสวี่ยหงเยว่เห็นดังนั้นจึงเหลียวหลังไปมองตามด้วย เขาเห็นเด็กชายอายุพอๆ กับเขาร้องเรียกน้องชายของตน เส้นผมสีดำสนิทมัดเป็นหางม้าสูง ดวงตาสีทองสดใส...สีเดียวกันกับเจ้าหนูตัวน้อยคนนี้
หน้าเหมือนกันชนิดที่ต่อให้ไม่บอกก็ดูออกว่าพี่น้องกันแน่ๆ
เมื่อมองเลยไปไม่ไกลกันเท่าไรนักก็เห็นชายคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดสีดำเต็มยศเคียงข้างกันนั้นคือหญิงสาวผู้เป็นภรรยา ซึ่งทั้งสองกำลังคุยกับอาจารย์หลานซิ่นหลิงด้วยทีท่าสนิทสนมกันราวกับรู้จักมานาน ทั้งคู่ดูสูงศักดิ์โดดเด่นจากคนมางานทั่วไป อีกทั้งยังอายุพอๆ กันกับพ่อของเสวี่ยหงเยว่
ตราหยกที่แขวนอยู่ที่สายรัดเอวนั้นทำให้เสวี่ยหงเยว่ตัดสินใจและเข้าใจได้ในทันทีว่านั่นคือใคร
เด็กน้อยส่งเสียงหัวเราะอ้อๆ แอ้ๆ แล้วเดินเตาะแตะตรงกลับไปหาพี่ชาย เมื่อผู้เป็นพี่รับน้องมาอุ้มก็สบตาของเสวี่ยหงเยว่พอดี คนเป็นพี่ชายชะงักค้างไปเล็กน้อย พยักหน้าคล้ายจะกล่าวทักทาย ซึ่งเสวี่ยหงเยว่ก็พยักหน้ารับตอบอีกฝ่ายเช่นกัน แล้วหลังจากนั้นเด็กทั้งสองก็วิ่งกลับไปหาพ่อกับแม่
คนเหล่านั้น คือคนจากสกุลเหอ เป็นประมุขสกุลเหอและครอบครัวไม่ผิดแน่ ซึ่งเสวี่ยหงเยว่เองก็พอจะคาดเดาได้
อย่างไรเสีย ประมุขเสวี่ยก็เป็นเพื่อนร่วมเรียนร่วมโตวัยใกล้เคียงกันมากันตั้งแต่ยังเล็กอีกทั้งด้วยสถานะที่เป็นประมุขด้วยกันทั้งคู่ การส่งตัวแทนมางานศพเพื่อนย่อมเป็นการเสียมารยาทอยู่แล้ว
แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะมากันทั้งครอบครัวเช่นนี้
ตอนที่ทำพิธีอยู่ เสวี่ยหงเยว่นั้นต้องให้ความสนใจกับการทำพิธี ห้ามล่อกแล่กสนใจสิ่งอื่น ถึงจะรู้ว่าพิธีใหญ่เช่นนี้คนใหญ่คนโตนั้นย่อมพร้อมใจกันมางานอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้มีโอกาสไปพบปะกับแขกเครือในงานเลยจนกระทั่งจบพิธี
เพราะกฏสกุลบ้าๆ บอๆ สำหรับเด็กไม่บรรลุนิติภาวะนั่นน่ะแหละ กฏห่านกฏเหวบ้าบอคอโป่งที่เขียนไว้จนได้หอสมุดหนึ่งหอเลยนั่นน่ะ! บ้านอื่นสิยังพาลูกออกมาข้างนอกบ้านได้เลย แล้วทำไมมีแค่เขาที่ต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนรอวันที่จะโตพอออกไปออกไปข้างนอกรั้วบ้านได้ละ
ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
แต่เสวี่ยหงเยว่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากการร่ายมหากาพย์บ่นในใจ
เวลาผ่านไปแขกเครือออกจากสถานที่จัดพิธีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสวี่ยหงเยว่ก็ถอนหายใจให้กับความเงียบสงบที่เกิดขึ้นหลังจากคนไปหมด จบพิธีการวันแรกแล้วก็จริงแต่ก็ยังมีงานต่อเนื่องยาวๆ ไปอีกจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย เรียกได้ว่าเขาต้องเหนื่อยแบบนี้ไปอีกพักใหญ่
พอมาอยู่ในงานศพนี้แล้ว ก็พาลให้คิดถึงงานศพของตัวเองในชาติก่อน เสวี่ยหงเยว่จึงเดินไปใกล้ๆ กับแท่นพิธี ทอดสายตามองไปอย่างเหม่อลอย อดคิดไม่ได้ว่าวิญญาณของทั้งคู่จะเป็นอย่างไรบ้าง จะยังอยู่ในโลกนี้ไหม หรือไปเกิดใหม่ที่โลกอื่นแล้ว
หรือจะมองดูเขาอยู่ในงานศพนี่กันนะ?
“นายท่าน…” เสียงชราหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลังเขาทันทีที่แขกเดินทางออกจากสถานที่ทำพิธีกันจนหมดแล้ว เสวี่ยหงเยว่ถอนหายใจอีกครั้ง อย่างคนเข้าใจแล้วว่าช่วงเวลาเย็นยะเยือกสันหลังกำลังจะคืบคลานมาถึงตัวแล้ว
“คุยที่นี่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปที่อื่น” เสวี่ยงหงเยว่ว่า เมื่อหันหลังกลับไปแล้วเจอกับบุคลากรระดับผู้อาวุโสหลายท่านยืนรออยู่แล้ว
...นี่ยิ่งกว่าโดนกรรมการบริษัทเรียกสอบวินัยอีกเว้ยเห้ย
“เรื่องของจงฉิงเจียใช่หรือไม่?” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยกล่าวอย่างรู้ดีถึงสิ่งที่คนเหล่านั้นเรียกพบตน เด็กชายค่อยๆ โบกมือคล้ายเชิญให้คนเหล่านั้นทำตัวตามสบาย ไม่ต้องยืนตัวตรงอะไรอย่างที่กระทำอยู่ในตอนนี้
“ข้ายังคงยืนยันคำเดิม และข้าไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ข้าทำเลย ท่านผู้อาวุโส” เสวี่ยหงเยว่กล่าวอย่างสงบและเงยมองด้วยสีหน้าเรียบเฉยถึงใจจะเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ก็ตามที
“จงฉิงเจียไม่ได้ผิดอะไรแต่ข้าก็รู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ต้อนรับนางอีกแล้ว การขับนางออกจากสกุลก็ถือเป็นเรื่องที่ควรทำ แล้วพวกท่านยังต้องการอะไรจากนางอีกหรือ?” เขาคุมเสียงตัวเอง พูดจาด้วยระดับที่ไม่แข็งกร้าวมากนัก เพื่อไม่ให้คนโตกว่ามองว่าตนเป็นเด็กหัวแข็ง
“ท่านไม่ควรตัดสินใจใดๆ ด้วยตนเอง นายท่าน” เสียงนั้นคล้ายกับจะดุ หากเทียบความเข้มงวดแล้ว ท่านผู้อาวุโสท่านนี้มีวัยและประสบการณ์การทำงานให้กับสกุลเสวี่ยมากกว่าผู้ใด เช่นนั้นจึงไม่แปลกหากเขาจะกังวลด้านภาพลักษณ์ แม้ข่าวคราวการกระทำอันเสียหายของเสวี่ยหงเยว่นั้นจะยังอยู่ในวงของคนระดับผู้ใหญ่ในสกุลอยู่ก็ตาม
ต้องขอบคุณการจัดการความลับของนายทัพเหมินและอาจารย์หลาน ข้าน้อยขอคารวะ
“ไม่ควรอย่างไรหรือ?” เสวี่ยหงเยว่ย้อนถาม ที่จริงเขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่ตนทำเป็นการด่วนใจร้อนเกินไป แต่ถ้าไม่ทำตอนนั้น เขาก็ไม่เชื่อใจว่าจงฉิงเจียจะปลอดภันตลอดจนจบการตัดสินความ
“ท่านยังเด็ก ยังด้อยซึ่งการตัดสินใจนัก ท่านรู้ใช่ไหมว่าท่านไม่ควร อย่าคิดอะไรอย่างตื้นเขิน อย่าทำตัวราวกับบิดามารดาท่านไม่ได้ให้โอวาสอบรม”
ปึ้ด…
คล้ายเสียงเส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบด้วยความหงุดหงิด ปกติแล้วเสวี่ยหงเยว่นั้นวางตัวสงบและมักจะมองคนรอบตัวอย่างใจเย็นเสมอ เขามักท่องในใจว่าตัวเองมีประสบการณ์ในชีวิตมาถึงสี่สิบสองปี ไม่ควรถือโทษเอาความ หรือโวยวายอย่างเกรี้ยวกราดกับใคร
ปัญหาในตอนนี้เป็นระดับที่คุยกันได้ บางทีการคุยกับผู้ใหญ่อาจจะได้ทางออกที่ดีกว่าที่เขาทำ
แต่...
แต่ตอนนี้เขาเหนื่อยมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน ทั้งเห็นพ่อแม่ตายต่อหน้า จัดการเรื่องคนสกุลจง จัดการเรื่องหมู่บ้านที่โดนเผา จัดการเรื่องขนส่งศพ นอนก็นอนได้นิดเดียวเพราะเครียดเรื่องจงฉิงเจีย พอตื่นมาก็ต้องมาเข้าพิธีศพยันดึกดื่น ความเหนื่อยล้าความเครียดสะสมทุกสิ่งทุกอย่างมันก่อตัวรวมกันจนทำให้เส้นแห่งความอดทนของเขาบอบบางเป็นอย่างมาก
เขาฟังคำตักเตือนของผู้ใหญ่เสมอเพราะถือคติน้อมรับคำติเพื่อเอามาพัฒนาตัวเอง
แต่การด่าว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนเนี่ย...มันเกิดไปหน่อยไหม...
“ท่านลืมไปแล้วหรือว่าถึงข้าจะเป็นเด็กแต่ข้าเป็นใคร สถานะอะไร” นั้นเสียงที่เปล่งออกมาเริ่มสั่น ทั้งสติ ทั้งการควบคุมตัวลลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีแดงเลือดจับจ้องสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอยางโกรธเกรี้ยว
“พวกท่านไม่เสียใจหรือ หากจะสังหารผู้บริสุทธิ์เพื่อกฏอันล้าสมัย! อนุรักษ์นิยมจอมปลอมที่สุด!” เสวี่ยหงเยว่โกรธจัดจนคุมตัวเองไม่อยู่ เรียกได้ว่าตอนนี้ตัวสั่น หน้าแดง ไม่รักษากริยาการวางตัวอย่างที่เคยทำมาตลอด เขาคุมอะไรตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งสติ ทั้งร่างกาย ต่างถูกความโกรธเข้าครอบงำ จนไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป
เขารู้สึกอึดอัด ราวกับสิ่งที่อยู่ในกายมันปั่นป่วน รู้สึกแย่พร้อมๆ กับที่ทั้งหัวทั้งหลังชาไปหมด ความโกรธพุ่งขึ้นสูงเสียจนร้อนทั้งร่าง ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลยจนหน้าแทบมืดบางอย่างที่เคยถูกกักเก็บในนี้มันเอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
บางอย่างนั้น ดูราวกับจะถูกปลดล็อคออกมาเพราะความโกรธของเขาเอง
“นายท่าน!!”
เป็นเสียงของหลานซิ่นหลิงซึ่งทำตัวสงบมาตลอด เขาเห็นท่าทางนายน้อยเสียอาการ โกรธจนคุมตัวเองไม่ได้ จึงรีบเดินเข้าไปเรียกสติ
หากแต่...
เสียงและการกระทำทุกอย่างเป็นอันต้องชะงักไป ทุกคนตกอยู่ในความนิ่งตะลึงงัน อีกทั้งยังมีทีท่าลนลานอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อพบว่าร่างของประมุขเสวี่ยซึ่งควรจะเป็นศพนอนนิ่งนั้นกลับลุกขึ้นมาเอาตัวกันเสวี่ยหงเยว่เอาไว้ ใบหน้าซีดเผือดไร้ชีวิต ดวงตาว่างเปล่าเหม่อลอย ร่องรอยบาดแผลยังมีให้เห็นตามตัว ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ปรากฏถึงอาการของการมีวิญญานสถิตย์ในร่าง หากแต่กลับเคลื่อนไหวได้
ราวกับว่าเป็นเพียงแค่ศพที่ลุกขึ้นมาตามคำเรียกร้องของใครสักคน
ทุกสายตาในที่นั้นต่างจับจ้องเด็กน้อยเป็นตาเดียวด้วยความตกอกตกใจ เสวี่ยหงเยว่เองก็ตกใจเช่นกัน เขาจ้องแผ่นหลังของร่างสูงที่เอาตัวมาบังเขาไว้ ในดวงตามีประกายคล้ายกับอะไรบางอย่าง ทำให้ตนมีสติ คลายมือที่กุมอกเสื้อตัวเองแน่นออก ความโกรธขึงของตัวเองหายไปในแทบจะทันที
อย่างที่รู้กันดี สกุลเสวี่ยนั้นขึ้นชื่อเรื่องการใช้อำมาจมืด คุณไสย และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญานแค้น ในที่นี่รวมถึงวิชาสายมืดซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในวงสังคม ซ้ำยังถูกว่าเป็นวิชาเถื่อน วิชามาร วิชาต้องคำสาปที่ถูกหวาดกลัวจนไม่อาจนำวิชานี้มาเปิดเผยได้
การปลุกศพ…
แม้จะมีคนพยายามฝึกฝนวิชานี้แต่การปลุกศพนั้นต้องการคุณสมบัติหลากหลายของผู้ใช้ เสวี่ยหงเยว่เคยอ่านศึกษาในตำรามาบ้างและพอรู้ถึงผลของผู้ที่พยายามฝึกว่าเป็นอย่างไร ผิดพลาดขึ้นมา ถ้าไม่สติฟั่นเฟือนไปเสียก่อน ก็จบลงที่ความตาย น้อยคนนักที่จะทำสำเร็จอีกทั้งยังส่งผลเสียมากกว่าจะมีผลดี วิชานี้จึงกลายเป็นวิชาที่ถูกตอกตะปูปิด ห้ามฝึกฝนอย่างถาวร
นี่เป็นวิชาที่สร้างมาเพื่อให้สกุลเสวี่ย สกุลซึ่งมีสายเลือดของพลังมืดอันเข้มข้นในร่างกายใช้เท่านั้น
แต่ก็ไม่คิดว่าศพแรกที่ได้ควบคุมจะเป็นพ่อของตัวเอง
แถมยังทำได้เพียงเพราะเกิดจากความโกรธอีกต่างหาก
แน่นอนเสวี่ยหงเยว่ที่อยู่ๆ ก็ทำเรื่องเช่นนี้ย่อมตกใจ เขาเกือบร้องออกมาด้วยซ้ำ หากแต่เมื่อนึกได้ว่านี่อาจเป็นสถานการณ์ปูเข้าบทบาทของตัวร้ายแล้ว เขาจำเป็นต้องข่มอารมณ์ความรู้สึกของตนเอาไว้และแสดงบทบาทของเด็กชายจอมโอหังให้คนอื่นเห็น ต่อให้เจ็บปวดใจแค่ไหนก็ตาม
เพราะจากสายตาคนมองภายนอก ตอนนี้เขาคงกลายเป็น 'คุณชายจอมโอหังที่ใช้ความโกรธปลุกศพบิดาตัวเองมาเพื่อปกป้องตน ช่างเป็นเด็กใจคอผยองร้ายกาจไม่เจียมนัก' ไปแล้วแน่ๆ
เมื่อได้ยินเสียงครางในลำคออย่างสัตว์ร้ายที่พร้อมพุ่งโจมตีศัตรูดังมาจากชายผู้ที่ตนได้ปลุกศพให้คืนชีพมาแล้ว เสวี่ยหงเยว่ก็นิ่งลงไปทันตา ความโกรธ ความหงุดหงิดหายไปหมดแล้ว เด็กชายเงยมองแผ่นหลังของบิดาก่อนเอื้อมมือไปแตะเพียงแผ่วเบา เขาสั่งการให้ศพสงบและกลับไปนอนยังที่เดิมเสีย
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เสวี่ยหงเยว่ได้เหลียวไปมองผู้อาวุโสที่เหลือ วางมาดสงบและขุดเอกลักษณ์ตัวร้ายทั้งหลายที่ตนเคยได้อ่านในนิยายทั้งหมดมาใส่ตัวเอง
“จากนี้ไปโปรดขัดคำสั่งข้าอีก”
แล้วก็เดินออกจากที่แห่งนั้นไปเลย
นอกจากจะแก้ไขปัญหาเรื่องจงฉิงเจียไม่ได้แล้ว ยังสร้างวีรกรรมเพิ่มไปอีก จากนี้ไปภาพลักษณ์ของเขาต่อผู้ใหญ่ที่มีอำนาจคงไม่เหลืออะไรดีอีกต่อไปแล้ว
แต่นั่นอาจจะเป็นผลดี สำหรับการดำเนินบทบาทของตัวร้าย
เสวี่ยหงเยว่กลั้นใจเดิน เมื่อห่างจากที่แห่งนั้นไปไกลแล้วก็ล้มแปะลงไปกับพื้น ขาสั่นๆ นั้นแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นยืนหรือเดินก้าวไปต่อได้อีก ภาพของพ่อที่อยู่ๆ ก็เป็นศพลุกขึ้นมา ภาพของตัวเองที่โกรธอย่างไร้สติปลดปล่อยการกักเก็บทุกสิ่งอย่างออกมา ทุกอย่างปนเปในหัวตัวเองไปหมดจนแทบทำให้คลื่นเหียนอาเจียน
ทรมานจนแทบลุกไม่ขึ้น แต่ยังดีที่มีใครคนหนึ่งซึี่งแอบเดินตามมานั้นช่วยประครองไว้ เสวี่ยหงเยว่หันไปมองด้านหลังและพบกับผู้เป็นอาจารย์ก็ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของหลานซิ่นหลิงนิ่งสงบอย่างที่เคยเป็นทว่ายามที่ถูกแสงจันทร์อาบคลอนั้นก็ช่างอ่อนโยนจนไม่อาจละสายตาได้
เสวี่ยหงเยว่อ้าปากคล้ายจะพูดบางอย่าง หากแต่หลานซิ่นหลิงกลับส่ายหน้า
“ข้าจะไม่ถามไถ่อันใด นายท่าน…” เอ่ยจบก็ประครองให้เสวี่ยหงเยว่ลุกขึ้น และเดินไปข้างๆ เช่นนั้นอย่างสงบโดยไม่พูดไม่จาอะไร
แต่กลับไม่ทำให้เสวี่ยหงเยว่อึดอัด การกระทำนี้ทำให้เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาว่าตนยังมีคนคอยเดินอยู่เคียงข้าง
เด็กชายถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา กำมือของตัวเองเอาไว้ ระหว่างเดิน
ภาพของแผ่นหลังของศพบิดาตนยังคงติดตรึงในความทรงจำ เสี้ยวหนึ่งของความตกใจนั้น เขากลับรู้สึกดีใจที่ได้เห็น
เห็นว่าผู้เป็นที่รักได้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง…
เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเสวี่ยหงเยว่ตัวต้นฉบับถึงได้ปล่อยให้ตัวเองจมไปกับวิชามืดแบบนั้น ทำไมถึงได้แสวงหาอำนาจเพื่อสร้างโลกที่ตัวเองต้องการ
...เพียงเพราะเสี้ยวหนึ่งในใจ ยังอาวรณ์ถึงผู้เป็นที่รักเช่นนี้
ณ . สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเสวี่ยหงเยว่ไม่อาจได้รับรู้ ก่อเกิดบางสิ่งบางอย่างตอบสนองต่อพลังใหม่ที่ได้ตื่นขึ้นมาเป็นระยะๆ
หอเก็บสมบัติที่ควรจะเงียบสงบกลับปรากฏแสงสว่างของสมบัติแห่งสกุลเสวี่ย มันกำลังส่องประกายตอบรับกับพลังของเสวี่ยหงเยว่ผู้เป็นว่าที่นายคนใหม่ถี่ๆ
ทว่าสัญญาณการตอบรับนั้นก็ถูกตัดไปทันทีก่อนที่ใครจะสัมผัสได้จากการลงมือของใครคนหนึ่งซึ่งคาดการณ์ไว้แล้วว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องเกิดขึ้นสักวัน เขาทำเพื่อไม่ให้ความลับแห่งนายน้อยสกุลเสวี่ยรั่วไหล
คน ๆ นั้นคลี่ยิ้มบางเบา ชุดสีขาวปักไหมสีเงินสะอาดพริ้วไหวไปตามสายลมยามราตรี ก่อเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊งจากกระพรวนใสที่ห้อยอยู่ตรงเอว ดวงตาสีฟ้าทอดมองไปยังไฟที่สว่างไสวในโคมซึ่งตนถืออยู่
ท่านติดหนี้ข้าหนึ่งครานะ เสวี่ยหงเยว่