ตอนที่แล้วตอนที่ 3 ความจริงที่ได้รู้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 5 นี่อาจจะเป็นเหตุผล

ตอนที่ 4 นับจากตอนนี้ไป


ตอนที่ 4 นับจากตอนนี้ไป

 

เมื่อฟ้าเริ่มสาง เหตุการณ์ความวุ่นวายอันน่าเศร้าก็ค่อย ๆ กลับสู่ความสงบ สกุลเสวี่ยได้สังหารคนในสกุลจงจำนวนมากมาย เสียจนมีซากศพกองเทินเป็นเนินสูงต้อนรับแสงแรกของตะวัน ช่างเป็นภาพอันสวยงามที่ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อจัดการนับจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ศพทั้งหมดจะถูกเผาตามพิธีการที่ถูกต้อง

ส่วนคนสกุลจงที่ยังมีชีวิตรอดอยู่จะถูกส่งไปจัดการในภายหลัง

ซึ่งไม่อาจมั่นใจได้ว่าการจัดการที่ว่านั้นจะเป็นการจัดการที่ดีหรือไม่ดีกันแน่

หลังจากจัดการคนสกุลจงจบก็ถึงคราวของการเยียวยาคนในหมู่บ้าน สกุลเสวี่ยได้จัดตั้งเพิงซุ้มเล็กๆ ไว้สำหรับเป็นที่อยู่ชั่วคราวให้กับชาวบ้านที่ถูกทำลายที่อยู่ แจกเสื้อผ้า ถุงยังชีพ มีสถานพยาบาล มีศูนย์โรงทานสำหรับทำอาหาร โดยมีทหารและชาวบ้านที่ไม่บาดเจ็บหนักมากมาอาสาช่วยเหลือตรงส่วนนี้

และเมื่อจัดการเรื่องในหมู่บ้านที่ถูกบุกทำลายเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงส่วนของการเดินทางกลับบ้านใหญ่ของสกุลเสวี่ย หลายคนขันอาสาอย่างเต็มใจที่จะร่วมกับขบวนเดินทางซึ่งมีจุดประสงค์ในการเคลื่อนย้ายร่างไร้วิญญาณของประมุขเสวี่ยและภรรยากลับสู่บ้านใหญ่สกุล ร่างของทั้งสองถูกบรรจุใส่โลงขึ้นรถม้า ประดับประดาด้วยดอกไม้สดจัดแต่งเป็นช่อสวย

ดอกไม้ที่ประดับโลงนี้ เป็นพันธุ์ที่เบ่งบานเฉพาะในเขาเสวี่ย

ทุกๆ อย่างนั้นได้ถูกจัดหาและจัดแจงโดยคนในหมู่บ้านที่ซาบซึ้งในความกรุณาที่ช่วยปกป้องพวกตน และยังเป็นการแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งในการจากไปของประมุขเสวี่ย

บรรยากาศการเดินทางนั้นดูอึมครึม บ้างก็มีเสียงร้องไห้คลอมาเบาๆ ด้วยความเสียใจ หากแต่ยามที่คนเหล่านั้นมองไปทางด้านหลังรถม้าบรรจุร่างไร้วิญญาณนั้น พวกเขาก็พร้อมกันกลั้นใจ ฝืนไม่ให้ตัวเองร้องไห้เมื่อนายน้อยแห่งเสวี่ยนั้นยังอยู่ตรงนี้

ในสายตาของพวกเขาแล้วเสวี่ยหงเยว่ ช่างเป็นเด็กชายที่น่าสงสารต้องทนเห็นบิดามารดาถูกสังหารไปต่อหน้าต่อตาตัวเอง

เสวี่ยหงเยว่ดูเหม่อลอยเหนื่อยอ่อนจากการร้องไห้ ซ้ำยังมีทีท่าที่คิดหนัก ร่างเล็กเอนหลังพิงอกนายทักเหมินจิ้นเค่อที่อาสาขี่ม้าให้แทนนายน้อยที่ดูท่าทางไม่ไหวแล้ว

นายทัพหนุ่มหรี่ตาลงมองร่างของเด็กชายที่ทอดสายตามองขบวนรถม้าส่งศพ

กว่าเขาจะตามหานายน้อยที่พลัดหลงกันจนพบ อะไรต่อมิอะไรก็ไม่ทันเสียแล้ว เหมินจิ้นเค่อได้แต่รู้สึกเจ็บใจ ว่าหากตนไม่เผลอคลาดสายตาจากเสวี่ยหงเยว่ ภาพอันน่าเศร้าของเด็กชายตัวน้อยที่ร้องไห้กอดร่างไร้วิญญาณของบิดาเอาไว้คงจะไม่มีทางเกิดขึ้น มันช่างเจ็บปวด สร้างรอยร้าวสลักฝังลึกในใจของเขา

และมันคงไม่มีวันสลายหายไป

ทว่า...

เมื่อเสวี่ยหงเยว่ได้พบกับเขา เหมินจิ้นเค่อกลับได่เห็นภาพเด็กชายตัวเล็ก ๆ ลุกขึ้นยืน สลัดความเสียใจที่ตัวเองมีทั้งหมด สวมบทบาทหน้าที่ผู้นำแทนบิดา และจัดสรรสั่งการทหารให้ไปทำหน้าที่ของตนทันที

ช่วยเหลือชาวเมือง

จับกุมสกุลจงไปสอบสวน

สั่งให้คนส่งข่าวแจ้งสามสกุลใหญ่เรื่องการเสียชีวิต

จัดการศพประมุขทั้งสองสกุล

รวมถึงการจัดการกับขบวนส่งศพ

ที่กล่าวมารวมถึงกิจกรรมจิปาถะนอกเหนือจากที่เขาจะนึกออกได้ ทุกอย่างนั้น คือการจัดงานอย่างเป็นระบบระเบียบโดยคำสั่งการของเด็กวัยเพียงสิบปีเท่านั้น

เหมินจิ้นเค่อได้แต่ทึ่งกับความโตเกินวัยของเด็กชายคนนี้ ราวกับว่าเสวี่ยหงเยว่คือชายที่โตเต็มวัยไม่ใช่เด็กสิบขวบดังที่เขาเห็นภายนอก

ซึ่งมันก็ใช่...จิตวิญญาณของเสวี่ยหงเยว่นั้น อายุมากกว่าเหมินจิ้นเค่อเสียอีก

ในจังหวะที่นายทัพหนุ่มครุ่นคิดอยู่ในภวังค์ของตนเอง ก็ได้สบสายตาเข้ากับเสวี่ยหงเย่วที่ละความสนใจจากขบวนส่งศพและเงยหน้าขึ้นมองเหมินจิ้นเค่อ

“นายทัพเหมิน...ข้าของสั่งการอะไรบางอย่างแก่ท่านได้หรือไม่”

“ขอรับ” เหมินจิ้นเค่อเอ่ยรับทันที ในนาทีนี้ ไม่ว่านายน้อยต้องการสิ่งใด เขาก็พร้อมทำตามคำสั่ง

“หากมีอะไรเกิดขึ้น โปรดเชื่อใจและคุ้มครองฉิงเจียด้วย” แม้เขาจะรู้สึกสงสัยในคำสั่งนั้นแต่เหมินจิ้นเค่อก็พยักหน้ารับ และมั่นใจได้ว่าเสวี่ยหงเยว่คงกำลังรู้สึกเป็นห่วงเด็กหญิงผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องคนนั้น

เพราะแท้จริงแล้ว ผู้ที่สูญเสียบิดา ไม่ได้มีแค่เสวี่ยหงเยว่คนเดียว

และคนที่เสียใจกับเรื่องนี้มากที่สุด...ก็คงเป็นจงฉิงเจียนั่นเอง

 

 

เมื่อกลับมาถึงบ้านสกุลเสวี่ยแล้ว เสวี่ยหงเยว่ก็พบกับการจัดการต้อนรับที่พร้อมเพียงเต็มไปด้วยคนที่ดูเศร้าโศก การแต่งกายด้วยชุดสีดำของผู้คนในบ้านสกุลเสวี่ย ตัวเรือนประดับไปด้วยดอกปี่อั้น ดอกไม้ที่นอกจากเป็นตราประจำสกุลแล้วยังเป็นดอกไม้สำหรับจัดงานศพของโลกนี้อีกด้วย

ผู้คนที่ทราบข่าว ไม่ว่าจะสกุลเล็กหรือใหญ่ อยู่สถานที่ใกล้ หรือไกล ต่างก็เริ่มเดินทางมายังสถานที่จัดงาน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีศพที่กำลังจะจัดขึ้น

ทั้งสถานที่ ทั้งผู้คน ทั้งการส่งข่าวรวดเร็ว และการจัดการงานรวดเร็ว

สมดังที่เป็นสกุลใหญ่

เมื่อส่งประมุขเสวี่ยและภรรยาไปสู่งโลงและแท่นพิธีอันสมเกียรติของตำแหน่งแล้วและเห็นว่าขบวนผู้ติดตามมาถึง เหล่าสาวใช้และข้าบ่าวก็รีบวิ่งมารับตัวเสวี่ยหงเยว่ทัน เพราะเห็นว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด ทุกคนดูแสดงความห่วงใยอย่างไม่เก็บซ่อน

ทั้งห่วงเป็นหนักหนา

และในขณะเดียวกันก็วิตกกังวลกับสถาณภาพของสกุลนี้เช่นกัน

เมื่อประมุขสิ้นไปแล้วซ้ำยังผู้สืบทอดยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อย ความกังวลใจว่าสกุลใหญ่นี้จะสิ้นแล้วก็ปรากฏชัดบนดวงตาที่เสวี่ยหงเยว่ได้พบเห็น

ก็พาลให้ถอนใจออกมา

“ไม่ใช่เลือดของข้า” เขาหรี่ตาลง ตอบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ผละออกจากเหมินจิ้นเค่อได้แล้วเขาก็เดินเข้าไปทางตัวเรือน เสวี่ยหงเยว่นึกขอบคุณร่างกายที่ได้รับการฝึกหนักของตน ไม่เช่นนั้นสภาวะเช่นนี้ คงหมดเรี่ยวหมดแรง เข่าอ่อนจนลงจากหลังม้าไม่ได้แน่

เสวี่ยหงเยว่ปฏิเสธการถูกติดตาม เดินไปยังทิศตรงข้ามกับหอนอนของตน ตรงไปยังอีกสถานที่ ซึ่งอยู่อีกฝากของตัวอาคาร ท่าทางของเขานั้นดูรีบเร่ง แต่ก็ไม่อาจะเร่งได้มากนักเพราะร่างกายเล็กๆ นี้ อ่อนล้าเอาเรื่อง ความสะเทือนใจ ความเหนื่อยอ่อน มันผสมปะปนกันจนร่างกายต่อต้าน มันสั่น คล้ายจะประท้วงให้เสวี่ยหงเยว่เลิกฝืนตัวเอง

สุดท้ายก็เซล้มลงโดยมีนายทัพเหมินที่แอบเดินตามมา คว้ารับเอาไว้และประครองเดิน

“ข้าเดินได้…” เสวี่ยหงเยว่ปฏิเสธ เขายื้อตัวเองเล็กน้อย แม้จะตกใจที่เหมินจิ้นเค่ออยู่ๆ ก็โผล่ออกมาแต่ก็ต้องเก็กไม่ตกใจ

“ไม่ได้ขอรับ คุณชายเสวี่ยร่างกายท่านอ่อนแรงมาก” นายทัพผู้ดื้อดึงนั้นยังคงเอ่ยปฏิเสธ จนเสวี่ยหงเยว่แทบอยากกางเล็บข่วนหน้า ขู่แฟ่ๆ แม้แรงจะป้อแป้มากแล้วก็ตาม

ไอ้หน้าหล่อนี่อยากโดนสักยันต์ห้าแถวบนหน้าหรือไงเนี่ย คนยิ่งรีบๆ อยู่!

ขณะที่กำลังง้างมือเตรียมข่วนอยู่นั่นเอง เด็กชายก็ต้องชะงักมือลงพลัน เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ขอความเมตตาของเด็กหญิงดังมาจากในตัวเรือนดอกท้อ...เรือนของจงฉิงเจีย

ทั้งเสวี่ยหงเยว่และเหมินจิ้นเค่อชะงัก ทั้งคู่มองตากัน แล้วรีบตรงไปทางเรือนดอกท้อทันที

เสวี่ยหงเยว่เดินเร่งฝีเท้าเข้าไปเรื่อยๆ ในใจร้อนรนห่วงจงฉิงเจีย นางมีสถานะเป็นบุตรสาวของประมุขจง เขาคิดว่าคนที่นี่ไม่น่าจะเอาหล่อนไว้ นางคงโดนกล่าวโทษ ประนามและอาจจะมีเรื่องเลวร้ายกว่านั้น แม้จะมีสายเลือดของเสวี่ยในร่างแต่นาวเป็นลูกของคนทรยศเธอก็คงถูกเหมารวมเป็นคนทรยศตามบิดาไปด้วยเช่นกัน

และเขาเองไม่อาจจะทนได้ เมื่อเขานั้นรู้จักนิสัยของจงฉิงเจียเป็นอย่างดี

จงฉิงเจียนั้นเกิดมาไม่ทันไร มารดาก็ป่วยตาย อีกทั้งการเป็นบุตรสาวทำให้นางเป็นลูกที่บิดาไม่ต้องการ เพราะเหตุนั้นจึงถูกประมุขเสวี่ยพามาเลี้ยงดูที่นี่แทนการเลี้ยงดูอย่างไร้เยื่อใยจากบิดา

เธอเป็นเด็กดี ที่ไม่เคยคิดร้ายกับใคร สุภาพ เจียมตัว ทั้งที่เธอมีสถานะเป็นถึงหลานสาวของประมุขเสวี่ยแต่กลับชอบช่วยงานเหล่าบ่าวไพร่ในเรือน คอยดูแลเอาใส่ใจทุกคนอย่างสุดความสามารถเพราะเธอมันคิดเสมอว่าตัวเองนั้นถูกรับเข้ามาอาศัยพึ่งใบบุญสกุลเสวี่ย

แล้วเขาจะปล่อยเด็กดีเช่นนั้นไปเจอเรื่องราวแย่ๆ ได้หรือ

หากปล่อยไปหากเขาปล่อยให้ความชิงชังแค้นใจที่มีต่อบิดานางเป็นตัวนำแล้วปล่อยให้ผู้อาวุโสเคร่งครัดกฏเหล่านั้นจัดการนาง

เสวี่ยหงเยว่คงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ตลอดชีวิต

 

“ได้โปรดท่านผู้อาวุโส ได้โปรดรอก่อนเถิดเจ้าค่ะ” เด็กหญิงเอ่ยขอความเมตตา เธอตัวสั่น น้ำตานองอาบแก้ม คุกเข่าโค้งตัวจนหน้าผากแนบกับพื้นแทบเท้าผู้อาวุโสและคนในสกุลที่จะมาพาตัวนางไป

เมื่อทราบข่าวว่าผู้ทรยศและสังหารประมุขเสวี่ยคือบิดาของเธอ พวกเขาพาเธอออกมาจากเรือนและพยายามจะควบคุมตัวไปยังห้องสำนึกผิด

ห้องสำนึกผิดแม้จะถูกเรียกว่าห้องแต่ก็ไม่ต่างจากคุกมืดมิดที่กักขังคนเอาไว้ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน กัดกร่อนจิตใจให้หมดหวัง

แม้ในกรณีจงฉิงเจียเธอจะถูกควบคุมตัวมาสอบสวนก็ตามแต่กระนั้นแล้วเธอก็ยังอยากจะให้รอ อยากจะยื้อเอาไว้จนกว่าเสวี่ยหงเยว่จะกลับมา

เพราะหากไปยังห้องสำนึกผิดเธอคงไม่อาจจะได้มีโอกาสพูดคุยกับนายน้อยอีก จงฉิงเจียมั่นใจว่าความผิดของบิดาจะทำให้ในอีกไม่ช้าเธอคงถูกพาตัวจากห้องสำนึกผิดไปยังลานรับโทษอันเป็นลานไว้ใช้สำหรับสำเร็จโทษผู้ทำความผิดเป็นแน่

ลานอันเลื่องชื่อของของสกุลเสวี่ยผู้เคร่งครัด ว่าหากทำความผิดกฏข้อห้ามร้ายแรงจะถูกคุมตัวมายังที่แห่งนี้ มันเป็นลานที่ไว้ให้นักโทษถูกทรมานกาย ทรมานใจ ตลอดจนถูกเพชรฆาตประหารต่อหน้าฝูงคน…

นั่นแหละคือลานรับโทษ

จงฉิงเจียนั้นพร้อมใจสำหรับโทษประหาร หากแต่เธอกลับยังพะวง เธออยากพบเสวี่ยหงเยว่เป็นครั้งสุดท้ายและอยากจะกล่าวคำขอโทษจากปากของตัวเอง

เพื่อให้ตัวเองได้ตายไป โดยไม่ติดใจกับสิ่งใดบนโลกนี้อีก

จงฉิงเจียนั้นไม่รู้จักมารดา ไม่เคยได้รับความรักจากบิดา หากแต่เธอก็ได้รับความกรุณาจากสกุลเสวี่ยมาตลอด เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเธอก็อยากชดใช้ให้ ถ้าหากตายของเธอจะชดใช้ให้กับสกุลเสวี่ยได้บ้างเธอย่อมเต็มใจที่จะทำ

แม้คำพูดที่เสวี่ยหงเยว่ที่กล่าวว่าความผิดของบิดานั้นไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็ยังคงคิดว่ามันไม่ยุติธรรม ในเมื่อบิดาเธอเป็นผู้สังหารบิดาของเขา ครอบครัวของเธอทำลายครอบครัวของผู้มีพระคุณ

เช่นนั้นแล้ว จะให้เธอมีชีวิตอยู่ไป เพื่อสิ่งอันใดกัน

“ไม่ได้หรอก...จงฉิงเจีย เจ้าควรทำตามกฏของสกุล” ผู้อาวุโสเอ่ยปฏิเสธเสียงเด็ดขาด หากแต่พวกเขาต้องชะงักไปเมื่อเห็นร่างของเสวี่ยหงเยว่เดินตรงมายังทางนี้พร้อมๆ กับนายทัพเหมินจิ้นเค่อ

ผู้อาวุโสนั้นคืออาจารย์ของเสวี่ยหงเยว่ เขารีบตรงไปหาเด็กชายทันที

“ท่านควรอยู่ในเรือนและเตรียมตัวสำหรับร่วมพิธีศพ” เสียงเขาเข้มขรึมหากแต่เจือความสั่นโดยจับอาการไม่ได้ว่าโกรธหรือเสียใจ เมื่อเห็นนายน้อยที่ปกติจะอยู่ในสภาพเรียบร้อยสูงส่งมอมมอไปด้วยคราบดินคราบเลือดเช่นนี้

เสวี่ยหงเยว่กับสั่นหน้าปฏิเสธ

“ปล่อยจงฉิงเจีย” เขากล่าวเสียงนิ่ง ที่พาให้คนตรงนั้นตกใจรีบออกปากบอกว่าแบบนี้มันไม่ควร สิ่งที่เสวี่ยหงเยว่ทำนั้นผิดกฏของสกุลแต่เสวี่ยหงเยว่นั้นหาได้มีความสนใจใดๆ จับจ้องไปยังคนเหล่านั้น ด้วยสีหน้าและสายตาที่จริงจังไม่หลบ ไม่ซ่อน ใดๆ

“ปล่อย…” ย้ำคำซ้ำอีกที เสวี่ยหงเยว่เมินคำค้านของอาจารย์และพวกผู้ใหญ่เดินตรงไปด้านหน้าก้มมองร่างที่ตัวสั่นนั่งคุกเข่าหน้าผากกดพื้น เสวี่ยหงเยว่ดึงจงฉิงเจียให้ลุกขึ้น จับจ้องรอยไม้บนหน้าผากนั้น บ่งบอกได้ดีว่าเธอคงอยู่ในท่าเช่นนั้นมานาน

“ข้าไม่อาจทำได้” อาจารย์เอ่ยแย้ง

“นายท่าน ท่านทำผิดกฏสกุลหลายข้อแล้ว ไหนจะยังแอบเข้าร่วมการรบโดยไม่ประเมินกำลังตนเองอีก ท่านรู้ใช่ไหม ว่าระดับความสามารถท่านตอนนี้เป็นเช่นไร หากโชคไม่เข้าข้างท่านเช่นครานี้ จะทำอย่างไร ท่านเก่ง ข้ารู้ แต่ท่านยังไม่ถึงขั้นจะไปรบรากับกองทัพกำลังสูงเช่นนั้นได้” ข่าวคราวและวีกรรมการโผล่ไปช่วยกองทัพมาถึงหูอาจารย์เร็วมาก และเขาก็รู้ว่าศิษย์ตนนั้นมีความสามารถเพียงใด

เพราะเขารู้ถึงพลังทิพย์ในร่างของเสวี่ยหงเยว่ จึงได้รู้ว่าเด็กคนนี้มีของดี แต่ความสามารถในตอนนี้ ยังไม่ใช่ความสามาถที่ขัดเกลาจนแกร่งพอจะไปรบได้เลยแม้แต่น้อย มันยังต้องใช้เวลา จึงจะไประดับนั้นได้

“หากท่านยังยืนกรานที่จะช่วยเหลือนางอีก ช่วยเหลือผู้ผิดด้วยความลำเอียง ท่านจะเป็นประมุขที่ดีได้เช่นไร”

พูดตรงทุกประเด็นจนเถียงไม่ออกเลยครับ

เสวี่ยงหงเย่วฟังอาจารย์พูดเป็นชุดอย่างสงบ และเห็นด้วยกับสิ่งที่พูดมานั้นทุกข้อ ซ้ำยังเอาแต่ชมว่าผู้ชายคนนี้มองคนได้เก่งมากๆ อยู่ในใจ

แต่ถึงจะยอมรับว่าตัวเองเป็นแบบนั้น แต่ในตอนนี้เขาก็ต้องแสร้งทำหูบอด หูทวนลม ทำตัวเป็นคนหัวดื้อ

ดวงตาสีเลือดเงยสบสายตากับอาจารย์ที่จับจ้องมาทางเสวี่ยหงเยว่ไม่วางตา ก่อเกิดเป็นสงครามประสาทขนาดย่อมๆ ระหว่างผู้ใหญ่แลเด็กน้อย (ที่ในใจโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว) จนคนที่อยู่ตรงนั้นกลืนน้ำลายอึกใหญ่

เสวี่ยหงเยว่รู้ดี ว่าอาจารย์นั้นเคร่งกฏด้วยความหวังดี แต่ในเวลานี้ เขาไม่อาจจะยอมรับกฏได้

“ศิษย์เข้าใจท่านดี ว่าสิ่งที่ศิษย์ทำมันจะไม่ดีกับตัวศิษย์ แต่ท่านอาจารย์ หากศิษย์ปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ถูกลงโทษหรือโดนประหาร ศิษย์ก็ไม่อาจขึ้นเป็นประมุขที่ดีได้เช่นกัน” เสวี่ยหงเยว่เขาทำใจให้สงบ เขาอายุน้อยกว่าอาจารย์อยู่มากโข แต่ด้วยสถานะ เขาอยู่สูงกว่า

“ศิษย์ย่อมรู้ดีว่าตัวศิษย์ผิดพลั้งและกระทำการอันไม่สมควร ศิษย์ยอมรับในข้อด้อยของตนเองทุกประการและจะปรับปรุงตนตามที่สมควรขอรับ” เสวี่ยหงเยว่ย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นพูดเจตนาตนอย่างจริงจัง นับเป็นการพูดมากที่สุดนับตั้งแต่การเกิดมาในโลกนี้เลยก็ว่าได้

“แต่ท่านอาจารย์ขอรับ เรื่องของจงฉิงเจียศิษย์มีวิธีจัดการของศิษย์”

เวลาที่จะเถียงแต่ละครั้งเขาต้องนึกถึงชาติก่อน กล่อมตัวเองว่านี่ก็เหมือนตอนที่ตัวเองสมัยเป็นหัวหน้าแผนก มีลูกน้องอายุมากกว่า แล้วกำลังโต้เถียงเรื่องงานลูกน้องคนนั้นอยู่ จะต้องสู้โดยที่ไม่กดหัว สู้โดยที่เคารพอายุ เขาต้องกล่อมสะกดจิตตัวเองอย่างหนักเพื่อให้สามารถสู้กับสายตาของอาจารย์ได้

แต่สายตาของหลานซิ่นหลิงนั้นก็ดุดันน่าขนลุกมากเกินกว่าจะสู้ไหวจริงๆ

“คนของศิษย์ ศิษย์จะจัดการเอง” เมื่อรู้สึกว่าชักจะสู้ตาไม่ไหว เขารีบตัดบทจบ มองนายทัพเหมินคล้ายจะบอกว่าให้ตามเขามาด้วย

เขาหยุดเท้าเล็กน้อย มองพวกลิ่วล้อตัวประกอบข้างหลังอาจารย์

“หากพวกเจ้ามีปัญหาใดๆ กับการตัดสินใจของข้า...ข้าจัดสั่งกุดหัวพวกเจ้าแทนหัวของนาง” พูดส่งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดึงจนเหมือนกึงลากจงฉิงเจียให้ไปด้วยกัน การทำงานทำให้เขารู้ ว่าการพูดจาข่มขู่ บางครั้งก็ถือเป็นการกระทำที่สมควร เพื่อไม่ให้คนใต้บังคับบัญชาขัดขืน

แม้จะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะทำก็ตามที

เมื่อเดินพ้นผ่านจากคนกลุ่มนั้นมาพอควรแล้ว จงฉิงเจียจึงได้เงยหน้าขึ้นมามองแผ่นหลังเล็กๆ ของนายน้อยคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่พอเห็นถึงรัศมีความหงุดหงิดแผ่พุ่งออกมามากมาย หล่อนก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากร้องแย้งอะไร

จงฉิงเจียผู้ใสซื่อนั้น หารู้ไม่ว่าที่ดูเหมือนหงุดหงิดนั่นในใจคือกำลังกล่าวโมโหตัวเองอย่างหนักอยู่...

หน้าผากของสาวน้อยมีรอย บาปนัก! บาปเทียบเท่ากับทำผิดศีลห้าข้อพร้อมกัน! โอ้ไม่นะ!!

โชคดีจริงเชียวที่ไม่มีใครมีวิชาอ่านใจ มิฉะนั้นภาพลักษณ์ดีๆ ของนายน้อยที่เข้มแข็งดุดันคงหายวับเป็นตาลุงโรคจิตแน่ๆ

พอคิดว่าเดินออกมาไกลจากเรือนดอกท้อแล้วเขาก็หยุดฝีเท้าลง ปล่อยมือจงฉิงเจีย หันไปหาคนสองคนที่เดินตามมาด้านหลัง

“ข้ารู้ว่าท่านอาจจะเหนื่อยกับการเดินทางนายทัพเหมิน แต่ข้าอยากให้เจ้าพาฉิงเจียไปจากที่นี่เสีย ข้ามั่นใจว่าหากนางยังอยู่ในสกุลเสวี่ยจะมีเหตุวุ่นวายเกิดขึ้น” เขาเงยหน้ามองเหมินจิ้นเค่อ

“นายท่านคะ แต่ข้า…!” จงฉิงเจียที่กำลังจะเอ่ยแย้งกลับชะงักเมื่อสบสายตากับเสวี่ยหงเยว่ มันดุมากคล้ายกับจะบอกว่าเธอไม่ควรเถียงหรือพูดแทรกผู้ใหญ่

ทั้งที่เสวี่ยหงเยว่นั้นอายุเท่ากันกับนาง...

“ข้าไม่ได้ไล่เจ้า ฉิงเจีย แค่อยากให้เจ้าลี้ภัย เข้าใจใช่หรือไม่ หากเจ้าอยู่ที่นี่ต่อให้อาจารย์จะวางมือแล้วแต่ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่ชิงชังบิดาเจ้า” เสวี่ยหงเยว่อธิบายความ แล้วมองไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครอยู่แถวนี้หรือไม่ เด็กชายถอนหายใจเล็กน้อย ต่อให้จงฉิงเจียสนิทสนมกับคนในสกุลนี้สักเท่าไรหรือต่อให้มีคนที่เข้าใจและแยกความผิดของบิดานางออกจากนางได้

แต่เชื่อเถอะว่ายังมีคนที่แยกไม่ออกและไม่เข้าใจ เอาแต่ความแค้นตนเป็นส่วนใหญ่ และคนประเภทนี้นี่แหละที่จะสร้างปัญหา

“ข้ายังไม่อยากให้เจ้าตาย” มองดูเด็กหญิงที่น้ำตานองนั้นก็ถอนใจ

“ท่าน...ไม่ควร...ใจดีกับข้า...” จงฉิงเจียพึมพำอย่างติดขัดเพราะเสียงสะอื้น หากเสวี่ยหงเยว่ต้องการเธอพร้อมที่จะตายเพื่อชดเชยความผิด

แต่คนที่ควรโกรธควรแค้นนางกลับแสดงความมีเมตตาใจดีให้เช่นนี้...นางเองก็วางตัวไม่ถูก

“บิดาเจ้าสังหารบิดาข้าก็จริง แต่บิดาข้าก็สังหารบิดาเจ้า...เช่นนั้นเจ้าโกรธแค้นข้าหรือไม่?”

“ข้าไม่อาจโกรธแค้นท่าน พวกท่านไม่ใช่ผู้ผิด” เธอรีบแย้งเพราะเรื่องนี้ไม่มีใครผิดเลยหากจะมีผู้ผิดก็คือบิดานางที่ทรยศ...เธอคิดเช่นนั้น

“แค่นั้นก็เพียงพอแล้วฉิงเจีย ข้าก็คิดเช่นนั้นกับเจ้า จงมีชีวิตอยู่ต่อและเป็นครอบครัวที่เหลือของข้าต่อไปเถิด” เมื่อได้ยินเช่นนั้น จงฉิงเจียก็ชะงัก น้ำตาค่อยๆ อาบสองแก้ม เธอพยักหน้าและยอมพ่ายแพ้ในการโต้เถียงครั้งนี้ ซาบซึ้งกับสิ่งที่เสวี่ยหงเยว่กล่าวมาอย่างสุดหัวใจ

เขาใช้จังหวะที่จงฉิงเจียร้องไห้อยู่ดันร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงไปหาเหมินจิ้นเค่อ คล้ายจะบอกว่าให้รีบไปเสีย

“หากหาที่อยู่ให้นางได้แล้ว แจ้งข้าด้วย”

นายทัพชะงักเล็กน้อย เอ่ยปากอยากแย้งว่าการกระทำนี้มันไม่สมควร แต่สุดท้าย เขาที่รับปากกับเจ้านายไปแล้วก็พยักหน้ารับ

อีกทั้งเขารู้จักเสวี่ยหงเยว่และจงฉิงเจียมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ทั้งสองกำลังทำลงไปนั้นคือการพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคนในครอบครัวของตัวเอง

เพราะสุดท้ายแล้ว ในตอนนี้ทั้งคู่ต่างเป็นครอบครัวคนสุดท้ายที่เหลือของกันและกัน

“ท่านฉิงเจีย ไปกับข้าเถิด” เขากล่าวอย่างสุภาพช้อนร่างเล็กๆ ของจงฉิงเจียขึ้นอุ้มแล้วเดินแยกตัวออกจากเสวี่ยหงเยว่ไป

เสวี่ยหงเยว่จับจ้องแผ่นหลังของคนทั้งสองจนลับสายตา ถอนหายใจออกมายาวๆ หนึ่งครั้ง สักพักจึงทรุดลงนั่งกับพื้น พละกำลังและเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายได้หายไปหมดแล้ว ตาของเขาเริ่มหนัก ร่างกายเองก็เริ่มหนัก สมองพร่าเบลอและไม่อาจจะคิดอะไรได้อีก

คิดถึงความทรงจำดี ๆ ที่เคยเกิดขึ้น การได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว การได้อยู่กับท่านพ่อ ท่านแม่ และจงฉิงเจีย การที่ได้ใช่ชีวิตอย่างเด็กน้อย โดยไม่ต้องคำนึงถึงความทุกข์อะไร

เขาทำใจบอกลากับช่วงเวลาอันสงบสุข

แค่เพียงเท่านั้น ก็รู้สึกล้าแรงและกำลังใจ

ชั่วขณะหนึ่งที่กำลังจะหลับลงไปก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนอุ้มร่างของเขาขึ้นมา ดวงตาอันหนักอึ้งจึงพยายามเปิดขึ้นมาเพื่อมองว่าเป็นใคร เสวี่ยหงเยว่รู้สึกว่าภาพที่เขาเห็นนั้นมันช่างพร่าเบลอ แต่ความอบอุ่นนั้นก็รู้สึกได้ว่าผู้ที่อุ้มเขาอยู่นั้นคือใคร

“อ...อาจารย์…?” เสวี่ยหงเยว่พึมพำเบาๆ

“ท่านทำได้ดีแล้ว พักเสียเถิด” เสียงนั้นเอ่ยเบา ๆ กับเด็กชายในอ้อมแขนที่ตอนนี้คงจะถึงที่สุดของร่างกายแล้ว เขามองเสวี่ยหงเยว่ค่อยๆ หลับไปแทบจะทันทีที่เขาพูดจบ รอยยิ้มบางที่เหมือนแค่ยกมุมปากเพียงเล็กน้อยก็ปรากฏบนใบหน้า

เขาค่อยๆ ถ่ายพลังของตนเพื่อฟื้นฟูให้กับศิษย์ตน

หลานซิ่นหลิง ผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์ทอดสายตามองไปยังที่ไกลๆ ระหว่างที่อุ้มร่างของเด็กชายเดินกลับไปยังหอนอน เขานึกทบทวนการกระทำของเสวี่ยหงเยว่อยู่ในใจ

การโต้เถียงที่ดูราวกับผู้ใหญ่สองคนทำให้หลานซิ่นหลิงรู้สึกราวกับได้คุยอยู่กับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งความมีเหตุผล ยอมรับข้อติ ยอมรับคำโต้แย้ง แต่ก็ยืนหยัดในความคิดตัวเอง

คนของท่าน ท่านจัดการเองงั้นหรือ พูดจาเสียมีอำนาจเชียว

แต่พอถูกสั่งด้วยเสียงอันเด็ดขาดเช่นนั้น ต่อให้เป็นคนรักษากฏเช่นเขาก็ไม่อาจจะขัดคำสั่งเจ้านายได้...ใช่ เขาไม่อาจจะขัดขืนได้...

ขัดขืนเจ้านายไม่ได้...

...เขาก็แค่ หลอก ตัวเองไปแบบนั้น…

ในความเป็นจริงแล้ว หลานซิ่นหลิงเองก็รู้ดีว่าจงฉิงเจียนั้นไม่ใช่เด็กใจคอร้ายกาจเหมือนบิดานาง แต่เพราะเป็นกฎและการกระทำของจงลู่ฉีนั้นไม่อาจจะให้อภัยได้ ทั้งศิษย์ ทั้งคนที่ภักดีต่อสกุลเสวี่ยย่อมโกรธแค้นสกุลจง หากนางยังอยู่ที่แห่งนี้คงราวกับเก็บรักษาน้ำมันไว้กับกองไฟร้อนๆ

ที่จะทำร้ายทั้งตัวนาง และสกุลเสวี่ยเอง

เพื่อไม่ให้เกิดเหตุเช่นนั้น หลานซิ่นหลิงก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากหลับหูหลับตายึดมั่นในธรรมเนียมของสกุล ลงโทษนางตามความผิดที่นางไม่ได้ก่อ เพื่อรักษาสถานภาพความขลังและความน่าเชื่อถือของสกุลเสวี่ยเอาไว้

แต่เมื่อนายน้อยเสวี่ย ผู้ซึ่งปกติเคยเย็นชา กลับแสดงทีท่าทุกข์ร้อนเมื่อจงฉิงเจียนั้นต้องโทษประหาร

ยอมละซึ่งภาพลักษณ์คนใจเย็นสงบนิ่งที่ตัวเองสร้าง เสวี่ยหงเยว่เลือกที่จะให้อภัยเพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์ที่ไม่มีความผิดและยอมทำผิดกฏสกุลพาบุคคลซึ่งเป็นครอบครัวคนสุดท้ายที่เหลือหนีไป

การกระทำเหล่านั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าแท้จริงแล้ว นายน้อยผู้แสนเย็นชานั้นไม่ได้เย็นชา

และยังทำให้เขาผู้ซึ่งไม่อาจจะฝ่าฝืนกฏได้นั้นหาข้ออ้างฝ่าฝืนกฏเพื่อช่วยชีวิตเด็กน้อยคนหนึ่งได้

เมื่อประมุขเสวี่ยสิ้นแล้ว ตามหลักธรรมเนียมที่สืบทอดของอวิ๋นเจวี้ยน เสวี่ยหงเยว่จะต้องขึ้นเป็นประมุขคนต่อไป โดยทันที เพราะบัลลังก์แห่งสกุลใหญ่นี้ไม่อาจไร้ผู้ปกครองได้

ในโลกแห่งนี้สกุลใดจะไร้ประมุขหรือจะล่มสลายเท่าไรก็ช่าง แต่มีเพียงแค่สามสกุลใหญ่เท่านั้นที่บัลลังก์ประมุขมิควรจะว่าง

ต่อให้ผู้ปกครองนั้นจะอยู่ในวัยเพียงสิบปีก็ตาม

แต่การเป็นผู้นำสกุล โดยเฉพาะสกุลใหญ่นั้นต้องรับผิดชอบมากมายทั้งการเมือง การปกครอง การดูแลทัพทหาร การตรวจสอบสำนักที่ขึ้นทะเบียนสกุล เหล่าลูกศิษย์ คนที่ทำงานให้กับสกุล และอื่น ๆ มากมายที่ไม่ต่างจากจ้าวผู้ปกครองเมือง ผู้ปกครองประเทศ

หลังจากจบพิธีศพแล้ว ต้องจัดพิธีสืบทอดบัลลังก์ประมุขต่อโดยทันที แม้จะยังห่วงว่าร่างกายเล็กๆ ที่อุ้มได้ด้วยมือเดียวเช่นนี้จะแบกรับภาระไหวหรือไม่

ในระยะเวลาที่กระชั้นชิดเช่นนี้ เสวี่ยหงเยว่วัยสิบปีคงไม่อาจเรียนรู้การจะเป็นผู้นำได้อย่างรวดเร็วทันพิธีแต่งตั้ง

แต่ถ้าในสภาวะจิตใจแล้วเขาก็มั่นใจ ว่าเสวี่ยหงเยว่นั้นเข้มแข็งมากพอ

หลานซิ่นหลิงก็ให้คำสัญญากับตัวเองเอาไว้แล้วนับตั้งแต่ที่ได้พบ ได้สอน ตลอดจนวันนี้ ที่เสวี่ยหงเยว่ได้แสดงจิตใจที่เข้มแข็งยืนหยัดในความคิดของตัวเองออกมาโต้เถียงต่อหน้าเขาผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ได้อย่างยอดเยี่ยม

หลังจากนี้คงมีเรื่องวุ่นวายตามมา อย่างแรกคงเป็นเรื่องของจงฉิงเจียที่หายไป เขามั่นใจว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างหาว่านายน้อยพาผู้ผิดหลบหนีจะต้องกระฉ่อนไปทั่วแน่ ปากคนนั้นไวเสียยิ่งกว่าอะไรและเมื่อเป็นเช่นนั้นคงสร้างชื่อเสียงในด้านไม่ดีให้กับนายน้อยอย่างมาก

แต่เขาก็พอคิดข้อแก้ตัวและหาทางลงได้บ้างแล้ว แต่เดี๋ยวจะทำอย่างไรค่อยหารือกันต่อไป หลังจากเสวี่ยหงเยว่ตื่นน่าจะเป็นการดีที่สุด

อย่างไรเสีย นายทัพเหมินผู้นั้นก็เป็นกองหนุนด้านกำลังและเชี่ยวชาญด้านการปิดปากคนได้ดี...

หลานซิ่นหลิงเหลือบมองเสวี่ยหงเยว่อีกครา

“ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ข้าจะเป็นผู้สนับสนุนท่าน” เอ่ยออกมาเบาๆ ระหว่างที่เขาพาเสวี่ยหงเยว่กลับไปส่งยังหอนอน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด