ตอนที่ 3 ความจริงที่ได้รู้
ตอนที่ 3 ความจริงที่ได้รู้
ปีอวิ๋นเจวี้ยนที่ 66
ประมุขสกุลจงต้องการปกครองอำนาจทั้งหมดบนเขาเสวี่ย จึงได้วางแผนคิดคด ทรยศต่อประมุขเสวี่ยผู้เป็นพี่เขย เพื่อให้สกุลจงซึ่งเป็นสกุลอับดับสองรองจากเสวี่ยขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในสามสกุลใหญ่แทน
แม้คณะติดตามและประมุขสกุลเสวี่ยจะเป็นผู้มากฝีมือสักเพียงใด แต่สุดท้ายก็เสียท่าให้กับคนสนิทด้วยความไว้วางใจ ทัพสกุลจงบุกปิดล้อมหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งสังกัดเมืองบนเขาเสวี่ย ที่แห่งนั้นเป็นเพียงเมืองธรรมดา ผู้คนส่วนมากจึงเป็นเพียงมนุษย์ไร้ซึ่งพลังพิเศษ อาวุธธรรมดาของคนธรรมดาจึงไม่อาจสู้รบประมือกับทัพสกุลจงที่มีทหารยอดฝีมือสังกัดได้เลยแม้แต่น้อย
ในสถานะของประมุขผู้ปกครองเขาลูกนี้ อีกทั้งเขารู้ดีกว่าประมุขสกุลจงมีเป้าหมายที่ตน ประมุขเสวี่ยจึงสั่งให้กำลังคนคอยคุ้มกันเมืองและประชาชนทันทีแม้จะมีกำลังพลเพียงแค่หยิบมือก็ตาม
เขาสร้างม่านกลป้องกันภัยคลุมหมู่บ้านที่ถูกปิดล้อมเพื่อไม่ให้ทัพของสกุลจงเข้าเมืองมาได้และเข้าร่วมรบเพื่อปกป้องคนในเมือง
ม่านกลป้องกันหรือภาษาเข้าใจง่าย ๆ เห็นภาพชัดก็คือบาเรียซึ่งจะมีความแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับพลังของผู้ใช้ แม้จะมีคุณสมบัติการในการป้องกัน แต่ลักษณะพลังนั้นคล้ายกับกระจกหากโจมตีแรงมาเข้าก็อาจแตกสลายได้
ตอนนี้ข่าวได้มาถึงถึงผู้อาวุโสบ้านสกุลเสวี่ยเรียบร้อย สร้างความวุ่นวาย ความโกรธแค้นเป็นหนักหนา พวกเขาเร่งจัดทัพยอดฝีมือเข้าไปช่วยเหลือให้โดยไวที่สุด เพราะถึงแม้จะเป็นระดับประมุขที่แข็งแกร่ง แต่ทัพสกุลจงซึ่งเป็นอันดับสองรองจากเสวี่ยเองก็รวมผู้บรรลุทักษะความสามารถขั้นสูงจำนวนมากเอาไว้
เสวี่ยหงเยว่รีบวิ่งออกจากหอนอน ตรงไปยังลานจัดทัพ พอเห็นกองพลรบมากฝีมือของสกุลเสวี่ยกำลังเตรียมตัวออกเดินทางลงไปยังตีนเขา เขาก็ยิ่งรุดวิ่งไปให้ทัน เพื่อขอให้ได้ติดตามลงไปด้วย
หากแต่ ก็ถูกนายทัพขวางห้ามเอาไว้
“คุณชายเสวี่ย ได้โปรดรอที่เรือนของท่านเถิด” เขากล่าว น้ำเสียงห่วงใยราวกับจะอ้อนวอนไม่ให้ไป จนเสวี่ยหงเยว่ที่กำลังจะอ้าปากแย้งไม่อาจจะทำอะไรได้และมองผู้ใหญ่เหล่านั้นเคลื่อนพลออกจากประตูไป
เสวี่ยหงเยว่กำหมัดแน่น รู้สึกอดสูใจที่ในเวลานี้ตนเป็นเพียงแค่เด็กและถูกผู้ใหญ่กันไม่ให้ยุ่งเกี่ยวทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ
เขาร้อนใจ...ใช่ ร้อนมาก…
ถึงรู้ว่าสตอรี่ในบทนี้จะจบแบบใด แต่จะให้เขาจะนอนรอเฉยๆ ไม่ร้อนใจได้อย่างไร
เสวี่ยหงเยว่ตามบทจริงๆ เป็นอย่างไรเขาไม่รู้หรอกนะ แต่นั่นน่ะพ่อแม่ของเขาเชียวนะ!!
“คุณชายเจ้าคะ ไปทางนี้” จงฉิงเจียเองก็ร้อนใจไม่แพ้กัน รีบดึงมือของเสวี่ยหงเยว่ พาวิ่งอ้อมไปยังด้านหลังซึ่งเป็นโรงเก็บม้า เธอรีบช่วยผูกอาน ทำแท่นเหยียบเพื่อให้เด็กตัวเล็กๆ ขึ้นหลังม้าได้อย่างถนัด
เสวี่ยหงเยว่เอ่ยขอบคุณ ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นไหล่เล็กของจงฉิงเจียสั่นเทา คิดออกเดียวนั้น ว่าเพราะอะไร
ประมุขสกุลจงผู้ทรยศนั้น เป็นบิดาของจงฉิงเจีย
จึงไม่แปลกใจนัก หากเด็กคนนี้จะกลัวการโดนลงโทษจากสิ่งที่บิดากระทำลงไป
“หากเกิดเรื่องร้ายอันใดขึ้น ความผิดของบิดาเจ้าคือความผิดของบิดาเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกรับ เจ้าจำคำข้าไว้...จงฉิงเจีย”
จงฉิงเจียติดตามเขามานาน เสวี่ยหงเยว่ย่อมรู้จักนิสัยดี ว่าเป็นคนสุภาพ เจียมตนและแสนดีเพียงใด อีกทั้งยังมีรอยยิ้มที่น่าเอ็นดู
ใช่ เด็กน้อยกับรอยยิ้มที่น่ารัก is the best thing in my life! มันคือน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจยามต้องฝึกในหนักบ้านมหาโหดนี่เชียวนะ!
เขาไม่ยอมเสียรอยยิ้มฮีลลิ่งแบบนี้ไปหรอก!
จงฉิงเจียผู้ไร้เดียงสานั้นไม่รู้ความคิดในใจของเสวี่ยหงเยว่ แต่กระนั้นคำพูดปลอบโยนเมื่อครู่นี้ก็ทำให้ดวงตากลมโตก็มีน้ำใสๆ เอ่อคลอ เธอรีบปาดมันออก เพื่อคำนับให้เสวี่ยหงเยว่อย่างตั้งใจ ประทับใจในความมีเมตตาของนายน้อยอย่างสุดเหลือจะกล่าว
ทว่าเสวี่ยหงเยว่คนนั้นกลับหาได้สนใจไม่ แม้ใจหนึ่งจะร้อนรนห่วงพ่อแม่
แต่...ก็ยังอุตส่าห์มีแก่ใจชมว่าจงฉิงเจียเป็นเด็กที่ร้องไห้ได้น่ารักโคตรๆ ในใจ!
เมื่อตั้งสติตัวเองได้แล้วก็ตีหน้านิ่งสมบทบาทอีกครั้ง เขาจัดการนั่งบนหลังม้าในท่าที่ตนถนัดก่อนหันไปมองจงฉิงเจีย
“หลบอยู่ในที่ห้องเจ้า หากใครถามหาข้าอย่าได้ตอบ”
เมื่อสิ้นคำเขาก็รีบควบม้าเร็วแอบตามไปทันทีแม้จะไม่มั่นใจนักว่าความไวของม้าที่สกุลเสวี่ยภูมิใจนักหนาว่าเป็นม้าพันธุ์เร็วสูงสุดจะเทียบเท่าความเร็วของผู้ฝึกวิชาจนบรรลุขั้นสูงได้ไหม
ดีสุดก็ตามทัน
เลวร้ายสุด ก็คือประมุขเสวี่ยต้านทานสกุลจงเอาไว้ไม่ได้ก่อนเขาไปถึง
ใจจริงก็อยากลองใช้วิชาตัวเบา เหาะเหินเดินอากาศเลียนแบบหนังจีนอยู่หรอก แต่ติดที่ตอนนี้ยังมีความสามารถไม่พอจะทำแบบนั้นนี่สิ
เพราะฉะนั้นที่พอจะทำได้ตอนนี้
เสวี่ยหงเยว่ โน้มตัวลงเล็กน้อย เอามือลูบไปตามแผงขนเรียงแนวสวยของเจ้าม้า ถ่ายทอดปราณเสริมพลัง เพื่อเพิ่มความสามารถในการวิ่งให้กับมัน
แม้ไม่แน่ใจนักว่าการทำแบบนี้จะผิดกฏธรรมชาติไหม ใช้พลังกับสัตว์ได้หรือเปล่า แต่พอเห็นว่าเจ้าม้าควบฉิวอัพความเร็วประดุจสกิลสปีดเต็มหลอด แถมยังร่าเริงแข็งแรงแบบนั้น ก็เข้าใจได้ทันทีว่าการเสริมพลังบนโลกนี้มันใช้งานกับสัตว์ได้ด้วย
ตอนนี้เรื่องเดินทางคงไม่น่าเป็นห่วง
แต่ที่ห่วงก็คือเขาจะไปทันเหตุการณ์จุดเปลี่ยนของเสวี่ยหงเยว่หรือไม่
เมื่อเดินทางมาถึงตีนเขา เสวี่ยหงเยว่ก็ผูกม้าไว้ในป่าไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก หนึ่งก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้าม้าและสองคือความสะดวกหากต้องเปิดไพ่หนีเอาตัวรอด
เขาฟังเสียงการรบที่ดังลอยมาตามลม ก็เข้าใจสถาณการณ์ได้ทันทีว่าทัพสกุลเสวี่ยคงมาถึงก่อนหน้าเขาสักพักแล้วและกำลังประมือกับทัพสกุลจงอยู่
“ม่านป้องกันโดนพังไปแล้ว ตัวเมืองด้านในคงแย่” เสวี่ยหงเยว่พึมพำ เมื่อเงยหน้าไปแล้วไม่เห็นว่ามีม่านกลป้องกันกางคลุม
แต่ก็เก่งมาเจ้าบาเรีย ที่อดทนป้องกันจนหน่วยช่วยเหลือมาถึง!
ร่างเล็กย่องจากพุ่มไม้หนึ่งไปอีกพุ่มไม้หนึ่ง สอดส่ายสถานการณ์ตอนนี้ ใจหนึ่งเพื่อประเมินความสถานการณ์และหาทางแอบเข้าไปในตัวเมือง
ท่ามกลางวงล้อมของเพลิงไฟซึ่งถูกยิงจากห่าฝนธนูเพลิงมีเสียงอึกทึกของการสู้รบ เหล่าชายผู้ทรงความสามารถต่างใช้ความสามารถที่ตนมีเพื่อต่อสู้กับศัตรู ผู้มีพลังวิชาต่างงัดพลังสุดยอดที่ตนได้ร่ำเรียนมาใช้ หากไม่มีสัญลักษณ์ประจำสกุลปักอยู่บนเสื้อคงแยกไม่ออกว่าใครสังกัดอยู่ฝ่ายใด
กระบี่และคมอาวุธย้อนยุคที่ส่องสะท้อนกับแสงจันทร์ ฟาดฟันกับเหล่าศัตรูที่มี ปราณภายในที่ถูกดึงออกมาใช้ก่อตัวเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่หมายมุ่งทำลายคู่ต่อสู้
ทั้งการออกแบบของรูปทรงอาวุธ ทั้งแสงสีของพลังที่ถูกปล่อยออกมา อีกทั้งยังมีการจู่โจมที่สร้างสรรค์
เสวี่ยหงเยว่ก็เพิ่งรู้เนี่ยแหละว่าไอ้ไฟวิ๊งๆ วับๆ เวลาที่ตัวเอกปล่อยพลัง หรือฉากรบแสงพุ่งที่ชอบเห็นในเนี่ย พอมาเจอด้วยตาแล้วของมันโคตรดีมากจนน้ำตาแทบไหล
หลังจากที่โดนฉากรบดึงความสนใจไป เขาก็ตั้งสติตัวเองได้โผล่หน้าจากพุ่มไม้ ซึ่งเป็นจุดใกล้กับการมองเห็นทัพมากที่สุด แม้เขาอยากจะเข้าไปแต่จากสถานการณ์แล้ว เกิดผลีผลามพุ่งอย่างใจร้อน นอกจากจะกลายเป็นตัวถ่วงแล้วรับรองเลยว่าได้กลายเป็นศพก่อนโตให้พระเอกฆ่าตายเป็นแน่
แม้เขาจะรู้ว่าร่างกายนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วไม่รู้จักจบสิ้น แต่เขาไม่เคยรบจริง ไม่เคยออกศึกสงคราม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสเกลความสามารถในการต่อสู้ของเสวี่ยหงเยว่นั้นมีขนาดไหน หรือทำอะไรได้บ้าง
เสวี่ยหงเยว่จับจ้องไปยังภาพเบื้องหน้า
สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเสวี่ยหงเยว่ตอนนี้ คือภาพของนายทัพ เหมินจิ้นเค่อ ที่กำลังใช้ง้าวอันเป็นอาวุธถนัดประจำกายต่อสู้ เพียงแค่เขาวาดมันออกไป บวกกับอัดพลังอีกแค่นิดหน่อย เหล่าทหารตัวประกอบฝั่งศัตรูก็กระอักเลือดล้มกันเป็นแถบๆ
โครตเท่
เหมินจิ้นเค่อนั้นอดีตเป็นเด็กกำพร้า ถูกชุบเลี้ยงโดยสกุลเสวี่ย แม้จะอายุยังน้อยแค่เพียง 23 ปี แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะในรอบพันปี หลังจากเรียนจบหน้าที่การงานก็พัฒนาอย่างรวดเร็วจนได้รับตำแหน่งเป็นนายทัพ นิสัยหรือก็น่าคบหา เป็นไนซ์กายชายแสนดีที่นอกจากจะภักดีกับประมุขเสวี่ยอย่างสุดหัวใจแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้เสวี่ยหงเยว่กับจงฉิงเจียอีกด้วย
ขนาดเสวี่ยหงเยว่ ที่ (ปกติชอบแต่ตัวละครเด็กน้อยโชตะ โลลิ) ไม่ค่อยสนใจคาร์แรคเตอร์แนวหนุ่มหล่อสุดเทพยังรู้สึกชื่นชม
ทว่าระหว่างที่เสวี่ยหงเยว่ให้ความสนใจกับการต่อสู้ของเหมินจิ้นเค่ออยู่นั้น ทหารสกุลจงนายหนึ่งก็ได้ใช้พลังสร้างกระบี่นับพันเล่มขึ้นมาบนฟ้า มันหันคมเตรียมพร้อมพุ่งมายังทัพสกุลเสวี่ย หมายมั่นจะให้ได้เจ็บตายกันไม่น้อย
ฝนกระบี่ OMG! โอ้มายก็อด! โอ้พระสงฆ์! นี่มันท่าไม้ตายสุดฮิตที่สร้างความเสียหายได้สุดๆ เลยนี่นา ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมาเห็นกับตาแบบนี้ บุญตาสุดอะไรสุด!
แต่เอ๊ย... ไม่ใช่แล้ว! ไม่ใช่เวลามาตื่นตาตื่นใจแล้ว!
เมื่อกระบี่เหล่านั้นเริ่มเคลื่อนไหว มันก็พุ่งเป้าลงมาทันที โดยเป้าหมายหลักๆ คงไม่พ้นกำลังสำคัญของการศึกครั้งนี้ เหมินจิ้นเค่อนั้นเอง!
“นายทัพเหมิน!” เสวี่ยหงเยว่เห็นท่าไม่ดี ลืมทุกอย่างไปจนหมด ลืมแม้กระทั้งว่าตัวเองเป็นเด็กสิบปีไม่ใช่ผู้ชายอายุสามสิบสอง พุ่งตัวเข้าไปขวางทางกระบี่ สร้างความตกใจให้เหมินจิ้นเค่อเป็นอย่างมาก เขาร้องเรียกคุณชายเสวี่ยจนสุดเสียง หากแต่ไม่ทัน คมกระบี่พุงเข้ามาถึงตัวอย่างรวดเร็ว!
กว่าที่เสวี่ยหงเยว่รู้ตัวว่าแส่หาเรื่อง ก็ไม่ทันแล้ว
ทว่า...
ม่านป้องกันระดับสูงถูกกางออกทันทีเพื่อปกป้องร่างของเสวี่ยหงเยว่กับคนในอยู่ในอาณาบริเวณ ม่านสะท้อนฝนกระบี่นั้นไปจนหมดซ้ำกระแสพลังของมันก็แข็งแกร่งจนทำให้เนื้อกระบี่ผุกร่อนแหลกเป็นฝุ่นละเอียดราวกับหิมะที่ร่วงลงมาบนพื้น
เป็นภาพอันงดงามที่เล่นเอาเสวี่ยหงเยว่ผู้อยู่ๆ ก็ใช้งานม่านป้องกันคุณภาพสูงนี้ได้โดยไม่รู้ตัวต้องกระพริบตาด้วยความมึนงง
เขาตกใจสุดๆ แต่ต้องตีสีหน้านายน้อยเสวี่ยผู้เย็นชาเพราะข้างหลังเขานั้นมีทหารเป็นกองทัพดูอยู่!
แม้เสวี่ยหงเยว่จะสงสัยว่าเหตุใดม่านพลังอยู่ๆ ถึงได้กาง แต่การอ่านนิยายแนวต่างโลกมามากก็ทำให้คาดเอาเอาเองว่าตนอาจจะมีสกิลพิเศษที่พอร่างกายนี่ตกอยู่ในสภาวะอันตราย พลังในกายเลยเกิดปฏิกริยาป้องกันภัยให้ตัวเอง เอาล่ะ หาคำตอบอะไรไม่ได้ ก็โยนให้นิยายแฟนตาซี! ใช่แล้ว ทุกอย่างมันคือความแฟนตาซี!
พอหลอกตัวเอ ง(ที่ดูเหมือนจะผลักภาระไปให้กับคนเขียนนิยายแฟนตาซีหลายๆ คน) จบแล้วก็โล่งอกโล่งใจขึ้นมา
พอเห็นคุณชายเสวี่ยผู้ซึ่งควรจะอยู่บ้านมาปรากฏกาย แถมยังสร้างม่านป้องกันสุดแข็งแกร่งสะท้อนการโจมตีฝ่ายตรงข้ามเพื่อปกป้องทั้งกองทัพแบบนี้อีก เรียกได้ว่า สร้างความฮือฮาดุจตลาดแตก!
“คุณชาย ข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าให้รออยู่ที่เรือน” เหมินจิ้นเค่อเอ่ย คล้ายจะดุ หากแต่เสวี่ยหงเยว่กลับแสร้งมองด้วยหางตา
“หากข้าอยู่เรือน พวกเจ้าคงตายแล้ว” เสียงนิ่งๆ ที่ทำให้คนเป็นนายทัพทำหน้าสลด เขากล่าวขอโทษที่ตัวเองอ่อนแอไม่ได้ความ ส่วนเสวี่ยหงเยว่ได้แต่พนมมือขอขมาอยู่ในใจ
พี่ครับผมเก็กไปเท่านั้นแหละ นี่ถ้าดวงไม่ดีม่านป้องกันไม่กาง กระผมก็คงโดนเสียบเป็นลูกชิ้นปิ้งไปแล้วครับ
“ท่านพ่ออยู่ด้านในใช่ไหม?” เสวี่ยหงเยว่หันมาถามอีกฝ่ายซึ่งเหมินจิ้นเค่อพยักหน้าตอบรับ
ตอนนี้ทัพที่จะเข้าไปช่วยประมุขเสวี่ยติดพันกับด่านหน้าของสกุลจง ทำให้เข้าไปให้ความช่วยเหลือข้างในไม่ได้ ซึ่งจากการประเมินของเสวี่ยวหงเยว่แล้ว ยอมรับเลยฝ่ายตรงข้ามว่าโหดไม่ใช่เล่น ฝีมือดีขนาดที่รับมือคนเก่งจากสกุลเสวี่ยได้ตั้งนานสองนาน …
เด็กชายขมวดคิ้วด้วยความเครียด หากจะบุกเข้าไปหาประมุขเสวี่ยจำเป็นต้องทำให้ทัพหน้านี้เปิดทางออกเสียก่อน
“ต้องทำให้พวกนั้นเปิดทางเข้าให้สินะ” เมื่อไม่รู้จะพูดอะไร เลยตีนิ่ง แสร้งถามในสิ่งที่ควรรู้อยู่แล้ว เสวี่ยหงเยว่ได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจว่าทำไมถึงได้ทำตัวจ้าดง่าวในฉากสำคัญแบบนี้
หากแต่…
เสวี่ยหงเยว่นั้นรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในมือของเขาแปลกๆ ไป พลังของเขายังค้างอยู่ในมือหลังจากกางม่านป้องกันไปเมื่อครู่ มันกลายเป็นกระแสหมุนวนสร้างความเจ็บราวไฟช็อตลั่นดังเปรี๊ยะๆ ยิ่งเขาอยู่เฉยก็ยิ่งทำให้ปวดตั้งแต่ปลายนิ้ว ลามมาจนถึงข้อมือ
พอเป็นแบบนั้นเขาเลยลอบสลัดมือออกไปเพื่อคลายความปวดนั้น
และกลายเป็นว่า…
สิ่งที่ออกจากปลายนิ้วคือกระแสลมรุนแรง พวกมันรวมตัวก่อเกิดมวลพลังที่หนาแน่นจนคล้ายพายุม้วนใหญ่พุ่งตรงไปซัดทัพหน้าสกุลจงจนแตกกระเจิงอย่างรวดเร็ว สร้างความเสียหายให้ทั้งกำลังคน อาวุธ ได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
คนสกุลจงบางคนที่อยู่ใกล้พอจะเห็นว่ามวลพลังม้วนใหญ่ซ้ำยังมีไอแห่งความมรณะพร้อมฆ่าฟันนั้นมาจากใครต่างก็นิ่งค้าง ตกใจ บางคนถึงกับเข่าอ่อนล้มลงไป เพียงเพราะพบว่าสิ่งนั้นมันมาจากนายน้อยแห่งเสวี่ย…มาจากมือเพียงข้างเดียวของเด็กเท่านั้น
ร่องรอยที่เสวี่ยหวเยว่สร้างมีไอความมืดปะปนอย่างเข้มข้นมากจนคนที่สามารถจับกระแสของพลังได้แทบทรุด เป็นความเสียหายที่ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในสภาวะนิ่งสงัดด้วยความตกใจ
ใช่...สร้างความตื่นตะลึงให้คนที่เห็นเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะเจ้าคนที่เพิ่งซัดพลังออกไปเนี่ยแหละตกใจที่สุด
แม่เจ้าโว้ย! ผมแค่สะบัดมือนะครับ ผมยังไม่ทันทำอะไรเลยครับ อย่ามองผมแบบนั้นครับ ผมก็ตกใจไม่แพ้พวกพี่นั่นน่ะแหละครับ!!
แต่มันไม่ใช่เวลาที่มาตกใจ โอเค เขาควรทำใจให้ร่มเข้าไว้ เสวี่ยหงเยว่สูดลมหายใจ ท่องนโมตัสสะสามจบในใจ เก็กหน้าขึงขังอีกครั้งแล้วหันไปสั่งทัพ
“เลิกมองข้า แล้วเข้าไปซะ” เอ่ยอย่างนิ่งสงบและสั่งให้ทัพบุกเข้าไปด้านใน ซึ่งพลสกุลเสวี่ยบุกเข้าไปตามคำสั่งของเสวี่ยหงเยว่ทันที
“นายทัพเหมิน…” เขาหันไปหาเหมินจิ้นเค่อที่ยังคงเฝ้าระวังภัยให้นายน้อยของตน เสวี่ยหงเยว่นิ่งสงบ ราวกับความวุ่ยวายนี้ไม่มีผลกระทบต่อกริยาการวางตนของท่านชายผู้สูงศักดิ์ (ทั้งที่ความจริงแล้วแหกปากโล้งเล้งอยู่ในใจ) เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าพาข้าเข้าไปข้างใน”
“ขอรับ” แล้วเหมินจิ้นเค่อก็อุ้มร่างของเด็กชายขึ้นมา แล้วก้าวพริบตาเดียวเข้าไปยังในเมือง
เมืองเล็กลุกไฟด้วยเพลิงจากการต่อสู้ แม้จะอพยพคนในหมู่บ้านออกไปได้แล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ คนเจ็บหนักหรือก็มีมาก พวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือหนีไปได้ เสวี่ยหงเยว่จึงสั่งคนในทัพบางส่วนให้ไปช่วยเหลือชาวเมืองและคนเจ็บก่อน
และใช้จังหวะนั้นหลบสายตาของเหมินจิ้นเค่อที่ดูจะเป็นห่วงเขาอย่างเหลือเกิน แยกไปอีกทางเพื่อตามหาประมุขเสวี่ยและภรรยา
เสวี่ยหงเยว่วิ่งไปตามทางในเมือง เมื่อเห็นถึงการบาดเจ็บล้มตายเกลื่อนสองข้างทางก็รู้สึกแย่มากเสียจนคลื่นเหียนพะอืดพะอม เขาเคยอ่านฉากสงครามที่มีคนตายมากมายมาบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยเห็นคนตายเยอะขนาดนี้ด้วยสองตาตัวเองมาก่อน
แต่เขาต้องโยนความรู้สึกแย่เหล่านี้ออกไป ตอนนี้จะมัวมาอ่อนแอพะอืดพะอมอยากอ้วกเพราะเห็นศพไม่ได้เด็ดขาด
เสวี่ยหงเยว่ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องมาที่นี่ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าบทสรุปมันจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ลึกๆ ในใจของคนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งอย่างเขา เขานั้นรู้สึกว่าปล่อยเอาไว้ไม่ได้ ถ้าไม่ได้มีส่วนร่วมกับเรื่องครั้งนี้ เขาคงเสียใจไปตลอดชีวิตการเป็นเสวี่ยหงเยว่นี้แน่ๆ
เขาตายเพียงลำพัง ตายโดยไม่ได้บอกลาครอบครัวตัวเอง
ภาพที่คิดถึงเป็นสิ่งแรกก่อนตายก็คือครอบครัว
สิ่งที่คิดออกเป็นสิ่งแรกก่อนตายก็คือเสียดายที่ไม่ได้บอกลากันดีๆ
การตายโดยไม่ได้เห็นหน้าคนที่รัก ไม่ได้บอกลาเลยน่ะ...
เจ็บปวดนะ
แต่เท้าที่กำลังวิ่งอย่างไร้เป้าหมายอยู่นั้นต้องชะงักลง เมื่อได้ยินเสียงร้องดังมาจากทิศหนึ่ง เสียงที่เสวี่ยหงเยว่นั้นไม่อาจจะปล่อยไปได้ ไม่ว่าตอนนี้มันจะหน้าสิ่วหน้าขวานแค่ไหนก็ตาม
เพราะเสียงนั้นมันเป็นเสียงของผู้หญิงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
เขาจึงรีบผินกาย หันวิ่งไปยังทิศทางต้นเสียงนั้นทันที
เมื่อวิ่งไปทางทิศนั้นเขาก็เห็นภาพของสตรีในชุดชนชั้นสูงคนหนึ่งวิ่งหนีอะไรบางอย่างอยู่ไกลๆ
เสวี่ยหนิงลี่...มารดาของเสวี่ยหงเยว่นั้นเอง
เธอวิ่งหนีจากการถูกใครบางคนวิ่งไล่ล่าโดยมีเด็กน้อยวัยเพียงไม่กี่ปีอุ้มแนบอก แต่เพราะด้วยระยะทางที่ค่อนข้างห่างมาก ทำให้เสวี่ยหงเยว่ต้องรีบเร่งฝีเท้าตัวเองเพื่อให้ไปถึงก่อนจะเกิดอันตรายขึ้นกับมารดาตน
ทันใดนั้นเอง เสวี่ยหนิงลี่ก็ล้มลงเพราะขาที่ล้าแรง เธอรีบให้เด็กในอ้อมกอดวิ่งหนีเอาตัวรอดทันที นางพยายามลุกขึ้น แต่ขาที่เจ็บจากการล้มทำให้ไม่อาจลุกขึ้น นางได้แต่ขยับถอยอย่างนั้นจนสุดทางหลังชนกำแพง
เธอกำลังจะพลาดท่าเสียทีถูกทำร้าย คมกระบี่นั้นกำลังจะพุ่งเข้าหาร่าง
เสวี่ยหงเยว่ตัวสั่น ก่อนจะตะโกนออกมาจนสุดเสียง
“ท่านแม่!!”
เสียงเรียกของเสวี่ยหงเยว่ทำให้เสวี่ยหนิงลี่รีบเงยหน้าขึ้น และเมื่อเห็นว่าใครที่กำลังวิ่งมาเท่านั้นทุกอย่างก็ชะงักไปชั่วครู่ ในทีแรกเธอมีท่าทางตกใจ แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็ตอนที่คมดาบเข้ามาถึงตัว
ในวาระสุดท้าย เธอก็ยิ้มออกมา...ด้วยความตั้งใจ...เพียงแค่ไม่อยากให้ลูกชายเห็นตัวเองในสภาพสุดท้ายที่ย่ำแย่
อยากให้เสวี่ยหงเยว่จดจำแม่ในภาพที่สวยงาม
เสวี่ยหงเยว่เร่งฝีเท้า พยายามวิ่งเข้าไปขวาง หากแต่เรี่ยวแรงที่เคยมีกลับหายไป เท้าหนักอึ้ง เสียงไม่อาจเปล่งออกมาได้อีก ซ้ำยังเมื่อพยายามใช้พลังในกายที่ตัวเองมีเท่าไร กลับใช้ไม่ได้เลย
ยิ่งวิ่งก็ยิ่งทรมาน ยิ่งฝืนตัวเองก็ยิ่งหายใจไม่ออก
ดวงตาพร่าเบลอไปเสียหมด
ราวกับว่าถูกบังคับ ไม่ให้เข้าไปขัดขวางฉากการตายนี้ ร่างกายกำลังบอกว่าเขาทำได้แค่เพียงดูเท่านั้น
เมื่อการฉากการตายของเสวี่ยหนิงลี่จบลง เรี่ยวแรงที่เคยโดยสูบหายไปก็กลับมา เสวี่ยหงเยว่รีบใช้พลังเสริมความสามารถในการวิ่ง พริบตาก็ไปถึงร่างไร้วิญญาณของมารดาเขากอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน
เจ็บและชามากเสียจนไม่รู้ว่าน้ำตาจะไหลออกมาอย่างไร ตัวเขาสั่นไปหมด โดยไม่รู้ว่ามาจากความเสียใจ ความหวาดกลัว หรือ...ความโกรธแค้นกันแน่
ดวงตาสีเลือดเงยขึ้นไปมองผู้ที่เพิ่งสังหารมารดาของตนไปต่อหน้าต่อตาด้วยความโกรธแค้น
เขาคือชายผู้ซึ่งทรยศความไว้ใจของสกุลเสวี่ยเพราะกระหายในอำนาจ
“จงลู่ฉี!!!” เสวี่ยหงเยว่แผดเสียง เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป พลังมืดไหลวนรอบกาย ราวกับจะระบายความคับแค้นที่ทำให้เจ็บลึกอยู่ในอก
“อาหงเองหรอกหรือไม่ได้พบกันเสียนานโตขึ้นเยอะเชียว ฉิงเจียของข้าสบายดีหรือไม่ขอรับ?” จงลู่ฉีเอ่ยอย่างสนิทสนมเช่นทุกครั้งที่เคยเจอ น้ำเสียงทุ้มยังคงละมุนนุ่มแม้ว่าปลายดาบนั้นเลอะไปด้วยคราบเลือดของเสวี่ยหนิงลี่ก็ตาม ชายคนนั้นกดตาลงมองเสวี่ยหงเยว่แล้วรอยยิ้มร้ายก็ปรากฏ
“ดีจริงเชียวที่อาหงมอบโอกาสดีๆ ให้อา เป็นเด็กที่น่ารักเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ”
กระบี่กวัดแกว่งสลัดเลือดของเสวี่ยหนิงลี่ที่ติดอยู่ให้ออกไปก่อนชี้ตรงมายังคอเสวี่ยหงเยว่
ดวงตาของจงลู่ฉีแข็งกร้าวขึ้น สีหน้าดูชั่วร้าย
“ข้าจักได้จัดการทั้งถอนรากสกุลเสวี่ยในคราเดียว”
เสวี่ยหงเยว่ตัวสั่นเทา เขาไม่เคยตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นเสี่ยงตายขนาดนี้มาก่อนจึงทำได้แค่เพียงกอดร่างของมารดาเอาไว้และหลับตาลงแน่น เมื่อรู้สึกได้ว่าคมกระบี่ได้มาใกล้ตัวเท่านั้น
แล้วเสียงระเบิดก็ดังขึ้นพร้อมกับไอร้อนที่ทำให้เสวี่ยหงเยว่ต้องรีบลืมตา พลังทำลายอย่างรุนแรงทำให้กระบี่ที่พุ่งหมายจะเอาชีวิตคนได้หายไปพร้อม ๆ กับมือและแขนของจงลู่ฉี เด็กชายตกในความตะลึงงันชั่วครู่ใหญ่เมื่อมองเลยไปยังต้นกำเนิดการระเบิดนั้นก็พบกับร่างของชายเจ้าของเส้นผมสีขาวราวกับหิมะ
ประมุขเสวี่ยที่บัดนี้แสดงแต่ความโกรธชิงชังออกมาจากสายตา ความคับแค้นนั้นมันมากเสียจนไอมืดที่เก็บซ่อนแผ่พุ่งออกมาจากตัว
“ข้ามองเจ้าเป็นศิษย์น้องที่ดีมาตลอด” ประมุขเสวี่ยเดินมาแม้ร่างกายเขาจะบาดเจ็บอยู่มาก เขาจับจ้องจงลู่ฉีที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดจากการเสียแขนไปหนึ่งข้าง
ประมุขเสวี่ยมองร่างของภรรยาตน ความโกรธแค้นในดวงตาได้แปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าโศก มันเปี่ยมไปด้วยความเสียใจอย่างหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้
เสวี่ยหงเยว่พยายามอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ประมุขเสวี่ยกับส่ายหน้า เขาลูบหัวลูกชายตัวเองเบาๆ ริมฝีปากพึมพำบอกให้ไม่ต้องกลัวพ่ออยู่นี่แล้ว
ประมุขเสวี่ยค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมด้านนอกออกมาคลุมร่างไร้วิญญาณของเสวี่ยหนิงลี่เอาไว้
“แต่หากเจ้าทำร้ายครอบครัวของข้าแล้ว เห็นทีคงไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อีก”
จงลู่ฉี สะกดความเจ็บปวดที่มี กัดฟัน แล้วทำสีหน้าปกติ เขาส่งเสียงร้องคล้ายกับคนเรียกขวัญตัวเองกลับมาแล้วพุ่งตรงไปยังประมุขเสวี่ยหมายจะใช้พลังทั้งหมดที่มีจัดการให้สิ้นเสีย!
การต่อสู้ของชายสองคนจึงเริ่มขึ้นต่อหน้าของเสวี่ยหงเยว่ ผู้ซึ่งไม่อาจจะทำอะไรได้เลยนอกจากมอง แม้ว่ากระแสพลังมืดที่เกิดขึ้นจากความโกรธของประมุขเสวี่ยจะแข็งแกร่งเพียงใด อาการบาดเจ็บหนักก็มีผลต่อการใช้ความสามารถอยู่มากโข อีกทั้งจงลู่ฉีที่ต่อให้เหลือแขนเพียงข้างเดียวแต่เขาก็สามารถสู้ได้ดีเสียสมกับที่ใด้ชื่อว่าเป็นประมุขสกุลจง
เสวี่ยหงเยว่กัดปากตัวเอง ค่อยๆ ผละร่างออกมาจากการกอดมารดาตน เพื่อที่จะไปช่วยเหลือประมุขเสวี่ยใจการต่อสู้
แต่ราวกับร่างกายนี้จะรู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร ความทรมานจากการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกก็เกิดขึ้นมาทันที!
ลมหายใจขาดช่วง ดวงตาที่พร่าเลือน สติที่ไม่อาจจะประครองเอาไว้ได้ การต่อสู้เบื้องหน้าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ใครกำลังทำอะไร ใครเสียเปรียบ ใครได้เปรียบ เขาไม่อาจจะจดบันทึกลงในสมองได้เลย
ทรมาน
เจ็บ...
เจ็บ...
ร่างกายนี้มันกำลังแสดงอาการคล้ายกับส่งเสียงเตือน ว่าอย่าได้กระทำการอะไรที่จะเข้าไปขัดขวางเนื้อเรื่องในตอนนี้เป็นอันขาด
การที่อยู่ๆ ร่างกายก็ปกป้องด้วยตัวเอง หรือการที่มีอาการเจ็บปวดทรมานล้วนเกิดขึ้นในจังหวะสำคัญนั้น
ตอนนี้เขาเข้าใจ ‘สิ่งที่ห้ามฝ่าฝืน’ ของยมทูตแล้ว ต่อให้เขาอยากฝ่าฝืนกฏสักเท่าไรเขาไม่อาจจะจะฝืนได้ ร่างกายเขามีกลไกของมันอยู่ และกลไกนั้นมันกำลังบอกกับเขา
'อย่าได้ทำอะไรให้เส้นเรื่องเปลี่ยนแปลง'
ร่างกายเขากำลังจะบอกแบบนั้น และเขาไม่อาจจะฝืนร่างกายตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย ต่อให้มีอิสระในการแสดงบทบาทแค่ไหนแต่เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนเนื้อเรื่องบังคับได้เลยแม้แต่น้อย
กว่าที่เขาจะกลับมามีสติอีกครั้ง การต่อสู้นั้นก็จบลง มันจบลงที่ความตายของจงลู่ฉี เป็นอันจบตำนานประมุขสกุลจงผู้กระหายอำนาจนั้นลงไป
หากแต่…
เมื่อเห็นสภาพของประมุขเสวี่ยแล้วก็บอกได้คำเดียวว่าย่ำแย่เต็มทน
เสวี่ยหงเยว่รีบรวบรวมแรงที่มี วิ่งไปกอดร่างยืนโงนเงนของบิดาตนเอาไว้แน่น แต่ด้วยแรงของเด็ก เขาไม่สามารถจะประครองต้านแรงโถมเอาไว้ได้ ล้มลงไปกองนั่งกับพื้น โดยที่มีมือของประมุขเสวี่ย ค่อยๆ โอบกอดร่างลูกด้วยมืออันไร้เรี่ยวแรง
“พ่อ...ขอโทษนะ”
นั่นคือถ้อยคำสุดท้ายที่เสวี่ยหงเยว่ได้ยินก่อนที่ประกายชีวิตในดวงตาของประมุขเสวี่ยจะดับลงไป...ตลอดกาล
น้ำตานั้นค่อยๆ รื้นขึ้นมาจากดวงตา มือกอดร่างบิดาเอาไว้ และกำเสื้อแน่นเท่าที่จะแน่นได้
ประมุขเสวี่ยและภรรยาได้สิ้นไปเสียแล้ว
ชีวิตชาติก่อนที่ตายก่อนพ่อแม่และชาตินี้ที่ต้องเห็นพ่อแม่ตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่อาจช่วยอะไรได้
มันทำให้เขาเจ็บในอก ความเจ็บปวดที่ก่อตัวนี้ ทำให้สมองหนักและอื้ออึงไป น้ำตาค่อยๆ รินไหลออกจากขอบตาร้อนๆ กอดร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นบิดาเอาไว้แน่น
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
ทั้ง ๆ ที่สามารถช่วยเหลือได้
แต่เขากลับ
กลับ…ไม่สามารถทำอะไรได้เลย…
เสียงร้องไห้สะอื้นดังออกมา เขาห้ามตัวเองไม่อยู่อีกต่อไป ทั้งเสียใจ เจ็บใจ และรู้สึกผิดกับชีวิตของคนทั้งสองที่เขาเพิ่งสูญเสียไป แม้จะเป็นระยะเวลาแค่เพียงสิบปีที่แสนสั้นแต่เขาก็ผูกพันธ์กับทั้งสองคนนี้และรักอย่างลูกคนหนึ่งที่จะรักผู้ให้กำเนิดตัวเอง
ปีอวิ๋นเจวี้ยนที่ 66 หลังจบศึกสกุลจง เสวี่ยหงเยว่ก็ได้รับรู้ ถึงความโหดร้ายของชะตากรรมนี้
ชะตากรรมที่ต้องเล่นไปตามบทบาทของเสวี่ยหงเยว่
โดยไม่อาจขัดขืนอะไรได้…