ตอนที่ 2 เด็กชายในคืนจันทร์สีเลือด
ตอนที่ 2 เด็กชายในคืนจันทร์สีเลือด
ปีอวิ๋นเจวี้ยนที่ 56
จันทร์เต็มดวงสีแดงฉานดังเลือดปรากฏเด่น แปรสภาพฟ้ายามรัตติกาลจากน้ำเงินไพลินให้เป็นสีสนิมได้อย่างง่ายดาย สายลมละมุนพัดพากลุ่มเมฆให้เคลื่อนหาย เห็นหมู่ดาวส่องกระจ่างบนฟ้าสีประหลาดเคล้ากับเหล่าฝูงแมลงปอบินอ้อล้อแสงจันทร์
กลีบดอกไม้แดงลอยล้อกับสายลมพัด กลิ่นหอมหวานคลอคลุ้งไปทั่วบริเวณ
ช่างเป็นคืนที่แสนงดงามหากแต่ดูลึกลับ
บนเขาเสวี่ย ภูเขาสูงยิ่งใหญ่เทียมเมฆอันเป็นเหตุให้เขาแห่งนี้มีหิมะหนาปกคลุมบนยอดตลอดทั้งปี แต่ถึงด้านบนจะมีหิมะปกคลุมและหนาวเย็น เบื้องล่างนั้นกลับช่างอุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติ อีกทั้งยังมีแหล่งน้ำบริสุทธิ์จากหิมะที่ละลายลงมา
ณ.เขาแห่งนี้ เป็นสถานที่ตั้งของบ้านสกุลเสวี่ยที่ยิ่งใหญ่ และแสนเงียบสงบ
แม้ว่าคืนนี้...จะไม่ค่อยสงบสักเท่าไรก็ตาม
“เตรียมห้องไว้แล้วหรือไม่”
“แล้วหมอล่ะ มาแล้วหรือ”
“เร่งมือเร็วเข้าพวกเจ้า”
ในยามปกติแล้วบ้านสกุลเสวี่ยช่วงยามราตรีนั้นจะสงบ ด้วยกฏของบ้านที่ให้คนเข้าหอนอนเสียตั้งแต่ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นยามราตรี หากแต่ในคืนจันทร์สีเลือดเช่นนี้กลับผิดแผกไปจากกิจวัตรปกติ นั่นเป็นเพราะนายหญิงแห่งเสวี่ยผู้ตั้งครรภ์เกิดอาการเจ็บท้องใกล้คลอดขึ้นมา
นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้บ้านเสวี่ยที่เคยเงียบงันวุ่นวายเช่นนี้
เหล่าสาวใช้ เหล่าบ่าว รวมถึงศิษย์ในสำนักต่างออกมาจากหอนอนตนไปยังเรือนใหญ่ของคุณนายเสวี่ย ทว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าไปใกล้เรือนได้เพราะอยู่ในช่วงการทำคลอด จึงทำได้แค่รอให้กำลังใจอยู่หน้าประตูเรือนเท่านั้น
เสียงหวีดร้องเจ็บท้องดังในห้องกว้างที่มีสาวใช้วิ่งวุ่นวายตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับการพยาบาลคนคลอด คุณนายเสวี่ยคนงามนั้นกัดฟันแน่นข่มความเจ็บ พยายามเพ่งสมาธิออกแรงส่งให้เด็กน้อยที่อยู่ในท้องให้ออกมาตามคำแนะนำจากสตรีชราผู้ทำหน้าที่หมอตำแย
แม้ยากเย็นแต่หล่อนก็กลั้นใจใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อให้ลูกได้ออกมา
กลิ่นคาวของเลือดลอยคลุ้งก่อนเสียงหวีดด้วยความเจ็บปวดจะแทนที่ด้วยการแผดเสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยแรกคลอด ทำให้คนที่อยู่ด้านในห้องรวมถึงคนที่เฝ้ารอลุ้นด้วยใจเป็นห่วงพากันโล่งอกไป
คุณนายเสวี่ยหอบหายใจหนัก ทั้งเหนื่อย ทั้งเจ็บ หากแต่โล่งใจ ยามที่ได้ยินเสียงไห้แรกจากลูกน้อยที่หล่อนอุ้มท้อง เมื่อหมอตำแยจัดการทำความสะอาดหลังคลอดและอื่นๆ จนเรียบร้อยแล้วนางจึงได้อุ้มเด็กทารกในห่อผ้าเนื้อขาวนวลนุ่มให้ไปอยู่ในอ้อมกอดของมารดา
“เป็นบุตรชายเจ้าค่ะ นายหญิง” หมอตำแยกล่าวอย่างอ่อนน้อม
เมื่อคุณนายเสวี่ยเห็นหน้าลูกหยดน้ำตาแห่งความปลื้มปริ่มใจก็ไหลอาบแก้มนวลที่ซีดเผือดจากการคลอด บุตรชายของนางเป็นเด็กน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู อ้วนท้วนสมบูรณ์แข็งแรง ดวงตากลมสีแดงกลมโตของเจ้าตัวเล็กนั้นกำลังจับจ้องมายังมารดาคล้ายกับจะสงสัยว่านี่คือใคร
คุณนายเสวี่ยเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเอานิ้วชี้สอดไปยังกำปั้นเล็กๆ ของเด็กชาย
“นี่แม่ไงจ๊ะ เด็กดี”
“หนิงลี่!” เสียงร้องดังขึ้นสร้างความตกใจเล็กน้อยให้กับคนเพิ่งคลอดแต่พอได้เห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร คุณนายเสวี่ย...เสวี่ยหนิงลี่นั้นก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
เจ้าของเส้นผมสีขาวราวกับหิมะและดวงตาสีแดงราวกับสนิม ชายคนนั้นผู้ประมุขสกุลเสวี่ย
ผู้น่าสงสารโดนไล่ให้ไปเฝ้านอกห้องตอนทำคลอด...
“บุตรชายเจ้าค่ะ” เสวี่ยหนิงลี่เอ่ยหลังจากที่น้ำตาหยุดไหลแล้ว หล่อนขยับอ้อมแขนตัวเองเล็กน้อยเพื่อให้สามีดูหน้าลูกชายให้ถนัดตา
“ช่างน่ารักน่าชังนัก” ประมุขเสวี่ยเอ่ยคำชมเมื่อเห็น เขานั่งข้างภรรยามองบุตรชายคนแรกของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก ความเอ็นดู และความดีใจไปพร้อมๆ กัน
เสวี่ยหนิงลี่เห็นดังนั้นจึงส่งลูกให้กับบิดาได้อุ้ม แม้ในทีแรกท่าทางของประมุขเสวี่ยจะดูเก้กังเพราะไม่เคยอุ้มเด็กแต่สุดท้ายก็ทำสำเร็จได้โดยที่เด็กน้อยไม่ร้องสักคำ
“ท่านได้คิดนามให้ลูกแล้วหรือยังเจ้าคะ?” เสวี่ยหนิงลี่เอ่ยถามพลางอิงซบกับผู้เป็นสามี
ประมุขเสวี่ยพยักหน้าหน้าตอบรับ พร้อมกับมองทอดสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง บนท้องฟ้าตอนนี้ปรากฏจันทร์แดงกลมโตเด่นท่ามกลางทะเลดวงดาว
“ในคืนจันทร์สีแดงเช่นนี้…” ประมุขเสวี่ยเงียบลงเล็กน้อย
“หงเยว่ใช่ไหมเจ้าคะ” เสวี่ยหนิงลี่พูดแทรกขึ้นมาอย่างเดาความคิดของสามีได้ ซึ่งประมุขเสวี่ยก็ยิ้มตอบรับให้กับนาง
หงที่แปลว่าสีแดงและเยว่ที่แปลว่าพระจันทร์
“ใช่แล้ว นามของเด็กคนนี้คือเสวี่ยหงเยว่”
ประมุขเสวี่ยยิ้ม พลางมองลึกไปยังดวงตาคู่สีแดงเลือดของเด็กน้อยอย่างรักใคร่
โดยมิอาจรู้ว่าที่มาก่อนหน้าบุตรชายนั้นเป็นเช่นไร
นี่คือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด มันได้เริ่มต้นขึ้นในวันนี้ คืนจันทร์เต็มดวงสีแดงเลือดที่เด็กชายได้เกิดมาในสกุลเสวี่ย
ใช่...ในราตรีนี้เอง สมจิตร สุวรรณกร ก็ได้กลายเป็นเสวี่ยหงเยว่
กาลเวลาล่วงเลยจากคืนจันทร์สีเลือด ผ่านงานเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อแสดงความยินดีให้กับการเกิดของบุตรชายผู้ซึ่งในอนาคตจะได้ขึ้นเป็นประมุขคนใหม่แห่งสกุลเสวี่ย สกุลที่ได้ชื่อว่าหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนอวิ๋นเจวี้ยน
ชีวิตในบ้านสกุลเสวี่ยนั้นก็เข้าที่เข้าทางกลับมาสู่กิจวัตรปกติ ก้าวผ่านฤดูกาลทั้งสี่ ทั้งใบไม้ผลิที่สดชื่น หน้าร้อนที่อบอ้าว ใบไม้แดงยามเปลี่ยนสี และหิมะแรกยามเหมันต์ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเวียนซ้ำจากปี เป็นสองปี เรื่อยมาตามธรรมชาติที่มันควรจะเป็น
เขาเสวี่ยแห่งนี้ได้ผ่านช่วงเวลาดีร้ายมามากมาย
ตอนนี้ ในปีอวิ๋นเจวี้ยนที่ 66 เด็กชายเสวี่ยหงเยว่ ได้เติบโตจนมีอายุสิบปีแล้ว
ณ.ลานนิลปัทม์ ลานกว้างใจกลางสำนักโอบล้อมด้วยสระน้ำ มีกอบัวสีหิมะเบ่งบานเสียให้แน่นสระ ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ขึ้นชื่อของสกุลเสวี่ย ลานนี้มีเพื่อให้เหล่าศิษย์ใหม่เข้ามาฝึกซ้อมและใช้ทดสอบวัดความสามารถพลังของตัวเอง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ลานนิลปัทม์ขึ้นชื่อแต่อย่างใด
สำนักสกุลเสวี่ยนั้นเป็นสำนักหลักที่ได้ชื่อว่าเข้มงวดต่อศิษย์มากที่สุดชนิดที่ต่อให้มีกฏสำหรับคนในสกุลแล้วยังมีกฏประจำสำนักเอาไว้สำหรับศิษย์นอกมากมายหลายหลากข้อห้ามฝ่าฝืนอย่างเด็ดขาด
นอกจากกฏแล้วการฝึกฝนเองก็เช่นกัน สำนักเสวี่ยตั้งใจคัดแต่เพียงบุคคลที่มีคุณภาพดีมาฝึกสอนเท่านั้น การฝึกจึงเต็มไปด้วยความเข้มข้นจนมีคำกล่าวขานว่าศิษย์สังกัดสำนักนี้จบออกไปจะเป็นบุคคลที่เก่งกาจหาใครจับตัวได้ยาก
ใช่แล้ว...จะกลายเป็นคนเก่งก็แลกกับการฝึกตนอย่างหนัก สำนักเสวี่ยสนับสนุนลูกศิษย์ในการฝึกฝนทุกอย่างแต่หากความสามารถพัฒนาได้ไม่ถึงที่ควรนั้นก็จะมีบทลงโทษอันสาหัสรอคอยอยู่
บทลงโทษอย่างหนักที่ไม่ว่าใครก็ต้องรับโทษเท่ากันจะคุณชายแห่งสกุลใดจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ช่าง ไม่เว้นแม้แต่คนของสกุลเสวี่ยเองก็ตาม ทุกคนที่ไม่ผ่านเกณฑ์จะได้รับการฝึกโหดลากไส้อันแสนสาหัสเสียจนถูกขนานนามว่าลานนิลปัทม์เลือด
ในช่วงเวลายามเช้าใกล้สายคนจำนวนมากต่างทยอยกันเดินขึ้นสะพานข้ามสระบัวเพื่อเข้ามายังลานนิลปัทม์ สร้างความแออัดจอแจและวุ่นวายเกินกว่าปกติที่ควรจะเป็น
การทดสอบที่จัดขึ้นในทุกสัปดาห์สำนักฝึกจะเปิดให้คนเข้ามาชมอยู่แล้ว แต่วันนี้ดูจะคึกคักเป็นพิเศษเห็นได้จากการที่ศิษย์สำนักสกุลเสวี่ยตั้งแต่ศิษย์ใหม่ ศิษย์ระดับอาวุโส ไล่ไปจนถึงผู้ที่ทำงานทุกระดับให้กับสกุลต่างก็พากันให้ความสนใจในการทดสอบวันนี้กันอย่างถ้วนหน้า
นั่นอาจจะเป็นเพราะ...
ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าศิษย์ใหม่สกุลเสวี่ย ใจกลางของกลุ่มนั้นคือเด็กชายวัยสิบปีคนหนึ่ง
โดยปกติแล้วคงเป็นเรื่องแปลกค้านสายตาหากมีเด็กชายอายุเท่านั้นกลางลานฝึกเพราะธรรมเนียมของอวิ๋นเจวี้ยนนั้นผู้ที่จะสามารถเข้าฝึกตามสำนักได้จะต้องเป็นผู้ที่อายุมากกว่าสิบหกปีซึ่งเป็นวัยที่ผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น
แต่ก็มีกรณียกเว้นหากผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้นคือผู้สืบสายเลือดของประมุขสำนักนั้นๆ
และเด็กชายคนนั้น เด็กชายผู้มีเส้นผมสีขาวสว่างราวกับหิมะมัดเป็นทรงปักปิ่นทรงสวยดูราคาสูง อีกทั้งยังเครื่องทรงหรูหราบ่งบอกได้ถึงสถานะได้เป็นอย่างดี ชุดผ้าสีขาวและสีแดงเนื้อดีตัดอย่างประณีต ปักลวดลายดอกปี่อั้น (พลับพึง) อันเป็นสัญลักษณ์ของสกุลเสวี่ย
จึงไม่แปลกใจนักหากการทดสอบวันนี้จะคึกคักเมื่อผู้ที่ได้รับเข้าการทดสอบนี้เป็นเด็กชายที่จะเป็นใครอื่นไม่ได้เลยนอกจากบุตรของประมุขเสวี่ย
เสวี่ยหงเยว่นั่นเอง
เมื่อฆ้องการประกาศเริ่มทดสอบดังขึ้น กลุ่มควันสีดำก็เริ่มก่อเกิดขึ้นเหนือมือเล็กๆ ของเด็กชาย ดวงตากลมโตสีแดงเลือดนั้นจับจ้องสิ่งที่อยู่ในมือ ชั่วครู่ที่แววในตาแปรเปลี่ยนควันนั้นก็พุ่งตรงไปยังอัญมณีน้ำงามเม็ดโตบนโต๊ะ มันลอยโอบล้อมรอบสักพัก ก่อนที่สีสันและความกระจ่างใสที่เคยมีจะค่อยๆ จางหาย ความมีชีวิตชีวาถูกดูดกลืน
และสุดท้ายอัญมณีก้อนนั้นก็แหลกสลายกลายเป็นผง ไร้ซึ่งเค้าโครงความงามที่เคยมีในอดีตกลายเพียงเศษซากที่ไม่อาจจะใช้งานอะไรได้อีก
นั่นคือการดึงพลังชีวิตเพื่อทำลายแก่นภายในของพลัง
ทุกอย่างบนโลกนี้ ไม่ว่าจะสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิต ย่อมมีอายุขัยและระยะเวลาการมีชีวิตของมัน สิ่งสวยสดงดงามใดๆ ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า สุดท้ายย่อมกลายเป็นของเก่าโทรมและสูญสลาย พลังนี้จึงสามารถช่วยเร่งเวลาการเสื่อมสภาพให้เร็วยิ่งขึ้นเพื่อ ‘ช่วงชิง’ แก่นพลังแห่งอายุขัยมา
พลังชีวิตที่ถูกดูดสุดท้ายก็มาอยู่ในมือของผู้ช่วงชิงมาได้ เสวี่ยหงเยว่มองพลังงานสีแดงที่ลอยวนอยู่ในมือ เด็กชายหลับตาลงสักพักแสงสีแดงนั้นก็ค่อยๆ ซึมผ่านตามผิวมือเข้าไปยังร่างกายของเขาเอง
ดูดซึมพลังชีวิตของสิ่งอื่น เพื่อกลายเป็นพลังของตนเอง
แม้จะเป็นวิชาที่ไม่ได้หวือหวาอะไรแต่ก็ได้ผลสูง อีกทั้งด้วยวัยแล้วเด็กชายก็ทำได้ดีกว่าคนที่อายุมากกว่าเขาหลายคนนัก สร้างความประทับใจให้กับคนชมมากทีเดียว
เสวี่ยหงเยว่นั้นถูกมองว่าเป็นอัฉจริยะ ทั้งความสามารถในการเรียนรู้ ทั้งร่างกายอันคล่องแคล่ว อีกทั้งเมื่อตรวจสอบพลังทิพย์ภายในก็จัดได้ว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สร้างข่าวลือกันอย่างหนาหูว่าเด็กน้อยผู้นั้นสามารถค้นพบพลังความสามารถของตัวเองได้ก่อนที่จะพูดเป็นเสียอีก
เด็กชายเดินออกจากสถานที่เพื่อให้รายต่อไปได้ขึ้นไปทดสอบต่อ แต่ทันใดนั้นเองเสวี่ยหงเยว่ก็ต้องหยุดเดิน เขารับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ใหญ่มากๆ ยืนขวางหน้าตนอยู่
“คุณชายเสวี่ยช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก” เสียงเอ่ยชมกล่าวขึ้นพร้อมกับการโค้งคำนับอย่างนอบน้อมจากชายคนหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์พี่ของเขา “ต่างจากข้าที่ฝึกความสามารถนับแรมปี สมแล้วที่เป็นถึง ‘บุตรชาย’ ประมุขเสวี่ย”
เสียงเน้นย้ำกระทั้นคำว่าบุตรชายชนิดที่หลับตาฟังยังรู้ว่าประชด มั่นใจได้ว่าคนตรงหน้านั้นจะสื่อว่าเพราะเสวี่ยหงเยว่เป็นลูกประมุขจึงทำให้ได้รับการยกยอและสิทธิพิเศษในการฝึกอยู่เป็นแน่
ผู้ติดตามของเสวี่ยหงเยว่ส่งเสียงออกมาอย่างคนอยากกล่าวท้วง แต่กระนั้นกลับถูกเด็กชายยกมือปราม
“ข้าไม่ได้เก่งอันใดหรอกแค่ได้รับการฝึกที่ถูกต้องเท่านั้น” เสียงเล็กเอ่ยเรียบๆ สีหน้าของเด็กน้อยนั้นนิ่งเฉย อีกทั้งดวงตาสีเลือดที่มองไปทางคู่สนทนายังมีทีท่าคล้ายคนเป็นผู้ใหญ่มองดุคนเด็กกว่าอยู่ก็ไม่ปาน
สายตาที่ไม่บ่งบอกถึงความโกรธ แต่กำลังตำหนิเพื่อให้คิดว่าทำผิดอะไร
“หากเจ้าจะเอาเวลาที่มีมากล่าวยกยอข้าแล้วล่ะก็…สู้ไปฝึกให้ได้ดีกว่าข้าเถิด” เสวี่ยหงเยว่จับจ้องคนตรงหน้าที่มีอาการชะงักไปนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เด็กชายโค้งลงเล็กน้อยแล้วหันหลังออกจากวงล้อมคนตรงไปยังทางสะพานข้ามสระบัว
ทิ้งความตกใจ ความขุ่นข้อง อีกทั้งยังเพิ่มพูนความสงสัยให้กับคู่สนทนาเป็นอย่างมาก
ว่าที่คุยอยู่ด้วยเมื่อครู่นี้ เป็นเพียงเด็กวัยสิบปีจริงๆ งั้นหรือ...
เมื่อพ้นสะพานข้ามสระบัวมาแล้ว เสวี่ยหงเยว่ก็รีบเร่งฝีเท้าตัวเองให้ก้าวเร็วขึ้น เร็วเสียจนทิ้งห่างจากผู้ติดตามที่เดินมาด้วยกัน
ผู้ติดตามของเสวี่ยหงเยว่นั้นเป็นเด็กหญิงที่อายุเท่าๆ กันนามว่า จงฉิงเจีย นางเป็นบุตรีของน้องสาวประมุขเสวี่ยถูกส่งเข้ามาในสกุลเสวี่ยหลังจากมารดาสิ้นชีวิตเนื่องจากอาการป่วยด้วยเหตุผลที่ว่าท่านประมุขอยากให้มาเป็นเพื่อนเล่นกับเสวี่ยหงเยว่
ฉะนั้นแล้วนอกจากจะอยู่ในศักดิ์ของผู้ติดตามวัยใกล้เคียง ยังมีสถานะลูกพี่ลูกน้องของเสวี่ยหงเยว่อีกด้วย
“พอคุณชายไม่ตอบโต้เอาใหญ่เชียวคนพวกนั้น” พูดออกมาเสียงเบา ๆ ระหว่างที่เดินตามเสวี่ยหงเยว่เข้ามาในเรือน
“โปรดอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลยนะเจ้าคะคุณชาย” จงฉิงเจียเอ่ยถามอย่างห่วงใยแล้วยิ้มให้ เธอนึกว่านายน้อยนั้นเกิดความไม่พอใจที่โดนดูถูก แต่พอบอกจะไปเอาความไปแจ้งผู้อาวุโส เสวี่ยหงเยว่ก็สั่งห้ามทันทีพร้อมกับให้จงฉิงเจียไปทำงานของตนเสีย
หลังจากที่จงฉิงเจียไปแล้ว เสวี่ยหงเยว่ก็มองตามหลังเด็กคนนั้นไป ในสายตาของเด็กชายแล้ว จงฉิงเจียนั้นแม้จะมีบุคลิกที่สงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่ก็มีความเป็นผู้ใหญ่ ช่างดูแลและเอาใจใส่ เนื่องจากต้องดูแลเขาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องมาตลอดนั่นเอง
ช่างเป็นเด็กดีจริงเชียว
เสวี่ยหงเยว่ถอนใจเบาๆ แล้วเริ่มเดินอีกครั้งเมื่อเลี้ยวเข้าสู่หัวมุมทางเดินไร้คนสัญจรผ่าน ร่างเล็กก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นโดยที่เอาหลังพิงพนังไว้ เด็กชายเอามือกุมอกตัวเอง หอบหายใจเร็วถี่ๆ หน้าซีดเผือดคล้ายกำลังตั้งสติอะไรบางอย่างกับตัวเองอยู่
...เกือบไปแล้วไหมล่ะ…
นี่ถ้าเกิดทดสอบไม่ผ่านละก็ จะต้องเจอกับการลงโทษหนักขนาดไหนกันเนี่ย มีหวังได้ตายหงส์ตายห่าน เป็ดก๊าบๆ คาบไปกินก่อนจะโตแน่ๆ อ้ากกก!!!
เหงื่อแตกพรากๆ พร้อมกับที่ขยุ้มเสื้อตัวเองไว้เสียเต็มกำมือ ภาพลักษณ์ของเด็กชายแสนเย็นชาพูดจาโตกว่าวัยนั้นหายวับไปทันทีเมื่อไร้สายตาคนมอง เสวี่ยหงเยว่เด็กน้อยชนชั้นสูง ผู้เป็นอัจฉริยะนั้น ภายในจิตวิญญาณของเขาก็ยังคงเป็นผู้ชายแก่ๆ วัยลุงสุดแสนจะขี้บ่นอยู่ดี
การฝึกของสกุลเสวี่ยนั้นเข้มข้นเป็นอย่างมาก กระทั่งเขาที่เป็นลูกชายของประมุข แถมยังเป็นเด็กกลับต้องฝึกอย่างเคร่งครัดไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะการฝึกฝนความรู้ ฝึกสมาธิ ฝึกจิตใจ ฝึกควบคุมพลังในร่างกาย ฝึกฝนทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกวันนั้นมีแต่การเรียน แล้วก็เรียน
แต่ของพวกนั้นมันยังไม่เท่าไรสำหรับเขา ไอ้ที่ทรมานทรกรรมแสนสาหัสที่สุดคงหนีไม่พ้นการฝึกร่างกาย
ให้ลองคิดภาพชายผู้ซึ่งอดีตเป็นพนักงานออฟฟิศ มีบัตรสมาชิกฟิสเนสไว้ก็ดองจนหมดอายุแถมเจ็บตัวหนักสุดก็แค่การไปกายภาพลดอาการออฟฟิศซินโดรมต้องตื่นตีสี่เพื่อมาออกกำลังกายและซ้อมการต่อสู้จนคลุกฝุ่นทุกเช้าดูสิ
ฝึกโหดสุดจนลืมไปเลยว่าภายนอกร่างกายตัวเองเป็นเด็ก
รู้สึกขอบคุณที่ในใจตัวเองโตมากพอจนมีความอดทานมากพอจะไม่งอแงกับการฝึกเหล่านั้น
เสวี่ยหงเยว่เงยหน้าขึ้นมาจากการฟุบซบเข่าเพราะตั้งใจจะลุกไปใช้เวลาพักหลังสอบที่ห้องของตัวเองแต่ก็ต้องชะงักตกใจจนถอยกรูดไปชนพนังอย่างแรง เมื่อพบกับชายคนหนึ่งกำลังมองมาที่ตน
เขามีเส้นผมสีขาว ดวงตาสีแดงสนิม อีกทั้งยังมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเสวี่ยหงเยว่ประหนึ่งว่าเป็นเสวี่ยหงเยว่ที่โตกว่า ร่างสูงใหญ่นั่งคุกเข่ากับพื้นระดับที่จ้องเด็กชายได้ถนัดตา เขายิ้มกว้างให้แล้วช้อนร่างของเสวี่ยหงเยว่ขึ้นมาอุ้มเดิน
การพบเจอและการกระทำของเขาคนนั้นทำให้เสวี่ยหงเยว่เหงื่อแตกมากกว่าเดิม
คนๆ นั้นคือประมุขเสวี่ยบิดาในชาตินี้ของเขานั่นเอง
“ท่านไม่จำเป็นต้องอุ้มลูกเลย” เสวี่ยหงเยว่ท้วงเล็กน้อย หากแต่คนเป็นพ่อกลับไม่สนใจ
“ลูกไม่ได้หนักอะไร อีกทั้งพ่อเองก็ไม่ได้อุ้มเจ้ามานานแล้ว”
สุดท้ายเด็กชายก็เลยได้แต่สงบปากสงบคำแย้งอะไรไม่ได้ ปล่อยให้ประมุขเสวี่ยอุ้มตนเดินไปทั้งแบบนั้น
“เหตุใดลูกจึงมีทีท่าวิตกกังวลในเมื่อผลทดสอบวันนี้เจ้าก็ทำออกมาได้ดี” เขาเอ่ยถามบุตรชายทันทีอย่างคนเป็นห่วง คงเข้าใจว่าที่เสวี่ยหงเยว่ทรุดลงไปกองกับพื้นนั้นเป็นเพราะเครียดเรื่องการสอบวันนี้
“ท...ท่านไป…” ไม่ทันพูดได้จบคำคนเป็นพ่อก็พยักหน้า
“หากไม่ไปชมการสอบแรกของลูกพ่อคงเป็นบิดาที่แย่” เขาหัวเราะเบาๆ แล้ว มองสีหน้าเลิกลั่กอันหาได้ยากของลูกชายผู้วางตัวโตกว่าวัยเสมอ
พอรู้ตัวว่าแสดงอาการเลิกลั่กออกมา เสวี่ยหงเยว่จึงเม้มปากซ่อนอาการนั้น ทำหน้านิ่งกลบเกลื่อนความเขินอาย
ถ้าให้เปรียบสถานการณ์ตอนนี้ คงไม่ต่างจากเด็กประถมที่เต้นพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งวันงานโรงเรียนอยู่ดีๆ ก็หันไปเจอพ่อยืนถ่ายวิดีโอหน้าเวที
ทั้งอายทั้งดีใจ...แต่ขอให้สัดส่วนความอายมากกว่า
“อาหงหรือลูกกังวลว่าจะถูกคนมองไม่ดี?”
เสวี่ยหงเยว่ส่ายหน้า เขาเองก็เข้าใจความกังวลนั้นตอนอยู่โลกเก่าเขาเคยเรียนห้องเดียวกับลูกชายผู้อำนวยการมันก็เลยจะรู้สึกเกร็งไม่หน่อยเวลาที่จะทำกิจกรรมร่วมอะไรสักอย่างกับเพื่อนคนนั้น ความรู้สึกเหมือนถ้าทำอะไรไม่ดีไปจะโดนผู้อำนวยการเขม่นไหม อะไรแบบนี้
แต่ที่นี่ไม่ใช่แบบนั้น ประมุขเสวี่ยโอ๋ลูกก็จริง แต่ฝึกคือฝึกช่วงที่เสวี่ยหงเยว่เริ่มเรียนเขาก็ต้องเรียนร่วมกับศิษย์ชั้นผู้น้อยไม่ได้รับสิทธิพิเศษอะไรในการเรียน ไม่มีอาจารย์โอ๋ตามใจ ไม่ได้รับการยกเว้นโทษใดๆ หากทำผิดพลาด
อาจารย์มักกล่าวกับเขาเสมอว่ายิ่งเป็นลูกประมุขหากทำพลาดยิ่งต้องรับโทษหนักกว่าศิษย์คนใด เพื่ออนาคตจะได้ขึ้นตนเป็นประมุขสกุลที่ดี
ถ้าจะถามหาสิทธิพิเศษจากการเป็นลูกประมุขแล้วละก็...หึ บอกเลย ได้รับบทลงโทษเพิ่มเป็นพิเศษสองเท่าโดยไม่ต้องร้องขออะไรไงล่ะ! ไม่อยากนั้นจะมานั่งเครียดร้องโอดโอยกลัวสอบตกอยู่ในใจแบบนี้หรือ!
“ลูกเพียงแต่ไม่อยากรบกวนเวลาของท่าน วันนี้เป็นวันเดินทางไม่ใช่หรือขอรับ?” เสวี่ยหงเยว่เกาะไหล่บิดาเอาไว้ พอเริ่มทำตัวให้ชินกับการโดนอุ้มก็รู้สึกว่ามุมมองสายตาร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรนั้นเป็นอะไรที่น่าคิดถึงเสียเหลือเกิน
ก็ตอนนี้มุมมองสายตาเขามันอยู่ในร่างเด็กตัวกะเปี๊ยกนี่นะ ถึงเขาจะเป็นพวกรักเด็ก เอ็นดูเด็ก แต่ให้มาเป็นเด็กเองแบบนี้นี่ มันไม่ใช่แนวเอาเสียเลย เริ่มเข้าใจความรู้สึกของเจ้ายอดนักสืบจิ๋วตัวเป็นเด็กสมองเป็นผู้ใหญ่นั่นขึ้นมาเลยเชียว
“ใช่ พ่อจึงต้องมาหาลูกอย่างไรล่ะ” เมื่อเลี้ยวตรงหัวมุมอีกครั้งก็มาถึงด้านหน้าทางออกประตูสกุลที่เสวี่ยหนิงลี่มารออยู่ก่อนแล้ว ประมุขเสวี่ยวางลูกลงเพื่อให้ผู้เป็นภรรยาเดินมาหา เธอกล่าวชมการทดสอบของวันนี้พร้อมกับให้รางวัลเป็นห่อผ้าบรรจุของบางอย่าง
เสวี่ยหงเยว่มองข้ามหลังมารดาไป เขาเห็นถึงความคึกคักที่มีได้ชัดบริเวณหน้าทางออกประตูใหญ่สกุลเสวี่ย ม้าจำนวนมากถูกผูกอานเตรียมพร้อม อีกทั้งยังมีคณะผู้ติดตามหลายชีวิตกำลังช่วยกันขนสัมภาระสำหรับออกเดินทาง
วันนี้ประมุขเสวี่ยและภรรยาเดินทางลงไปเมืองด้านล่างเขาเสวี่ย คล้ายกับการออกว่าราชการ
สกุลเสวี่ยเป็นเจ้าของเขานี้ทั้งลูก และจะนานๆ ครั้งจะต้องลงไปเยี่ยมเยียนสำรวจความเป็นอยู่ของประชาชนใต้การปกครอง ซึ่งจุดหมายในครั้งนี้คือเมืองที่อยู่ปลายเขา เป็นสถานที่เล็กๆ แต่ก็ถูกอกถูกใจของประมุขเสวี่ยนักหนา เพราะเป็นสถานที่ซึ่งมีธรรมชาติสมบูรณ์เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ
ขึ้นต้นเหมือนไปทำงานแต่เคลือบแฝงด้วยการไปเที่ยว ด้วยเหตุนี้จึงได้ถูกใจอย่างไรล่ะ
“พ่อต้องขอโทษ ที่ปีนี้ก็ยังพาลูกลงไปด้วยไม่ได้” ประมุขเสวี่ยกล่าว
“ไม่เป็นไรขอรับ ลูกเข้าใจกฏดี” เสวี่ยหงเยว่ตอบรับ เขาไม่ได้ถือโทษอะไรที่ไม่ได้ออกเดินทางไปด้วยกันกับพ่อแม่
กฏของสกุลเสวี่ยนั้นนอกจากจะมีมากข้อแล้วยังเข้มงวดอย่างถึงที่สุด ขนาดที่ประมุขสกุลก็ห้ามฝ่าฝืน ทั้งกฏสำนักสำหรับศิษย์ ทั้งกฏโดยเฉพาะของผู้ปกครองสำนัก ตลอดไปจนถึงกฏข้อสำหรับผู้ยังไม่ผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะ
และหนึ่งในนั้นมีการห้ามผู้เยาว์ออกไปนอกรั้วสกุลโดยไม่มีเหตุจำเป็นอยู่ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนั้นเสวี่ยหงเยว่ตัวน้อยผู้น่าสงสารก็อดเที่ยวไปตามระเบียบ
ลองคิดภาพว่ากำลังอยู่ในช่วงสอบมิดเทอมแต่พ่อแม่หนีไปเที่ยวไกลๆ สองต่อสองดูสิ
ฟีลลิ่งนั้นเลย
แม้เสวี่ยหงเยว่จะเสียดายแต่เห็นทีท่าหดหู่ขั้นกว่าของประมุขเสวี่ยก็อดสงสารปนเอ็นดูไม่ได้ พ่อของเขาเป็นคนโอ๋ลูกมากขนาดไหนเขาย่อมรู้ดีแก่ใจ มีหรือจะไม่อยากลงไปเที่ยวข้างนอกกับลูกชาย
เสวี่ยหงเยว่หลุดขำออกมาเล็กน้อยลืมที่จะเก็กเป็นคนนิ่ง เขาเงยหน้าขึ้นไปหาประมุขเสวี่ยและเสวี่ยหนิงลี่แล้วยิ้มให้
“ขอให้พวกท่านทั้งสองเดินทางปลอดภัย…”
เขาใช้เวลาอยู่ในสกุลเสวี่ยนี้มาสิบปี เติบโตมาในบ้านหลังใหญ่ราวกับวัง บิดามารดา รักใคร่อบอุ่น ดูแลตนเป็นอย่างดีด้วยความเอาใจใส่ จนทำให้เขาที่เคยสงสัยมาตลอดว่าตัวร้ายนั้นจะเกิดในครอบครัวแบบใด พ่อกับแม่นั้นจะมีนิสัยเช่นใดจึงทำให้ลูกเป็นตัวร้ายได้เริ่มมองข้ามความสงสัยเหล่านั้นไป
ลืมซึ่งสถานะตัวร้าย
ลืมซึ่งสถานะสกุลใหญ่
ครอบครัวเสวี่ยก็เป็นเพียงครอบครัวหนึ่งที่ต้องการจะมีความสุขตามประสาพ่อแม่ลูกเท่านั้น
“แล้วรีบกลับมานะขอรับ”
หลังจากส่งประมุขเสวี่ยและภรรยาเดินทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสวี่ยหงเยว่ก็ใช้เวลาหลังจากนั้นหมดไปกับการฝึกประจำวัน ถึงการสอบวันนี้จะทำได้ดีแค่ไหนแต่มันก็ยังไม่พอสำหรับอาจารย์
เขารู้ดีว่าที่อาจารย์เข้มงวดเป็นเพราะว่าเห็นแววในความสามารถ แต่บางครั้งเสวี่ยหงเยว่ก็อดโอดครวญอาจารย์ไม่ได้ เขาคงลืมไปแล้วว่าศิษย์เพิ่งจะแค่สิบขวบ
กว่าเด็กชายจะมีเวลาให้พักหายใจก็ปาเข้าไปเกือบค่ำ และตามกฏแล้วศิษย์ในสำนักสกุลเสวี่ยจะต้องอยู่ในห้องนอนของตน ทบทวนตำรา ห้ามออกไปด้านนอกเป็นอันขาด
เสวี่ยหงเยว่นั่งเยียดขายาวไปกับพื้น เมื่ออยู่ในห้องของตัวเองเขาก็ไม่จำเป็นต้องเก็กเป็นคนนิ่งมาดเยอะให้ใครเห็น
ทบทวนการฝึก ทบทวนการสอบ แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“เอาเถอะ...อย่างน้อยๆ วันนี้ ก็ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มมาอีกอย่างละนะ”
เขาแบมือออกไปด้านหน้า ตั้งสมาธิเพียงชั่วครู่ ประกายแสงสีแดงที่เขาดูดซึมมาเมื่อตอนสอบก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เสวี่ยหงเยว่ถอนหายใจเบาๆ หันไปหยิบกระถางดอกไม้ที่ตนเพิ่งทำตายไปเมื่อสัปดาห์ก่อนมาวางบนโต๊ะ จ้องมันอย่างสนใจใคร่รู้แล้วเคลื่อนย้ายมวลในมือให้ดอกไม้นั้นกลืนพลังเข้าไป
ดอกไม้ดอกนั้นค่อยๆ มีสภาพที่ดีขึ้น ใบที่เคยเหี่ยวกลับมามีสีสัน ทันใดนั้น ดอกตูมก็ก่อเกิดขึ้นมา
เด็กชายเท้าคางมองดอกไม้ที่ฟื้นกลับคืนมาแล้วก็เข้าใจได้เองว่าพลังที่ดูดกลืนมานั้นสามารถเคลื่อนย้ายเพื่อฟื้นฟูสิ่งอื่นได้
ทั้งๆ ที่วิชากลืนพลังที่เขาใช้เอาไว้สำหรับฆ่าคนแท้ๆ
แต่พอเขาลองคิดต่าง อยากลองแปรกลับพลังนั้น ก็เป็นทฤษฎีที่สามารถทำได้ เหมือนกับการทดลองวิทยาศาสตร์ไม่มีผิด
ตอนอยู่ในโลกเก่า เสวี่ยหงเยว่เคยสงสัยมาตลอดเวลาอ่านนิยายว่าตัวละครที่มีพลังเวทมนตร์นั้นเขาทำยังไงถึงจะใช้พลังได้
พอมาได้มีเองก็ถึงได้รู้...
ว่าถึงแม้จะมีพลังพวกนั้นแล้วก็ไม่ช่วยตอบความสงสัยอะไรให้เขาได้เลย! ไม่เลยสักนิด! เวลาใช้พลัง เขาก็แค่เพียงตั้งสมาธิ จินตนาการว่าจะใช้พลังของตัวเองแบบไหน มันเหมือนกับการบังคับอวัยวะในร่าง สมองสั่งการ และพลังก็ตอบสนองต่อการสั่งการนั้น
เสวี่ยหงเยว่ลุกจากพื้น ก่อนจะเดินตรงไปยังชั้นแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา มันเป็นหนังสือปกดำสลักลายสีทองเป็นอักขระบางอย่างที่แปลกประหลาดไม่ถูกระบุในฐานข้อมูลใดบนโลกใบนี้ แต่กลับปกติเป็นอย่างมากเมื่ออยู่ที่โลกของสมจิตร
มันคือภาษาไทย
“ถึงจะไม่อยากชมเพราะเหมือนชมตัวเองก็เถอะ แต่เจ้าหนูหงเยว่นี่มีสกิลการใช้พลังที่เพอร์เฟ็คมากเลยแหะ สมแล้วกับที่เป็นลูกประมุขสำนัก” พูดระหว่างที่ใช้ผู่กันเขียนลงไปในหน้าที่ว่างบนหนังสือ เขาเลือกที่เขียนด้วยตัวหนังสือภาษาไทย เพราะบนโลกนี้ไม่มีคนอ่านออก จะได้ไม่เป็นปัญหาความลับแตกหากเกิดมีใครมาเจอเข้า
รู้สึกดีใจที่ฝึกฝนจนสามารถเขียนผู่กันเป็นอักษรอย่างภาษาไทยในยุคไร้ดินสอปากกาแบบนี้ได้สำเร็จ
จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่การเขียนด้วยผู่กันที่เขาต้องปรับตัว ความเป็นอยู่ที่ไร้เครื่องใช้ไฟฟ้าเอย ไร้อินเทอร์เน็ตเอย ไหนจะการปรับคำพูดของตัวเองก็เช่นกัน จากคนที่เคยชินกับคำพูดสามัญต้องมาหัดพูด ข้ากับเจ้าและคำลงท้ายแสนโบราณ นึกอยากขอบคุณตัวเองที่สมัยเด็กชอบดูละครจีนเหลือเกิน
เสวี่ยหงเยว่มักใช้เวลาหลังจากการฝึกในการอ่านทบทวนและจดบันทึกข้อมูลใหม่ๆที่รู้ของโลกใบนี้ ทั้งเรื่องของสถานที่ ความเป็นอยู่ วิถีชีวิต อีกทั้งยังต้องคอยศึกษาร่างใหม่ของตัวเองอีกด้วยเพราะต่อให้เขาอยู่ในสถานะของเสวี่ยหงเยว่มาได้กว่าสิบปีแล้วแต่พลังภายในของเด็กคนนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อได้ทุกครั้ง
หน้ากระดาษหนังสือพลิกหนึ่งครั้ง เพื่อย้อนไปยังหน้าสำคัญที่เขาคั่นเอาไว้ มันคือข้อมูลที่ได้รับจากยมทูตผสมกับสิ่งที่เขารับรู้จากระยะเวลาสิบปีที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
เสวี่ยหงเยว่เท้าคาง แล้วก้มลงอ่านทบทวนสิ่งที่ถูกเขียนอยู่บนเนื้อกระดาษอีกครั้ง
โลกใบนี้มีลักษณะแบบจีนยุคโบราณ ปิศาจ สัตว์วิเศษ เทพ รวมถึงวิญญาน นั้นมีตัวตนอยู่จริงและสามารถพบได้หากคุณโชคดีพอ
มนุษย์แบ่งออกเป็นสองประเภท คือมนุษย์ธรรมดาใช้ชีวิตอย่างสามัญชนและมนุษย์มีพลังพิเศษ ซึ่งพลังที่ว่าไม่ใช่ลมปราณหรือวิชาเซียนแบบในหนังจีนซะทีเดียว แต่เหมือนเป็นคุณสมบัติพิเศษในกายมากกว่า
และผู้มีพลังเมื่อถึงวัยบรรลุนิติภาวะของโลกนี้ จะสามารถสอบเข้าไปฝึกวิชากับสำนักที่ลงทะเบียนสังกัดสกุลใหญ่ทั้งสามได้ โดยแต่ละที่จะสอนวิชาแตกต่างกันตามสายความถนัดและความสนใจของผู้เรียน
สำนักวิชาในโลกนี้มีหลากหลายที่ สำนักจะเล็กบ้าง ใหญ่บ้างตามแต่ความสะดวกที่จะเปิดรับ แต่สายเรียนก็จะแบ่งออกเป็นวิชาของสามสกุลอยู่ดี นั่นคือ เหอ ซุน และเสวี่ย
เปรียบเทียบคงคล้ายกับโรงเรียนชื่อดังที่มีโรงเรียนสาขาย่อยสังกัดอีกที ที่แม้จะมีสำนักสกุลรองเปิดสอนวิชาของสามสกุลแทบจะถอดแบบเดียวกันทั้งหมดก็จริง แต่คนส่วนมากก็อยากจะสอบเข้าเรียนที่สำนักต้นกำเนิดของวิชากันอยู่ดี
นอกจากพลังพิเศษแล้ว โลกใบนี้นั้นมีความเชื่อในเรื่องของวิเศษที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามชิ้น
มันถูกดูแลและเก็บรักษาไว้กับสกุลใหญ่ทั้งสาม
และจากข้อด้านบน สกุลใหญ่ทั้งสามคือ
เสวี่ย สกุลของ เสวี่ยหงเยว่ ขึ้นชื่อเรื่องการใช้คำสาปและคุณไสย โดยมากสกุลนี้มักถูกเป็นที่นินทาว่าร้ายจากความน่ากลัวของวิชาที่มี แต่กระนั้นก็ยังคงมีเหล่าลูกศิษย์สนใจร่ำเรียนวิชาเป็นจำนวนมาก เพราะนอกจากสอนให้สาปแล้ว ยังสอนให้แก้คำสาปได้อีกด้วย
ซุน สกุลที่สืบเชื้อสายผู้ติดต่อกับเทพ เขาคอยดูแลความสมดุลของพลังธรรมชาติ และคอยปัดเป่ากาลกิณี เป็นวิชาสายขาว ขึ้นชื่อเรื่องศาสตร์พยากรณ์ หากให้เปรียบเทียบคงเป็นสกุลที่เหมือนกับคู่ตรงข้ามกับสกุลเสวี่ย
และสุดท้ายก็คือสกุลเหอ ซึ่งสกุลที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสามสกุล เชี่ยวชาญทั้งด้านการรบ ทั้งวิชาเสริมพลังความสามารถ เปี่ยมไปด้วยทั้งความมั่งคั่งมีหมู่บ้านทั้งเล็กใหญ่สังกัดมากมายจนรวมตัวกันเป็นเมืองใหญ่ที่แสนรุ่งเรือง
ของวิเศษจะมีมานานก่อนรุ่นเสวี่ยหงเยว่ในเล่มข้อมูลที่มีไม่ได้ระบุอะไรมากกว่าคำว่าเป็นของที่สามขุนนางใหญ่ต้องรักษา เขารู้แค่ของฝั่งตัวเองส่วนอีกสองชิ้นที่เหลือนั้นมีหน้าตาหรือความสามารถอะไรยังคงเป็นปริศนาที่ต้องค่อยๆ สืบค้นและรอเฉลยปมไปพร้อมกับเนื้อเรื่องนี้เท่านั้น
อ่านจบบทหนึ่งแล้ว เสวี่ยหงเยว่ก็พลิกไปยังบทถัดไป หนังสือที่ยมทูตให้มาเล่มนี้นอกจากจะเขียนรายละเอียดโลกใบนี้อย่างคร่าวๆ แล้ว ยังมีบทย่อของเรื่องราวที่เขาต้องแสดงเป็นตัวร้ายอีกด้วย ลักษณะคล้ายกับคู่มือ หรือบทสรุปเกม ซึ่งสำหรับเขาแล้วมันไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรมากมายนัก
เพราะ - มัน - เป็น - บท - สรุป - ย่อ - ยังไงล่ะ!
เคยอ่านบทย่อของนิยายไหม บทย่อคร่าวๆ ที่ระบุเส้นเรื่องของนิยายหลักๆ ตั้งแต่ต้นไปจนจบ โดยไม่ลงรายละเอียดมากนัก
นั่นแหละคือสิ่งที่เขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้!
เปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็คงจะคล้ายกับแผนที่แผ่นหนึ่งที่บอกแค่เพียงจุดสังเกตุใหญ่ๆ แต่ไม่ได้ระบุว่าระหว่างการเดินทางจะเจอสถานที่อะไรยิบย่อยบ้าง
อีกทั้ง…มันเป็นเรื่องย่อฝั่งพระเอก
กว่าที่ชื่อของตัวร้ายอย่างเสวี่ยหงเยว่จะปรากฏ ผ่านไปหลายย่อหน้าแล้ว
‘เสวี่ยหงเยว่ ตัวร้ายของเรื่อง เขาเป็นชายชั่วผู้ละโมบต้องการของวิเศษ อันเนื่องจากเมื่อบิดามารดาสิ้นเพราะถูกคนสนิททรยศแล้ว เสวี่ยหงเยว่จึงได้ตั้งปณิธานอันแรงกล้าที่จะสร้างโลกของตนขึ้นมา’
นี่คือย่อหน้าแรกที่เสวี่ยหงเยว่ปรากฏในเรื่องย่อ แค่การอ่านผ่านๆ ยังรู้สึกได้ถึงออร่าตัวร้ายเกรดบีเปล่งประกายออกมาจากตัวหนังสือเลย
แค่คิดก็รู้สึกคันใจกับบทตัวเองอย่างบอกไม่ถูก คาแรคเตอร์ก็แบน ถ้าจะร้ายแล้วก็ขอร้ายด้วยเหตุผลอื่นนอกจากอยากครองโลกไม่ได้เหรอ ไม่เมคเซนส์เอาซะเลย!
เสวี่ยหงเยว่ถอนหายใจยาว
เขาจะเกิดมาได้สิบปีแล้วแต่ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้สักทีว่าการเป็นตัวร้ายเนี่ยต้องทำยังไง ในเล่มก็แค่บอกว่าเสวี่ยหงเยว่เป็นตัวร้าย แต่กลับไม่ได้บอกว่าเป็นตัวร้ายนิสัยแบบไหน ร้ายยังไง
เป็นคุณชายร้ายโง่ๆ โล้งเล้งเหรอ?
ร้ายหน้าไหว้หลังหลอกเหรอ?
หรือร้ายโรคจิต?
เขาต้องเลือกอิมเมจคาร์แร็คเตอร์ของเสวี่ยหงเยว่ให้ปวดหัวไปหมด ถึงจะบอกว่าให้ใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ แต่นี่มันก็อิสระเกินไปไหม?
ไอ้ครั้นจะให้เป็นคนร้ายๆ นิสัยโรคจิตเห็นอะไรก็ทำหน้าชั่วไปเสียหมด เห็นทีจะไม่ใช่แนว เขาเกลียดตัวร้ายโรคจิตอย่างกับอะไรดี…
พอไม่รู้ว่าคาแรคเตอร์ตัวเองเป็นแบบไหน เลยไม่รู้จะสวมบทแสดงรีแอคชั่นอย่างไรตอบกลับคู่สนทนาให้เหมาะสม อีกทั้งเขาเป็นผู้ชายที่โตแล้ว จะให้ทำตัวเป็นเด็กผยองเอาแต่ใจก็ไมดี (เขาไม่อยากให้อิมเมจเด็กน่ารักๆ เสียหายนักหรอกนะ) ทางออกที่คิดได้ก็คือ...
‘ถ้าไม่รู้จะทำหน้ายังไงก็นิ่งไปละกัน’
นานๆ เข้าทุกคนก็มองเด็กชายเสวี่ยหงเยว่เป็นคนหน้านิ่ง เย็นชา เย่อหยิ่งไม่สนคน ซ้ำยังไม่มีปฏิกริยาตอบสนองกับสิ่งใดๆ ไปเสียแล้ว
ต้องเลยตามเลย กลายเป็นคนนิ่งสงบ เย่อหยิ่งไป แถมไปๆ มาๆ เป็นสิบปีก็ดันติดนิสัยคีปส์ลุคส์แบบนี้ไปแล้วด้วย ก็เลยตามเลย นิ่งก็นิ่งวะ
พอคิดถึงเรื่องคาร์แรคเตอร์แล้วจึงทำให้เขาฉุกคิดว่าโลกนี้ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้สงสัยเอามากๆ
เด็กชายเงยหน้ามองกระจกที่อยู่ปลายโต๊ะ ปรับมุมให้เหมาะสม เพื่อพิจารณาใบหน้าตัวเองได้อย่างถนัดตา
เสวี่ยหงเยว่แม้จะยังเด็กโต ยังไม่เต็มที่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทั้งเส้นผมสีขาวที่ยาวสวย ดวงตาสีเลือดที่เปล่งประกาย เครื่องหน้าที่สมส่วน สรุปโดยรวมคือเป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาน่ารักมาก มากเสียจนร่างสมัยยังเป็นสมจิตรเทียบไม่ติดฝุ่น มากจนเห็นหน้าทีไรก็รู้สึกขนลุกทุกทีเพราะมักจะเผลอชมตัวเองในใจ
อันที่จริง ไม่ใช่แค่กับตัวเสวี่ยหงเยว่ ทั้งประมุขเสวี่ย หรือเสวี่ยหนิงลี่ ต่างมีรูปโฉมที่พร้อมสรรพแต่ด้วยสถานะแล้วจะหน้าตาดีก็ไม่แปลกใจ แต่นี่ไม่ว่าจะคนใช้เอย คนสวนเอย หรือแม้กระทั่งศิษย์ชั้นผู้น้อย ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็มีใบหน้าที่ดีเกินเกณฑ์มาตรฐานด้วยกันแทบทั้งนั้น
แถมเขาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่แต่รู้สึกเหมือนโลกนี้จะให้ความสำคัญกับใบหน้าของตัวละครเพศชายเอามากๆ เลยด้วย
ยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองอาจจะเข้ามาอยู่ในโลกนิยายสำหรับผู้หญิง
เขาอ่านนิยายมามาก การเกิดใหม่ในโลกของนิยายเอย ในโลกของเกมจีบหนุ่มเอย เรื่องแนวนี้เขาอ่านมาหมดแล้วทั้งนั้น และทุกครั้งเวลาอ่านจะต้องมีฉากที่ตัวละครเอกได้ใช้ความรู้ที่ตัวเองรู้มาจากการอ่านหรือเล่นเกม เพื่อเอาตัวรอดในตอนเกิดใหม่
ใช่แล้ว...เพราะตัวเอกพวกนั้นรู้เนื้อหาจึงรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดกับตัวเองได้โดยละเอียด
แต่นี่เขากลับได้รู้เพียงแค่เรื่องย่อ
เสวี่ยหงเยว่พ่นลมหายใจออกมายาวๆ ได้แต่คิดน้อยใจ ถ้าหากโลกนี้เป็นโลกของนิยายจริงๆ แล้วล่ะก็...
“ทำไมยมทูตถึงไม่ส่งให้มาเกิดใหม่ในนิยายที่เคยอ่านว้า…”
“คุณชาย! คุณชายเจ้าคะ!!” เสียงตะโกนอึกทึกดังขึ้นหน้าห้องทำให้เสวี่ยหงเยว่สะดุ้งออกจากภวังค์ความคิด
เป็นเสียงของจงฉิงเจียนั่นเอง แม้เขาจะรู้สึกแปลกประหลาดใจที่เด็กดีรักษามารยาทเช่นจงฉิงเจียฝ่าฝืนกฏออกจากหอนอนมาเวลานี้
เสวี่ยหงเยว่ก็รีบปิดหนังสือเล่มนั้นเตรียมเก็บเข้าชั้นทันทีแต่ยังไม่ทันได้ตอบรับคำอะไรเขาก็ได้ยินบางสิ่ง ที่ทำให้ตนตกใจเป็นอย่างมาก
“เกิดเรื่องร้ายกับท่านประมุขเจ้าค่ะ!!”
วินาทีนั้นหนังสือก็ร่วงลงจากมือ ร่างเล็กๆ นั้นเริ่มสั่น อุณหภูมิในร่างลดลงกระทันหันด้วยความตกใจ ปากคอแห้งผากและสุดท้ายก็ทรุดลงไปกองกับพื้นทันที
‘เมื่อบิดามารดาสิ้นเพราะถูกคนสนิททรยศแล้ว เสวี่ยหงเยว่จึงได้ตั้งปณิธานอันแรงกล้าที่จะสร้างโลกของตนขึ้นมา’
เวลานี้มาถึงแล้ว...อย่างนั้นหรือ