ตอนที่แล้ว10 ช่วยด้วย…
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12 ความลับสุดยอด...

ตอนที่ 11 สายตาที่ไม่เคยแลมาถึง...


ตอนที่ 11

สายตาที่ไม่เคยแลมาถึง...

 

                แกรบ...

                เสียงกระดาษหน้าหนึ่งถูกกำเข้า

แกรบบบ

หน้าหนังสือถูกกำเข้าแน่นเรื่อยๆ จนแทบขาดอยู่รอมร่อโดยที่คนกำไม่รู้ตัว

นอกหน้าต่างชั้นสามของห้องสมุดสถาบันกองปราบปรามแห่งชาติ สายตาของเคนเซย์กำลังมองตามเงาร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง เจ้าของเส้นผมบลอนด์ทองซึ่งเคยได้ยินว่าเป็นสีธรรมชาติแต่กำเนิด ใบหน้ากึ่งชาวตะวันตกกับตะวันออกที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ผิวขาวเนียนแลดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัส ส่วนสูงที่นับว่าสูงพอตัวสำหรับมาตรฐานผู้หญิง แม้จะไม่เคยเห็นแต่งตัวรัดรูป แต่เสื้อผ้าที่เธอชอบใส่ในลักษณะชุดเสื้อแขนยาวแบบพอดีตัว ก็ทำให้จินตนาการถึงส่วนเว้าโค้งตามจุดต่างๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น

รอยยิ้มของเธอช่างน่ารัก เห็นเธอยิ้มแล้วก็ทำให้เคลิ้มจนอยากจะยิ้มตาม หากไม่ติดว่า... รอยยิ้มนั้นไม่เคยเป็นของเขาเลย ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาที่ม้านั่งตัวยาวราวกับตรงนั้นคือจุดนัดพบ สองคนคงพูดจาหยอกล้ออะไรกันสักอย่างแล้วหัวเราะ มันคงดูน่ารักสำหรับคนที่มองว่าหนุ่มหล่อสาวสวยคู่นี้ช่างสมกันดีเหลือเกิน แต่สำหรับเคนเซย์แล้ว...มันดูกระหนุงกระหนิงจนน่าหมั่นไส้

สองปีมาแล้ว... ต่อให้มองแล้วต้องเจ็บปวดยังไงเขาก็ไม่เคยละสายตาจากเธอคนนั้นได้

แม้จะพยายามตัดใจแค่ไหน แต่การเป็นเพื่อนร่วมสายชั้นให้เห็นกันตลอดในสถาบันเล็กๆ แห่งนี้ ก็มีแต่ทำให้กระตุ้นต่อมอิจฉา

คนเรานี่ก็แปลก รู้ทั้งรู้ว่าทรมานตัวเองแบบนี้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาแต่ก็หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้

เขาเอง... ก็อยากจะหลุดพ้นจากความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของคนที่มีเจ้าของแบบนี้แล้วเหลือเกิน

ฟึด... เสียงหนังสือที่ถูกลากบนโต๊ะออกจากมือของเคนเซย์ไปดังขึ้น

“อย่าทำร้ายหนังสือสิ มันไม่มีความผิดนะ”

พร้อมกับเสียงใสและใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นเคยจากรุ่นพี่สาวสวมแว่นที่คุ้นเคยกันดี

“เห็นมาบ่อยๆ นึกว่ามาอ่านหนังสือตั้งใจเรียนบ้าง ที่ไหนได้มาแอบส่องสาวนี่เอง”

“รุ่นพี่ก็มาส่องหนุ่มๆ เหมือนกันล่ะสิ มองปุ๊บรู้ปั๊บขนาดนี้เนี่ย”

ยูทากะกระโดดขึ้นไปนั่งบนที่เก้าอี้ตัวสูงด้านข้างเคนเซย์ โต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่นั้นเป็นแบบเคาท์เตอร์ยาวที่ติดกับหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่หลายบาน ซึ่งมองเห็นภายนอกได้อย่างชัดเจน

“แน่นอน ห้องสมุดนอกจากเอาไว้นอนแล้วก็มีเอาไว้ส่องคนที่แอบชอบนี่แหละ”

“โธ่... ไม่ต้องปลอบผมหรอก นักเรียนดีเด่นแบบรุ่นพี่ต้องมาอ่านหนังสืออยู่แล้ว”

เคนเซย์ฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วหันหนีไปฝั่งตรงข้าม

ยูทากะหันไปมองนอกหน้าต่าง เดาไม่ยากว่าที่มาของอาการเศร้าซึมนี้เกิดจากใคร เคนเซย์ในภาพลักษณ์ของคนที่ใช้ชีวิตทั่วไปแบบมนุษย์ปกติมักไม่แสดงอาการแบบนี้ต่อหน้าใครนัก เขาออกจะดูเคร่งขรึมจนเหมือนจะติดขี้เก๊กอยู่บ้างเสียด้วยซ้ำ คงยกเว้นตอนอยู่กับพวกพี่ชายทั้งหลายในหน่วยเคซีโร่ ที่ทำให้เคนเซย์ซึ่งเด็กที่สุดดูกลายเป็นเด็กร่าเริงที่ชอบส่งโหวกเหวกไปเลยทีเดียว

ยูทากะรู้จักคุณชายตระกูลยูคิฮารุคนนี้มากว่าห้าปีแล้ว เธอเกิดและโตที่ญี่ปุ่น แต่เมื่อปะทุพลังและวัดค่าพลังวิญญาณได้สูงมากเธอจึงถูกเชิญมาทำงานและเรียนต่อที่คาเรม เด็กสาววัยสิบห้าในตอนนั้นตัดสินใจได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะต้องการหนีจากชีวิตอันโหดร้ายที่บ้านหลังเดิม

คาเรมเป็นเกาะเล็กๆ ที่ถูกรายล้อมไปด้วยประเทศญี่ปุ่น จีน เกาหลี และรัสเซีย ผู้คนที่นี่จึงมีหลายเชื้อชาติตามที่กล่าวไว้ มีวัฒนธรรมผสมผสานมากมายตามรูปแบบบรรพบุรุษของตนที่สืบต่อกันมา

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมายในชีวิต ตอนนั้นเองยูทากะก็ได้พบกับ ‘เด็กหนุ่มหน้าบึ้ง’ วัยสิบสี่ ที่ถูกกล่าวขานว่ามีพลังวิญญาณแข็งแกร่งที่สุด แม้เขาจะเป็นชาวคาเรมโดยกำเนิด แต่ความคล้ายคลึงกันของเชื้อชาติทำให้ยูทากะรู้สึกอุ่นใจเหมือนมีเพื่อนที่คุยภาษาเดียวกัน ก่อนที่นานวันความอุ่นใจนั้นจะค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงไป...

“น่าอิจฉาพวกเขาจังว่ามั้ย ได้ยินมาว่าเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก บ้านใกล้กัน เรียนมาด้วยกันตลอด จนคบกันตอนมัธยมปลาย จนสุดท้ายก็มุ่งมั่นเข้าสอบสถาบันกองปราบจนติดด้วยกันอีก คนที่อยู่ด้วยกันตลอดขนาดนั้นฉันเคยคิดว่าพวกเขาน่าจะเบื่อกันบ้าง แต่มองคู่นี้แล้วไม่เห็นรู้สึกแบบนั้นสักนิด”

“คนมาจีบรุ่นพี่ก็มีออกเยอะแยะนี่นา ถ้ามีที่พอจะถูกใจบ้างก็ไม่ลองคบดูล่ะ อาจจะเข้ากันได้มากกว่าที่คิดก็ได้”

เคนเซย์พูดขึ้นทั้งที่ยังไม่หันหน้ากลับมา

“หืม... เธอต่างหากไม่ลองคบหาใครสักคนดูบ้าง เผื่อมันอาจจะช่วยให้หลุดพ้นจากความรู้สึกในตอนนี้ไง คุณชายคนดังเนื้อหอมออกขนาดนี้ มีสาวๆ อีกตั้งเยอะแยะอยากเป็นแฟนเธอนะ”

ชายหนุ่มรุ่นน้องหันหน้ากลับมาขมวดคิ้ว แต่การที่เขายังไม่โงหัวขึ้นมาจากพื้นโต๊ะนั้นทำให้ดูตลกจนยูทากะหัวเราะออกมา เมื่อเห็นอีกฝ่ายขำแบบนั้นเขาจึงลุกขึ้นมานั่งคุยต่อดีๆ

“ไม่เอาล่ะ ผมจะเอาเวลาที่ไหนมามีแฟน มาเรียนที่สถาบันห้าวัน หลังเลิกเรียนกับเสาร์อาทิตย์ก็ต้องเข้าไปทำงานที่กองปราบ ถึงมีวันหยุดได้อยู่บ้านก็โดนลากไปซ้อมดาบอีก ใครเป็นแฟนผมคงน่าสงสารแย่”

“งั้นก็ไม่ลองหาคนที่ซ้อมดาบด้วยกันได้ หรือทำงานในกองปราบให้เจอกันได้ในนั้นบ้างล่ะ”

ได้ยินคำถามนี้ใบหน้าของเคนเซย์ก็หันออกไปมองที่นอกหน้าต่างทันที แม้คู่รักที่น่าอิจฉาจะไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่ใบหน้าของชายหนุ่มรุ่นน้องก็ไม่ได้หันกลับมา...

กริ๊งงง

เสียงออดที่เหมือนสัญญาณไฟไหม้ดังขึ้นเตือนเวลาก่อนเริ่มการเรียนภาคบ่ายสิบนาที ทุกคนในสถาบันค่อนข้างชอบเสียงเตือนนี้ เพราะทำให้รู้ว่าต้องรีบแล้วหากยังไม่ได้เตรียมพร้อมอยู่ที่หน้าห้องเรียน

“เฮ้อ” เคนเซย์ถอนใจแล้วลุกขึ้นยืน “ผมไปก่อนนะ บ่ายนี้มีคลาสเคนโด้ขืนสายนี่เรื่องยาวแน่ๆ”

“อ๊ะ เดี๋ยวสิ เกือบลืมบอกเรื่องที่เดินเข้ามาทักเธอไปเลย”

“มีอะไรเหรอฮะ”

“ในฐานะที่ช่วยเธอไว้เมื่อวานนี้ แล้วพอดีว่ามีร้านบุฟเฟต์ปิ้งย่างเกรดพรีเมียมเปิดใหม่ เธอต้องพาฉันไปเลี้ยงขอบคุณนะ”

“หา...คนเรานี่เขาทวงบุญคุณกันแบบนี้เลยเหรอ นึกว่าช่วยกันไว้เพราะพลังมิตรภาพซะอีก”

“มิตรภาพไหนๆ ก็ไม่สู้เนื้อนุ่มๆ จุ่มชีสได้หรอก!”

เป็นอีกครั้งที่เคนเซย์หัวเราะกับท่าทางของหญิงสาวที่ดวงตาประกายวาวเป็นเนื้อ การทำงานในกองปราบวิญญาณมิตรภาพทั้งสองอาจแน่นแฟ้นพอเป็นเพื่อนตายกันได้ แต่มันคงไม่หนักแน่นเท่าประวัติการเป็นเพื่อนกินที่เคยมีร่วมกัน

“จัดให้เซทแพงสุดให้เลย พรุ่งนี้ตอนเย็นก็แล้วกันนะ แล้วผมจะโทรหา”

รุ่นพี่สาวสวมแว่นผู้น่ารักเพียงยกนิ้วโป้งสองข้างขึ้นมาให้อย่างถูกใจ ก่อนที่จะแยกย้ายกันตรงนั้นเพื่อเข้าสู่ชั้นเรียนของตัวเอง

วิชาในช่วงบ่ายทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ของชั้นปีที่สอง คือวิชาประเภทศิลปะการต่อสู้ ชกมวยหรือคาราเต้เป็นวิชาเลือกในวันจันทร์ ยิงปืนในวันพุธกับเคนโด้ในทุกวันศุกร์เป็นวิชาบังคับ

เคนเซย์เดินเข้ามารวมกลุ่มตั้งแถวกับเพื่อนร่วมชั้นปีเกือบร้อยชีวิตในโรงฝึกขนาดใหญ่ ซึ่งเรียงตามลำดับจากผลการประลองในชั้นเรียน แน่นอนว่าตำแหน่งยืนของน้องเล็กแห่งเคซีโร่นั้นเป็นการยืนเพียงลำพังต่อหน้าเพื่อนๆ ที่ด้านหน้าสุด จุดที่แสดงถึงการเป็นอันดับหนึ่งเสมอมา และเป็นผู้นำกล่าวทำความเคารพโรงฝึกกับผู้ฝึกสอนก่อนเริ่มชั้นเรียน

การแบ่งกลุ่มประลองในชั้นแบ่งระดับกลุ่มออกเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละสิบคน ในทุกๆ เดือน ผู้ที่ได้คะแนนสามอันดับบนและล่างสุดจะเลื่อนระดับกลุ่มขึ้นหรือลงไปตามคะแนนของตัวเอง

นับตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่งเป็นต้นมา อันดับที่หนึ่งและสองของชั้นปีก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เคนเซย์เป็นที่หนึ่งและทิม แฟนหนุ่มสุดหล่อของสาวผมบลอนด์ทองคนนั้นนั่นเองที่เป็นอันดับสองเสมอมา และแม้ว่า เฟย์นะ หญิงสาวที่สั่นคลอนหัวใจของเคนเซย์ได้ตลอดเวลานั้นอันดับจะไม่คงที่มากนัก แต่เธอก็ผงาดก้าวเข้ามาอยู่ในระดับกลุ่มหนึ่ง และไม่เคยร่วงไปไกลจนลดระดับกลุ่มไปยังกลุ่มล่างแม้แต่ครั้งเดียว

นับว่าเป็นกรณีที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง ที่จะมีนักเคนโด้หญิงอยู่รอดในท่ามกลางวงล้อมของผู้ชายที่แข็งแรงกว่าเช่นนี้ได้ นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เคนเซย์สนใจในตัวเธอคนนี้เสมอมา เขาไม่เคยเห็นหรอกว่าภายใต้เสื้อผ้าซึ่งสวมทับร่างกายที่ดูเหมือนหญิงสาวรูปร่างดีทั่วไปนั้นจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงขนาดไหน แต่รู้ดีแค่ว่าเฟย์นะไม่ใช่หญิงสาวอ่อนแอและบอบบางอย่างแน่นอน

แต่ส่วนหนึ่งอาจเพราะว่านี่คือวิชาบังคับ มันไม่ใช่การรวมตัวกันแบบชมรมที่ทุกคนจะมีใจรักและเชี่ยวชาญเคนโด้กันไปหมด ทุกคนอาจมีสิ่งอื่นๆ ที่ถนัดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคาราเต้ ชกมวย หรือยิงปืนก็ตาม

หลังเสร็จการฝึกฟื้นฐานประจำวัน ตารางการแข่งในวันนี้ก็เป็นรอบสุดท้ายประจำเดือนก่อนปรับระดับกลุ่ม และคู่ต่อสู้สองคู่สุดท้ายของเคนเซย์ในรอบเดือนนี้ก็คือคู่รักคนดังที่น่าอิจฉาที่สุดในสถาบันนั่นเอง

เฟย์นะเดินเข้ามาในสนามประลองของกลุ่มหนึ่งเพื่อประจันหน้ากับอันดับหนึ่งของรุ่น หลังยืนประจำจุดมาร์คกลางสนามขนาดห้าคูณห้าเมตร และย่อลำตัวลงต่ำจนเกือบเป็นการนั่งเพื่อทำความเคารพกันแล้ว เพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ในอันดับที่สี่ ห้า และหก สามคนที่ยืนเป็นวงรอบสนามซึ่งเป็นกรรมการก็ให้สัญญาณการต่อสู้

กีฬาเคนโด้แข่งกันเพียงสามนาที หากทำคะแนนได้สองแต้มก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะไป หรือหากหมดเวลาแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคะแนนหนึ่งแต้มก็จะชนะไปเลยเช่นกัน หากแต้มเท่ากันก็อาจตัดสินในเสมอกันได้ในการแข่งบางประเภท หรืออาจต่อเวลายกที่สองซึ่งขึ้นอยู่กับกฎการจัดแข่งขันของแต่ละงาน จุดที่ทำแต้มได้มีอยู่สี่จุดคือหัว คอหอย ท้อง และข้อมือ

หากเป็นคนอื่นเคนเซย์ก็จะจัดการเก็บสองแต้มให้ครบในสามทีแรก ยกเว้นเพียงเฟย์นะที่เขาจงใจไม่ทำแต้มและป้องกันไม่ให้โดนทำแต้มเสมอ เพื่อต่อเวลาออกไปสามนาทีอีกรอบ

มันเป็นช่วงเวลาเดียวที่สายตาของเธอคนนี้จะจ้องมองมาที่เขาเพียงผู้เดียวอย่างจริงจัง เป็นเวลาสั้นๆ ที่เคนเซย์จะไม่ทำให้เธอละสายตาจากเขาไป เขาไม่เคยเป็นฝ่ายบุกก่อน เพียงแค่ปัดดาบไม้ไผ่ของเธอออกไปจากจุดทำแต้มได้ทันทุกครั้ง จนกว่าจะถึงช่วงสุดท้ายของสามนาทีหลัง ที่เขามักจะทำแต้มจากการสวนกลับทีเดียวแล้วเป็นฝ่ายชนะไป

ใครๆ มักจะคิดว่าเขาใจอ่อนไม่กล้าลงมือกับผู้หญิงจึงใช้เวลานานมากกว่าปกติ เพราะมีเฟย์นะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในกลุ่มระดับหนึ่งซึ่งเคนเซย์ต้องเจอ ผู้หญิงคนอื่นนอกจากนี้ซึ่งมีในจำนวนไม่มากก็มักจะลงไปกองๆ กันอยู่ที่กลุ่มระดับสุดท้าย

จุดอ่อนที่กลายเป็นจุดแข็งของนักเคนโด้หญิงได้คือร่างกายที่เล็กกว่า ซึ่งจะทำให้จุดที่โดนทำแต้มมีขนาดเล็กและแคบลงกว่าคนตัวใหญ่ และข้อดีของเฟย์คือเธอว่องไวจนคนมักจะอุทานว่า “ระ...เร็ว!” จนทำให้หลายรู้สึกทึ่งได้ การได้แต้มจากเธอจึงอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะเธอเร็วพอที่จะหลบหรือปัดดาบไม้ไผ่ของคู่แข่งได้ แต่แน่นอนว่า...นั่นก็ไม่ไวพอจะหลบเคนเซย์หรอกหากเขาเอาจริง

และในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อทำความเคารพหลังแข่งเสร็จอีกครั้งเฟย์นะก็ถอนใจ ก่อนจะถือชิไน— ดาบไม้ไผ่ที่ใช้ในการแข่งกีฬาเคนโด้ ออกจากสนามไปหาคนที่เดินเข้ามาลูบหัวปลอบใจ เห็นภาพนี้แล้วหัวคิ้วของเคนเซย์เป็นได้กระตุก มือไม้สั่นอยากจะฟาดแสกหน้าเจ้าเพื่อนร่วมชั้นอันดับสองตลอดกาลสักป๊าบขึ้นมาทุกครั้งทันที

คู่ต่อสู้คนใหม่ของเคนเซย์เดินเข้ามาในสนาม หลังจากทำความเคารพกันตามธรรมเนียมปฏิบัติและหันชิไนเข้าหากัน การประลองที่เขาไม่เคยประมาทก็เริ่มขึ้น แม้จะไม่เคยแพ้ แต่ทิมก็เป็นเพียงคนเดียวในรุ่นที่ตีทำแต้มจากเขาได้

การแตะปลายชิไนลองเชิงกันไปมาสิ้นสุดลงที่วินาทีที่สามสิบเมื่อเคนเซย์ฟาดลงได้แต้มที่หัว ความระแวงระวังตั้งหลักรับของทั้งคู่หลังจากนั้นยืดยาวไปจนเกือบนาทีที่สอง ก่อนที่เคนเซย์จะพลาดท่าโดนตีที่ข้อมือกลับคืนไปหนึ่งแต้ม

เป็นการขานแต้มที่ทำให้เกิดเสียงฮือฮาเช่นเคย เคนเซย์คุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้ดี กลุ่มอื่นๆ ที่ยังว่างต่างก็เฝ้ามองมายังการประลองนี้ และเอาใจช่วยให้ใครสักคนเอาชนะที่หนึ่งของรุ่นแบบเขาได้สักครั้งเสียที แต่คงต้องเสียใจด้วย เพราะเมื่อศักดิ์ศรีตระกูลยูคิฮารุค้ำคอเขาขนาดนี้ เรื่องนั้นคงจะไม่มีวันเกิดขึ้น

“เมง!” การขานคะแนนที่สองของฝ่ายแดง ซึ่งทำแต้มได้จากการตีหัวเช่นแต้มแรกทำให้การประลองนี้สิ้นสุดลง ยูคิฮารุ เคนเซย์เป็นฝ่ายชนะไปเช่นเคย ทั้งสองกลับเข้าประจำที่ทำความเคารพและเดินออกจากสนามไป เขาจะไม่มองตามหลังฝ่ายแพ้ไปว่าเดินไปทางไหน เพราะต่อให้เอาชนะเป็นที่หนึ่งได้ตลอดไปก็คงไม่มีวันได้เบียดขึ้นแท่นเป็นที่หนึ่งในใจของเธอคนนั้นได้อยู่ดี

หลังจากช่วยเพื่อนเป็นกรรมการนับคะแนนของการแข่งคู่อื่นๆ และช่วยซ้อมให้เพื่อนที่เข้ามาขอซ้อมด้วย ระยะเวลาก็ล่วงเลยไปจนกระทั่งห้าโมงเย็น เคนเซย์เดินออกไปพักเหนื่อยที่ด้านหน้าโรงฝึกเขาถอดชุดป้องกันส่วนหัวออกไปแล้ว และคิดจะไปล้างหน้าที่แท่นก๊อกน้ำหน้าโรงฝึกซึ่งมีหลายก๊อกเรียงรายกันสองฝั่ง

เมื่อก้มหน้าล้างหน้าล้างตาล้างจนถึงหัวที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้วสะบัดหน้าเงยขึ้นมา เฟย์นะก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขาที่ก๊อกน้ำอีกฟากเพียงลำพัง เธอถอดเครื่องป้องกันส่วนหัวและช่วงตัวออกไปแล้ว ใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อนั้นก็มองมาที่เขาด้วยสายตาเหมือนขุ่นเคืองเขาอยู่ตลอดเวลาเช่นเคย

“ทำไมต้องแกล้งฉันตลอดแบบนี้ด้วย นายเก่งพอที่จะชนะฉันได้ในสามนาทีแรกทุกครั้งอยู่แล้ว”

น้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าไม่พอใจเขาเอามากๆ หน้าก็บึ้งไม่เคยยิ้มหวานใส่เหมือนที่ยิ้มให้ผู้ชายคนอื่น ปกติทั้งสองไม่ได้คุยกันบ่อยนัก จวนจะจบปีสองแบบนี้แล้วยังแทบนับครั้งได้เลยด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจำเป็นเกี่ยวกับการเรียน เฟย์นะก็ไม่เคยทักทายหรือพูดอะไรกับเขาก่อนแบบนี้เลย

เคนเซย์ได้แต่นิ่งมองอีกฝ่ายไม่ตอบ ตัวเธอเองก็คงพอจะมองออกนั่นแหละว่าความจริงก็คือเขาอ่อนข้อให้เธอตลอดเวลา ที่คงโกรธเพราะไม่ใช่ว่าไม่เคยชนะ แต่คงเพราะเขาไม่เคยเอาจริงกับเธอเลยสักครั้งต่างหาก

“ถ้าถึงขั้นต้องเอาจริงกับผู้หญิงแล้ว บรรพบุรุษคงลุกขึ้นมาบีบคอฉันแน่ๆ”

เฟย์นะพ่นลมฟึดฟัด ก้มตัวลงไปล้างหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมากระแทกเสียงบอกเขา

“ฉันจะภาวนาขอให้นายมีแฟนเป็นนักเคนโด้หญิงที่เก่งที่สุด จนแม้แต่นายยังเอาชนะไม่ได้”

เคนเซย์ได้แต่ถอนใจ ไม่อยากบอกเลยว่าในสายตาเขาก็คุณเธอนั่นแหละ นักเคนโด้หญิงที่เก่งที่สุดในคาเรมแล้ว

“เลิกคลาสแล้วเหรอวันนี้”

ในขณะที่เคนเซย์มองตามด้านหลังเจ้าของร่างผมสีบลอนด์ทองที่เปียกชุ่มน้ำไป เสียงที่คุ้นเคยอีกเสียงก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เธออยู่ในชุดออกกำลังกายของประเภทกีฬาที่ต่างออกไป จริงสินะ...วันนี้ปีสามคงเรียนยิงปืน

“อื้อ เหนื่อยเป็นบ้า ถ้าทำได้ก็อยากกลับไปนอนยาวๆ ละ แต่ตอนนี้หน่วยกำลังวุ่นวายมาก ผมคงต้องแวะเข้าไปสักหน่อย”

“เอ้านี่ ให้เป็นของแถมเพราะเห็นว่าจะเลี้ยงเซทแพงสุดหรอก จะได้มีแรงทำงานต่อนะ”

ยูทากะโยนเครื่องดื่มของโปรดของเคนเซย์ที่กำลังเย็นได้ที่ไปให้ ชายหนุ่มรับไว้ในจังหวะพอดิบพอดี เขาอมยิ้มกล่าวขอบคุณแล้วเปิดดื่มทันทีราวกับกำลังกระหายอย่างมาก

ผู้คนกำลังเริ่มทยอยออกจากโรงฝึกเมื่อเลิกคลาสพร้อมกับเสียงพูดคุยดังอื้ออึง แน่นอนว่ารวมไปถึงหญิงสาวคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มคนเดิมตลอดเวลา เคนเซย์เผลอหันไปมองตามเฟย์นะอีกครั้ง กระป๋องเครื่องดื่มในมือถูกบีบเข้าแน่นโดยไม่รู้ตัวเช่นเคย

ยูทากะได้แต่มองชายหนุ่มรุ่นน้องจากมุมข้างที่หันหน้าไปทางอื่น เธอมองเขามาตลอดจนรู้ได้ว่าเขากำลังเฝ้ามองใคร

และแม้ว่าสาวสวยคนนั้นจะไม่เคยมองกลับมาหาเคนเซย์

แต่เคนเซย์เองก็ไม่เคยแลสายตากลับมามองที่เธอเช่นกัน...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด