ตอนที่ 10: เดินทางสู่ Dark Hell Forest
ตอนที่ 10: เดินทางสู่ Dark Hell Forest
เฮเซคียาห์มองด้านหลังของมูนนี่ ที่กำลังนอนหลับอยู่ถัดไปจากเขา ก่อนจะหันไปมองกองไฟข้างหน้า เอาไม้เขี่ยกองฟืนที่กำลังไหม้ให้ขยับ เพื่อให้ไฟที่กำลังลุกโชนอยู่แรงขึ้นอีกเล็กน้อย
เสียงกุกกักดังขึ้นไม่ไกลนักในความมืด เฮเซคียาห์หันไปยังทางที่ได้ยินเสียง ก่อนจะยื่นมือไปหยิบเอาไม้ฟืนที่ใส่เข้าไปใหม่ๆ โดยหยิบส่วนที่ไฟยังไม่ไหม้ดีออกมาถือเอาไว้ แล้วส่องไฟไปยังทางที่ได้ยินเสียง แต่ก็พบความจริงที่ไม่น่ากลัวว่า สิ่งที่ก่อให้เกิดเสียงเป็นเพียงกระต่ายที่ไร้พิษสง มันคงออกมาวิ่งเล่นล้อแสงจันทร์
คืนนี้พระจันทร์ดวงใหญ่ฉายแสงชัด มูนนี่ก่อนจะนอนหลับลงก็บ่นออกมาว่าแสบตา
“เสด็จแม่...” เฮเซคียาห์พึมพำ มองดวงจันทร์แล้วนึกถึงงานเต้นรำในตอนที่ตนได้เข้าพิธีอภิเษกขึ้นเป็นรัชทายาทเมื่ออายุ 100 ปี ในงานนั้นผู้หญิงคนแรกที่เต้นรำกับเขาคือราชินีเอสเธอร์ เขายังจำได้ว่าก่อนวันงานพิธีอภิเษก พระมารดากับเขาใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์เพื่อฝึกซ้อมเต้นรำกัน เขาไม่อยากขายหน้าต่อธารกำนัล ส่วนพระมารดาของเขาก็หวงเขาจนไม่อยากให้เขาเต้นรำกับผู้หญิงคนอื่นนอกจากเธอเป็นคนแรก
เฮเซคียาห์ล้มกายลงนอน เพื่อจะได้เห็นพระจันทร์เต็มตา เขารู้สึกดีที่จุดพักตรงนี้ไม่มีใบไม้หรือกิ่งก้านของต้นไม้บดบังทัศนียภาพความงามของทุกอย่างบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน
ลมหนาวพัดมาโดนผิวของเฮเซคียาห์ เขาหนาวจนขนลุกซู่ เลยขยับอีกนิดเข้าไปนอนใกล้กองไฟ
“เฮ้ มูนนี่” เขาห่วงว่ามูนนี่จะหนาว “มูนนี่...”
อีกฝ่ายคงหลับลึก เพราะนอนนิ่ง ไม่มีการสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเรียกของเขา ทั้งที่แท้จริงแล้วมูนนี่เป็นคนตื่นง่ายมากเพราะหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา
“เฮ้อ” เฮเซคียาห์ถอนหายใจ เพ่งมองดวงจันทร์ต่อ
ในชีวิตของเขา เขาไม่เคยรู้สึกว่าผู้หญิงคนไหน สูงส่ง มีค่า และงดงามเหมือนกับพระมารดาของเขาเลย ดังนั้นเขาจึงตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่แต่งงาน ซึ่งเขาคิดว่าการคิดแบบนั้นเป็นเรื่องดีมากๆ ก็ตอนที่ต้องมาระหกระเหเร่ร่อนอย่างนี้นั่นแหละ เพราะไม่เช่นนั้น คงมีผู้หญิงเคราะห์ร้ายคนหนึ่งกำลังคร่ำครวญอยู่ในเมืองหลวงกับการสูญเสียสามีของเธอไป
เฮเซคียาห์กะพริบตาหนึ่งหน พอปิดตาอีกหน เขาก็เริ่มไม่อยากลืมตาขึ้นอีก
หนังตาหนักไปหมด
และเมื่อเวลาผ่านไป เฮเซคียาห์ยิ่งไม่อยากลืมตา เพราะเขารับรู้ได้ถึงสัมผัสที่อ่อนโยนและความอบอุ่นที่คุ้นเคยเหลือเกิน เขาระบายลมหายใจออกอย่างผ่อนคลาย ซุกกายเข้าหาความอบอุ่นที่รู้สึกได้ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นเพื่อจะพบว่าเขากำลังมองหน้าเสด็จแม่ของเขาอยู่
เฮเซคียาห์งุนงงกับภาพตรงหน้า มองไปรอบกาย และพบว่าเขาอยู่บนเตียงในห้องนอนของตนเองในพระราชวัง
เขาฝัน!?
แต่เดี๋ยวก่อน อันไหนเป็นความฝันจริงๆ ระหว่างเขากลายเป็นมนุษย์ กับเขาที่ตื่นอยู่และมีพระมารดาอยู่ใกล้ในระยะเอื้อมคว้ามากอดได้
มือของราชินีเอสเธอร์ที่ลูบไล้บนผมของเขาอย่างทะนุถนอม มันอุ่น และความฝันไม่น่าให้สัมผัสแบบเดียวกันได้
“ลูกฝัน เสด็จแม่” เฮเซคียาห์ลุกขึ้นนั่ง เขามองพระมารดาที่มองมายังเขาด้วยดวงตาเศร้าโศก
เฮเซคียาห์จับมือเธอขึ้นมาวางบนแก้มของเขา มือนั้นช่างอุ่นเหลือเกิน
“ลูกฝันร้ายเหลือเกิน ฝันร้าย...” เฮเซคียาห์ละล่ำละลักยามพูด “ลูกฝันว่าจู่ๆ โลกทั้งหมดของลูกก็พังทลายลง ลูกกลายเป็นมนุษย์”
ราชินีเอสเธอร์ไม่พูดกับเขา เธอลุกขึ้นยืนและขยับดึงเฮเซคียาห์เข้าไปกอดแนบอก และเพราะความรู้สึกที่ได้รับไออุ่นจากพระมารดาและความรู้สึกคิดถึงเธอเหลือเกิน มันอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจของเขา เฮเซคียาห์กอดเธอแน่น กดใบหน้าลงแนบกายหอมกรุ่นของพระมารดา
กายอันหอมกรุ่น นี่เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม
“เสด็จแม่ สัมผัสของพระองค์ช่วยปลดปล่อยลูกจากฝันร้าย”
สิ้นคำ ราชินีเอสเธอร์ดึงเขาออกห่างกาย และก้มหน้าลงมาให้ตำแหน่งสายตาของเธออยู่ในตำแหน่งเดียวกับสายตาของเขา ดวงตาคู่นั้นคลอไปด้วยน้ำตา
เฮเซคียาห์จะอ้าปากถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ราชินีเอสเธอร์ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะยืดกายขึ้นมาและหอมหน้าผากของเขา
เฮเซคียาห์สะดุ้งตัวขึ้น และเขาก็รู้สึกหนาวเยือก กายขยับไม่ได้ แล้วเขาก็สะดุ้งขึ้นมาอีกหน
และเขาก็พบว่า...
“เฮ้ย!” เฮเซคียาห์ที่ตื่นแล้วรีบลุกขึ้นนั่ง เพราะใบหน้าของมูนนี่อยู่ใกล้กับเขามาก ชนิดที่เขาแทบจะเห็นไรขนตาของอีกฝ่ายได้
เขามองไปที่กองไฟที่แทบมอดแล้ว พบว่าตัวเขานอนอยู่ที่เดิม
“ไอ้บ้านี่” เฮเซคียาห์ที่นั่งอยู่ ขยับขาและยกถีบมูนนี่
อีกฝ่ายทำเสียงฮึมฮัมและหลับต่ออย่างไม่สนใจ ดูท่าว่าจะหนาวเลยกลิ้งจากจุดที่ตัวเองนอนอยู่มาใกล้กองไฟ แล้วบังเอิญพบกับเขาที่นอนขวางทางอยู่ก่อน แถมตัวอุ่นๆ เลยละเมอคิดว่าเขาเป็นหมอนข้างให้ซุกได้
“อ๊ะ!” เฮเซคียาห์สังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติไปกับร่างกายของตัวเอง
เขามองแขนของตัวเองและพบว่ามันเรืองแสงออกมาอย่างรางเลือน
ความโกลาหลเกิดขึ้นกับตัวเขาเองทันที เขาสำรวจแขนอีกข้างของเขา เลิกเสื้อขึ้นมาดูช่วงอกและท้อง ถอดกางเกงออกเพื่อสำรวจทั้งสะโพก ต้นขา ไล่เรื่อยไปทุกอย่าง แล้วก็ถอดถุงเท้าออกเพื่อมองนิ้วเท้าทั้งสิบนิ้วของตัวเอง
“บรอธ” เฮเซคียาห์เรียกเศวตศาสตราของเขา
“มีอะไร” บรอธตอบกลับมาจากกระเป๋ากางเกงของเฮเซคียาห์
“ฉันกลับไปเป็นมัสติน” เสียงของเฮเซคียาห์เต็มไปด้วยความลิงโลด
บรอธพยายามออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเฮเซคียาห์ ระหว่างนั้นเฮเซคียาห์ก็มัวชื่นชมกับร่างกายของเขาที่กลับมาเปล่งประกายอย่างที่ควรเป็น
แต่ไม่นานนักหรอกกับการได้มีโอกาสลิ้มรสความรู้สึกของการได้หลุดพ้นจากสิ่งที่ตัวเองไม่อยากเป็น เพราะแสงที่เรืองรองออกมาจากผิวหนังจางๆ ค่อยๆ ริบหรี่ลงอย่างช้าๆ และก็หายวูบไป เหลือเพียงผิวสีขาวซีดเช่นเดิม
เฮเซคียาห์อุทานเสียงก้องป่า
“ไหน...” บรอธออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขาพอดี มันบินล่องลอยไปรอบตัวเขา และมาหยุดอยู่ในระดับสายตาของเขา “เป็นบ้าอะไรหรือเปล่า ตอนนี้มันสามองศาเซสเซียส นายเป็นมนุษย์ เดี๋ยวก็ปอดบวมตายหรอก กลับไปใส่เสื้อและก่อกองไฟให้ดีด้วย แล้วเดี๋ยวฉันคอยดูไฟให้เองถ้านายจะนอน”
เฮเซคียาห์ชักสีหน้า ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตน
ทั้งหมดที่เห็น ที่เกิดขึ้น สิ่งที่เกี่ยวกับพระมารดาเป็นแค่ความฝันอย่างนั้นเหรอ นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว
“นายตื่นขึ้นมาทำอะไรตอนนี้ แล้วทำไมแก้ผ้าแบบนั้น แถวนี้มีที่อาบน้ำด้วยเหรอ” มูนนี่ดันตื่นขึ้นมาตอนนี้อีก ฝ่ายนั้นมองเขาแล้วหาวปากกว้าง ไม่ปิดปาก ก่อนจะทำหน้าบรึยแล้วห่อตัวเพราะความเหน็บหนาว “เป็นบ้าอะไรคิดจะอาบน้ำตอนนี้ นี่มันโคตรหนาวเลย”
“เออ โคตรหนาวเลย” เฮเซคียาห์รีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย
เขาเดินเข้าไปเตะอีกฝ่ายที่ขดตัวกลมๆ ทำท่าว่าจะนอนต่อ
“ตื่นเว้ย” เขาเตะไปอีกสองที “ได้เวลาไปกันได้แล้ว ฉันไม่อยากเสียเวลาที่นี่”
“เป็นบ้าอะไรวะ” มูนนี่ตวาด เขาลุกขึ้นมานั่ง หน้าถมึงทึง
“ไปเหอะ บอกตรงๆ รู้สึกไม่ค่อยดีเลย” เฮเซคียาห์หันไปเตะดินด้านข้างมูนนี่แทน “โว้ย!”
มูนนี่ลุกขึ้นมายืนและทุบเฮเซคียาห์เข้าเบาๆ ที่ไหล่
“เป็นบ้าอะไร ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า”
เฮเซคียาห์เบี่ยงไหล่ออก แล้วระบายลมหายใจแรง
“คือฉัน...” เฮเซคียาห์ลังเลที่จะเล่าให้มูนนี่ฟัง เขาเงียบไป ก่อนตัดสินใจได้ว่าไม่อยากเก็บความรู้สึกสับสนไม่สบายใจไว้คนเดียว “ฉันฝันถึงแม่ฉัน ฉันอยากออกไปตามหาไอ้มนุษย์กลายพันธุ์นั่นเดี๋ยวนี้เลย”
“เดี๋ยวก่อนนะ นี่ยังไม่สว่างเลยนะ”
“นายเข้าใจฉันหน่อย ฉันจะรอช้าอีกไม่ได้แล้ว” เฮเซคียาห์ทั้งไม่สบายใจและร้อนใจอย่างน่าประหลาด
เขาไม่แน่ใจว่าการฝันถึงราชินีเอสเธอร์เป็นเพราะความฟุ้งซ่านคิดถึงเธอของเขา หรือเธอมาเข้าฝันเขาเพราะต้องการบอกเหตุอะไรบางอย่าง หรือไม่ เธออาจจะแค่คิดถึงเขาก็เป็นได้
แต่ราชินีเอสเธอร์เป็นพระมารดาของเขา เธอเป็นทั้งคนๆ เดียวที่เขาคิดถึงที่สุด และคนๆ เดียวที่อาจไขปริศนาการแปรสภาพของเขาได้
เฮเซคียาห์ไม่อยากคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเพียงเรื่องบังเอิญแบบหนึ่งในพันล้าน หรือไม่มีต้นสายปลายเหตุ เพราะการที่คนๆ หนึ่งจะเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ไปเป็นอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งได้ ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญ
มูนนี่ไม่ยอมออกเดินทางก่อนเช้าตรู่ เฮเซคียาห์ได้แต่ฮึดฮัดฟึดฟัดแสดงความไม่พอใจออกไป แต่ก็ยอมรออยู่จนกระทั่งแสงอาทิตย์เริ่มฉายส่องให้ความสว่างแก่โลก แล้วพอมูนนี่ขยับลุกขึ้นมายืน เฮเซคียาห์ก็ผุดลุกขึ้นยืนตามทันที
มูนนี่ดูเร่งรีบสมใจเฮเซคียาห์ พอเฮเซคียาห์ขึ้นยานรูปตัวหนอน มูนนี่ก็เพิ่มระดับความเร็วในการขับขี่เป็นแบบสูงสุดซึ่งหมายความว่าเขาจะต้องเป็นคนขับเอง เพราะระบบอัตโนมัติจะควบคุมระดับความเร็วเอาไว้เพื่อให้ระบบสมองกลของยานสามารถประมวลผลแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ทันเวลา กรณีที่เกิดปัญหาซึ่งไม่คาดฝันขึ้น
เฮเซคียาห์นั่งยานที่มูนนี่ขับ ฝีมือของมูนนี่ในการควบคุมพาหนะของชาวมัสตินชนิดนี้เยี่ยมยอดกว่าชาวมัสตินเป็นไหนๆ
ความเสียหายของยานเมื่อพวกเขามาถึงจุดสิ้นสุดของขอบเขตป่า แสดงหราบนหน้าจอว่าต่ำกว่า 1%
“เอาละ เปลี่ยนเป็นเฮ็กคอปนะ จะไปได้เร็วกว่า” มูนนี่มองพื้นที่ด้านหน้าซึ่งเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ห้องโดยสารที่เฮเซคียาห์นั่งอยู่สั่นสะเทือน ทุกองค์ประกอบของยานตัวหนอนเริ่มแปรเปลี่ยน ภายในไม่กี่วินาที เฮเซคียาห์ก็นั่งอยู่ในเฮ็กคอปแทนยานตัวหนอน เฮ็กคอปเป็นพาหนะที่มีลักษณะคล้ายกับเฮลิคอปเตอร์ในโลกยุคที่มัสตินยังไม่ครอบครองโลก แต่เฮ็กคอปบินด้วยความเร็วสูงกว่า เงียบกว่า และมีระบบพรางตัวทำให้คนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นไม่เห็นในขนาดบิน
“ถ้าฉันไม่ร่ำรวยขึ้นมาเพราะคลังของเรการ์ด ฉันคงไม่มีวันให้นายนั่งเฮ็กคอป” มูนนี่พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “น้ำมันฟอสซิลนี่แพงอย่างกับอะไรดี หาที่เติมก็ยาก”
เฮเซคียาห์ผงกศีรษะ นึกขอบคุณมูนนี่เป็นอย่างมาก
เฮ็กคอปบินอย่างรวดเร็ว แต่จุดหมายปลายทางที่มูนนี่จะพาเขาไปยังอยู่อีกแสนไกล แม้จะเดินทางด้วยเฮ็กคอปเกือบสิบสองชั่วโมง พวกเขาก็ยังเดินทางไปไม่ถึง เฮเซคียาห์พยายามชวนมูนนี่ที่ดูเหน็ดเหนื่อยกับการควบคุมการบินของเฮ็กคอปคุยตลอดทาง แต่ก็น็อคหลับไปเสียเองโดยไม่ทันรู้ตัว
เฮเซคียาห์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะมูนนี่ปลุก
“ที่นี่ที่ไหน” รอบข้างมืดสนิท เฮเซคียาห์มองเห็นหน้ามูนนี่เพราะเขาถือหินที่สามารถเปล่งแสงออกมาได้เอาไว้ในมือ
“ป่าที่คนๆ นั้นอยู่” มูนนี่หมายถึงมนุษย์กลายพันธุ์คนที่เฮเซคียาห์กำลังตามหา “ต่อจากตรงนี้ไป เราจะต้องเดินอย่างเดียว ป่าที่นี่มีสัตว์ป่าอยู่น้อยมาก แต่ล้วนเป็นสัตว์อันตรายที่มีวิวัฒนาการผิดธรรมดาทั้งนั้น แล้วก็ต้นไม้ในป่านี้ ทุกต้นล้วนเก่าแก่ ที่นี่ไม่ค่อยมีคนมาถึงหรือต่อให้มาถึงก็ไม่นึกจะเข้าไป เพราะนายดูสิ ต้นไม้รกออกจะขนาดนี้”
เฮเซคียาห์มองตามแสงไฟของหินที่เปล่งแสงออกมา ข้างหน้าเขามีหญ้าที่สูงเท่ากับระดับอก
“มาเถอะ ต้องเดินเข้าไป ข้างในไม่ได้รกขนาดนี้” มูนนี่เริ่มออกเดินก่อน
“นายรู้ได้ยังไงว่าจะพบเขาได้ที่ไหน บรอธยังไม่รู้เลย” เฮเซคียาห์ก้าวตามพลางชวนคุย
“ไม่รู้หรอก ถึงต้องเดินหาไง”
“แล้วจะต้องใช้เวลากี่วัน”
“ที่นี่เหรอ หนึ่งเดือนนะถ้าเราจำเป็นต้องเดินให้ทั่ว” มูนนี่หันมาตอบ และนิ่งไป เขาเขม้นมองบางอย่าง
เฮเซคียาห์เขม้นมองตาม แล้วเขาพบว่าสิ่งที่มูนนี่กำลังมองอยู่คือดอกไม้ที่มีเกสรลักษณะคล้ายฟองน้ำฟูๆ มีก้านดอกไม้ค่อนข้างใหญ่และแข็งแรง
“นั่นนายทำอะไร” เฮเซคียาห์มองงงๆ เพราะมูนนี่เกร็งกล้ามเนื้อแขน หักเอาดอกไม้ที่รูปร่างไม่สวยออกมาจากก้าน แถมยังหยิบเศวตศาสตราออกมาด้วย
มูนนี่ไม่ตอบเขาแต่ทุบหินที่เปล่งแสงให้แตกออกด้วยวีวี่ ทำให้รอบข้างตกอยู่ในความมืดทันที เฮเซคียาห์เห็นเพียงแสงสว่างของประกายแสงที่ตกหล่นหลังการแตกของหินส่องแสง
พรึ่บ!
ดวงไฟสุกสว่างเด้งออกมาจากความมืดมาอยู่ด้านหน้าของเฮเซคียาห์ ทำเอาเขาที่ไม่ทันตั้งตัวผงะและเซถอยหลัง มูนนี่ส่งเสียงจุ๊ๆ เตือนให้เขาตั้งสติดีๆ
เฮเซคียาห์มองเห็นว่าในมือของมูนนี่มีดอกไม้ที่หักออกมาตอนแรกซึ่งเกสรของมันลุกเป็นไฟ
“จริงๆ มันมีน้ำมันอยู่ด้านในน่ะ เอาไว้ทำเป็นไส้ตะเกียงได้” มูนนี่ให้ความรู้กับเฮเซคียาห์
ทั้งคู่เดินฝ่าป่าหญ้าที่สูงเท่าระดับอกไปเรื่อยๆ และระหว่างนั้นเฮเซคียาห์ก็มองสูงขึ้นไปบนศีรษะของเขาเพื่อจะพบว่าต้นไม้ที่อยู่รายรอบตัวมีกิ่งก้านที่เบียดเสียดกันอย่างมากสูงขึ้นไป มันเป็นสาเหตุทำให้ป่าแห่งนี้ไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามาได้เลย และด้วยแสงไฟจากดอกไม้แปลกๆ ในมือของมูนนี่ เฮเซคียาห์ก็ได้เห็นว่าใบไม้ของต้นไม้ในป่าแห่งนี้มีสีออกสีน้ำตาลแดงแทนที่จะเป็นสีเขียว
“จริงๆ ฉันคิดว่าฉันเริ่มไม่ไหวแล้วละ” มูนนี่หยุดเดินแล้วหันหน้ามามองเฮเซคียาห์
“ไม่ไหวอะไร นายอยากเข้าห้องน้ำรึเปล่า”
“ไม่ใช่ๆ” มูนนี่ส่ายหน้าและยกมือข้างหนึ่งขึ้นนวดเบ้าตาของเขา “ต้องนอนสักหน่อยแล้ว”
“แล้วจะนอนที่ไหนกันละ หญ้าเต็มไปหมด” เฮเซคียาห์มองไปรอบตัว
มูนนี่มองไปรอบตัวบ้าง แล้วเขาก็ดึงมีดออกมาจากด้านหลังและเริ่มถางหญ้าที่สูงรกรอบตัวออกไปจนเตียนแทบแนบไปกับพื้น จากนั้นมูนนี่ก็ยื่นมีดกับดอกไม้จุดไฟให้เฮเซคียาห์รับเอาไว้ และล้มตัวนอนลงไป ผล็อยหลับทันทีแบบไม่สนใจสายตาของเฮเซคียาห์ที่มองเขาอยู่
เฮเซคียาห์มองดอกไม้จุดไฟในมือข้างหนึ่ง มองมีดที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง
เขาดับไฟที่จุดติดบนเกสรดอกไม้ลงด้วยการเหยียบมันด้วยเท้าอย่างรีบๆ เร็วๆ หลายๆ ครั้ง ก่อนจะทรุดกายลงนั่งในกองหญ้าไม่ไกลจากมูนนี่ พยายามเหยียดเท้าออกไปยังทางที่เพื่อนนอนอยู่เพราะจะยืดขาสบายหน่อย และจัดท่านั่งที่สบายที่สุด มีกอหญ้าเอนลู่ไปทางด้านหลังรองรับน้ำหนักตัวของเขา
เฮเซคียาห์หลับตาลง พยายามทำตัวผ่อนคลายทั้งที่รู้สึกว่าการพยายามจะนอนในกอหญ้าเป็นเรื่องที่แปลกพิกล
อย่างไรก็ตาม ความเหน็ดเหนื่อยที่ได้รับมาตลอดการเดินทาง ก็ทำให้เฮเซคียาห์หลับลงไปอย่างง่ายดายไม่ต่างจากเพื่อนของเขาที่หลับนำไปก่อน
เฮเซคียาห์ก้าวเดินตามมูนนี่ เลือดในร่างกายสูบฉีดแรงจากความเครียดที่ต้องระวังภัยตลอดเวลา กว่าสามวันแล้วที่เขากับมูนนี่อยู่ในป่ามหารกที่มูนนี่เรียกว่าดาร์คเฮลฟอเรส (Dark Hell Forest) ซึ่งหลังจากการเดินผ่านหญ้าสูงเท่าอก พวกเขาก็เข้าสู่พื้นที่ด้านในของป่าที่เต็มไปด้วยรากไม้ระโยงรยางค์เต็มไปหมด
บางจุดของการเดินทาง เฮเซคียาห์กับมูนนี่ไม่ได้เดิน แต่พวกเขาต้องปีน
ปีนต้นไม้ ปีนรากไม้ ปีนก้อนหิน
แถมบางทียังมีสัตว์ประหลาดโผล่มาเล่นงานเฮเซคียาห์กับมูนนี่เป็นระยะ เรียกว่าถ้าจ๊ะเอ๋เมื่อไร พวกเขากับมันก็เปิดฉากต่อสู้กันทันที ดีว่าทั้งเฮเซคียาห์และมูนนี่ต่างแข็งแกร่งทั้งคู่ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามีบรอธอยู่ด้วย
“พักตรงนี้กันดีกว่า” มูนนี่นั่งลงบนรากไม้ใหญ่ที่โผล่พ้นดินขึ้นมา แล้วเอนกายพิงลำต้นของต้นไม้
เฮเซคียาห์เห็นด้วย เขานั่งลงไม่ห่างจากมูนนี่
“กินอะไรกันหน่อยดีกว่า” เฮเซคียาห์พยักพเยิดใบหน้าไปที่ถุงสัมภาระของมูนนี่
ก่อนหน้านี้พวกเขาฆ่าสัตว์ป่าไปหลายตัว บางตัวดูน่าอร่อยดี ดังนั้นเลยมีการตัดเนื้อของมัน เอามาทาเกลือกับพริกไทยแล้วห่อเอาไว้ แต่ยังไม่ได้แกะออกมารับประทานจนกระทั่งวันนี้ เหตุผลเพราะว่าพวกเขาได้ใช้เสบียงที่หามาตั้งแต่แวะหมู่บ้านเพื่อส่งผู้ใช้เศวตศาสตราที่หลุดพ้นเงื้อมือของนักค้ากล่องมาได้หมดลงแล้ว
“เดี๋ยวเอาใบไม้มารวมกันเยอะๆ” เฮเซคียาห์หาใบไม้แห้งได้มากมายในป่าแห่งนี้ เกลื่อนกลาดเต็มพื้นป่าไปหมด
เขากองใบไม้แห้งที่หามาได้ไว้เป็นกองใหญ่ จากนั้นเดินไปทั่วหาเก็บกิ่งไม้ที่ยังสดอยู่และไม่ติดไฟมากองด้วยกันกั้นเป็นคอกไว้รอบใบไม้แห้ง เพื่อไม่ให้ไฟที่จะจุดบนใบไม้ ลุกลามไปติดใบไม้แห้งหย่อมอื่นๆ ทั่วป่าแล้วลุกลามไปเป็นไฟป่า ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการติดไฟ มูนนี่ให้ไม้ขีดไฟกับเขามา
นี่เป็นครั้งแรกที่เฮเซคียาห์ได้เห็นไม้ขีดไฟจริงๆ เขาคิดว่าเคยเห็นมันในบทเรียนเรื่องประวัติศาสตร์การรู้จักใช้ไฟของเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งเฮเซคียาห์เรียนรู้ได้ผ่านไลฟ์ควอตซ์ โดยใช้เวลาสั้นๆ นั่งนิ่งๆ เพื่อรับการถ่ายโอนข้อมูลไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ
“อืมมม” มูนนี่ส่งเสียงมาจากในลำคอเมื่อเนื้อหมูป่าที่เฮเซคียาห์เสียบไม้เพื่อปิ้งส่งกลิ่นหอมกรุ่นขจรไกล
กลิ่นของเกลือและพริกไทยเข้ากันได้ดีกับกลิ่นของเนื้อหมูป่าที่น้ำมันหยดติ๋งๆ ส่งเสียงซัดซ่าเบาๆ
เฮเซคียาห์หยิบเนื้อหมูป่า 1 ไม้ ขึ้นมาลิ้มลองรสดูก่อน แล้วค่อยหยิบไม้ต่อไปให้กับมูนนี่
“เฮ้! พวกนายสองคน กินอะไรกันน่ะ” เสียงของคนแปลกหน้าดังมาจากด้านบน
เฮเซคียาห์เงยหน้าขึ้นไปมองอย่างฉับพลัน สัญชาตญาณป้องกันภัยของเขาทำงาน เกร็งกล้ามเนื้อพร้อมเข้าสู่การต่อสู้
แต่เขาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เขาได้เห็น
สิ่งที่เขาตามหา…
ชายที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้สูงเหนือศีรษะของเขากับมูนนี่ขึ้นไปประมาณ 600-700 เมตร เขาคนนั้นผู้มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่แขนขวามีขนนกสีดำมันขลับปกคลุมอยู่ เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีผมยาวเคลียไหล่กว้าง ซึ่งผมบนศีรษะด้านซ้ายเป็นสีทองสว่าง แต่ผมบนศีรษะด้านขวาเป็นสีดำ ใบหน้าคมสันได้รูปแลดูเหมือนคนดำเนินชีวิตอยู่ในวัยสาบสิบต้นๆ ผ่านโลกมามากแต่ไม่ได้กร้านโลก และเขามีเล็บสีดำที่แหลมยาวออกมาจนเห็นได้ชัดแม้เฮเซคียาห์มองอยู่ไกลๆ
“ฉันมีของตอบแทนให้นะ ถ้าหากว่าแบ่งให้ฉันกินละก็” คนพูดหายตัวมาล่องลอยอยู่ในระดับความสูงที่ต่ำลงมา
“ของตอบแทนอย่างนั้นเหรอ”
เฮเซคียาห์วางท่านิ่ง แต่เขาทึ่งมากจริงๆ กับความสามารถในการหายตัวของมนุษย์กลายพันธุ์ตรงหน้า
“ใช่ เธออยากได้อะไรละ แต่ต้องเป็นของที่มีจริงในโลกนี้เท่านั้นนะ” มนุษย์กลายพันธุ์หายตัวไปอีกครั้ง และมาปรากฏตัวตรงหน้าของเฮเซคียาห์ในระยะที่เขาสามารถจับต้องเนื้อตัวของอีกฝ่ายได้
เฮเซคียาห์เพิ่งสังเกตว่า การแต่งตัวของมนุษย์กลายพันธุ์เป็นไปอย่างเรียบง่าย เขาสวมเสื้อยืดขาวสีมอๆ และกางเกงวอร์มสีดำกับรองเท้าผ้าใบ
“เอาไปสิ” เฮเซคียาห์ยื่นหมูไปให้ โบราณมีคำพูดว่าไว้ว่า ยื่นหมูยื่นแมว
มนุษย์กลายพันธุ์ตรงหน้ารับหมูปิ้งไปกัดกร้วมๆ
เฮเซคียาห์เพ่งพิศดูอีกฝ่าย ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าสิ่งที่ตามหาอยู่ บทจะเจอกันก็เจอกันง่ายๆ แบบนี้