ตอนที่ 10 ชิมิชิมิ ที่หายไป
ตอนที่ 10 ชิมิชิมิ ที่หายไป
หลังจากที่ปล่อยให้ลินจินั่งเป็นผีเฝ้าศาลา ชุนก็เดินไปยังกลุ่มชาวบ้านที่กำลังเมาธ์มอยกัน
“…อุรามิ…”
เมื่อได้ยินชื่อ ‘อุรามิ’ ปีศาจที่เปี๊ยกโกะเคยผนึกไว้ในตำราต้องห้าม ชุนก็หูผึ่ง ก่อนจะเดินแทรกเข้าไปในวงสนทนาแล้วเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“เอ่อ… เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
เหล่าชาวบ้านส่งสายตาสงสัยไปยังชายหนุ่ม ซึ่งจู่ ๆ เข้ามาแทรก ผ่านไปได้สักพักจึงเดาออกว่าคงเป็นนักรบเวทจากเมืองโมโมะ ที่ชาวบ้านรู้เช่นนั้น เพราะเมื่อปีก่อนมีปีศาจปลาไหลออกมาทำลายหมู่บ้าน โมโมะจึงส่งชุนและเอวินมาช่วย ไม่แปลกที่คนแถวนี้จะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาชุนอยู่บ้าง
“อ้าว ถ้าจำไม่ผิด ท่านคือศิษย์ของท่านโมโมะ ไม่ใช่รึ”
ชุนค้อมคำนับ
นอกจากลูกชายครึ่งอสูร ‘อากิ’ โมโมะยังมีศิษย์อีกสองคน
หนึ่งคือ มาซาโตะ ชุน ซึ่งโมโมะมองเห็นพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมของเขาตั้งแต่ยังเด็ก จึงถ่ายทอดวิชาให้จนหมดสิ้น รวมถึงวิชาอัญเชิญเทพเจ้าด้วย อีกทั้งชุนยังสามารถควบคุมธาตุทั้งสี่ได้ คือ ดิน น้ำ ไฟ และสายฟ้า ซึ่งปกติแล้วผู้ใช้เวททั่วไปสามารถควบคุมได้อย่างมากเพียงสองธาตุเท่านั้น
ส่วนอีกหนึ่งคือ ฮาเกชิ เอวิน ผู้ครอบครองดาบอสูรทมิฬที่มีความเชื่อกันว่า ทำมาจากกระดูกของราชายักษ์ ชุนรู้ดีว่าเอวินมีความปรารถนาในตัวคู่มั่นของตน และยังต้องการชนะตนในเรื่องของพลังเวท แต่เขาก็พยายามที่จะไม่คิดว่า… เรื่องนี้จะเกี่ยวกับเอวิน
เหล่าชาวบ้านมองหน้ากันครู่หนึ่งเพื่อปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี แต่พอนึกออกว่าชุนกับเอวินเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันจึงเอ่ยถาม
“ท่านสนิทกับ ท่านเอวิน ใช่ไหม”
“ข้า... คิดว่าสนิทนะ เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”
“เอ่อ… คือว่า”
ชาวบ้านแสดงอาการกระอักกระอ่วน ชุนเห็นแบบนั้นก็พอเดาได้จึงเอ่ยออกมา
“เอวิน หายตัวไปตั้งแต่สามวันก่อน ข้าก็แปลกใจเหมือนกัน อีกทั้งตำราต้องห้ามยังหายไปในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน พวกท่านพอจะทราบข่าวเรื่องนี้ไหม”
“ค่อยยังชั่ว ท่านไม่ได้ถูกจิตชั่วร้ายของ ‘อุรามิ’ ครอบงำด้วยหรอกหรือ มีข่าวลือจากชาวบ้านที่ออกไปล่าสัตว์บนเขาอสุราน่ะสิ”
“ข่าวลืองั้นหรือ”
ขณะที่ชุนใช้มือขวาจับคางทำท่านึก ชาวบ้านอีกคนหนึ่งก็เปิดปาก
“วันนั้นข้ากับสหายขึ้นไปล่ากวางที่เขาอสุรา ได้ยินเสียงสัตว์แตกตื่นวุ่นวายเลยลองเดินสำรวจดู ตอนนั้นพวกข้าก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังดูดกลืนจอมมารเนตรทิพย์เข้าไปในร่าง ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อสายตาหรอกว่าจะเป็นท่านเอวิน แต่พอเห็นด้ามดาบหัวยักษ์สีดำ ข้าก็มั่นใจขึ้นมา ไม่แน่อาจเป็นไปได้ว่าเขากำลังถูกจิตชั่วร้ายของตำราต้องห้ามเข้าครอบงำ”
“ยิ่งมีข่าวลืออีกว่า ตำราต้องห้ามได้หายไปจากตำหนักของท่านโมโมะ พวกข้าไม่ค่อยสบายใจเลย ถ้าเป็นเหมือนสิบสองปีก่อนโลกคงต้องเกิดภัยพิบัติแน่”
ขณะที่ชุนเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง พวกชาวบ้านก็ติดลมพูดกันไม่หยุดหย่อน…
“ต้องใช่อุรามิแน่ ๆ”
“อุรามิที่ท่านเปี๊ยกโกะผนึกไว้ในตำราต้องห้ามงั้นหรือ”
“อีกข่าวลือก็คือ ผลึกดวงดาวได้ตกลงมาจากสวรรค์พร้อมกับเทพเจ้าสร้างโลก”
“หรือเจ้าอุรามิจะดูดกลืนจอมมารเนตรทิพย์เข้าไป เพื่อใช้พลังส่องหาผลึกดวงดาวกันแน่นะ”
“…ขออภัยที่มารบกวนการสนทนาของพวกท่าน ข้าขอตัวก่อน”
ฟังแล้วชุนก็รู้สึกหงุดหงิด จึงเลือกจังหวะตัดบทแล้วเดินจากมา
เมื่อชุนเดินย้อนกลับมาก็ไม่เห็นลินจิอยู่ในศาลาแล้ว จึงมองซ้ายมองขวาตามหาเจ้าตัวแสบ พลางบ่นในใจบิดามันเถอะ เหมือนจะฟังภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่อง เจอตัวจะจับไปขังในคอกหมูเสียให้เข็ด
ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากศาลา ชุนก็เห็นลินจิยืนตัวสั่นอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาจึงรีบเร่งฝีเท้าตามไปดู
ขณะที่ลินจิทำตาขวาง แยกเขี้ยวขู่แง่ง ๆ ใส่แผ่นหลังของท่านชายที่กำลังเดินจากไปอย่างใจเย็นอยู่นั้น มือหนึ่งก็ยื่นจากด้านหลังมาตบไหล่ ลินจิสะดุ้งเหมือนหมาโดนสาดน้ำแล้วรีบหันไปทันที
“คุณชุน”
“ข้าบอกให้เจ้านั่งรอในศาลา ทำไมถึงยืนเป็นสุนัขบ้าขู่ไล่หลังผู้อื่นเช่นนี้”
ชุนสังเกตสีหน้าลินจิอย่างสงสัย ก่อนจะทอดสายตามองท่านชายที่กำลังเดินจากไป เมื่อเห็นแสงสีชมพูของอาวุธที่ส่องประกาย ชุนก็รู้สึกคุ้น ๆ จึงตะโกนเรียก
“ช้าก่อน!”
ลินจิอ้าปากหวอ มองชุนอย่างมึนงง พลางคิดว่าจะเรียกตานั่นอีกทำไม คนแบบนั้นปล่อยไปที่ชอบที่ชอบเถอะ
พอเห็นชุนไล่ตามท่านชายไป ลินจิก็พ่นลมหายใจ ก่อนตัดสินใจเดินตามไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“คุณชุน รอผมด้วย!”
เมื่อเดินมาถึงลินจิก็เห็นชายหนุ่มสองคนยืนจ้องหน้ากัน จะว่าไปแล้วท่านชายผู้นั้นก็ดูดีราวกับโอ้ปป้าเกาหลีที่หลุดมาจากเอ็มวีก็ไม่ปาน ถ้าเทียบกับชุนแล้ว ลินจิก็รู้สึกว่าคนละแนวกัน ถึงชุนจะหล่อเหลาเอาหารแต่ก็ให้ความรู้สึกแข็งกระด้างเหมือนพวกสัตว์ป่า แต่ถ้าให้เลือก… ลินจิก็อยากจะอยู่กับสัตว์ดุร้ายมากกว่า เพราะถ้าทำให้มันเชื่องได้ก็เท่ากับว่าเป็นการเสริมบารมี
“ข้ารู้สึกคุ้น ๆ อาวุธของท่าน”
“สิ่งนี้หรือ”
พอชุนถาม ท่านชายก็หยิบปืนพกออกมา ตรงด้ามแกะสลักเป็นลายนกยูงคาบดอกไม้ เปล่งประกายแสงระยิบระยับดั่งอัญมณี
ชุนมองปืนกระบอกนั้นพลางมองหน้าท่านชายสลับกันไปมา ส่วนลินจิก็มองชุนอย่างไม่เข้าใจว่าจะงงอะไรนักหนากับอีแค่ปืนประดับประดาระยิบระยับ
“ท่านได้มันมาอย่างไร สิ่งนี้เป็นมรดกตกทอดของตระกูลคู่มั่นข้า เป็นไปไม่ได้ที่จะมีสองอัน”
“ท่านคงจำผิด”
ว่าแล้วท่านชายก็เก็บปืน พลางค้อมศีรษะให้ชุนเล็กน้อยเป็นการบอกลา เห็นแบบนั้นชุนจึงพยักหน้ารับ
ขณะที่ท่านชายหันหลังก้าวไปได้เพียงสามก้าว ชุนก็เอ่ยเรียกอีกครั้ง
“ช้าก่อน!”
“มีธุระอะไรอีกหรือ”
ท่านชายหันมาหรี่ตา ดวงตาสีเข้มวาววามอย่างน่าสงสัย
“ข้าขอเสียมารยาทหน่อย ข้าอยากทราบชื่อของท่าน”
“ข้ามีนามว่า โฮตารุ”
ท่านชายตอบเสียงเบา พลางเบือนสายตาไปทางอื่น
เมื่อได้ยินท่านชายบอกชื่อ ลินจิก็เอะใจขึ้นมา เขาจำได้ว่าตอนที่ใช้ทักษะหยั่งรู้เมื่อครู่ ข้อมูลไม่ได้บอกว่าคนผู้นี้ชื่อโฮตารุ ลินจินึกสงสัยจึงใช้ทักษะหยั่งรู้ส่องดูข้อมูลอีกรอบ
< [หยั่งรู้ LV3] เริ่มทำงาน >
[ฮิคาริ ยู มนุษย์ เพศหญิง]
ฮี่ ๆ ได้เวลากระชากหน้ากากแล้ว ลินจิเงยหน้ามองท่านชายแล้วร้อง “ฮึ” ออกมา พลางแอ่นอกขยับไหล่ยึกยัก ก่อนจะบอกว่า…
“โกหก”
ลินจิพูดต่อโดยไม่สนใจท่านชายที่กำลังนิ่งอึ้ง
“คุณไม่ได้ชื่อโฮตารุ คุณชื่อ ฮิคาริ ยู ต่างหาก”
“อะไรนะ!”
ชุนเบิกตากว้างหันมองลินจิอย่างงุนงง ก่อนจะมองท่านชายที่อ้างว่าตนชื่อ ‘โฮตารุ’ ด้วยแววตาสั่นไหว ส่วนลินจิก็งงแล้วงงอีกว่าชุนจะงงทำไมกัน
“เจ้าทาส เจ้ารู้ชื่อของข้าได้อย่างไร”
“รู้ก็แล้วกัน แล้วผมก็ไม่ใช่ทาสด้วย”
จู่ ๆ กลิ่นหอมของดอกซากุระก็ลอยมาพร้อมกับสายลม ขณะที่ท่านชายถามลินจิ ชุนก็มั่นใจว่ากลิ่นนี้คือกลิ่นของยูไม่ผิดแน่
“ความลับแตกแล้วสินะ”
ท่านชายเบือนสายตาต่ำลงเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเหวี่ยงตัวออกเดินจนชายผ้าสะบัดพลิ้ว
ทันใดนั้นชุนก็ก้าวไปรั้งแขนของท่านชายไว้
“นี่เจ้า…”
“อ๊ะ”
เมื่อเห็นภาพบาดตาบาดใจลินจิก็ร้องออกมา แล้วอ้าปากหวอค้างไว้แบบนั้น เมื่อท่านชายหันมา ลินจิก็มองทั้งสองสลับกันอย่างงงงวย
ชุนไม่เข้าใจไปขณะหนึ่ง หมายความว่าอย่างไรกัน ‘ยู’ คือคู่มั่นของเขา แต่คนคนนี้คือผู้ชาย ทั้งคู่นิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง จากนั้นชุนจึงเอ่ยถาม
“ยู นี่เจ้าจริง ๆ หรือ”
ท่านชายยิ้มด้วยมุมปากแล้วร้อง “ฮึ” ออกมา
“ทำไมกัน ถ้าข้ากลายเป็นชายแล้วเจ้าจะตัดใจจากข้าอย่างนั้นหรือ”
ชุนไม่ตอบอะไร ทำได้เพียงส่ายหน้าช้า ๆ ทั้งสองมองตากันอย่างคุ้นชิน
ตอนนั้นเองร่างกายลินจิก็หนักอึ้ง ชาแปลบเหมือนแช่อยู่ในธารน้ำแข็ง แม้เขาจะรู้จักชุนเพียงไม่กี่วัน แต่เมื่อมีเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อความรู้สึกเช่นนี้ มันจะมีความหมายอื่นใดอีก นอกจากคำว่า… ‘ตกหลุมรัก’
ระหว่างที่นิ่งอึ้งเงียบกันไปทั้งสามคน ท่านชายก็เอ่ยปากเล่า…
“เมื่อสามวันก่อน ‘อุรามิ’ ได้หลุดออกมาจากตำราต้องห้าม จากนั้นมันก็เข้าครอบงำเอวินแล้วบุกมาในคฤหาสน์ของข้า มันพยายามชิงตัวข้าไป แต่เหมือนว่าตอนนี้อุรามิยังอ่อนกำลังนัก เมื่อสู้กับข้าไม่ไหว มันจึงสาปข้าให้กลายเป็นบุรุษ”
เท่าที่ชุนรู้ เอวินเองก็มีความปรารถนาในตัวของ ‘ยู’ แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ แม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ชุนเองก็มีความรู้สึกผิดต่อเอวินอยู่บ้าง แต่เรื่องความรักมันเกิดจากการตกลงปลงใจของคนสองคน ในเมื่อยูไม่ได้มีใจให้เอวิน เขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
“รู้ใช่มั้ยชุน ว่าเอวินมีความปรารถนาในตัวข้ามาตลอด แม้ตอนนี้ร่างของข้าจะกลายเป็นชาย แต่เชื่อว่าเศษเสี้ยวหนึ่งในหัวใจของเอวิน น่าจะยังมีความรักต่อข้าอยู่บ้าง ข้าจะใช้จุดนี้เข้าแทรกแซงเพื่อกำจัดอุรามิในใจของเอวินด้วยตัวข้าเอง”
ชุนส่ายหน้า อ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออก ขณะเดียวกันเมื่อลินจิได้ฟังเรื่องราวคร่าว ๆ ก็นิ่งอึ้งหน้าชา สมองขาวโพลนจนคิดอะไรไม่ออก
“งั้นเจ้าไปกับข้า เกิดอันตรายขึ้นมาใครจะปกป้องเจ้า”
ชุนดึงแขนของยูเพื่อรั้งไว้ ลินจิเห็นภาพบาดตาบาดใจอีกครั้งก็รู้สึกทนแทบไม่ไหวจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“เชิญเจ้าไปกับทาสของเจ้าเถอะ ข้าก็เพิ่งรู้ว่าเจ้ามีรสนิยมแปลกถึงเพียงนี้”
โฮตารุกล่าว มองลินจิด้วยสายตาดูแคลน พร้อมกับสะบัดมือชุนออก
“ไม่ใช่ เจ้านี่ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้นนะยู”
เมื่อได้ยินแบบนั้นลินจิก็สะดุ้งเฮือก นอกจากจะมีศัตรูเป็นปีศาจแล้ว ลินจิก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าต้องมาเจอกับศัตรูหัวใจ คำปฏิเสธของชุนที่มีต่อเขามันรุนแรงเกินกว่าเด็กหนุ่มตาดำ ๆ จะรับไหว ลินจิหันไปมองทั้งสอง แต่หยาดน้ำบาง ๆ ก็หุ้มกระจกตาจนเห็นภาพไม่ชัด
…ดีแล้วที่เห็นไม่ชัด ถ้าเห็นชัดคงทนไม่ไหว ขนาดภาพเบลอ ๆ ยังแสบหัวใจได้ถึงขนาดนี้
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิด กลุ่มควันสีชมพูลอยคลุ้งกระจายทั่วบริเวณ ขณะเดียวกันลินจิก็ได้ยินเสียงชุนตะโกนเรียก “ยู…ยู!” ปนกับเสียงไอค่อกแค่ก
ถึงจะเป็นเสียงเรียกธรรมดา แต่ลินจิก็ไม่นึกเลยว่าจะมีอนุภาคทำลายความรู้สึกได้ถึงขนาดนี้ ทนไม่ไหวอยากจะร้องออกมาแล้ว แต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร
เมื่อกลุ่มควันสีชมพูจางหายไป เขตอาคมสีทองของลินจิก็สว่างไสวเห็นชัดขึ้นมา ส่วนยูก็หายตัวไป เหลือทิ้งไว้เพียงกลีบดอกซากุระที่โปรยปราย ลินจิทอดสายตามองชุนที่กำลังยื่นฝ่ามือลองรับกลีบดอกซากุระจากฟากฟ้า เห็นแววตาสั่นไหวของชุนสะท้อนกับแสงพร้อมคราบน้ำตา พอหยาดน้ำล่วงหล่นลงมาชุนก็ก้มหน้าลง
“ไปกันเถอะ เจ้าหนู”
“ครับ”
เมื่อชุนออกตัวก้าวขาลินจิก็หยุดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะดับเขตอาคมแล้วเดินตามหลังไปด้วยแววตาสั่นระริก แต่ก้าวได้เพียงสองก้าวเท่านั้น ลินจิก็รู้สึกไม่ไหว เขาอยากจะร้องไห้ออกมา จึงสูดลมหายใจเข้าแล้วสะบัดหน้าบอกกับตัวเองว่า …ไม่เอาน่า คิดมากไม่ดีนะ จากนั้นก็เปลี่ยนสีหน้ายกยิ้มแล้ววิ่งร่าไปเดินข้างชุนทันที
ทั้งสองเดินทางออกจากหมู่บ้านกระทั่งมาถึง ‘สำนักเอ็นพี ตะวันออก’ ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ ตอนช่วงค่ำ ปากทางเข้าของที่นี่เป็นบันไดหินทอดยาว ให้บรรยากาศคล้ายศาลเจ้ากลางภูเขาเหมือนที่ลินจิเคยเห็นในการ์ตูนญี่ปุ่น
ลินจิสังเกตถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของชุน เขาแทบจะเดินก้มหน้ามาตลอดทาง แถมยังไม่เอ่ยปากพูดสักคำ ซึ่งก็เป็นปกติของชุนอยู่แล้ว แต่สีหน้าเศร้า ๆ แบบนั้นก็ทำให้ลินจิรู้สึกแย่ตามไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ลินจิเองจะรู้สึกปวดใจเล็กน้อยที่ต้องมากินแห้วต่างโลก แต่ลินจิก็ถือคติประจำใจเสมอว่า ‘ไม่ยึดติดกับอดีต’ ซึ่งสิ่งนี้เป็นเหมือนคาถาเยียวยาจิตใจที่ทำให้ลินจิสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเหมือนคนบ้า
ขณะที่ไม่รู้จะพูดอะไรลินจิก็ถามขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อนสิครับ เรามาที่นี่กันทำไมเหรอ”
“มาค้างแรม หรือเจ้าอยากจะนอนกลางป่า”
ชุนพูดอย่างหงุดหงิดทำหน้าเหม็นใส่ ลินจิเห็นแบบนั้นก็ไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่อยากทำให้ชุนรู้สึกแย่ไปกว่านี้
ตอนแรกที่ได้ยินเรื่องไฟไหม้คฤหาสน์ ลินจิก็อยากจะภาวนาให้หล่อนตาย ๆ ไปเสียด้วยซ้ำ แต่เขารู้ว่าการปรารถนาแบบนั้นเป็นสิ่งไม่ดี เลยล้มเลิกความคิดบ้า ๆ นั้นไป แล้วเปลี่ยนเป็นเอาใจช่วยให้อีกฝ่ายปลอดภัยแทน ถึงแม้จะรู้สึกฝืนใจ แต่ชีวิตของคนเรานั้นสำคัญ
“ฮี่ ๆ หน้าบูดเป็นตูดฮิปโปเลย คิดถึงแฟนเหรอ”
ลินจิแสร้งยิ้มอารมณ์ดี
“ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดี”
ชุนพึมพำพลางก้าวขาขึ้นบันใด สองข้างทางก็มีคบเพลิงส่องสว่างไสว เสียงของไม้ที่มอดไหม้พร้อมกลิ่นควันไฟ ให้บรรยากาศเหมือนกำลังแคมป์ปิ้ง
ขณะแสงของเปลวเพลิงสั่นไหวกระทบหน้าของชุนจนเป็นสีส้มเรือง ๆ ลินจิก็หยุดมองอยู่พักหนึ่ง เมื่อชุนไม่หยุดเดิน ลินจิก็วิ่งไล่ตามไปอยู่ข้าง ๆ ถามว่า…
“ไม่รู้จะทำยังไง หมายถึงเรื่องที่คู่มั่นกลายเป็นผู้ชายเหรอ”
“อืม”
ชุนเปล่งเสียงในคอเบา ๆ ไม่หันมามองลินจิเลยสักนิด ส่วนลินจิก็พยายามเร่งฝีเท้าก้าวให้ทันพลางสังเกตชุนอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา
“ใช่เรื่องที่จิ๊มิ๊ของคู่มันหายไป แล้วกลายเป็นจุ๊ดจู๋แทน แบบนั้นเหรอ”
คิ้วหนา ๆ ของชุนกระตุกขึ้นอย่างบังคับไม่ได้ เขามองลินจิอย่างตำหนิติเตียน แล้วพูดว่า
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า”
“อ้าว ถ้าไม่ใช่เรื่องนั้นก็ไม่เห็นต้องเครียดเลย ก็แค่คนรักกลายเป็นผู้ชายเองนี่”
“เจ้าไม่เข้าใจ”
ชุนพ่นลมออกจมูกพลางคิดว่า ใช้คำว่า ‘แค่’ ได้อย่างไรกัน
“ทำไมผมจะไม่เข้าใจ เข้าใจดีเลยล่ะ เพราะว่าเสียดายจิ๊มิ๊ใช่เปล่า ไม่อย่างนั้นคุณชุนก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก”
“หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว”
เอ็ดเสร็จ ชุนก็ลงมะเหงกเข้ากลางหัวของลินจิ
“โอ๊ย”
ขณะที่กำลังคิดว่า ‘ใช่สิ! เพราะว่าเราไม่มีจิ๊มิ๊ ชุนจึงไม่สนใจ’ ลินจิก็เห็นหมอกขาวโพลนลอยอยู่เหนือท้องฟ้า เหมือนจะตรงไปในทิศทางที่เขากำลังมุ่งหน้าไป ขณะนั้นความรู้สึกสะอิดเอียนคลื่นไส้เหมือนตอนที่เคยเจอกับปีศาจเมื่อคราวก่อนก็ผุดขึ้นมา
“คุณชุน รู้สึกถึงอะไรแปลก ๆ ไหมครับ”
“ไม่นี่”
ชุนตอบอย่างไม่ใส่ใจ พลางก้าวขาขึ้นบันใดอย่างไม่รีรอ เห็นแบบนั้นลินจิก็หยุดเดินแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง แต่หมอกสีขาวก็หายไปแล้ว
ลินจิไม่แน่ใจว่าตาฝาดไปรึเปล่า แต่เขาก็รู้สึกสังหรใจอย่างบอกไม่ถูก