Money Monster Episode X [มุ่งหน้าสู่วอลสตรีท!]
Money Monster
Episode X
[มุ่งหน้าสู่วอลสตรีท!]
กระสุนปืนใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายมหาศาล เป่ากองทัพของอมนุษย์สีดำให้แหกกระจุยในนัดเดียวสร้างความสะพรึงให้แก่ทั้งศัตรูและพวกเดียวกันได้อย่างอหังการ สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความยินดี ความชื่นชม จนกระทั่งความหวาดกลัว
หวาดกลัวในพลังของชายหนุ่มคนนั้น..
“อะ..อะ” จิสตัสถึงกับตัวแข็งค้างเป็นก้อนหิน อยากจะสรรหาคำพูดมาอธิบายความรู้สึกของเขาในเวลานี้ ชิพเตอร์ที่เขาทั้งพูดจาดูถูกและเหยียดหยามเมื่อวันก่อน บัดนี้กลับแสดงแสนยานุภาพออกมาอย่างน่าเกรงขาม
‘ฉันจะโดนเอาคืนไหม! จะโดนฆ่าไหม แย่แล้วๆๆๆ ใครจะไปคิดว่าพอมันทำสัญญาแล้วจะโหดขนาดนี้วะ ฉันต้องโดนฆ่าแน่ๆๆ’ หนุ่มผมทองครุ่นคิดในใจในสภาพแตกตื่นสุดขีด
“เจ้าหนุ่มคนนี้มัน” โจนาธานฉีกยิ้มออกมาอย่างเบิกบานด้วยความยินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นสภาพโดยรวมองสนามรบในเวลานี้
พวกกรีดกำลังพากันหนีตายกันอย่างไม่มีแบบแผนไม่ต่างจากโบรกเกอร์ในเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าการโจมตีแค่ครั้งเดียวของไลท์จะส่งผลต่อสภาพจิตใจของพวกมันทุกตน ขนาดกรีดระดับสูงยังนิ่งสนิทคอยจับตาดูสถานการณ์อย่างระมัดระวัง
‘พวกมันกำลังสงสัยว่าจะมีคนที่โจมตีได้รุนแรงขนาดนี้อีกหรือไม่’
‘กระบวนทัพกำลังอ่อนแอลง ขวัญกำลังใจเริ่มหดหาย นี่มัน!’
“เป็นโอกาสแล้ว!” โจนาธานแสยะยิ้มก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ตะโกนออกมาสุดเสียงเพื่อกระจายข้อความที่จะพูดให้ทุกคนได้ยิน
“พวกมันกำลังอ่อนแอ! สหายทุกคน ใช้โอกาสนี้บุกตะลุยไปเลย!”
“โอ้ว!!!” เหล่าโบรกเกอร์ที่เริ่มฟื้นความมั่นใจกลับมากำอาวุธวิ่งเข้าสู่สนามรบ ในเวลาต่อมากำลังเสริมที่มีจำนวนนับพันก็เข้ามาสมทบกลายเป็นเทศกาลเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ครั้งใหญ่ที่ต้องจารึกลงในประวัติศาสตร์
ชายหนุ่มผมสีทองคำขาวได้แต่ยืนอยู่ท่ามกลางการต่อสู้อย่างเงียบงัน แววตาของเขาไม่ฉายแววเป็นประกายของชีวิตเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับมีบางสิ่งขาดหายไปจากร่างกาย
‘มันคืออะไรกันนะ?’ ไลท์คิดในใจ ตอนนี้ทุกอย่างมันขาวโพลนไปหมดคิดอะไรไม่ออก เขาก้าวเท้าออกไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งโดยไม่สนใจว่ากำลังอยู่ท่ามกลางสนามรบขนาดย่อมๆ
จากเดินก็เร่งความเร็วให้มากยิ่งขึ้นกลายเป็นวิ่ง วิ่งออกไปโดยไม่ลดละความเร็วเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งในที่สุดก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง
เป็นแค่บ้านไม้หลังเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่ได้กว้างใหญ่หรือโดดเด่นอะไร แถมยังเก่าจนคิดว่าวันใดวันหนึ่งถล่มครืนลงมาจะไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย แต่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ทั้งคิดถึงและอ้างว้าง
ถ้าเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่รอต้อนรับเขาจะเป็นอย่างใดกัน?
จะเป็นความว่างเปล่า หรือความอบอุ่นกัน
แม้จะทำสัญญาไปแล้ว แต่ภายในใจกลับกลัวที่จะเปิดประตูเข้าไปเหลือเกิน กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่ กลัวว่าจะไม่มีใครสักคนเอ่ยคำว่า [ยินดีต้อนรับกลับ]
ปากของชายหนุ่มสั่นเทา หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำขณะที่กำลังเอื้อมมือไปสัมผัสกับลูกบิดประตูอย่างเชื่องช้า พอดึงประตูออกมาก็พบกับภายในที่มืดสลัวแต่ลึกเข้าไปในบ้านมีแสงไฟลอดออกมาจากห้องแห่งหนึ่ง ตามด้วยเสียงหัวเราะของเด็กหญิงสองคนพร้อมกลิ่นหอมจากเตาถ่าน
“อึก!” ไลท์น้ำตาเริ่มปริ่ม ก้าวฝีเท้าเร่งวิ่งเข้าไปในบ้านจนเกิดเสียงกระทบดังต่อเนื่องเปิดเข้าไปยังห้องที่ว่า ทันใดนั้นเขาก็พบ..
“อ่าว ลูกไลท์ ทำไมมาช้าจังล่ะลูก” ใบหน้าอันยิ้มแย้มของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งทำให้หัวใจของไลท์เสมือนได้รับการปลดปล่อย
“ยินดีต้อนรับกลับ! ฮ่าๆๆๆ” เสียงอันแสนจะคุ้นเคยของผู้เป็นบิดาช่างให้ความรู้สึกคิดถึงมากกว่าครั้งไหนๆ พอเลื่อนมองอยู่ใกล้ๆ ก็พบน้องชายที่กำลังคีบเนื้อย่างบนกระทะเงยหน้ามองพร้อมคำพูดว่า
“มองอะไรของพี่ล่ะนั่น ขนลุกน่า! มากินกันเถอะ ไม่งั้นผมแย่งเนื้อหมดก่อนนะ”
“อะ..อืม”
“พี่ไลท์คะ!” เสียงหวานใสของเด็กหญิงสองคนดังขึ้นให้ชายหนุ่มต้องหันไปเหลียวมอง ใบหน้าอันน่ารักประดับไปรอยยิ้มร่าเริงราวกับดอกไม้แรกแย้มหันมามองที่เขาเป็นตาเดียวกัน พวกเธอยื่นสมุดปกฟ้ามาที่เขาจนไลท์ต้องย่อตัวลงดูอย่างช้าๆ
“คืออะไรงั้นเหรอ”
“เรียงความไงคะ! หนูบอกแล้วไงว่าถ้าเขียนเสร็จหนูจะเอามาให้พี่อ่านเป็นคนแรก”
“....”
“พี่ไลท์คะ?”
“หืม มีอะไรเหรอ”
“ทำไมพี่ไลท์ถึงร้องไห้ล่ะ?”
“เอ๊ะ?” ไลท์เบิกตาโพลงก่อนจะยกมือขึ้นแตะบนใบหน้า น้ำตามันไหลอาบไปทั่วแก้มตั้งแต่เมื่อใดเขาก็ไม่รู้สึกตัว ลมหายใจเริ่มหอบถี่รัวขึ้นตามด้วยเสียงที่อู้อี้ขึ้น ราวกับว่าความรู้สึกที่เก็บงำมาเริ่มปะทุออกมาจากภายในคราวเดียวกัน
“พี่ไลท์ ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ? เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“ไม่ใช่หรอก พี่แค่ดีใจน่ะ”
ดีใจมาก..จริงนะๆ
อีกทางหนึ่งบนสนามรบระหว่างโบรกเกอร์กับกรีด มีร่างสูงโปร่งของชายผู้หนึ่งจดจ้องสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน เจเรมี่กับสก็อตมุ่งหน้ามาหาเขาในทันทีที่พบเห็น ทั้งคู่วิ่งเข้ามาใกล้ก่อนจะย่อตัวลงอย่างนอบน้อมเป็นการทำความเคารพ
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ/ครับ บอส” ทั้งสองเอ่ยเสียงพร้อมกัน
“อา! ดูเหมือนพวกคุณจะเหนื่อยหน่อยนะ” ผู้ถูกเรียกว่าบอสยิ้มให้ทั้งสองก่อนจะส่งสัญญาณมือให้ลุกขึ้น
“ค่ะ เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สร้างความเหน็ดเหนื่อยให้แก่พวกเรามากพอตัว แต่ผลกำไรที่ได้ในครั้งนี้จัดว่าไม่เลว ดิฉันจะส่งตัวเลขให้บอสดู” เจเรมี่หยิบบัตรสีดำขึ้นก่อนจะใช้นิ้วแตะสัมผัสรูดออกส่งข้อมูลตรงไปยังหน้าจอแสดงผลที่อยู่ในมือของบอส เขามองตัวเลขก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“ฝ่ายเราเป็นคนพบตัวชิพเตอร์ใช่ไหม”
“ค่ะ เมซูลเป็นคนค้นพบเขา”
“แล้วตอนนี้เขาทำสัญญาแล้วสินะ น่าสนใจจริงๆ” เขาคลี่ยิ้มบางบนใบหน้าก่อนจะเหลียวมองไปยังพื้นที่โล่งกว้าง ที่นั่นมีร่องรอยของการระเบิดยาวเป็นร้อยเมตร อันเป็นผลจากการโจมตีของไลท์
“จับตาดูเขาต่อไป ดูเหมือนงานสอบอบรมเดือนนี้จะน่าสนใจไม่เลว”
ไลท์ ลินสตอร์มงั้นเหรอ จะลองไปชักชวนมาเป็นพรรคพวกดีไหมนะ?
หลายวันผ่านไป
นับตั้งแต่วันที่ไลท์ทำสัญญากับมาม่อน ทุกอย่างผ่านไปรวดเร็วราวกับโกหก เขาใช้ชีวิตกับครอบครัวได้อย่างคุ้มค่า เลิกมหาลัยวันไหนไม่มีงานพาร์ทไทม์ก็มุ่งตรงเข้ามาบ้าน ช่วยงานพ่อแม่ ช่วยน้องๆ ทำการบ้าน ทุกอย่างดำเนินไปราวกับว่า เรื่องราวของMoney Monsterเป็นเพียงความฝันเท่านั้น
แต่สิ่งที่ใช้ยืนยันว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ก็คือบัตรสีดำที่มีตัวอักษรเขียนตัวโตๆ ว่า [Money Monster Card] บัตรที่สามารถทำให้ใช้พลังของโบรกเกอร์ได้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาไลท์ก็ยังไม่ได้ใช้มันอีกเลย
ไลท์ได้แต่ครุ่นคิดต่อไปว่าชีวิตความเป็นอยู่หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ยังไม่ทันไรก็มีบุคคลหนึ่งได้เข้ามาหาเขาเอง
“เฮ้! พี่ชาย! ได้เวลาโดนผมเอาคืนแล้ว!” เสียงของแลงค์ดังขึ้นหลังจากเปิดประตูพรวดเข้ามาขณะไลท์กำลังทำรายงานอยู่ เขาได้แต่หันไปมองน้องชายด้วยท่าทีมึนงงไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“เอาคืนเรื่องอะไร”
“หึหึ เจ้ามารร้าย! ในที่สุดพี่ก็เผยจุดอ่อนมาแล้ว ตอนนี้ในที่สุดฉันก็ได้รู้สักทีว่าแท้จริงพี่ก็มีแฟนเหมือนกัน! ทีนี้พี่ก็แบล็กเมลผมไม่ได้อีกแล้ว เผลอๆ ต้องลิ้มรสชาติของการโดนสาวทิ้งอีกด้วย! ฮ่าๆๆๆ”
“แฟนบ้าอะไรกันฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง”
“อย่ามาทำเป็นไขสือ! มีสาวสวยมารอที่หน้าบ้าน คิดจะตบตาน้องชายคนนี้ได้งั้นเรอะ เรื่องนี้ต้องถึงหูแม่แน่นอน! และพี่ก็จะถูกบังคับให้พาแฟนมาเข้าบ้าน พี่จะรู้ว่านรกที่แท้จริงเป็นยังไงกันแน่! จงโดนสิ่งที่ผมโดนมาตลอดซะเถอะ แล้วจะได้รู้ว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน”
“ไร้สาระแล้ว ฉันมีแฟนซะที่ไหน เพื่อนผู้หญิงยังมีนับคนได้แถมยัยพวกนั้นก็ไม่สนใจจะมาเหยียดที่บ้านเราสักก้าว” ไลท์ลุกขึ้นด้วยใบหน้าเอือมระอา ไม่ว่าจะคิดยังไงน้องชายเขาก็กำลังเข้าใจผิดอยู่ชัดๆ เลยต้องไปดูสักหน่อยว่าผู้หญิงคนไหนที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น
พอมาถึงใกล้ประตูก็ได้ยินเสียงของไอลิกับรินะดังเจี๊ยวจ๊าวดังออกมาจากหน้าบ้าน พอเปิดประตูออกไปก็ต้องพบกับภาพตรงหน้า
“นี่ๆ พี่สาวมีตาสองสีเหรอคะ เป็นตั้งแต่เกิดเหรอ? หรือว่าใส่บิ๊กอาย”
“เป็นตั้งแต่เกิด”
“ผิวของพี่สาวขาวจัง ใช้สบู่อะไรเหรอคะ”
“ใช้สบู่ทำเอง มาซื้อที่ร้านพี่ได้นะ”
“พี่สาวผอมจัง ทำยังไงเหรอ-”
“ผมพี่สาวสวยจัง ใช้แชมพูอะไรเหรอคะ”
“พี่สาว—”
“....” ไลท์ได้แต่ยืนนิ่งให้แก่บทสนทนาของสาวๆ ที่เปรียบเสมือนมีป้ายเตือนเอาไว้ว่า [บุรุษอย่าริอาจสอด] แต่ที่เขากำลังอึ้งอยู่จริงๆ ก็คือ ทำไมน้องสาวฝาแฝดของเขากลับไปคุยกับหญิงสาวผมบลอนด์เงินคนนั้นได้อย่างสนิทสนมรวดเร็วขนาดนั้นล่ะ!
“อ่าว! พี่ไลท์ออกมาแล้ว” เสียงของหนึ่งในสองสาวฝาแฝดเอ่ยขึ้นทำให้ชายหนุ่มตกเป็นเป้าสายตาอย่างรวดเร็ว เมซูลเงยหน้าเข้ามาสบตาเขาอย่างพอดีทำให้ไลท์ยิ้มเจื่อนโบกมือเบาๆ ให้เป็นการทักทาย
“ไง”
“สวัสดี” เมซูลเอ่ยและผงกศีรษะเบาๆ
“ชื่อไอลิกับรินะใช่ไหม ถ้าว่างก็ขอให้พี่ชายพาไปร้านของพี่ได้นะ เดี๋ยวจะให้ส่วนลดเป็นกรณีพิเศษ”
“ว้าว! จริงเหรอคะ”
“ดีใจจังเลยๆ”
“ส่วนนาย มีเวลามาคุยกับฉันเดี๋ยวเดียวได้ไหม”
“ได้สิ” ไลท์พยักหน้าเอ่ยเป็นคำตอบ หลังจากนั้นหญิงสาวก็พาเขาไปคุยธุระกันให้ห่างจากบริเวณบ้านโดยเร็ว เสมือนกับไม่อยากให้เรื่องที่คุยหลุดไปถึงหูของครอบครัวลินสตอร์ม
เมซูลกับไลท์เดินมาถึงที่สวนสาธารณะและนั่งคุยกันบนชิงช้าก่อนจะเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลกันไปมา หลังจากที่ไลท์บอกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ทำสัญญาอย่างละเอียดให้เธอได้ฟัง หญิงสาวก็ทำหน้าตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะหลุดคำออกมาว่า
“บ้าดีเดือดเกินไปแล้ว”
“เหอะๆ”
“นายรู้ใช่ไหมว่าถ้าเกิดแพ้พนันกับมาม่อนขึ้นมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่แค่หมดโอกาสช่วยครอบครัว แต่ชะตากรรมของนายก็จะถูกช่วงชิงไปด้วยนะ”
“ฉันรู้แต่ว่า..ตอนนั้นคิดแค่ว่าจะทำยังไงให้ตัวเองมีความพร้อมที่สุด และฉันก็ได้มันมา” ไลท์เอ่ยก่อนจะแบมือออกมาอย่างเชื่องช้า
“ฉันสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างในร่างกายตัวเองเปลี่ยนไป เสมือนกับว่ามีคลื่นเล็กๆ กระจายไปทั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า”
“ใช่ พอได้ทำสัญญาและกลายเป็นโบรกเกอร์ พละกำลังและความเร็วในการฟื้นฟูบาดแผลจะเพิ่มขึ้น รับความเสียหายและทนต่ออาการบาดเจ็บได้มากขึ้น เรียกว่ากลายเป็นยอดมนุษย์เลยก็ว่าได้” เมซูลอธิบายเพิ่ม
“มากถึงขนาดไหน?”
“ที่จริงก็ไมได้มากหรอกนะ อย่างน้อยถ้าถูกตัดแขนขาก็งอกมาใหม่ไม่ได้ ถ้าสมองถูกทำลายหรือหัวถูกตัดออกก็หมดสิทธิ์รอด แต่หมดสิทธิ์พิการหรือป่วยเป็นโรคร้ายแน่นอน เรื่องนี้ฉันรับประกัน”
“อื้ม! สะดวกสบายกว่าที่คิดแฮะ”
“ที่จริงฉันมีเรื่องจะสารภาพ..”
“?”
“พอได้คุยกับน้องสาวนาย ได้เห็นน้องชายของนาย ฉันก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น” เมซูลเอ่ยก่อนจะนำมือมานาบที่หน้าอกอย่างเชื่องช้า สายตาสองสีสอดประสานเข้ากับดวงตาของชายหนุ่มก่อนจะกล่าวออกมา
“มันทำให้ฉันได้เข้าใจว่าสำหรับนาย ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมากขนาดไหน ฉันให้อภัยตัวเองไม่ได้ที่พลาดพลั้งให้พวกเขาต้องตาย แถมตอนแรกมีความคิดจะให้นายไม่ใช้เหรียญเพื่อจะได้ครอบครองทรัพยากรก้อนโต ฉัน..”
“ไม่เอาน่า! ถ้าจะมาพูดแค่นี้ก็กลับไปเถอะ” ไลท์กล่าวตัดประโยคส่งผลให้หญิงสาวหยุดซะงักคำพูดลงพร้อมทำหน้าตาตกใจเล็กน้อย
“พูดตามตรงเรารู้จักกันจริงๆ ได้ไม่นานแต่ฉันมีความสุขนะที่ได้รู้จักเธอ สารภาพเลยเหมือนกันว่าเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ฉันรู้สึกดีด้วยมากขนาดนี้ เพราะว่าในตอนที่ฉันอยู่ในห้องขังนั่น เธอเป็นคนเดียวที่โผล่มารับฟังฉันล่ะมั้ง” ไลท์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นตื่นเต้นพลางเกลาแก้มอย่างเขินอาย ส่งผลให้ใบหน้าของหญิงสาวที่นิ่งดุจน้ำแข็งเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย
“เฉพาะฉะนั้นช่างมันเถอะ! เรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วยังไงก็แก้อะไรไม่ได้ ทำอนาคตให้ดีที่สุดก็พอ”
“อืม..นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้น” พูดจบประโยคเธอก็หยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋า มันเป็นบัตรที่ทำจากพลาสติกสีขาวดูสะอาดตา เขียนตัวอักษรไว้ด้วยตัวอักษรสีดำด้วยฟอร์นสละสลวยที่มีตั้งแต่ชื่อ ที่อยู่ อีเมล จนกระทั่งเบอร์โทรศัพท์มือถือ พริบตาที่เมซูลยื่นมาให้ไลท์ชายหนุ่มก็ทำตาโตในทันที
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็ติดต่อมาได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สัญญาว่าจะช่วยอย่างเต็มที่”
“อา ขอบคุณมากนะ” ไลท์ยิ้มกล่าวขอบคุณก่อนจะหยิบบัตรมาจากเมซูล เมื่อธุระหมดลงหญิงสาวก็ไม่มีธุระอะไรให้ทำต่อ เธอลุกขึ้นยืนก่อนจะโบกมือลาเขาแล้วเดินหายไปอย่างรวดเร็ว และเป็นครั้งแรกที่ไลท์ได้สังเกตเธอแบบเต็มตา
และได้รับรู้ความเป็นผู้หญิงจริงๆ จากภายในตัวของเมซูลอย่างแท้จริงเสียที ไลท์จดจ้องมองบัตรที่ได้รับไปมาอย่างสนใจ พอมีความคิดจะหยอกแซมและเพื่อนฝูงให้อกแตกตายไปข้างโดยการเซ็นเซอร์บัตรและส่งไปให้พวกนั้นดู ก็ได้ยินเสียงหนึ่งกระซิบที่ข้างหู
“ได้นามบัตรส่วนตัวจากหญิงสาวทำให้ท่านปลาบปลื้มมากถึงเพียงนี้เชียวหรือครับ ท่านไลท์”
“เหวอ!” ไลท์สะดุ้งโหยงจนตกชิงช้าแล้วตวัดสายตาไปมองไอ้เจ้าของเสียงที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาแบบไม่บอกกล่าว พบเห็นชายรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทอันแสนจะคุ้นหน้าคุ้นตาคนหนึ่ง เขาชี้ไปที่คนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“อเดมัส!”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจดจำกระผมได้ นายธนาคารแห่งความมืด อเดมัสยินดีรับใช้ท่านครับ”
“มาได้ไง!”
“ไม่เห็นแปลกอะไรเลยนี่ครับ โบรกเกอร์ทุกคนจะมีนายธนาคารแห่งความมืดเป็นคู่ค้าเสมอ กระผมกับท่านไลท์ก็เช่นกัน กระผมได้รับคำสั่งจากท่านมาม่อนให้กลายเป็นนายธนาคารแห่งความมืดส่วนตัวของท่านไลท์ ธุระที่เกี่ยวกับการเงินการบัญชีของท่าน กระผมจะเป็นผู้ดูแลให้อย่างเต็มที่” อเดมัสเอ่ยรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะย่อตัวลงเป็นการแสดงความเคารพ รู้สึกติดขัดชอบกลแต่ก็ไม่อยากพูดอะไรออกไปให้เสียบรรยากาศ
‘นี่เราต้องโดนเจ้าหมอนี่จองเวรจองกรรมไปถึงไหนนี่’
“หลังจากวันนี้เป็นต้นไป กระผมขอเรียกท่านไลท์ว่า[นายท่าน]จะได้หรือไม่ครับ?”
“ตามใจแกสิ” ไลท์กัดฟันเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ถ้าเช่นนั้นนายท่านของกระผม วันนี้ครบกำหนดแล้ว ตามสัญญาท่านจะได้กลายเป็นโบรกเกอร์อย่างเต็มตัว กระผมมีหน้าที่พาท่านเข้าสู่โลกใบใหม่ ดินแดนที่เหล่านักลงทุนไปรวมตัวกัน [วอลสตรีท]”
“วอลสตรีท?”
“ครับ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปในฐานะโบรกเกอร์ ท่านจำเป็นต้องเข้าออกสู่วอลสตรีทเสมือนเป็นบ้านหลังที่สอง เพราะมีประโยชน์หลายประการที่ท่านจะได้รับจากสถานที่แห่งนั้น”
“ก็ได้ แล้วจะไปเมื่อไหร่”
“ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี”
“ถ้าเช่นนั้นล่ะก็..” อเดมัสเผยรอยยิ้มก่อนจะสะบัดมือเบาๆ หนึ่งที รถแท็กซี่สีดำวิ่งแล่นออกมาจากกลางอากาศจอดเทียบใกล้ถนนที่อยู่ไม่ไกล เป็นแท็กซี่ชนิดเดียวกันกับที่เมซูลเรียกออกมาหลังจากที่ช่วยไลท์ไว้จากการไล่ล่าของกรีด
“เชิญขอรับ” อเดมัสเปิดประตูออกให้ไลท์ได้เคลื่อนตัวเข้าไปนั่ง เมื่อประตูปิดลงร่างของนายธนาคารแห่งความมืดก็แวบมาอยู่ที่นั่งข้างคนขับตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
“วันนี้ต้องการไปที่ไหนดีครับ นายท่าน?” คนขับรถหันมากล่าวกับไลท์ด้วยใบหน้าเป็นมิตร อเดมัสจึงเอ่ยตามว่า
“นายท่านของกระผม โปรดเอ่ยว่า[มุ่งหน้าสู่วอลสตรีท]ครับ”
“อา..”
มุ่งหน้าสู่วอลสตรีท