ตอนที่แล้วบทที่ 7: ชุมชนประตูตะวันตก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9: ความจริงของคดี

บทที่ 8: ชะตาอาภัพของเฉินเจียว


บทที่ 8: ชะตาอาภัพของเฉินเจียว

ที่หอซือเซียนเวลานี้ นับเป็นช่วงเวลาของการพักผ่อน หญิงคณิกาหลายคนหากไม่ออกไปข้างนอกก็อยู่ทานข้าวกันในหอ ไม่มีลูกค้าตกค้าง ยกเว้นเพียงจอมยุทธ์ไป่ที่เป็นคนนอกของสถานที่แห่งนี้เพียงคนเดียว

เขาเก็บตัวอยู่ในห้องๆ หนึ่งตามความต้องการของโจวหม่าจง ทำอะไรไม่ได้นอกจากเพียงแค่รอ และเพราะเรื่องที่เกิดมีหลายส่วนที่ยังไม่เข้าใจจึงยอมทำตาม หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่เป็นเช่นนั้น

ระหว่างนี้เลยใช้เวลาเพื่อขบคิด ใจรู้แน่ชัดว่าสิ่งที่กระทำการฆ่าคนในตอนนี้ไม่ใช่คนด้วยกัน ทว่าจะเป็นอะไร แม้ตัวเขาที่เคยพบเจอเรื่องแปลกประหลาดมามากมายก็ยังยากจะคาดเดา ถ้าคนที่เขาตามหาอยู่ด้วย อะไรๆ คงชัดเจนกว่า

เสียงโหวกเหวกด้านนอกดังเอะอะจนทำให้ต้องลุกไปดู สิ่งที่เห็นคือสตรีนางหนึ่งโวยวายกรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่ง ในมือนางมีมีดปลายแหลมกวัดแกว่งไปมา ทำให้บ่าวรับใช้และเพื่อนคณิกาด้วยกันต่างหวาดกลัวส่งเสียงร้องอื้ออึง

“ซื่อเหนียงใจเย็นๆ วางมีดลงก่อน!”

“เข้าไปจับนางไว้สิ!!”

“นางบ้าไปแล้ว”

“อย่าเข้ามา ข้ากลัวแล้ว ข้ากลัวแล้ว” ประโยคนี้สตรีนามซื่อเหนียงเป็นคนพร่ำเพ้อเอง

จอมยุทธ์ไป่เห็นเช่นนั้นจึงก้าวออกจากห้อง ผู้คนเมื่อพบเห็นต่างแหวกทางให้เขาเดิน ซื่อเหนียงเห็นอีกฝ่ายยิ่งหวาดกลัวใช้มีดในมือแทงใส่ เสียงคนรอบข้างหวีดร้อง จอมยุทธ์ไป่ใช้เพียงสองนิ้วคีบไว้ก็หยุดการโจมตีได้ นางเห็นเช่นนั้นยิ่งร้อนรนพยายามยื้อแย่งมีดให้พ้นจากพันธนาการ พลันปลายแหลมของคมมีดถูกบิดจนหักคานิ้วทั้งสอง

เมื่ออาวุธเป็นอิสระ แม้จะบิ่นหัก แต่ความคมยังหลงเหลืออยู่ ซื่อเหนียงหันปลายมีดเข้าลำคอก่อนจะแทงใส่ตัวเอง ผู้คนส่งเสียงร้องอีกครั้ง ทว่าจอมยุทธ์ไป่ใช้มือเพียงข้างเดียวหมุนวนรอบอาวุธเกิดลมปราณบีบอัดจนมีดนั้นบิดงอส่งผลให้นางต้องปล่อยมือ ท่ามกลางความตื่นตะลึง เขาใช้มือข้างเดิมสกัดจุดแถวท้ายทอยจนซื่อเหนียงหมดสติไป

เหมือนเหตุการณ์สงบลง เย่วหลานรีบสั่งให้บ่าวในหอพาซื่อเหนียงไปดูแล นางเอ่ยขอบคุณจอมยุทธ์ไป่ วางท่าเป็นคนดูแลหอซือเซียน

“ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ ไม่ทราบว่าท่านคือ...?”

“เขาแซ่ไป่ เป็นคนของรองหัวหน้าจงครับ ท่านรองขอให้เขาพักอยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวจัดการธุระเรียบร้อยจะมารับตัวไป” บ่าวคนหนึ่งบอกนาง เย่วหลานได้ฟังก็ยิ้มแย้มเข้าใจ

“รบกวนท่านไป่แล้วจริงๆ”

“ข้าแค่ทำในสิ่งที่ควร นาง...เป็นอะไร”

“ซื่อเหนียงปกติคุ้มดีคุ้มร้าย ใครพูดไม่เข้าหูก็พาลด่าทอเป็นปกติ แต่เมื่อคืนกับวันนี้เกิดเหตุมากมาย คงทำให้นางยิ่งผิดเพี้ยน ขอท่านไป่อย่าได้ใส่ใจ” จอมยุทธ์ไป่มองตามร่างของซื่อเหนียงที่ถูกประคองไป ท่าทางยิ่งครุ่นคิด “ข้าว่าเราไปดื่มสุราเพื่อผ่อนคลายกันดีกว่าไหม จะได้ถือโอกาสขอบคุณท่านที่ช่วยคลี่คลายเรื่องราวเมื่อครู่”

เย่วหลานคิด คนผู้นี้ท่าทางเก่งกล้าสามารถ ซ้ำยังเป็นคนรู้จักของเจ้าหน้าที่ หากได้ไว้เป็นคนของตนคงง่ายต่อการทำการใดๆ ในภายหน้า

ไม่เพียงไม่ตอบคำถาม จอมยุทธ์ไป่กลับไม่สนใจเย่วหลาน สลัดแขนของนางที่เกาะกุมออกจากตัวก่อนจะเดินตามบ่าวที่ประคองซื่อเหนียงเข้าไปในห้องพักของนางเอง เย่วหลานนิ่วหน้าไม่พอใจ แต่ก็ยังเดินตามไป

“ช้าก่อน” จอมยุทธ์ไป่เอ่ยขึ้นก่อนที่ร่างของซื่อเหนียงจะพ้นเข้าไปในห้อง เขาให้ทุกคนถอยห่างออกมาแล้วก้าวเข้าไป

ภายในเงียบเชียบ ราวกับไม่มีอะไร แต่คนที่ยืนอยู่ไม่คิดเช่นนั้น เขาล้วงเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบยันต์ใบหนึ่งออกมา มิคาดคิดพริบตายันต์ใบนั้นลุกไหม้ด้วยไฟสีดำ เสียงคนนอกห้องส่งเสียงอื้ออึง

“ที่นี่ไม่ปลอดภัย” จอมยุทธ์กล่าวขึ้น ไม่ทันจะได้อธิบายต่อ เกิดเสียงกรีดร้องของใครคนหนึ่ง เย่วหลานตกใจ

“เย่วเล่อ!” นางอุทานแล้วรีบวิ่งไป จอมยุทธ์ไป่รีบวิ่งตามไปทันที

เมื่อเขาวิ่งมาถึงที่หมายคือห้องของเย่วหลาน ภาพภายในปรากฏสิ่งที่ไขความกระจ่างของสิ่งชั่วร้ายที่ก่อเรื่องราวในครั้งนี้

เย่วเล่อถูกศีรษะของเฉินเจียวที่กลายเป็นผีไร้ร่างเกาะกุมอยู่ตรงบริเวณหัวไหล่ เด็กน้อยถูกลิ้นยาวนั่นตวัดรัดรอบคอ ปากของผีร้ายง้างกว้างจนขากรรไกรฉีกขาด ฟันแหลมคอกำลังจะกระชากเนื้อตรงใบหน้าของเหยื่อ

เย่วหลานและคนอื่นๆ ที่เพิ่งวิ่งตามมาทัน เมื่อได้เห็นภายในห้องก็กรีดร้องหวาดกลัวกันอย่างสุดเสียง จอมยุทธ์ไป่ยกอาวุธขึ้นตวัดด้ามดาบเข้าหาตัวอยู่ในระดับสายตาก่อนจะสะบัดฝักดาบพุ่งใส่ผีร้าย มันโดนกระแทกอย่างเต็มแรงจนคลายลิ้นที่รัดเย่วเล่อ เขาใช้จังหวะนั้นพุ่งเข้าใส่หวังฟาดฟันแต่มันว่องไวหลบหนีกระโจนหายออกไปจากห้อง จนคนที่มุงอยู่ต่างวิ่งกระเจิงกันจนอลหม่าน

จอมยุทธ์ไป่ที่ตั้งใจจะตามไปจึงไม่สามารถทำได้ เย่วเล่อหมดสติล้มลงกับพื้น เขารีบเข้าประคอง เย่วหลานรีบวิ่งมาดูน้องสาว ไม่คาดคิดว่าการพาน้องมาอยู่ด้วยจะกลายเป็นภัย หญิงคณิการ้องไห้เศร้าโศก จอมยุทธ์ไป่ตรวจดูอาการไม่พบบาดแผลภายนอก จึงบอกให้อีกฝ่ายสบายใจว่าน้องของนางปลอดภัย

 

............................

 

จอกเหล้าถูกยกขึ้นดื่มแล้ววางลงเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่อาจทราบได้ เพราะกระทั่งหม่าซือเต้าที่กำลังร่ำสุรานั้นอยู่ก็ไม่ได้ตั้งใจนับมัน เวลานี้สิ่งที่เขาคิด มีเพียงเรื่องราวระทมทุกข์ในอดีตเท่านั้น

นอกจวนเด็กแซ่เฉินที่แอบเร้นกายเข้ามา ยังคงหลบซ่อนอยู่ เด็กน้อยจับจ้องมองเป้าหมาย ได้ยินเสียงรำพึงเรียกนามพี่สาวของตัวเองจากคนที่เริ่มจะเมามาย

“เฉินเจียว เฉินเจียวววว ข้าคิดถึงเจ้า ใยต้องเกิดเรื่องเช่นนี้” เสียงนั้นปนกับน้ำตาและคำสะอื้น สองคนคิดถึงเรื่องเดียวกันทว่าต่างมุมมอง

 

.........................

 

ช่วงเวลา... ในอดีต หลังเกิดเรื่องราวมากมายกับพี่สาวอย่างเฉินเจียว เด็กน้อยไม่รู้อะไรมากมายนอกจากเข้าใจว่านางไปแต่งงานที่เผ่าชิ จึงทำได้เพียงคิดคำนึงถึงเท่านั้น ทว่าความจริงกลับไม่ใช่เช่นนั้น

เมื่อเวลาผ่านเด็กน้อยโตขึ้นจนรู้ความ ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปเที่ยวที่นอกจวนเพียงลำพัง เด็กน้อยพบเห็นพี่สาวของตัวเอง เปลี่ยนชื่อจากเฉินรั่วจีเป็นเฉินเจียว อาศัยอยู่กินกับคนที่ชื่อหม่าเหอตง แรกทีเดียวเด็กน้อยนึกว่าตนเองจำผิดคิดว่าเป็นคนที่หน้าคล้ายกัน เพราะพี่สาวที่ได้ไปเป็นสนมเอกของเผ่าชิไม่น่าจะต้องมาตกอับกลายเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา

เด็กน้อยคอยลอบติดตามดูทุกรั้งที่สามารถหาโอกาสออกจากจวนได้ นั่นเป็นเหตุให้เฉินหวางหลุน ผู้เป็นบิดานึกสงสัยจนให้คนสะกดรอยอีกที

จนหวางหลุนรู้ว่าเฉินเจียวที่สาบสูญไปนานหลายปีมาอยู่กินกับคนของตระกูลที่ตัวเองเกลียดชัง จึงสั่งคนของตนให้ไปจับตัวนางกลับมา

เด็กแซ่เฉินดีใจที่ได้พบพี่สาวตนเองอีกครั้ง ทว่านางกลับไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกัน เด็กน้อยมองเห็นแววโศกเศร้าในดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่ร่ำไห้ทุกวันทุกคืน จนทำให้รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้บิดาไปพบนางและต้องพรากจากคนรัก แม้จะไม่เข้าใจปัญหาใหญ่หลวงทั้งหลาย แต่เด็กน้อยอยากให้พี่สาวมีแต่รอยยิ้มและความสุขเฉกเช่นเดียวกับที่เคยเป็นมา

ค่ำคืนหนึ่งเด็กน้อยจึงลอบปล่อยให้พี่สาวของตัวเองหนีออกไปจากการถูกกักขังและนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ครอบครัวของเด็กน้อยพบกับโศกนาฏกรรมจนสิ้นสกุล

 

...........................

หม่าซือเต้าในอดีตเป็นเพียงคุณชายรองของสกุลหม่าที่มีนิสัยไร้ความทะเยอทะยาน วันๆ หนึ่งเขาใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เหตุเพราะหม่าซือห่าว พี่ชายที่เป็นถึงอุปราชในวังมีนิสัยเด็ดขาดจึงจัดการทุกอย่างโดยที่เขาไม่ต้องมานั่งแบกรับปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นกับครอบครัว

กระทั่งวันหนึ่งหม่าเหอตงลูกชายบุญธรรมของตนเอง ซึ่งแท้จริงเป็นลูกนอกสมรสของพี่ชายหม่าซือห่าวกับบ่าวรับใช้ ได้กลับมาหลังจากที่หายสาบสูญไปกับขบวนเจ้าสาวเมื่อหลายปีก่อน

กล่าวถึงตรงนี้สักเล็กน้อย อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่าสองพี่น้องแตกต่างกัน และซือเต้าแทบไม่มีอะไรเทียบพี่ชายได้เลย ยกเว้นเพียงข้อหนึ่งที่เขารู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือพี่ชาย คือการรับเหอตงเป็นบุตรบุญธรรมและถึงเวลานั้นตัวซือเต้าจะไม่ใช่คนเอาไหน แต่ก็รักเหอตงเหมือนคนในครอบครัวคนหนึ่ง

ในขณะที่ซือห่าวชั่วชีวิตไม่เคยทำเรื่องผิดพลาด ทะนงตัวอยู่เหนือคนอื่น การมีเหอตงจึงนับเป็นรอยด่างพร้อยในชีวิต เขาไม่ต้องการลูกคนนี้แม้จะยกให้กับน้องชายไปแล้วก็ยังรู้สึกขัดหูขัดตาทุกครั้งที่ได้เห็น

ครั้งหนึ่งตอนที่เหอตงยังเล็ก ฝึกพูดได้ไม่แข็งแรงดี เด็กน้อยเรียกซือห่าวว่าพ่อเพราะไม่รู้ความ กลับถูกซือห่าวที่บันดาลโทสะตบจะกระเด็นจนซือเต้าต้องเข้ามาห้ามปราม

หลังจากนั้นเหอตงก็ยิ่งเป็นที่เกลียดชังจากบิดาที่แท้จริง ไม่เคยได้รับการสนับสนุนใดๆ กระทั่งโตจนได้เข้ารับราชการ กว่าจะไต่เต้าเป็นนายกองทหารก็อาศัยความสามารถของตนเอง ทว่าหลังออกไปปฏิบัติหน้าที่ก็กลับสาบสูญจนคนในครอบครัวอย่างปู่ ย่าและบิดาบุญธรรมอย่างซือเต้าต้องโศกเศร้า

เมื่อเหอตงกลับมาย่อมนำความยินดีมาให้กับคนในครอบครัว ยกเว้นซือห่าว ยิ่งเมื่อรู้ว่าที่อีกฝ่ายหายไปนั้นเป็นเพราะเหตุใด เขายิ่งเต็มไปด้วยโทสะ เวลานั้นซือห่าวคิด ว่าถึงหวางหลุนจะไม่กล้าเอาความเพราะอับอายที่ลูกสาวตัวเองหนีไปอยู่กินกับเหอตง แต่ปัญหานี้สักวันยังไงก็ต้องย้อนกลับมาทำลายตัวเขาเองแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงคิดตัดไฟแต่ต้นลม

 

..........................

 

ซือเต้าได้พบกับเฉินเจียวครั้งแรกในคืนหนึ่งที่นางหนีออกมาจากบ้านหลังถูกบิดาพรากจากเหอตง นางมาที่จวนเพื่อร้องขอให้ได้พบคนรัก ทว่านางมาช้าไป เหอตงตายไปแล้ว...

จดหมายฉบับหนึ่งถูกแอบส่งให้นางโดยบ่าวที่สนิทกับเหอตงมาตั้งแต่เด็ก เป็นคำสั่งเสียที่เขาขอให้อีกฝ่ายช่วยเขียนก่อนสิ้นใจ แม้การตายของเขาจะไม่เป็นที่เปิดเผย แต่ในจดหมายนั้นระบุชัดว่าคนที่ฆ่าตนเองคือบิดาผู้ให้กำเนิด เฉินเจียวผู้ไม่รู้อะไรเพราะสองคนแม้อยู่กินฉันท์สามีภรรยา แต่ไม่เคยพูดถึงเรื่องราวอดีต ด้วยตั้งใจว่าจะลืมทุกสิ่งแล้วเริ่มต้นใหม่โดยมีเพียงกันและกัน มิคาดคิดจุดนี้นำความเข้าใจผิดมาให้นาง

แรกรู้สึกซือเต้านึกสงสาร ตั้งใจดูแลนางโดยไม่มีประสงค์อื่นใด ทว่าเมื่อซือห่าวที่อยู่ในวัง รู้เข้าว่าเฉินเจียวมาที่จวนจึงจัดฉากใส่ร้ายนำภัยไปสู่สกุลเฉิน

ด้วยการเท็จทูลต่อจักรพรรดิโดยเหตุผลที่ว่า ลูกสาวของเฉินหวางหลุนเป็นคนจัดฉากการล่มแผนขบวนแต่งงาน หาคนปลอมแปลง แอบอ้างเป็นโจร ทำให้มีคนตาย ซ้ำยังใส่ร้ายเผ่าชิ หากความนี้รู้เข้าถึงอีกฝ่ายย่อมนำภัยมาสู่ประเทศและเพราะเกรงภัยจะมาสู่ตัว จึงจัดการฆ่าหม่าเหอตงที่รู้แผนนี้เข้าในภายหลัง ทำให้หลานของตัวเองต้องสิ้นใจ

หวางหลุนรู้แล้วว่าตนเองพลาดท่า แม้ทุกส่วนไม่ถูกต้อง แต่ที่ถูกต้องก็มีหลายส่วนและเกิดจากตนเองจริงๆ เขาจึงยอมรับโทษด้วยความภักดี จักรพรรดิสั่งริบทรัพย์และเนรเทศทั้งครอบครัว ทว่าสกุลเฉินไม่มีโอกาสรับโทษนั้น เมื่อโจรที่ซือห่าวส่งมาบุกเข้าไปปล้นที่จวน จนเกิดเหตุสังหารหมู่ครั้งใหญ่

เฉินเจียวพาน้องหนีออกมาได้เพียงเท่านั้น น่าเสียดายที่นางเข้าใจผิดคิดว่าหม่าซือเต้าเป็นผู้บงการ จึงทำให้น้องก็เข้าใจเช่นนั้น สองชีวิตสิ้นไร้หนทางซ้ำมีอาญาแผ่นดินติดตัว เฉินเจียวตัดสินใจไปเป็นหญิงคณิกา มีเป้าหมายสองอย่างในชีวิต หนึ่งเลี้ยงดูน้องให้ดี สองหวังล้างแค้นให้ครอบครัวและสามี

ซือเต้ารู้ทุกเรื่องที่พี่ชายกระทำ สองคนตัดขาดกัน เขาเดินทางห่างไกลประสบความสำเร็จในการค้าเพราะช่วงที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยคบหาเพื่อนฝูงมากมายทั้งขุนนาง เมื่อมาถึงหัวเมืองแห่งนี้จึงได้พบเฉินเจียวอีกครั้งและแม้จะรู้ว่าถูกอีกฝ่ายเคียดแค้นก็แสร้งทำเป็นจำไม่ได้ คอยช่วยเหลืออุ้มชูจนสุดท้ายจากความรู้สึกผิดและสงสารกลายเป็นหลงรักปักใจ

.........................

 

เมื่อรำลึกย่อมเจ็บช้ำ เมื่อเจ็บช้ำย่อมอาลัย ยิ่งคิดคำนึงเท่าไหร่ก็ยิ่งเมามาย เด็กแซ่เฉินเห็นศัตรูท่าทางเช่นนั้นซ้ำยังอยู่เพียงลำพัง จึงออกจากที่ซ่อนเร้นหวังสังหารอีกฝ่ายอย่างที่ตั้งใจมานาน

มือน้อยกำมีดที่แอบไปขโมยมาจากโรงครัวไว้แน่น สองเท้าเล็กๆ เดินเข้าหาศัตรู ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับมีน้ำตาอาจเป็นเพราะกลัว อาจเป็นเพราะแท้จริงเด็กน้อยไม่คิดอยากล้างแค้น แต่กลับถูกพี่สาวอบรมจนฝังใจ ไม่ว่าจะเป็นหนทางไหน เด็กน้อยก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก

มิคาดคิด ยังไม่ทันที่เด็กแซ่เฉินจะได้เข้าใกล้อีกฝ่าย กลับปรากฏบางสิ่งขึ้นเสียก่อน บางสิ่งนั่นเป็นศีรษะของคนผู้หนึ่ง เด็กน้อยมองเห็นใบหน้านั้นไม่ชัดเพราะผมที่ยาวปรกลงมาปิดบังโฉม มันโจมตีเข้าใส่โดยใช้สิ่งที่คล้ายกระดูกซึ่งยื่นออกมาจากรอบรอยแผลตรงลำคอแทนขาในการเคลื่อนไหว ใช้ลิ้นยาวตวัดเกาะเกี่ยวเป้าหมาย ก่อนจะใช้ฟันแหลมคมกระชากเนื้อของเหยื่อ

มันโจมตีเข้าใส่หม่าซือเต้าที่ยังคงสับสนมึนงง ทว่าไม่สามารถฝ่ากำแพงของคาถาที่ไป่ยู่ลงสลักไว้ในจวนได้ ผีไร้ร่างกรีดร้องก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมาย เด็กแซ่เฉินเห็นเช่นนั้นแม้กลัวก็ไม่กล้าหนี ทำได้เพียงกวัดแกว่งมีดไปมาเพื่อป้องกันตัว ศีรษะนั่นกระโจนเข้าใส่

มิคาดคิด ซือเต้าวิ่งออกมาจากจวนใช้ตัวปกป้องเด็กน้อยไว้จนตัวเองได้รับบาดเจ็บแทน ระหว่างสถานการณ์คับขัน ซือเต้าใช้ยันต์ที่ไป่ยู่ให้ไว้ขว้างออกไปพลันกลายเป็นปักษาเพลิงโจมตีผีร้ายจนมันหนีหายไปในที่สุด เขาลูบใบหน้าอีกฝ่าย รู้ดีว่าเป็นน้องของคนที่ตนปักใจ ก่อนที่จะทนพิษบาดแผลฉกรรจ์ไม่ไหว เขาสั่งบ่าวที่วิ่งมาดูเพราะเกิดเสียงดัง ว่าให้ไปตามไป่ยู่กลับมา

.........................

 

ที่กองปราบ เมื่อหม่าจงพาทุกคนกลับมาจากชุมชนประตูตะวันตก เขาสั่งให้ตามหมอมารักษาอาการคนเจ็บ ไป่ยู่ถูกพาไปที่พักฟื้นที่ห้องรับรองซึ่งมีหนานจิ่นสือพักอยู่ก่อน หมอบอกกับหม่าจงหลังตรวจร่างกายไป่ยู่ว่าคนผู้นี้ร่างกายไม่ปกติ มีหลายส่วนบอบช้ำ ชีพจรสับสน หากเป็นทั่วไปไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ เวลานี้ทำได้เพียงจัดยาบำรุงและให้นอนพัก

หม่าจงขอบคุณท่านหมอก่อนให้ลูกน้องไปส่ง พอคนบาดเจ็บทุกคนได้รับการรักษา มีเพียงสองคนที่อาการสาหัสคือลูกน้องที่แขนขาด กับเฉาเกา คนแรกมีโอกาสหายแต่อาจต้องเลิกเป็นมือปราบ ปัญหานี้เป็นสิ่งที่หม่าจงอดสะเทือนใจไม่ได้ว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่เจ้าตัวที่มีช่วงวูบหนึ่งฟื้นคืนสติได้บอกกับเขาว่า

“เป็นเพราะพี่จงต่างหาก ข้าถึงเสียแขนไปเพียงข้างเดียว ไม่ได้ต้องทิ้งทั้งชีวิตไว้ที่นั่น”

หม่าจงตั้งใจจะดูแลลูกน้องผู้นี้ให้ถึงที่สุด ส่วนผู้บาดเจ็บคนที่สองอย่างเฉาเกา แม้ไม่ได้เสียอวัยวะส่วนใดไป ทว่าอาการกลับสาหัสยิ่งกว่าเพราะเส้นเลือดที่คอฉีกขาด มีโอกาสเป็นตายเท่ากัน หากผ่านคืนนี้ไปยังไม่สามารถฟื้นคืนสติได้ เห็นทีคงไม่สามารถช่วยให้มีลมหายใจได้อีก

หม่าจงคิดแค้นเรื่องราวที่เกิด เขาตั้งใจส่งลูกน้องไปแจ้งข่าวให้กับทหารที่ประจำชายแดนใกล้กับหัวเมืองนี้เพื่อนำกำลังไปกวาดล้างแถบนั้น บางทีอาจจะยังมีผู้รอดชีวิต แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องไถ่ถามเรื่องราวจากหลูจิวฝูคนขายเซาปิ่งก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น และยังต้องรอให้ไป่ยู่ฟื้นคืนสติด้วย

“ระ เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเมื่อตอนรุ่งสาง ข้ากำลังเตรียมทำของไปขายก็เจอพวกมันตัวหนึ่งกำลังกัดกินร่างของใครอยู่ไม่รู้ ชะ ใช่ ตัวที่ข้าเจอมันมีหน้าเหมือนหนิงเฉิงอี้ เถ้าแก่เนี้ยของหอซือเซียน หะ หัวของมัน หัวของนาง เอ่อ หัวนั่นถูกร่างผอมๆ ที่เหม็นเน่าอย่างกับศพนั้นอุ้มไว้ ข้ากลัวมากก็เลยหนีเข้าบ้าน แล้วหลังจากนั้นข้างนอกก็เกิดเสียงร้อง เสียงโวยวาย แต่ข้าไม่กล้าออกไป พวกมันจะพังประตูเข้ามา ข้าก็รีบหลบเข้าไปซ่อนอยู่ในห้องเก็บฟืน จนพวกท่านมาจัดการพวกมัน ข้าถึงออกไปขอความช่วยเหลือ” จิวฝูเล่ารัวเร็ว หม่าจงฟังแล้วมีจุดหนึ่งที่นึกถึงศพที่ไป่ยู่ซัดมีดสั้นใส่

“แล้วเจ้าไม่พบคนอื่นอีกหรือ” หม่าจงถามกลับ จิวฝูสั่นศีรษะแทนคำตอบ

รองหัวหน้ามือปราบไม่คาดคั้นอีกแม้สิ่งที่รู้จะไม่ได้ช่วยอะไรมาก เขาเข้าใจ ใครเจอสถานการณ์เช่นนั้นย่อมต้องตกใจกลัว การเอาตัวรอดเป็นเรื่องปกติของคน เขาให้ลูกน้องพาจิวฝูไปพักผ่อน ระหว่างนั้นมีอีกคนเดินเข้ามารายงาน

“ลูกพี่ครับ ท่านยู่ได้สติแล้วครับ ตอนนี้กำลังต้องการพบลูกพี่” หม่าจงไดยินเช่นนั้นยิ่งยินดี กาลนี้เร่งด่วนหากรู้เรื่องทุกอย่างกระจ่างชัดจะได้จัดการสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นอีกได้ทันท่วงที ไม่รอให้เสียเวลาเขาเดินไปหาไป่ยู่โดยเร็ว

 

............................

 

ไป่ยู่นั่งพิงอยู่บนเตียง สายตาจับจ้องไปที่หนานจิ่นสือที่จนถึงตอนนี้ก็ยังนอนไม่ได้สติ เขาถามไถ่เรื่องราวของอีกฝ่ายจากมือปราบคนหนึ่งที่เฝ้าตนไว้ จึงได้รู้เหตุการณ์ที่เกิด ไป่ยู่ลุกเดินไปจับชีพจรและตรวจร่างกายของนายพราน จึงพบว่าสาเหตุที่ไม่ฟื้นเกิดจากที่เขาพบเรื่องสะเทือนขวัญติดต่อกัน บวกกับมีใจห่วงหาลูกชาย สติบางส่วนจึงไม่ยอมกลับเข้าร่าง

เช่นนั้นไป่ยู่จึงหยิบยาที่มีป้อนใส่ปากของคนที่ไม่ได้สติ ท่องคาถาอยู่สองสามบท แล้วใช้ยันต์ใบหนึ่งสอดเข้าไปในอกเสื้อของอีกฝ่าย

หม่าจงเปิดประตูเข้ามา ทันได้เห็นยันต์ใบนั้นส่องแสงขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนที่จิ่นสือจะคล้ายขยับผิดกับก่อนนี้ที่เพียงนอนนิ่งไม่เคลื่อนไหวราวกับซากศพ

“เจ้าทำได้ยังไง?”

“ไม่สำคัญเหรอท่านมือปราบ เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือข้าอยากพบกับคนๆ หนึ่ง”

“ใคร?”

“ซุนเถา คนเก็บของป่าที่ฆ่าฮูหยินตัวเอง”

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด