ตอนที่แล้วบทที่ 17 เรื่องของอดีต [1]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 19 เรื่องของอดีต [3]

บทที่ 18 เรื่องของอดีต [2]


ดวงตาหลายสิบคู่จับจ้องมาเป็นทิศทางเดียว ก้อนแสงสีแดงที่ฉายออกจากดวงตาของพวกแวร์วูล์ฟให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัวยิ่งนัก เดิมทีสไปค์เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับพวกสัตว์มายาอย่างแวร์วูล์ฟมาบ้าง แต่กับพวกมันที่เขากำลังเจออยู่นี้ดูจะให้ความรู้สึกที่ต่างกันออกไป

แม้จะไม่เคยพบเจอตัวเป็น ๆ มาก่อนแต่กลับรู้สึกว่าบรรยากาศที่เป็นอยู่มันดูจะเป็นมากกว่ามนุษย์หมาป่าธรรมดา ไหนจะทั้งเรื่องที่มันสามารถแปลงกายได้ทั้งที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ตอนอยู่นอกถ้ำนั่นด้วย สิ่งนี้ทำให้สไปค์อดรู้สึกวิตกกังวลไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วตำราที่สืบทอดต่อกันมาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้จะเป็นตำราแหกตาที่ให้ข้อมูลผิด ๆ หรือเปล่า

เหล่าแวร์วูล์ฟจำนวนมากเมื่อสังเกตเห็นผู้มาเยือนคนใหม่ก็เริ่มขยับกายออกจากกองไฟ สไปค์สัมผัสได้ถึงลางไม่ดี แม้จะรู้ดีว่าไม่มีทางหนีพ้นแต่ก็ยังก้าวเท้าถอยหนีออกมาตามสัญชาตญาณ เด็กหนุ่มพยายามใช้ความคิดบนหัวที่กำลังขาวโพลนว่าควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้

จนกระทั่งแวร์วูล์ฟตนหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นมาจากเบื้องล่าง มันหยุดอยู่เวหาเบื้องหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะตวัดกรงเล็บแหลมคมเข้ามาหมายจะฉีกต้นคอให้ขาดวิ่นไป และทันใดนั้นเอง!

“ระวัง!”

เงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาโฉบเอาร่างเล็ก ๆ ของสไปค์ให้หลบพ้นจากกรงเล็บหมาป่าไปอย่างฉิวเฉียด ร่างทั้งสองกลิ้งไถลไปกับพื้นสองสามตลบหลังจากที่หลุดออกจากการจู่โจมมาได้ คนแปลกหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือสไปค์เอาไว้วางร่างของสไปค์ลงกับพื้นก่อนจะยืนขวางหน้าแวร์วูล์ฟเอาไว้ สไปค์มองเห็นร่างนั้นชัดถนัดตาและเขารู้จักคน ๆ นี้

“ครูฝึก!”

“ใครใช้ให้เจ้ามาที่นี่กัน!”

เป็นครูฝึกนั่นเอง คนที่กาเรนบอกว่าเขาไปปฏิบัติภารกิจนอกหมู่บ้าน หรือนี่จะเป็นภารกิจที่ว่าไว้?

“อาเทียร์! อาเทียร์ถูกพวกมันจับมา!”

“อืม ข้ารู้แล้ว เห็นทุกอย่างตั้งแต่มันพาเธอมาที่นี่แล้วล่ะ” ครูฝึกตอบกลับโดยที่ยังจ้องตากับมนุษย์หมาป่าตรงหน้า

ชายร่างสูงเกือบร้อยแปดสิบผู้สวมชุดลำลองเคลื่อนไหวสะดวกตั้งท่ารับมืออย่างช่ำชอง ออร่าปราณสีน้ำเงินเข้มสำแดงเดชออกมาจากทั่วทั้งร่าง ปราณของครูฝึกก็คือปราณฉลามซึ่งเป็นปราณที่หายากในระดับกลางของจำนวนปราณทั้งหมด ในมือของครูฝึกมีมีดสั้นสองเล่มถืออยู่คนละข้าง

“เจ้าหลบไปก่อนนะ” เขากล่าวคำพูดกับสไปค์เบา ๆ แววตาก็จ้องเขม็งไปยังแวร์วูล์ฟเบื้องหน้าที่ปล่อยลมหายใจร้อนระอุออกมาเรื่อย ๆ

หากเป็นแวร์วูล์ฟแค่หนึ่งตัวล่ะก็ คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่นี่มันเป็นรังของแวร์วูล์ฟ...พอเห็นว่าอีกตัวที่ขึ้นไปสังหารคนแปลกหน้าไม่กลับมาสักที ตัวที่เหลือก็ทะยานขึ้นมาดูสถานการณ์ปัจจุบันจนในที่สุดเบื้องหน้าครูฝึกกับสไปค์ก็เต็มไปด้วยร่างของเหล่าแวร์วูล์ฟจำนวนไม่ต่ำกว่าสิบ

“ม...ไม่ไหวหรอก เยอะขนาดนี้น่ะ!” คำพูดที่แฝงความหวาดกลัวถูกเอ่ยออกมาจากปากเด็กวัยสิบขวบอย่างสไปค์ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กวัยนี้ ครูฝึกเองก็จนใจเช่นกัน ต่อให้เป็นผู้ใหญ่กว่าก็ไม่อยากจะโกหกว่าสถานการณ์แบบนี้จะราบรื่นปลอดภัย

เดิมทีเขาได้รับคำสั่งให้มาสำรวจพื้นที่ถ้ำแถบนี้ซึ่งมีข่าวรายงานมาว่ามีการพบเห็นมาร แต่พอมาดูเข้าจริงกลับไม่ใช่มาร หากแต่เป็นมนุษย์หมาป่าที่สามารถแปลงร่างและคงรูปลักษณ์ของร่างแปลงไว้แม้จะยังอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ หากจะบอกว่าพวกมันคือไลแคนท์ก็คงไม่ใช่ เพราะพวกมันมีลักษณะที่คล้ายกับแวร์วูล์ฟมากกว่าเยอะ

“ข้าจะถ่วงเวลาไว้ให้ เจ้ารีบหนีออกไปจากที่นี่ซะ และแจ้งข่าวให้กับท่านหัวหน้าหมู่บ้านเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย” ความจริงหากไม่มีสไปค์หรืออาเทียร์ที่นี่ล่ะก็ เขายังพอจะมีโอกาสหนีออกไปจากที่นี่ได้ แต่เพราะมีเด็ก ๆ ให้คุ้มครองจึงจำเป็นต้องถ่วงเวลาไว้ให้สักคนหนีไป

ตั้งแต่ตอนที่เห็นแวร์วูล์ฟตนหนึ่งพาอาเทียร์เข้ามาที่นี่ เขาซึ่งซุ่มตัวอยู่ในเงามืดมาพักใหญ่ก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน แต่ถึงยังไงชายหนุ่มก็ยังคิดหาวิธีการที่จะช่วยเหลือลูกศิษย์หญิงของตนให้ออกไปจากที่นี่ให้ได้ เพียงแต่โอกาสนั้นมันยังมาไม่ถึง แล้วจังหวะนั้นสไปค์ก็ดันปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ แล้วทำให้พวกแวร์วูล์ฟทั้งหมดรู้ตัวว่ามีคนแปลกหน้าคนอื่นอยู่ที่นี่

นั่นทำให้เขากดดันจนต้องเปิดเผยตัวตนออกมาจากเงามืด...

“ถ้าข้าหนีไปล่ะก็ ท่านก็จะ...”

“สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว อย่างน้อยข้ากับอาเทียร์คงจะไม่รอด แต่ยังไงซะก็ต้องมีสักคนหนึ่งที่จำเป็นจะต้องรอดไปจากที่นี่ให้ได้ คน ๆ นั้นก็คือเจ้า” มีดสั้นสองเล่มในมือสองข้างกุมกระชับแน่นหนา แววตาคมกริบของครูฝึกไม่กระพริบเลยแม้สักครั้งเดียว เหล่ามนุษย์หมาป่าเองดูเหมือนจะยังรับรู้ได้ตามสัญชาตญาณว่าถ้าบุกเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าคงจะโดนสวนกลับในทันทีแน่ ๆ

สไปค์ทนเห็นภาพตรงหน้าไม่ไหว เขาหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีออกไปตามเส้นทางที่มืดมิดทันที ครูฝึกยิ้มออกมาจาง ๆ เมื่อเห็นลูกศิษย์ชายตัดสินใจได้เฉียบขาดตามที่เขาบอกเอาไว้

แวร์วูล์ฟตนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีก็กระโดดออกมาหมายจะวิ่งตามสไปค์ไป แต่ปลายมีดคมกริบเล่มหนึ่งก็ทะยานกรีดเวหาเข้ามาปาดเข้าไปที่ลำคอของมัน เส้นเลือดบริเวณนั้นถูกตัดขาดในพริบตาที่มันขยับตัวผิดพลาด แล้วร่างที่สูงกว่าก็ล้มลงเบื้องหน้าครูฝึก

“เสร็จไปหนึ่ง”

เหล่ามนุษย์หมาป่ายิ่งทำหน้าตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อชายหนุ่มตรงหน้า

“ขอแนะนำว่าอย่าคิดทำอะไรโง่ ๆ จะดีกว่า ไม่งั้นพวกเจ้าทั้งหมดจะเป็นเหมือนกับเจ้าตัวนี้” เขาชี้ไปทางร่างแวร์วูล์ฟที่ล้มลงกองอยู่ตรงหน้า

คำพูดของครูฝึกไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย เพราะหากคงรูปแบบการตั้งรับและจู่โจมกลับแบบนี้ได้ล่ะก็ ต่อให้มีอีกสิบตัวก็คงชนะและเอาตัวรอดไปจากสถานการณ์นี้ได้ ชายหนุ่มจับมีดสั้นในมือเป็นมั่นเป็นเหมาะเพื่อรอคอยโอกาสครั้งต่อไปอีกครั้ง

แต่กลับมีบางอย่างผิดปกติ...

ไม่รู้ทำไมพอมองไปยังสีหน้าของพวกแวร์วูล์ฟที่เหลืออยู่ กลับมีความรู้สึกว่าพวกมันกำลังยิ้มเยาะ?

วินาทีนั้นที่ครูฝึกพึ่งจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้หนึ่งเรื่อง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกมนุษย์หมาป่าอย่างพวกมัน

เวลาที่พวกมันตาย...มันจะกลับกลายเป็นร่างมนุษย์ดังเดิม แต่กับเจ้าตัวที่พึ่งถูกเขาปาดคอไปกลับยังคงรูปลักษณ์หมาป่าอยู่ มันไม่ได้กลับกลายเป็นร่างมนุษย์

สีหน้าของครูฝึกเปลี่ยนไปเมื่อเห็นร่างกายของมันขยับในชั่วพริบตา

มันยังไม่ตาย!!

ฉัวะ!!

                รอยเล็บสามทางปรากฏบนแผ่นอกของครูฝึกในพริบตาเดียว เขาถอยร่างออกไปพร้อมกับเลือดที่ไหลหยดตามเส้นทางเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าทำไมแวร์วูล์ฟตัวที่เขาพึ่งจัดการไปกลับลุกขึ้นมาเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน และเมื่อจังหวะพลาดพลั้งมาถึง เหล่าแวร์วูล์ฟทั้งหมดก็พุ่งทะยานเข้ามาหมายจะจู่โจมอย่างพร้อมเพรียงกัน ครูฝึกกัดฟันแน่นก่อนจะจับมีดสวนเข้าหาพวกมันทั้งกลุ่ม จังหวะนี้ต่อให้ตายยังไงก็ต้องฆ่าพวกมันทั้งหมดให้ได้!

ออร่าสีน้ำเงินของปราณฉลามยิ่งฉายแสงแวววาวเมื่อพบกับอาการเสียเลือดอย่างต่อเนื่อง ครูฝึกในโหมดบ้าคลั่งพุ่งเข้าฟาดฟันพวกหมาป่าแบบดับเครื่องชน ทัศนียภาพของเขาเลือนรางไปเรื่อย ๆ จากอาการเสียเลือด ส่วนทางมนุษย์หมาป่ากลับดูเหมือนจำนวนจะไม่ลดลงเลย พวกมันถูกเขาฆ่าไปเยอะแต่ทำไมจำนวนยังคงมีอยู่เท่าเดิม

คำตอบน่ะหรือ...

ครูฝึกถอยร่นออกมาพักหาจังหวะหายใจ เขามองดูร่างของแวร์วูล์ฟตัวที่พึ่งสังหารไปเมื่อครู่กำลังยืนขึ้นมาราวกับเป็นอมตะ

“บ้าชัด ๆ พวกแกไม่ใช่แวร์วูล์ฟ” เขาหอบหายใจถี่ขึ้นเรื่อย ๆ “พวกแกคือมาร!”

เสียงของครูฝึกดังลั่นผนังถ้ำจนสะท้อนไปมาทำเอาพวกมนุษย์หมาป่าแยกเขี้ยวยิ้มเยาะอย่างพึงพอใจ

“ป่านนี้พึ่งจะมารู้ตัวรึ ช่างโง่เขลาสมกับเป็นมนุษย์ยิ่งนัก”

มีเสียงดังขึ้นจากเงามืดด้านหลังกลุ่มแวร์วูล์ฟ เสียงนั้นทุ้มต่ำแฝงไว้ด้วยความเย็นชืดราวกับกำลังพ่นลมหนาวออกจากริมฝีปาก ครูฝึกพยายามจับสัมผัสเสียงนั้นและก็พบว่าเป็นเสียงที่เขาไม่คุ้นเคยเลยสักนิด กระทั่งเงาร่างสีดำที่ใหญ่โตกว่าบรรดามารมนุษย์หมาป่าเดินออกมา เขาก็ต้องพบว่าตัวจริงของเจ้าของเสียงคือมนุษย์หมาป่าที่มีร่างกายใหญ่โตมากกว่าห้าเมตร

“อาวุธของเจ้า รวมถึงพลังของเจ้า ทำอะไรมารอย่างพวกข้าไม่ได้หรอก ยินยอมรับความตายและกลายเป็นอาหารของพวกข้าซะโดยดีจะดีกว่า”

“กำจัดเจ้าได้ก็จะจบเรื่องทุกอย่างนี้ลงได้”

“โง่เขลาจริง ๆ จัดการมันซะ” จ่าฝูงมารหมาป่าออกคำสั่งเหล่าลูกน้องก่อนจะยืนกอดอกรอชมผลงานอยู่ด้านหลัง

ครูฝึกจับมีดตั้งท่าเตรียมรับมืออีกครั้ง แต่ครานี้ความมั่นใจดูจะลดต่ำลงไปอีก เพราะอาการหน้ามืดจวนเจียนจะสลบเริ่มเร่งเร้าให้เขาอยากจะล้มลงไปนอนเสียตรงนี้ แต่ก็รู้ดีว่าถ้าหากล้มหมอนนอนเสื่อไปล่ะก็ อาจจะไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นมายืนในฐานะมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

สมุนมารหมาป่าพุ่งทะยานเข้ามาพร้อมเพรียงกัน ในเมื่อพวกมันฆ่าไม่ตายก็เลยไม่รู้สึกหวาดกลัวความตายอีก ครูฝึกเตรียมปล่อยวิชายุทธ์เพื่อรับมือกับพวกมันอีกครั้ง แต่ทว่าทันใดนั้นเอง

ก้อนวัตถุสีม่วงพุ่งเข้ามาแทรกกลางและกระแทกร่างของพวกหมาป่ากระเด็นล่าถอยไป

สถานการณ์แตกตื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เหล่าหมาป่าที่ถูกกระแทกกระเด็นเริ่มลุกขึ้นมายืนมองดูก้อนแสงสีม่วงประหลาดเบื้องหน้า สีหน้าของครูฝึกซีดเผือดขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าก้อนแสงสีม่วงก้อนนั้นคืออะไร

“เจ้ากลับมาทำไม!” เขาตวาดใส่สไปค์ที่ยืนขวางเบื้องหน้าเขาอยู่ ที่แท้สไปค์ก็คือก้อนวัตถุสีม่วงอันเกิดจากการเปล่งพลังปราณให้ครอบคลุมทั่วทั้งร่างกาย

“กลับมาช่วยท่าน!”

“เจ้าเด็กโง่ เจ้าจะช่วยอะไรข้าได้ การช่วยข้าก็คือการไปตามคนในหมู่บ้านมา แล้วนี่เจ้าทำอะไรรู้ตัวบ้างมั้ย!”

“ไม่ต้องห่วง ข้าเตรียมการไว้หมดแล้ว”

“อะไรนะ?”

“ท่านรอดูห่าง ๆ เถอะ” กล่าวจบสไปค์ก็ก้าวเท้าเดินออกมา และพุ่งตรงไปหากลุ่มหมาป่าที่มีท่าทีตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

สิ่งที่น่าแปลกประหลาดคือพวกมันปล่อยให้สไปค์วิ่งผ่านพวกมันไปจนถึงตัวจ่าฝูงมารที่อยู่ด้านหลัง สไปค์ห่อหุ้มร่างตัวเองไว้ด้วยปราณไร้ลักษณ์ก่อนจะกระโดดพุ่งตัวเข้าโหม่งใส่จ่าฝูงมารอย่างเต็มกำลัง รัศมีปราณสีม่วงแตกกระจายออกไปรอบบริเวณ และร่างของสไปค์กับจ่าฝูงก็ตกลงไปด้านล่างอย่างพร้อมเพรียง

“สไปค์!”

เสียงของครูฝึกดังไล่หลังตามเข้ามา เหล่าสมุนหมาป่าต่างพุ่งทะยานลงไปเพื่อจะช่วยเหลือหัวหน้าของตน ในขณะที่ครูฝึกอาศัยจังหวะนั้นวิ่งไปยังทิศทางดังกล่าวเพื่อดูสถานการณ์ล่าสุด และเขาก็ต้องพบว่าสไปค์ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่ามารหมาป่า ไม่มีช่องทางที่จะหนีออกจากตรงนั้นได้เลย

แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ...มนุษย์หมาป่าไม่มีท่าทีจะทำอะไรเขาเหมือนกัน

“มันเกิดอะไรขึ้น?” ครูฝึกเกิดสงสัยขึ้นมา

ขณะเดียวกัน พื้นที่ด้านล่างตอนนี้สไปค์กำลังถูกรายล้อมไว้ด้วยฝูงมารหมาป่า เขาอุ้มร่างของอาเทียร์ขึ้นมาก่อนจะเปล่งรัศมีปราณไร้ลักษณ์ให้แตกกระจายออกไปเป็นเส้น ทำเอาไม่มีมนุษย์หมาป่าตนไหนกล้ารุกรานเข้ามาใกล้

“เจ้า...ปราณที่น่ารังเกียจ” จ่าฝูงมารหมาป่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“ดูเหมือนปราณไร้ลักษณ์จะเป็นของแสลงของพวกเจ้านะ” สไปค์พูดออกมาเหมือนต้องการตั้งคำถามอีกฝ่าย “ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ที่สมุนของเจ้าจับอาเทียร์ไปโดยที่ไม่สนใจใยดีข้า ตอนนั้นข้าก็คิดว่ามันแปลก” สไปค์พยายามตั้งข้อสังเกตเรื่องเมื่อก่อนหน้านี้

“ถ้าไม่ใช่เพราะอาเทียร์มีความสำคัญอะไรบางอย่าง ก็คงเป็นเพราะข้าเป็นสิ่งที่พวกเจ้าไม่ต้องการ” สีหน้าของมนุษย์หมาป่าเริ่มน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น

“แต่พอดูจากการที่พวกเจ้ายังมีกะจิตกะใจอยากฆ่าข้าอยู่ แสดงว่าข้อสันนิษฐานแรกน่าจะถูกต้องกว่า” สไปค์มองดูใบหน้าของอาเทียร์ที่ยังคงสลบไม่ได้สติก่อนจะสลับขึ้นมามองจ่าฝูงหมาป่า “เอาล่ะ บอกมาซะ”

“อาเทียร์มีความสำคัญอะไรกับพวกเจ้า?”

“หึ...หึหึ” จ่าฝูงส่งเสียงผ่านลำคอออกมาเมื่อได้ยินคำถามของเด็กหนุ่มร่างเล็ก

ก่อนหน้านี้เขาและสมุนหมาป่าทั้งหมดต่างก็ตกใจกับการเห็นปราณสีม่วงเข้มจนลืมที่จะป้องกันตัวเองและถูกผลักลงมาข้างล่าง แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ต่อให้อีกฝ่ายมีปราณอะไรก็ช่างประไร

“ไอ้ที่บอกกับเจ้ามนุษย์นั่นว่าเตรียมการไว้แล้วก็คือแนวคิดพิลึกว่าพวกข้าคงจะไม่ทำอะไรสาวน้อยคนนี้สินะ” จ่าฝูงหมาป่าพูดออกมาหนึ่งประโยค

“แล้วมันจริงรึเปล่าล่ะ นี่ข้ายังไม่พูดถึงการเต้นระบำน่าขยะแขยงที่พวกเจ้าทำตอนที่เพื่อนของข้าอยู่กึ่งกลางระหว่างพวกเจ้านะ” นี่ก็เป็นจุดสังเกตอีกหนึ่งอย่าง เพราะตอนที่เห็นครั้งแรกมันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าพวกมันกำลังเริงระบำในพิธีกรรมที่ไม่ทราบความเป็นมา

“แน่นอน...ข้าไม่ได้ทำอะไรสาวน้อยคนนี้ แต่กลับเป็นสาวน้อยคนนี้ต่างหากที่จะทำในสิ่งที่เจ้าคาดไม่ถึง”

“พูดอะไรไม่เข้าใจ”

“ข้าแค่จะบอกว่าเธอคนนี้ไม่ใช่มนุษย์”

“......”

ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่

สีหน้าของสไปค์ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ไม่เว้นแม้กระทั่งครูฝึกที่อยู่ห่างออกไปด้านบน

“อย่ามาล้อเล่น!” สไปค์กล่าวเสียงดัง

“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ถ้าไม่เชื่อล่ะก็...รอสาวน้อยคนนี้ตื่นขึ้นมาแล้วเจ้าจะพบคำตอบเอง” พูดไม่ทันขาดคำ สไปค์เหมือนจับสัมผัสได้ว่าอาเทียร์กำลังฟื้นคืนสติกลับมา และลางสังหรณ์บางอย่างบอกให้เขาวางร่างของเธอลงกับพื้น

ทั้งที่ควรจะเป็นการลืมตาตื่นเพื่อเรียกสติให้รับรู้เรื่องรอบตัวตามปกติ แต่ทำไม...ทำไมสีผมของอาเทียร์จึงเริ่มเปลี่ยนจากดำเป็นแดง ทำไมแขนและขาถึงเรียวเล็กและมีเล็บแหลมงอกออกมาจากปลายนิ้ว แล้วทำไมดวงตาของเธอถึงเปล่งประกายสีแดงออกมาแบบนั้น อาเทียร์ยืนขึ้นหลังจากเปลี่ยนร่างเสร็จเรียบร้อยและจ้องมาทางสไปค์ซึ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไหร่

“อาเทียร์...ไม่จริงใช่มั้ย”

ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา

“อาเทียร์...”

ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของจ่าฝูงมารหมาป่า อาเทียร์จ้องมองดูใบหน้าของสไปค์ด้วยแววตาเรียบเฉย ร่างของเธอเปล่งรัศมีออร่าสีเทาผสมน้ำเงินออกมา นั่นคือปราณหมาป่า...เป็นปราณหมาป่าของอาเทียร์ที่สไปค์เคยพบเจอมาหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนจะชวนให้รู้สึกแย่แบบครั้งนี้ เพราะมันยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าคืออาเทียร์จริง ๆ

“เดิมทีข้าส่งยัยเด็กนี่เข้าไปทำลายหมู่บ้านมนุษย์จากภายใน ตอนนี้ก็ได้เวลากลับสู่รังเก่าแล้ว ความจริงก็แค่นี้ มีอะไรสงสัยอีกไหม?” จ่าฝูงมารหมาป่าตอบด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ ในขณะที่อาเทียร์ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

สไปค์กำหมัดแน่น เขาพุ่งเข้าหาจ่าฝูงมารทันทีหลังจากที่อีกฝ่ายพูดจบได้ไม่นาน ความรู้สึกสับสนบรรยายไม่ถูกนี้เขาไม่รู้จะระบายมันออกมายังไง จนแล้วจนรอดก็ได้แต่คิดว่าอาเทียร์น่าจะต้องถูกบงการสมองอยู่เป็นแน่ ถ้าหากกำจัดจ่าฝูงได้ล่ะก็ เธอคงจะกลับมาเป็นอาเทียร์คนเดิม

ปราณไร้ลักษณ์ดูจะเป็นปัญหากับพวกมันอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นสไปค์พุ่งเข้ามาแม้จะเป็นท่าร่างที่เต็มไปด้วยช่องโหว่แต่กลับมอบความรู้สึกไม่อาจตอบโต้ให้กับพวกมันได้ ขณะที่สไปค์จะปล่อยหมัดที่ห่อหุ้มด้วยปราณใส่จ่าฝูงหมาป่า ตอนนั้นเอง...ร่างของอาเทียร์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เธอตวัดปลายเล็บแหลมคมสวนใส่สไปค์จนเกิดรอยแผลเป็นทางยาวบนแผ่นอก

สไปค์ถอยร่นกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย

ทำไม!?

                        “ทำไมกัน อาเทียร์!”

“เจ้าได้ยินที่เขาพูดแล้วไม่ใช่รึ” เป็นครั้งแรกที่อาเทียร์ตอบกลับมา น้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งกัดเซาะเข้าไปในจิตใจของสไปค์อย่างทารุณ

“ข้า...คือมาร เป็นมารมาตลอด หน้าที่ของข้าก็คือทำลายพวกเจ้าจากภายใน และตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะกลับเข้าที่เดิมของตนแล้ว”

เดิมทีอาเทียร์อาศัยอยู่คนเดียวในบ้านที่เป็นมรดกตกทอดจากครอบครัวหนึ่งที่ล้มหายตายจากไปอย่างลึกลับ เธอไม่มีพ่อกับแม่ เธอเป็นชาวหมู่บ้านวาตะจากการที่พลัดหลงมาจากที่ไหนสักแห่ง นี่คือเรื่องที่ชาวบ้านทุกคนพูดต่อกันมา พอมารวมเข้ากับเรื่องที่เขาได้ยินในตอนนี้ สไปค์เริ่มถูกชักจูงให้เชื่อว่านี่คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้

“เมื่อสามเดือนก่อนข้าไม่เห็นเจ้าในตอนที่พวกมารสามตัวนั่นบุกเข้ามา”

“นั่นเพราะข้ารู้ว่าสามคนนั้นคือมาร จึงอยู่เงียบ ๆ ไม่ออกมาขัดขวาง”

“สาเหตุที่เจ้าทำดีต่อข้ากับพวกกาเรนนั่นล่ะ”

“ทุกอย่างเป็นเพียงละครให้พวกเจ้าและคนอื่น ๆ เชื่อใจ”

“เจ้าหลอกพวกข้ามาโดยตลอดงั้นหรือ?”

“ต้องให้บอกกี่ครั้งกัน...ก็ใช่น่ะสิ”

คำตอบของอาเทียร์ช่างเรียบเฉยเหลือเกิน เป็นคำตอบที่สร้างความลำบากใจให้กับสไปค์จริง ๆ

ทุกอย่างมันไม่สมเหตุสมผลเกินไป อยู่ ๆ อาเทียร์ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน นั่นทำให้สไปค์รับความรู้สึกสับสนแบบนี้ไม่ได้

“เดี๋ยวก่อนนะ” เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ “เจ้าบอกว่าหน้าที่ของเจ้าคือทำลายชาววาตะจากภายใน แต่ทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ?”

ใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นข้อสรุปของเรื่องทั้งหมดมากกว่า เพราะนอกจากเหตุการณ์มารสามตนบุกรุกรานหมู่บ้านแล้ว สไปค์ก็ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดอะไรอีกเลย ทุกคนยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหมือนอย่างที่เคยเป็น

อาเทียร์นิ่งเงียบไป...และดูเหมือนว่าคำถามข้อนี้จะเป็นฝ่ายจ่าฝูงมารหมาป่าที่ตั้งใจจะตอบด้วยตัวเอง

“นั่นก็เพราะยัยเด็กนี่...หลงลืมไปว่าตนเองเคยเป็นมารมาก่อนกระมัง” คำตอบจากปากของมันทำให้สไปค์เริ่มงง

“ทั้งที่ต้องฆ่าล้างพวกมนุษย์ แต่กลับคลุกคลีกับพวกมันจนเกินความพอดี ไม่ทำอะไรสักอย่าง จนในที่สุดพอสบโอกาสข้าก็ทนไม่ไหวจึงต้องจับตัวกลับมาเพื่อดำเนินพิธีคืนร่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม”

“เป็นความจริงเหรออาเทียร์?”

อาเทียร์ไม่ตอบอะไรกลับไปทั้งสิ้น

“นี่แสดงว่าเจ้า...ไม่มีความคิดอยากจะกำจัดพวกข้า?”

เด็กสาวยังคงนิ่งงัน ราวกับกำลังข่มกลั้นอะไรบางอย่างเอาไว้

“ข้า...” เธอเปล่งเสียงออกมาสั้น ๆ แล้วก็เงียบไป...

“ไม่เป็นไร” สไปค์รู้สึกเหมือนตนพึ่งจะเข้าใจสถานการณ์บางอย่างขึ้นมา “ข้าเข้าใจแล้ว”

ก่อนจะหันขวับไปมองทางจ่าฝูงมารหมาป่าที่ยืนจังก้าอยู่กับที่ สีหน้าของสไปค์เปลี่ยนไปเป็นความโกรธที่ทุกสรรพชีวิตในที่นี้ล้วนสัมผัสได้

“ข้าพอจะรู้แล้วว่าทำไมมนุษย์ถึงอยู่ร่วมกับมารไม่ได้”

ปราณไร้ลักษณ์แผ่ขยายออกมาจากร่างกาย เขาหมายมั่นจะพุ่งเข้าจู่โจมใส่จ่าฝูงมารเมื่อรับรู้ความรู้สึกของอาเทียร์ ที่ในความจริงแล้วเธอยังคงเป็นอาเทียร์คนที่เขารู้จักอยู่ เธอไม่ได้เป็นศัตรูแม้ว่าตนจะเป็นฝ่ายมารก็ตาม

ทว่าจังหวะนั้นเอง...

“ทำอะไรของเจ้า อาเทียร์”

เด็กหนุ่มพูดออกมาเมื่อเห็นอาเทียร์เข้ามายืนขวางทางตนเอาไว้

“เจ้ารู้ใช่ไหม...ว่าข้าคงปล่อยให้เจ้าทำอะไรเขาไม่ได้”

“เพราะอะไร เจ้ายังเริ่มต้นใหม่ได้ แค่กำจัดเจ้านั่นทิ้งไปซะ”

“ข้าทำไม่ได้” อาเทียร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปนความเศร้าซึมเอาไว้

เธอเงยหน้าขึ้นมองมายังแววตาของสไปค์ที่ฉายแววสงสัยในพฤติกรรมของเธอเอง เล็บเรียวแหลมถูกยกขึ้นและชี้เข้าหาตัวสไปค์ราวกับต้องการประกาศว่าเธอกับเขาไม่ใช่พวกเดียวกัน

“เขา...คือบิดาของข้า”

คำพูดนั้นทำให้สไปค์พบกับหนทางมืดบอดขึ้นมาทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด