บทที่ 10 : นักผจญภัย
บทที่ 10 : นักผจญภัย
เสียงจ้อกแจ้กจอแจฟังไม่ได้ศัพท์ดังประสานไปทั่วบริเวณลานพื้นที่ตลาด หน้าสมาคมนักผจญภัยแห่งหมู่บ้านเทรียล ด้วยรวงร้านมากมายหลายรูปแบบหลากประเภทที่เช่าพื้นที่ขายของเรียกลูกค้ากันอย่างคึกคัก มีทั้งที่ตั้งหน้าร้านอยู่ประจำมาหลายปีไปจนถึงร้านแบกะดินหรือหาบเร่แผงลอยก็มี
เพราะถึงแม้หมู่บ้านแห่งนี้จะไม่ได้มีประชากรมากมายเท่าใดนักทว่าด้วยเอกลักษณ์อันงดงามน่าหลงใหลแห่งป่าอาเคน เมเปิลยักษ์ รวมไปถึงวัตถุดิบท้องถิ่นและความหลากหลายทางวัฒนธรรมก็ทำให้มันกลายเป็นหมู่บ้านที่มีนักเดินทางแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชม แลกเปลี่ยนสินค้ากันอยู่ไม่ขาดสาย ว่ากันว่าดอกไม้สีขาวหรือดอกเหมันต์ขาวที่ขึ้นไปทั่วในหมู่บ้านจนแทบจะกลายเป็นวัชพืชนั้น สำหรับที่อื่นพวกมันถือเป็นวัตถุดิบทำน้ำหอมชื่อก้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม้จากกิ่งก้านของเมเปิลยักษ์ซึ่งนับเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดไม้สำหรับใช้ทำคันธนูและหน้าไม้บาลิสต้า หรือจะใช้ทำเครื่องดนตรีก็ให้เสียงที่ไพเราะก้องกังวาน มันจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนักสำหรับเทรียลที่จะมีกฎหมายคุ้มครองและระบบสัมปทานให้กับคนในพื้นที่ ซึ่งทั้งหมดนั้นดำเนินการโดยสมาคมพ่อค้าซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับสมาคมนักผจญภัยเท่านั้น
ทว่าในบรรยากาศน่าภิรมย์สดใสของความวุ่นวายในตลาดนั้น กลุ่มนักผจญภัยสามคนดูจะไม่รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสินค้ามากมายหลากหลายนั้นเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะจิ้งจอกสาวและจระเข้หนุ่มที่คู่กันมากับครึ่งเอลฟ์เจ้าถิ่น ทั้งสองคนไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมามากนักทั้งที่มาจากต่างแดน อาจเป็นเพราะอาการบาดเจ็บซึ่งยังไม่หายดีนักยังระบมต้องพันผ้าปิดบาดแผลเอาไว้
ยิ่งกับนางจิ้งจอกด้วยแล้วต่อให้ไม่ต้องเป็นหมอหรือมีประสบการณ์ใดๆ เพียงแค่มองผิวเผินก็รู้ทันทีว่านางคงผ่านอะไรมาหนักหนา ถึงได้มีเฝือกดามกระดูกเอาไว้ทั้งแขนขา จำเป็นต้องนั่งบนรถเลื่อนให้สหายครึ่งเอลฟ์คอยเข็นให้ ถือเป็นโชคดีในความโชคร้ายที่อย่างน้อยเธอก็ยังได้รับการดูแลอย่างดี แต่บางทีอาการบาดเจ็บทางกายอาจเทียบไม่ได้กับรอยแผลเป็นในจิตใจและแผลใหม่จากข่าวร้ายที่เขาทั้งสองได้รับฟังมาก่อนหน้านี้
ครึ่งเอลฟ์สาวที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นเช่นกันจึงพาเพื่อนใหม่ของเธอทั้งสองออกมาพบปะผู้คนภายนอก ออกห่างจากบรรยากาศอึมครึมในสถานพยาบาลหมายจะให้หายจากอาการซึมเศร้า วิตกกังวลที่ทั้งคู่กำลังเพชิญอยู่ แต่ดูท่าแล้วมันคงไม่ได้ผลเท่าไหร่นักเพราะแทบจะไม่มีใครพูดอะไรกันเลย ยกเว้นก็แต่ตัวเธอเองที่ต้องคอยตอบคำถามทักทายกับทุกคนในตลาดมาตลอดทาง
‘คุณเอเดล ภารกิจเรียบร้อยดีมั้ย’ ‘หนูเอเดล เป็นไงบ้าง’ เอเดลนั่นเอเดลนี่ด้วยความคุ้นเคย แม้ว่าเธอจะไม่สามารถเอ่ยปากพูดอะไรเกี่ยวกับภารกิจที่ว่านั้นได้เลย ด้วยบัดนี้มันหลุดมือเธอไปอยู่ภายใต้ความดูแลขององค์ราชินีโดยตรงแล้วอีกทั้งยังกลายเป็นภารกิจลับ แม้แต่นักผจญระดับอัญมณีอย่างฮารุและคร๊อกคัสเองก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงพวกเขาจะไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแล้วก็ตาม
“ทุกคนที่นี่ดูเป็นมิตรกับเจ้าดีนะ” ตอนนั้นเองที่จิ้งจอกสาวฮารุเอ่ยขึ้นเบาๆ สื่อความไปถึงเอเดลที่เข็นรถเข็นให้
ดวงตานักล่าสีส้มกลอกไปมาสำรวจรอบบริเวณตามสัญชาติปกติที่เคยชิน แล้วหยุดสายตาไปที่ร้านเครื่องประดับเห็นเม็ดนิลที่วางขายส่องประกายออกมาได้เพียงพริบตาเดียวก็เผลอหายใจสะดุด เบือนหน้าหนีออกมาอย่างด้วยภาพจำที่ยังฝังใจ
“ฉันโตมากับหมู่บ้านนี้ ทุกคนในเทรียลก็เลยเป็นเหมือนครอบครัวน่ะค่ะ” เอเดลยิ้มกว้างตอบคำถามด้วยเสียงนุ่มน่าฟังจากสายเลือดเอลฟ์ฝั่งแม่ “จะว่าไปคุณฮารุมาจากหุบเขาหยกรึเปล่าคะ เผ่าจิ้งจอกหลายคนที่นี่เองก็มาจากหุบเขาหยกเหมือนกัน”
เมื่อรู้ว่าฮารุยอมพูดบ้างแล้ว เอเดลจึงเริ่มถามกลับเอ่ยถึงชื่อแผ่นดินบ้านเกิดของเหล่าจิ้งจอกหวังจะให้เธอลืมความกังวลใจไปบ้าง ทว่ากลับกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ตอบคำถามนั้นแทนด้วยเสียงแหบแห้งเป็นเอกลักษณ์
“เปล่า นางมาจากแชงกรีล่า... บ้านเด็กกำพร้าในความดูแลของสภาเอกภาพ” จระเข้หนุ่มเอ่ยตอบคำถามนั้นขึ้นมาแทนขณะเดินกอดอกอยู่ข้างๆ สองสาว บ่งบอกว่าเขารู้เรื่องส่วนตัวของสหายเผ่าจิ้งจอกนางนี้ดี อีกทั้งนางก็ไว้ใจเขาถึงขั้นฝากชีวิตไว้ได้ เป็นสายสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ปีหากแต่เติบโตมาด้วยกันจนแนบแน่นไม่ต่างจากพี่น้อง
“ใช่ ข้าโตมาจากที่นั่นแหละ ถ้าไม่นับเรื่องที่พวกเขาฝึกเราหนักตั้งแต่เด็ก จริงๆ มันก็ไม่เลวนักหรอก อย่างน้อยก็ไม่เหงา ข้ารู้จักคร๊อกคัสกับฮาบิที่นั่น” จิ้งจอกสาวเล่าย้อนถึงอดีตของตัวเองในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่มีชื่อว่าแชงกรีล่า
แต่ถึงมันจะถูกเรียกแบบนั้นก็ใช่ว่ามันจะเป็นบ้านเด็กกำพร้าธรรมดาๆ เหมือนที่อื่น แชงกรีล่าไม่เปิดให้คนภายนอกเข้ามาอุปถัมภ์รับเลี้ยงเด็ก เพราะจุดประสงค์ของมันต่างออกไป
เด็กกำพร้าที่พวกเขารับเข้ามาดูแลทุกคนล้วนแล้วไม่ใช่เด็กธรรมดาทั้งสิ้น บางคนมีพรสวรรค์ร้ายกาจ บางคนก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่นได้
หากให้เปรียบเทียบมันคงคล้ายกับค่ายกักกันเสียมากกว่า พวกเขาฝึกเด็กๆ เหล่านั้นให้ควบคุมความสามารถและพรสวรรค์ของตัวเองให้เกิดประโยชน์ นอกจากลดความเสี่ยงจากการเป็นภัยในอนาคตแล้วยังสามารถใช้เป็นกำลังได้ในฐานะนักผจญภัยที่ขึ้นตรงกับสภาได้อีกด้วย
“จะว่าไปเมื่อก่อนหมอนี่เองก็เคยทำตัวหยิ่งยโสเอาแต่ใจแบบพวกราชวงศ์จนโดนท่านชีฟส่งมาดัดนิสัยที่แชงกรีล่านี่นะ แถมยังชอบหาเรื่องทะเลาะกับฮาบิเป็นประจำอีกต่างหาก” ฮารุว่าแล้วนึกถึงอดีตในสมัยเด็กของตัวเองก็เล่าออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน สร้างความประหลาดใจให้กับเอเดลที่เพิ่งรู้ว่าจระเข้หนุ่มนั้นเคยเป็นคนเอาแต่ใจมาก่อน ผิดกับตอนนี้ที่ดูสุขุมน่าเกรงขามเป็นยักษ์ใจดีมากกว่า
“ตอนเด็กพวกเราทะเลาะกันบ่อยครั้งก็จริง แต่ถ้าไม่เพราะท่านฮาบิบเราก็คงไม่ได้มาเป็นนักผจญภัย... คงตกอับต้องไปเป็นชีฟปกครองลุ่มน้ำเหนือต่อจากพ่อแน่ๆ ไม่ต้องเสี่ยงตายแถมมีเงินทองมากมาย มีคนปรนนิบัติ... น่าเบื่อตายชัก” จระเข้หนุ่มว่าตอบกับสาวเจ้า แต่ยังไม่วายเล่นมุกประชดเสียดสีในตอนท้ายตามนิสัยของตน แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เอเดลเริ่มรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างที่เห็นทั้งสองหายจากอาการซึมขึ้นมา
ทว่ายังไม่ทันเท่าไหร่เสียงหัวเราะขบขันและรอยยิ้มเหล่านั้นก็หายไป
“ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาพวกเราคงจะไม่มีใครเป็นนักผจญภัยแน่... ข้าเคยคิดว่าบางทีเขาอาจจะแค่เกลียดตัวเอง เกลียดปีศาจที่อยู่ในตัวถึงได้ทำอะไรเสี่ยงๆ ไปเป็นนักผจญภัย เอาชีวิตของตัวเองไปเดิมพันเพื่อแลกกับความสบายใจของชาวบ้านที่พวกเราเองก็ไม่รู้จัก พวกเราถึงได้มาเป็นนักผจญภัยด้วยกันเพื่อจะได้ปกป้องเขาไม่ให้เอาตัวเองไปตาย... แต่มันดันกลายเป็นว่าเขาก็แค่อยากช่วยคนอื่น อยากปกป้องผู้คน ให้ตื่นมาในตอนเช้าโดยไม่ต้องหวาดผวาว่าจะมีปีศาจมาทำลายเมืองหรือฆ่าใครตาย ให้พวกชาวบ้านอุ่นใจ รู้ว่าแม้แต่ปีศาจก็อยู่ข้างเดียวกันกับพวกเขา...”
ฮารุเล่าเริ่มเล่าถึงชายหนุ่มที่ตอนนี้ยังอยู่ในการดูแลของแพทย์ภายในสถานพยาบาลของสมาคมนักผจญภัย ด้วยว่าเพราะได้ยาดีและมีหมอเก่งชายหนุ่มถึงรอดจากความตายมาได้อย่างปาฎิหารย์ อาการทรงตัวแต่กระนั้นก็ยังต้องรอเวลาให้เขาได้ฟื้นคืนสติ
“ผู้คนชอบเล่าเรื่องของข้ากับฮาบิเหมือนเป็นเรื่องตลกร้ายเกี่ยวกับฝ่ามือที่ข้าใช้ตบหน้าเขาเพื่อให้หลุดจากร่างปีศาจ แต่รู้มั้ยอะไรที่เป็นตลกร้ายจริงๆ... เขาขอข้าแต่งงาน ข้าตั้งใจจะตอบตกลงหลังจบภารกิจนี้ ถ้าเขาสัญญาว่าจะเลิกเป็นนักผจญภัย เลิกปกป้องคนอื่น แค่เป็นคนธรรมดาอยู่กับข้า... ตอนนี้ข้าคงปฏิเสธเขาไม่ได้แล้ว” เพียงสิ้นประโยคนั้นก็พลันเหมือนโลกทั้งใบเงียบลงไปในทันที แม้แต่เสียงจอแจของตลาดก็ไม่อาจส่งผ่านเข้ามารบกวนบรรยากาศอึมครึมนี้ได้ เพราะสิ่งที่จิ้งจอกสาวพูดนั้นคือความจริง
ชายหนุ่มอาจรอดจากความตายมาได้ ทว่าร่างกายของเขาก็สาหัสเกินไปอีกทั้งผลของยาที่เร่งการสมานอาการบาดเจ็บที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ก็ต้องแลกมาด้วยความเสียหายอย่างถาวรของโครงสร้างบางอย่างภายในเส้นประสาท
เขาจะฟื้นขึ้นมาพร้อมกับอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่ถึงกับเป็นอัมพาตแต่ก็ไม่อาจขยับเคลื่นไหวร่างกายได้ดั่งใจ เดินเหินไม่ได้อีกต่อไป แม้จะจับช้อนจับซ้อมกินอาหารเองก็ยังสาหัส ต้องนั่งรถเข็นไปชั่วชีวิต ถือว่าตายจากการเป็นนักผจญภัยไปแล้วอย่างแท้จริง
ในขณะเดียวกันภายในสมาคมนักผจญภัยตอนนี้ไม่มีอะไรผิดปกติไปจากทุกๆ วันเลยแม้แต่น้อยทั้งที่ในสถานพยาบาลมีปีศาจคลั่งแห่งเทมนอนสลบไสลอยู่ อีกทั้งลึกลงไปในคุกใต้ดินเพียงแค่สองชั้นก็มีทั้งมหาราชินีและหุ่นสงครามที่ร้ายกาจขนาดฆ่าทุกคนในหมู่บ้านจนวายวอดหมดได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ
ด้วยว่าทุกอย่างนั้นถูกวางแผนเอาไว้หมดตั้งแต่ต้นโดยคนคนเดียวซึ่งตอนนี้กำลังนั่งประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ของหุ่นสงครามขึ้นมาใหม่ เพราะได้ข้อมูลที่ต้องการเกี่ยวกับกายวิภาคเกือบทั้งหมดแล้ว ถึงแม้จะมีคำถามค้างคาอยู่ในใจมากมายมหาศาล แต่นางรู้ดีว่าหากอดทนเอาไว้ให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแนวทางของมันทุกคำถามจะได้รับคำตอบ หากดึงดันรีบร้อนตะกละตะกลามเกินไปจะอดจานใหญ่ไปเสียเปล่าๆ
นางได้เห็นกับตาตัวเองแล้วถึงศักยภาพของหุ่นรบซึ่งถูกสร้างขึ้นในสมัยยุคสงครามว่าแม้แต่ปีศาจก็ยังหักเอามันไม่ลง ทักษะความรวดเร็วแทบจะเทียบชั้นปรมาจารย์วิชาต่อสู้ได้เลย แม้จะดูสะเปะสะปะแต่ถูกออกแบบมาให้ฆ่าฟันปลิดชีวิตมากกว่าใช้ปกป้อง ขัดแย้งกับสิ่งที่นางได้ยินในเหตุการณ์ต่อสู้นั้นว่าสิ่งที่หุ่นทำไปเป็นเพียงแค่การปกป้องตัวเอง
สำหรับนาง ฮอรัส มีกระบวนการในการคิดและตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ที่แปลกแยกแปลกประหลาดชัดเจนและขัดกันเอง เหมือนร่ายมนต์เยียวยาแต่คาดหวังให้เกิดความเสียหาย หรือจุดไฟขึ้นในน้ำแล้วคาดหวังว่าน้ำจะเดือดทั้งที่มันไม่น่าจะติดขึ้นได้ตั้งแต่แรกแล้ว เป็นความซับซ้อนที่ไม่อาจคาดเดาเหตุผลใดๆ ได้เลย มันไม่ใช่การตั้งรูปแบบที่ชัดเจนเหมือนกับเวทมนต์อย่างทั่วไป
แต่องค์ราชินีไม่ตั้งคำถามต่อความซับซ้อนเช่นนั้นเมื่อรู้ว่าจิตใจมนุษย์นั้นซับซ้อนยิ่งกว่า ทว่าก็คาดเดาได้ง่ายดาย รูปแบบการคิดของฮอรัสจึงดูเป็นการลอกแบบที่ไม่สมบูรณ์นัก ต่อให้ภาพฉายจากอดีตจะสื่อออกมาอย่างชัดเจนว่าอาร์มุนนั่นเชื่อว่า ฮอรัส คือลูกชายของนางจริงๆ ก็ตาม แต่ของเลียนแบบก็ยังเป็นเพียงของเลียนแบบอยู่ดี อาร์มุนอาจสร้างสิ่งที่ใกล้เคียงกับชีวิตมากขึ้นมาก็จริงแต่ขณะเดียวกันมันก็ว่างเปล่าไร้ชีวิตไปด้วยพร้อมๆ กัน
สิ่งที่นางสนใจกว่าคือการคงอยู่ของหุ่นสงครามตนนี้ต่างหาก สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกนี้ล้วนแต่เกิดมามีความสามารถในการซ่อมแซมร่างกายตนเองเมื่อเกิดความเสียหายและคงอยู่ได้ด้วยสูบเอาพลังงานจากสิ่งต่างๆ มาใช้ ทั้งจากลมหายใจ หรือการกินดื่มทั้งหมดล้วนแต่เป็นกระบวนการเพื่อทำให้ร่างกายคงอยู่ได้ทั้งนั้น แต่ฮอรัสมีกระบวนการที่แตกต่างออกไป
ราวกับเป็นนิทานฝันเฟื่องเล่าให้เด็กๆ ฟังถึงเวทมนตร์ชั่วร้ายที่สามารถสูบกลืนพลังชีวิตของผู้อื่นมาเป็นของตัวเองได้ นั่นคือสิ่งที่หุ่นสงครามตนนี้ทำเมื่อมันซ่อมแซมตัวเอง มันสูบเอาพลังเวทมนตร์จากสิ่งต่างๆ รอบตัวมาใช้ได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการใดๆ เลย และคำตอบของคำถามนั้นคือแกนกลางเส้นอาเคนที่อยู่ด้านใน
นางถอดประกอบร่างของฮอรัสซ้ำหลายครั้ง ทดลองหลากหลายรูปแบบจนรู้ว่ากุญแจการคงอยู่ของฮอรัสคือหัวใจที่สร้างจากพฤกษาโลกและเส้นอาเคนที่คอยสูบฉีดสายธารชีวิตจำนวนมหาศาลให้ไหลยังส่วนประสำคัญต่างๆ ในร่างกาย
เป็นที่รู้กันดีว่าพฤกษาโลกนั้นถือเป็นต้นไม้แห่งชีวิตตามตำนานเอลฟ์ ว่ากันว่าเพียงกิ่งเล็กๆ ของมันปักลงบนพื้นก็สามารถคืนชีพป่าที่กำลังจะตายให้กลับคืนมาอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้งและถึงมันจะเป็นเพียงตำนาน แต่ดูเหมือนมันจะเป็นตำนานที่มีมูลพอสมควร ไม่อย่างนั้นมันคงไม่มาอยู่ในอกของฮอรัสได้แน่
องค์ราชินีค่อยๆ ประกอบแขนขวาของฮอรัสกลับเข้าที่เดิมอีกครั้งอย่างระมัดระวัง เพราะมีเส้นอาเคนเชื่อมต่ออยู่เป็นจำนวนมาก ถึงมันจะไม่มีวันขาด ทว่าการกระทบกระเทือนก็ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่คาดเดาไม่ได้ ถึงแม้ว่านางจะแยกส่วนความคิดออกจากโครงร่างของหุ่นเอาไว้ในห้วงความจำ ให้เหมือนฮอรัสกำลังหลับฝันถึงอดีตแล้ว แต่ยังไงร่างกายของเขาก็ยังทรงพลัง
ฉับพลันนั้นเองที่สิ่งที่องค์ราชินีกำลังระวังเกิดขึ้น เมื่อมือของฮอรัสจับล็อกนางเอาไว้อย่างรวดเร็วรุนแรงราวกับคีมหนีบทั้งที่แขนข้างนั้นยังไม่ทันได้เชื่อมต่อดีเลยด้วยซ้ำ
นางกัดฟันแน่นร่ายมนตร์เยียวยาทันทีเพราะกระดูกข้อมือข้างนั้นกำลังร้าว สร้างความเจ็บปวดแบบที่นางไม่เคยได้สัมผัสมาเป็นสิบปีให้หวนมาอีกครั้ง ทว่าเป็นชั่วพริบตานั้นเองที่นางสัมผัสได้ว่าฮอรัสกำลังสูบเอาพลังเวทมนตร์ที่นางร่ายออกไปใช้
ยิ่งร่ายมนตร์รักษาเท่าไหร่ก็เหมือนถูกสูบเอาพลังเวทไปมากขึ้นเท่านั้น แล้วในทันใดนั้นเองที่ชิ้นส่วนต่างๆ ที่แยกกันอยู่ถูกดึงเข้ามาประกอบซ่อมแซมกันเองจนสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่กระบวนการต่างๆ ที่เคยถูกแยกออกไปด้วยเวทมนตร์ บัดนี้คืนกลับมาพร้อมกับความนึกคิดของฮอรัส ก่อนที่เสี้ยววินาทีต่อมาเขาจะลุกขึ้นแล้วใช้มืออีกข้างคว้าจับคอของหญิงสาวตรงหน้ายกขึ้นลอยกลางอากาศ
“ต้องการอะไร!!” เสียงทุ้มหนักแน่นแต่เรียบเฉยดังลั่นสนั่นเสียงดังอย่างที่ไม่เคยแสดงออกมาก่อน พร้อมกับดวงตาสีนิลที่ส่องประกายประหลาดออกมาขณะมือค่อยๆ บีบแน่นขึ้นเรื่อย