ตอนที่ 9: รังของนักล่ากล่อง กับมิตรภาพที่ไม่ถูกมองข้าม
ตอนที่ 9: รังของนักล่ากล่อง กับมิตรภาพที่ไม่ถูกมองข้าม
เฮเซคียาห์กับมูนนี่พบว่าในกระท่อมไม่มีสิ่งที่น่าสนใจสำหรับพวกเขา ทั้งการตกแต่งที่เรียบง่ายใช้ของพื้นๆ สีจืดๆ รวมไปถึงการที่ในกระท่อมนั้นปราศจากมนุษย์หรือสิ่งที่เชื่อมโยงไปยังเศวตศาสตราที่เรการ์ดดึงพลังมาใช้
“รายงาน: ตรวจพบห้องขนาดใหญ่และมนุษย์ 35 คนที่ใต้ดิน”
เฮเซคียาห์กับมูนนี่ซักไซ้บรอธถึงวิธีการเข้าถึงห้องใต้ดิน มันบอกให้สองหนุ่มลองค้นหาปุ่มกดกลไกเปิดทางเข้าเอง แต่ไม่ชี้ตำแหน่งของปุ่มกดให้
“ฮ้า! เจอแล้ว” เฮเซคียาห์ตะโกนเสียงดัง หลังจากเขากับมูนนี่ช่วยกันจับของตรงนู้น ขยับของตรงนี้มาสักพักหนึ่ง
ดีที่กระท่อมนี้เล็ก เพราะไม่อย่างนั้นคงต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะหาปุ่มกดกลไกเจอ
ทันทีที่เฮเซคียาห์ยกมือออกจากผนังบริเวณที่เขากดให้ยุบเข้าไปได้ เสียงสะเทือนเลือนลั่นดังขึ้น ไฟในห้องดับลง แล้วเขากับมูนนี่ก็ค่อยๆ รู้สึกว่ากระท่อมที่พวกเขาอยู่เคลื่อนลงสู่ใต้ดิน ความที่สถานที่เคยเป็นของคนที่ไม่น่าไว้ใจอย่างเรการ์ด เฮเซคียาห์และมูนนี่ตกใจกับการดำดิ่งลงดินของพวกเขาและพยายามช่วยกันเปิดประตูหรือหน้าต่างเพื่อออกไปให้พ้น ใจคิดไปว่าถ้าออกไปไม่ทันก่อนกระท่อมจมมิดดิน พวกเขาคงถูกฝังให้ตายทั้งเป็น
ทว่า พวกเขาพบว่าทั้งประตูและหน้าต่างปิดล็อคตัวเองอย่างแน่นหนา ซึ่งมันเกิดขึ้นตอนไหน พวกเขาไม่รู้ตัว
และในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งห้องในกระท่อมตกอยู่ในความมืดเพราะพวกเขาอยู่ใต้ดินที่ไม่มีแสงจันทร์และแสงดาวลอดเข้ามาได้
“แนะนำ: ลองเปิดประตูดูอีกครั้งซิ”
บรอธบอกกับพวกเฮเซคียาห์ในจังหวะที่ไฟฟ้ากลับมาทำงานเป็นปกติ ทั้งห้องกลับมาสว่าง
แม้จะงงๆ แต่เฮเซคียาห์ก็ลองเดินไปเปิดประตูดูอีกหน ซึ่งเมื่อประตูขยับเปิดได้ เฮเซคียาห์รู้สึกแปลกใจ แต่แล้วความแปลกใจก็เปลี่ยนเป็นความเข้าใจ เขาพบห้องที่ดูคล้ายห้องสมุดอยู่ในความมืดมิดถัดจากห้องภายในกระท่อม
มูนนี่ที่เดินตามหลังของเฮเซคียาห์มายังอีกห้อง ผิวปากเบาๆ หลังพบว่ากรอบประตูที่เพิ่งเดินผ่านออกมาถูกสวมทับไว้อีกชั้นใต้กรอบประตูของห้องใหม่ใต้ดินที่พวกเขายืนกันอยู่
กระท่อมที่พวกเขาเห็นเป็นห้องหนึ่งของอาคารใต้ดินซึ่งมีกลไกสามารถเคลื่อนที่ขึ้นไปบนดินและถูกดึงกลับลงมาได้ในลักษณะวางซ้อนกับกรอบกล่องที่ถูกสร้างไว้ให้รองรับอย่างพอดิบพอดี
“สร้างอะไรให้ยุ่งยากดีแท้” มูนนี่โยกศีรษะไปมา
เฮเซคียาห์เห็นสวิตซ์ไฟที่มุมด้านหนึ่งของห้องสมุดก่อนมูนนี่ เขาลองเดินไปกดดู ไฟติดผนังสีนวลหกดวงสว่างขึ้นทันที หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกจากห้องสมุดไปยังห้องถัดไป และถัดไป จากนั้นพวกเขาพบลิฟต์อยู่ที่สุดทางเดิน พอเข้าไปในลิฟต์ที่มีเพียงลูกศรให้กดขึ้นและลงเท่านั้น พวกเขาก็ถูกลิฟต์พาลงไปยังชั้นล่างที่อยู่ถัดลงไป
ในชั้นล่างถัดมา เฮเซคียาห์กับมูนนี่พบกับสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่คนดูแลคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่ไม่มีพิษภัยมาปลูกเต็มไปหมด สวนดอกไม้เตือนให้เฮเซคียาห์นึกถึงพริเซล่า น้องสาวของเขา แต่เขาไม่ปริปากเอ่ยถึงพริเซล่ากับมูนนี่ เขากับมูนนี่พากันเดินไปจนสุดตัวอาคารอีกด้านอย่างเงียบๆ และลงลิฟต์ที่มีเพียงลูกศรกดขึ้นและลงเป็นตัวเลือกบนแผงเลือกชั้นเดินทาง เพื่อไปยังชั้นล่างถัดไป
เดินทางด้วยลิฟต์ระหว่างชั้นจนถึงชั้นที่สี่ ลิฟต์ที่เขาจะใช้ลงไปยังชั้นล่างลึกลงไปอีกนั้น มีลักษณะที่แตกต่างออกไป มันถูกปิดล็อกด้วยกระจกนิรภัยข้างนอกอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเมื่อมองทะลุกระจกไป จะเห็นซี่ลูกกรงของประตูที่ใช้ปิดล็อคไว้อีกชั้น ซึ่งมีรูกุญแจให้ไขเปิด
“นี่เป็นล็อคที่ต้องใช้รหัสพันธุกรรมในการเปิด” มูนนี่สำรวจตัวแสกนที่ติดอยู่ด้านข้างของประตูกระจกนิรภัย
เฮเซคียาห์ตกลงกับมูนนี่ที่จะรออยู่หน้าลิฟต์ ขณะที่มูนนี่ขึ้นไปตัดเอามือของเรการ์ดมาจากศพที่ถูกทิ้งไว้ข้างบนดินเพื่อเอามาใช้ในการเปิดประตู
พวกผู้ใช้เศวตศาสตราที่ถูกขโมยเศวตศาสตราของพวกเขาไป รวมถึงตัวเศวตศาสตราควรจะอยู่ในชั้นล่างถัดลงไป
นักล่ากล่องรู้ดีว่าผู้ใช้เศวตศาสตราด้วยกันเองสามารถใช้เศวตศาสตราของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตนได้ จึงเก็บสะสมเศวตศาสตราในรูปกล่องสีขาวผ่านการขโมยไปจากคนอื่น โดยนักล่ากล่องจะกักขังเจ้าของกล่องเอาไว้ในสถานที่ซึ่งพวกเขาสร้างไว้ เพราะการฆ่าผู้ใช้เศวตศาสตราจะทำให้การลงแรงขโมยของนักล่ากล่องหมดความหมาย
อย่างที่ทุกคนทราบกัน เศวตศาสตราจะสูญสลายหายไปจากโลกนี้ พร้อมกับการเสียชีวิตของเจ้าของ
การขโมยเศวตศาสตรามาเพื่อใช้งาน หรือการขายเศวตศาสตราที่ไม่ได้ใช้งานแล้วออกไป นักล่ากล่องต้องมีความมั่นใจว่าเศวตศาสตราที่ได้มา ใช้อยู่ หรือถูกใช้อยู่ วันหนึ่งจะไม่หายไปเสียเฉยๆ เพราะผู้ใช้งานตัวจริงของมันเกิดไปเสียชีวิตลงที่ไหนสักแห่งโดยที่นักล่ากล่องไม่รู้ไม่เห็น
“มาละ” มูนนี่เดินส่งเสียงมาแต่ไกลให้กับเฮเซคียาห์ที่ยืนพิงผนังรอมูนนี่อยู่ข้างลิฟต์
เขามองมือของเรการ์ดที่มูนนี่ยกชูขึ้นและเขย่าไปมาอย่างเริงร่า
“ในที่สุดก็จะได้คืนกล่องนี่ให้เจ้าของสักที” มูนนี่ดึงก้อนผ้าที่ห่อเศวตศาสตราซึ่งไม่ใช่วีวี่ไว้ภายในออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขา ตอนแรกที่เฮเซคียาห์จะหยิบเจ้าเศวตศาสตราดังกล่าวที่ตกอยู่ข้างซากนกอินทรีและศพของเรการ์ด มูนนี่เอาผ้ามาห่อมันและเก็บไปเสียก่อน อีกฝ่ายเอ็ดเขาว่าเดี๋ยวจะเจ็บตัวถ้าหากไปแตะต้องมันตรงๆ
บรอธอธิบายเรื่องระบบป้องกันตัวของเศวตศาสตรา
เศวตศาสตราแต่ละอันสามารถส่งกระแสไฟฟ้าออกมาได้ในระดับที่แตกต่างกันออกไปอย่างเฉพาะตัว ระดับของกระแสไฟฟ้าที่ส่งออกมาจะรุนแรงขึ้นอยู่กับระดับความสามารถของเศวตศาสตรา โดยกระแสไฟฟ้าที่ว่าจะถูกปล่อยออกมาในเวลาที่เศวตศาสตราป้องกันตัวมันเอง
และการช็อตคนที่ไม่ใช่เจ้าของก็คือการป้องกันตัวมันเองอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคนแปลกหน้าต้องการซิงโครไนซ์กับเศวตศาสตรา พวกเขาต้องอดทนต่อกำลังไฟฟ้าแรงสูงที่ช็อตร่างของพวกเขาได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงของเศวตศาสตราที่มอบข้อแลกเปลี่ยน เพื่อให้พลังกับคนที่เข้าหามันซึ่งต้องการซิงโครไนซ์ข้อมูลเป็นผู้ใช้งานร่วมกับผู้ใช้รายเดิม
ตัวอย่างเช่น เศวตศาสตราที่ถูกมูนนี่ใช้ผ้าห่อและนำมาด้วย มันยื่นข้อเสนอกับเรการ์ดว่าเขาต้องทำภารกิจขโมยไข่แมงป่องทะเลทรายให้สำเร็จก่อน จึงจะได้รับความสามารถสารพัดพิษ หรือควบคุมพิษในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นความสามารถของมัน โดยการปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ เรการ์ดไม่จำเป็นต้องลงมือเองก็ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เรการ์ดปิดประกาศที่คลับของผู้ใช้เศวตศาสตราในหมู่บ้านที่เฮเซคียาห์กับมูนนี่จากมา
เรการ์ดคงวางแผนไว้ก่อนที่มูนนี่จะไปเจอประกาศทำงานดังกล่าว ว่าภารกิจนี้ ถ้ามีผู้ใช้เศวตศาสตราอื่นทำได้สำเร็จ ตอนมาส่งของก็จะเอาทั้งไข่แมงป่องทะเลทรายที่หามาได้ และเศวตศาสตราของคนที่รับทำภารกิจได้สำเร็จ เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
เรการ์ดช่างเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายที่น่ารังเกียจจริงๆ
“โอ้โห นี่มัน! ช่างตื่นตาตื่นใจ” มูนนี่โวยวายด้วยความดีใจ และวิ่งถลาออกไปจากลิฟต์ที่เปิดออกเมื่อพวกเขาลงมาถึงชั้นถัดมา
ชั้นนี้อย่างกับพระคลังมหาสมบัติ ของหายาก ทองคำและแร่ต่างๆ ถูกจัดระเบียบแต่วางไปทั่วโถงห้องใหญ่ ที่สุดปลายห้องมองไปเห็นลิฟต์อีกตัวตั้งอยู่
มูนนี่ที่เข้าถึงทองคำแท่งที่ถูกจัดวางเรียงเป็นชั้นๆ หยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดเบาๆ และเขาก็หยิบอีกหลายแท่งเข้ากระเป๋าของตัวเองจนตุง ก่อนจะขยับไปหยิบแร่หายากอย่างอื่นใส่กระเป๋าอีกข้างจนตุงเช่นเดียวกัน
ทองคำและแร่ต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตได้ถูกยอมรับเป็นเงินตราแลกเปลี่ยนในวงกว้าง แต่เนื่องจากไม่มีระบบธนาคารกลางในปัจจุบัน ดังนั้น มนุษย์แต่ละที่กำหนดเกณฑ์ในการแลกเปลี่ยนกันเอาเอง ไม่มีมาตรฐานสากลแต่อย่างใด
ตามที่มูนนี่เล่า ทุกหมู่บ้านยังยินดีให้เอาของแลกของด้วย
“ป่ะ ไปกันต่อ” เฮเซคียาห์ไม่หยิบของในห้องติดมือไป เขาเดินนำมูนนี่ไปยังลิฟต์ที่อีกด้านของห้อง
“เอาอีกละ” มูนนี่บ่นเมื่อเห็นแผงสแกนรหัสพันธุกรรม “คราวนี้ลูกตา”
“เดี๋ยวฉันไปเอาเอง” เฮเซคียาห์คิดว่าควรผลัดกันไป หนก่อนมูนนี่ก็เสียเวลาขึ้นไปด้านบนคนเดียวเองแล้ว
“ไม่เป็นไร ฉันไปเอง นายอยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันจะเอาอย่างอื่นเผื่อด้วย เผื่อมีลิฟต์แบบนี้อีก ยังไงฝากถือมือนี่ไว้ก่อน” มูนนี่ส่งมือของเรการ์ดที่เขียวๆ ม่วงๆ ดูน่ารังเกียจมาให้
เฮเซคียาห์ย่นจมูกก่อนรับเอามือของเรการ์ดมาถือไว้
เมื่อมูนนี่กลับมาจากชั้นบน เขาเอาลูกตาของเรการ์ดมาสองข้าง รวมถึงมืออีกข้างและเส้นผมหย่อมหนึ่งของเรการ์ดใส่ถุงเล็กๆ มาด้วยกัน
ทั้งคู่ลงลิฟต์มาสู่ชั้นต่อมา
ในชั้นนี้ พวกเขาพบของที่กำลังมองหาอยู่ เศวตศาสตราจำนวนมากถูกวางบนชั้นสวยงามเรียงรายกันไปตามกำแพง ด้านข้างทางขวาของเศวตศาสตราแต่ละอัน มีป้ายกระจกที่สกรีนข้อความเป็นตัวอักษรสีดำเขียนชื่อของเศวตศาสตรา ทั้งชื่อของมันที่ถูกเจ้าของเดิมเรียก และชื่อที่เศรการ์ดตั้งให้ใหม่ พร้อมกับคุณสมบัติของเศวตศาสตรา
“ไอ้เลวนี่ ขโมยของของคนอื่นมาจัดเป็นคอลเล็คชั่นของตัวเองเฉยเลย” มูนนี่โวย เดินไปรอบๆ เพื่ออ่านคุณสมบัติของเศวตศาสตราที่ตั้งแสดงอยู่
เฮเซคียาห์กระตุ้นให้มูนนี่เดินไปยังลิฟต์ตัวถัดไป
“ดีนะ ฉันรอบคอบ” มูนนี่เอาเส้นผมหย่อมหนึ่งของเรการ์ดใส่ลงไปในช่องที่มีเอาไว้สำหรับส่งชิ้นส่วนตรวจหาสารพันธุกรรมที่ติดตั้งอยู่บนผนังถัดจากลิฟต์ และพวกเขาก็เข้าลิฟต์มาด้วยกัน
เมื่อมาถึงชั้นล่าง ประตูลิฟต์เปิดออก ไฟอัตโนมัติเริ่มทำงาน ความสว่างช่วยบรรเทาความน่ากลัวจากบรรยากาศวังเวงในชั้นนี้ลงได้ เฮเซคียาห์ได้เห็นว่ามีประตูห้องปรากฏตามแนวยาวทั้งสองด้านด้านหน้าของเขา แล้วทันใดนั้นเอง เฮเซคียาห์ก็ได้ยินเสียงบางอย่างกำลังเคลื่อนที่อยู่แถวหัวมุมทางเดินที่อยู่ไกลออกไป
เขากับมูนนี่สบตากันและเตรียมตัวตั้งรับ เผื่อมีศัตรูโผล่ออกมา
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
สิ่งที่ปรากฏตัวคือหุ่นยนต์ตัวขนาดเท่าคน จำนวนสองตัว มันเอียงศีรษะขณะจับภาพเฮเซคียาห์และมูนนี่ได้
มูนนี่ขยับรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ เขาเขวี้ยงวีวี่ออกไปในอากาศขณะที่เฮเซคียาห์ยังไม่เข้าใจการกระทำของเขา วีวี่เปลี่ยนรูปร่างเป็นจักรยานยนต์คันใหญ่ที่ตัวเครื่องทำด้วยเหล็กกล้ามันวาวถูกขัดมาอย่างดี วิ่งเข้าชนเจ้าหุ่นยนต์ทั้งสองอย่างแรงจนพวกมันล้มลง ก่อนจะถอยหลับมาบี้ส่วนศีรษะของหุ่นยนต์ทั้งสองจนพังยับ
“มันจะยิงเราด้วยปืนเลเซอร์ เพราะเราไม่ใช่เรนาร์ด” มูนนี่ตบไหล่เฮเซคียาห์เป็นทำนองชวนให้เดินออกจากลิฟต์ไปด้วยกัน
มูนนี่ก้าวไปแตะวีวี่เพื่อเปลี่ยนสภาพมันให้กลับมาเป็นเศวตศาสตราเหมือนเดิม ก่อนจะย่อส่วนและใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง
เฮเซคียาห์มองไปยังประตูห้องที่เรียงรายกัน แต่ละห้องมีเพียงช่องเล็กๆ ให้มองลอดเข้าไปได้ เขาลองเดินไปมองลอดเข้าไปในห้องหนึ่งและพบว่ามีคนอยู่ในนั้น พร้อมกับหุ่นยนต์ตัวเล็กๆ ที่เข้าโหมดหลับอยู่ แต่มันดูไม่เหมือนหุ่นยนต์ซึ่งจะทำอันตรายกับคน
“ช่วยด้วย! ช่วยฉันออกไปที” คนในห้องถลามาเกาะที่ประตู หุ่นยนต์ที่อยู่ข้างเธอไม่ตื่นจากโหมดหลับ “ช่วยฉันออกไปด้วย”
เฮเซคียาห์หันไปมองหน้ามูนนี่ แต่มูนนี่พยักพเยิดไปที่ประตูซึ่งไม่มีลูกบิดแทนที่จะตอบเขากลับมาเป็นคำพูด
เฮเซคียาห์กับมูนนี่ออกเดินหาสวิตซ์ที่จะเปิดห้องของคนที่ถูกคุมขังทั้งหมดได้ พวกเขาเจอห้องครัวที่มีหุ่นยนต์ตัวเล็กๆ อยู่ในโหมดหลับ ดูเหมือนว่าชั้นล่างจะเป็นชั้นที่ถูกดูแลจัดการโดยพวกหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมไว้ บางส่วนทำอาหารไปส่งตามห้อง บางส่วนทำความสะอาดห้องของผู้ถูกคุมขัง และบางส่วนดูแลป้องกันการหลบหนี คือหุ่นยนต์สองตัวที่เขาเจอก่อนหน้านี้
หลังจากเดินวนไปทั้งชั้น เฮเซคียาห์กับมูนนี่เจอลิฟต์อีกตัว ลิฟต์ตัวนี้ต้องการรหัสผ่าน
“ฉันจัดการให้” บรอธออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเฮเซคียาห์ ดีดตัวมันให้ขยายออกจนมีขนาดเท่าปกติและเอาตัวเองไปแตะแนบกับแผงกดรหัสผ่าน
เฮเซคียาห์ได้รหัสผ่านเข้ามาในสมอง เขาป้อนรหัสที่ได้มา เข้าไปยังเครื่องกรอกรหัสผ่าน
ลิฟต์เปิดให้ใช้งาน เขาและมูนนี่จึงลงไปยังข้างล่างอีก 1 ชั้น
ชั้นล่าง เต็มไปด้วยแผงควบคุมสวิตซ์ไฟต่างๆ และเอกสารเก่าๆ ที่ดูไม่น่าสนใจ เฮเซคียาห์จัดการปิดสวิตซ์ไฟฟ้าที่ส่งออกไปเหนี่ยวนำเพื่อล็อคประตูห้องคุมขังสำหรับห้องขังทีละห้อง เขากับมูนนี่เชื่อว่าคนถูกคุมขังคงจะแปลกใจระคนกับดีใจกับอิสรภาพที่พวกเขามอบให้
“รีบไปรับคำขอบคุณดีกว่า” มูนนี่บอกกับเฮเซคียาห์อย่างร่าเริงเมื่อพวกเขาปิดสวิตซ์ของห้องคุมขังที่ถูกใช้งานทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเฮเซคียาห์กับมูนนี่กลับไปถึงด้านบน พวกเขาพบว่ามีผู้ถูกคุมขังบางส่วนมายืนออกันอยู่ด้านหน้าลิฟต์ที่เขาเพิ่งขึ้นมา และพวกเขาแตกฮือไปยืนหลบกันตามจุดต่างๆ ตอนที่ลิฟต์เปิดออกโดยมีเฮเซคียาห์และมูนนี่อยู่ด้านใน ทั้งเฮเซคียาห์และมูนนี่ต้องรีบออกไปเรียกทุกคนที่ดูปริวิตกมารวมตัวกัน และอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้เข้าใจอย่างรวดเร็ว
บางคนดูกังวลกับการเห็นเฮเซคียาห์ อาจเพราะรูปลักษณ์ของเขาที่คล้ายชาวมัสติน ซึ่งเฮเซคียาห์พยายามยิ้มเข้าไว้ เพราะคิดว่ารอยยิ้มอาจจะช่วยให้หลายคนรู้สึกได้ว่า เขาน่าไว้วางใจ
เฮเซคียาห์กับมูนนี่สำรวจตามห้องขัง ภายในห้องขังแต่ละห้องมีเพียงที่นอน และห้องน้ำในตัวด้านในสุดของห้อง บนผนังด้านขวาของทุกห้องจะมีช่องเล็กๆ ที่จะมีการส่งอาหารผ่านระบบสายพานเข้ามาจากด้านในห้องครัว เรียกได้ว่าถ้าถูกขังอยู่ที่นี่ก็จะได้ใช้ชีวิตไปกับการรับประทานอาหารและนอนเท่านั้น
เฮเซคียาห์ไม่แปลกใจที่ผู้ถูกคุมขังบางคนอ้วนท้วม
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พวกเขาได้เผชิญ แต่ไม่ใช่ปัญหาของเฮเซคียาห์และมูนนี่เองในเวลานี้ คือผู้ถูกคุมขังบางคนอยู่ในสภาวะวิกลจริตและไม่ยอมออกจากห้องพัก พวกเขาเอาแต่นั่งเหม่อ ดูเลื่อนลอยไม่มีสติ ขณะที่บางคนป่วยและเคลื่อนที่ออกจากห้องไปเองไม่ได้
เฮเซคียาห์และมูนนี่โน้มน้าวคนที่ปกติดีให้ช่วยดูแลคนซึ่งอยู่ในสภาพช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และพวกเขาก็เคลื่อนพลเกือบสี่ร้อยคนขึ้นไปสู่ห้องชั้นบนที่มีเศวตศาสตรามากมายรออยู่
จำนวนคนที่มากกว่าจำนวนเศวตศาสตรา เฮเซคียาห์นึกสังหรณ์ใจว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่ได้พบกับเศวตศาสตราของตัวเองอีกครั้ง และก็เป็นจริง บางคนหน้าเสียแล้วฟูมฟายออกมาเสียงดังให้เห็น บางคนเดินเข้ามาหาเฮเซคียาห์และถามถึงห้องอื่นที่เขาสามารถพบเศวตศาสตราที่เหลืออยู่ได้ บางคนแยกไปอยู่ตรงมุมห้องคนเดียวเหมือนต้องการใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะไปหาเศวตศาสตราของตนคืนจากไหน
เศวตศาสตราโดยปกติทั่วไปไม่ได้เหมือนบรอธที่ลอยไปมาและตามหาเขาเองได้ เศวตศาสตราที่เฮเซคียาห์เคยเห็นส่วนใหญ่เป็นแบบพกพา ไปไหนมาไหนด้วยกันกับเจ้าของ โดยทั่วไปหากผู้ใช้เศวตศาสตราทำเศวตศาสตราหาย เขาจะถูกนำทางโดยความฝันหรือจิตใต้สำนึกที่ผูกพันกับเศวตศาสตราเพื่อให้หามันเจอ
แม้แต่วีวี่เอง ถ้ามูนนี่ไปทำหล่นหายในที่ที่ไม่รู้จักโดยที่ไม่รู้ตัว การออกคำสั่งให้วีวี่เปลี่ยนสภาพและมาหาเขาจะเป็นไปไม่ได้ ตามปกติวีวี่จะถูกสั่งให้เปลี่ยนสภาพต่อหน้ามูนนี่และสามารถเคลื่อนที่ไปกลับระหว่างสถานที่ก็ต่อเมื่อในการใช้งานนั้นเริ่มต้นจากการที่มูนนี่อยู่กับวีวี่ก่อน
“เอาละๆ ผมรู้ว่าเศวตศาสตราของพวกคุณบางคนไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ยังไงทุกคนก็ควรออกไปจากที่นี่ได้แล้ว” มูนนี่ตะโกนเสียงดังก้อง เพื่อให้ทุกคนได้ยินเสียงของเขาในห้องโถงกว้าง
ทุกคนมารวมตัวกันหน้าลิฟต์ มูนนี่ต้อนพวกเขาด้วยการตะโกนใส่แต่ใช้น้ำเสียงและวาจาสุภาพบอกให้เข้าแถว และค่อยๆ ทยอยส่งทีละกลุ่มขึ้นไปยังห้องที่อยู่ชั้นบน
ในห้องชั้นบน ทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลถูกมนุษย์ที่ขึ้นไปถึงแบ่งสรรปันส่วนกันไป เฮเซคียาห์ซึ่งตอนแรกไม่ได้สนใจทรัพย์สมบัติมีค่าก็เลยเอากับเขาด้วย เพราะเริ่มคิดถึงประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สมบัติที่จะเอาไป บางทีในวันข้างหน้าเขาอยากซื้ออะไรจะได้ไม่ต้องรบกวนมูนนี่ และไม่แน่ว่าเขากับมูนนี่จะอยู่ด้วยกันตลอด วันที่ทั้งคู่ต้องแยกกันต้องมาถึงแน่ เพราะเฮเซคียาห์อยากกลับเข้าไปยังเมืองหลวงของเขตการปกครองที่1 สถานที่ที่มูนนี่คงไม่อยากตามเขาเข้าไป และเขาคงไม่ชวนเพื่อนมนุษย์คนนี้เข้าไปด้วยกันเด็ดขาด
ด้วยความร่วมมือกันระหว่างเฮเซคียาห์และมูนนี่ พวกเขาไล่ต้อนผู้ใช้เศวตศาสตราทั้งหมดให้ทยอยโดยสารลิฟต์ กลับขึ้นไปถึงบนพื้นแผ่นดินโลกได้ทั้งหมดในช่วงเวลารุ่งเช้า หน้าตาของคนที่ได้รับอิสรภาพมีทั้งความดีใจ ความเฉยเมย และความเสียดาย
บางคนกินๆ นอนๆ ในห้องขังแต่ก็เคยชินกับชีวิตแบบนั้นจนไม่รู้สึกอยากเป็นอิสระอีกแล้ว
ขณะที่ผู้ใช้เศวตศาสตราจำนวนหนึ่งถูกขังอยู่กว่ายี่สิบปี พวกเขาบอกกับเฮเซคียาห์ว่าการได้กลับมาสู่ผืนดินครั้งนี้เหมือนกับความฝันของพวกเขา และดูโดยรวมแล้ว พวกเขาดีใจมากกับอิสรภาพ
เฮเซคียาห์เฝ้ามองมูนนี่เทียวส่งผู้ใช้เศวตศาสตราที่ช่วยออกมาทีละกลุ่มหลายต่อหลายวัน โดยมูนนี่พาพวกเขากลับไปที่หมู่บ้านซึ่งเฮเซคียาห์กับมูนนี่แวะไปพักอยู่ก่อนหน้า
เฮเซคียาห์เข้าใจว่าผู้ใช้เศวตศาสตราหลายคนคงมีความดีใจที่ทวีขึ้นไปอีกจากการกระทำของมูนนี่ เพราะหลายคนเล่าให้เขาฟังว่า พวกเขาถูกจับระหว่างเดินทางตามหาเมืองที่อยู่ใต้พิภพหรือซ่อนอยู่ในป่า
อย่างน้อยแม้ผู้ใช้เศวตศาสตราเหล่านั้นยังไม่เจอเมือง แต่ก็จะได้เจอหมู่บ้านเพราะความมีน้ำใจของมูนนี่
และด้วยการรับคนไปส่งอย่างขยันและเต็มใจของมูนนี่ ตอนนี้ ผู้ใช้เศวตศาสตราที่อยู่กับเฮเซคียาห์เป็นกลุ่มสุดท้าย พวกเขานั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ รอให้มูนนี่กลับมา
“มนุษย์กลายพันธุ์ที่ฉันตั้งใจจะไปตามหา นายคิดว่าเขาจะยอมช่วยฉันให้ได้กลับเข้าเมืองหลวงไหม” เฮเซคียาห์ได้คุยกับทุกคนบ้างแล้ว แต่ก็ไม่อยากสุงสิงด้วยมาก เขาแยกตัวมานั่งคนเดียวใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้กับซากกระท่อมที่ถูกพังลงไป
มูนนี่เป็นคนพังลงเองกับมือ ด้วยการเปลี่ยนวีวี่เป็นรถที่ออกแบบมาสำหรับการรื้อถอนตึก มูนนี่บอกกับเฮเซคียาห์ว่า เขาอยากกลับมาที่กระท่อมหลังนี้ทีหลังเพื่อลงไปทยอยขนเอาทรัพย์สมบัติออกมา ดังนั้น เขาไม่อยากให้กระท่อมดึงดูดสายตาของคนอื่นที่อาจสัญจรผ่านมา หรือเมื่อกลับมา เขาต้องเจอเข้ากับคนที่มาตามหาเรการ์ดเพื่อขอซื้อเศวตศาสตราหรือสัตว์ป่าที่เข้าไปอาศัยอยู่
“มันก็อยู่ที่ว่านายโน้มน้าวเขาเก่งไหม” บรอธที่อยู่บนฝ่ามือไม่ได้ให้ความมั่นใจกับเฮเซคียาห์
“จริงๆ เขาเป็นใครกันแน่ แกให้ข้อมูลกับฉันเพิ่มเติมได้นี่”
“ฉันไม่อยากให้ข้อมูลเพิ่มเติม” บรอธดื้อกับเฮเซคียาห์ “นายไปพบกับเขา เพราะอยากกลับไปในเมืองหลวง ฉันไม่สนับสนุนสิ่งที่นายทำ”
“เออ อย่างนั้นก็ตามใจ” เฮเซคียาห์กล่าวเนือยๆ
เขาเงยหน้า มองขึ้นไปบนคาคบไม้ นึกอยากให้มูนนี่กลับมาเร็วๆ เขาจะได้ออกเดินทางพร้อมกับมูนนี่เพื่อไปตามหามนุษย์กลายพันธุ์ที่อยู่ในนิมิต
นี่เฮเซคียาห์ก็จากเมืองหลวงมา กว่าสามเดือนแล้ว เขาอยากกลับไปใจจะขาด
มูนนี่กลับมารับผู้ใช้เศวตศาสตรากลุ่มสุดท้ายไปส่งหมู่บ้าน พร้อมกับรับเฮเซคียาห์ไปด้วย ระหว่างทางมูนนี่เป็นคนยกเรื่องการตามหามนุษย์กลายพันธุ์ขึ้นมาพูดเอง ดูเหมือนจะจำสิ่งที่รับปากเอาไว้ได้อย่างแม่นยำและกระตือรือร้นที่จะรักษาคำพูด
การกระทำของมูนนี่ทำให้เฮเซคียาห์รู้สึกดี ในความรู้สึกของเขา มูนนี่เป็นมนุษย์คนแรกที่เขาพอจะให้การยอมรับได้ว่ามีคุณค่าเพียงพอกับการเป็นเพื่อนของเขา
“ทำไมอยู่ๆ ดูเศร้าๆ นายคิดถึงครอบครัวของนายเหรอ”
มูนนี่ทัก เฮเซคียาห์เพิ่งรู้ตัวว่าสีหน้าของเขาสื่ออารมณ์ที่แปลกแตกต่างจากปกติ
“ครอบครัวก็คิดถึง แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำหน้าเศร้าอยู่ แค่เหนื่อยเท่านั้นเอง”
“อ๋อ เหรอ เหนื่อยเหรอ” มูนนี่พยักหน้า แล้วเขาก็ยิ้ม หันไปคุ้ยของในถุงสัมภาระประจำตัว พาหนะตัวหนอนที่ตอนนี้เลือกใช้เป็นรุ่นสำหรับการเดินทางเป็นหมู่คณะกำลังเคลื่อนที่ไปด้วยระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ “ฉันซื้อบางอย่างมาฝากนาย”
มูนนี่ยื่นซองกระดาษสามาให้ เมื่อเฮเซคียาห์เปิดดูก็พบสติกเกอร์เล่นเพลงอะคูสติก
“ขอบคุณ” เฮเซคียาห์ผิดคาดที่อีกฝ่ายมีของมาให้
“ถ้านายเจอมนุษย์กลายพันธุ์นั่น เราก็คงต้องจากกันแล้ว ฉันมีสถานที่ที่ฉันอยากเดินทางไป”
เฮเซคียาห์ฟังคำพูดของมูนนี่แล้วในอกรู้สึกโหวงเหวง
เขาไม่ปริปากพูดกับมูนนี่ต่อ แต่ล้วงมือลงไปดึงสติกเกอร์เล่นเพลงอะคูสติก 1 ปึก ออกมาจากถุงกระดาษสา ช่วงที่ดึงสติกเกอร์ออกมานั้น ปรากฏว่ามีกระดาษสีสวยๆ หลุดแยกออกมาและหล่นลงบนพื้น เฮเซคียาห์ก้มลงเก็บจากพื้นอย่างเสียไม่ได้ คิดว่ามูนนี่คงลืมกระดาษโน้ตบางอย่างไว้ในถุงกระดาษสา
“นี่มัน...” เฮเซคียาห์นิ่วหน้า
ท่านผู้มีความร็อคในหัวใจ ขอให้ดื่มด่ำกับบทเพลงของผู้ใช้เศวตศาสตราสาวสุดฮ็อต
นักร้องผู้เป็นที่นิยม เสียงคมกระชากหัวใจและวิญญาณของทุกผู้ทุกนาม
ซาแมนต้า วีส
***ตั๋วนี้มีไว้เพื่อตอบแทนการอุดหนุนสติกเกอร์เล่นเพลงชุดใหม่ของเธอ
ได้สิทธิ Fan Meeting อย่างเป็นส่วนตัว ที่คลับผู้ใช้เศวตศาสตรา Full Moon Garden
วันหมดอายุ: กรกฎาคม ค.ศ. 3431
เฮเซคียาห์เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของมูนนี่ แล้วก้มลงมองบัตรเชิญในมือ เมื่อเขาพลิกไปอีกด้าน เขาพบรูปภาพของคนที่คิดว่า เป็นเจ้าของชื่อ ซาแมนต้า
เธอเป็นผู้หญิงที่มีเส้นผมยาวสีน้ำตาลอ่อนสลวยถึงกลางหลัง สวมใส่ที่คาดผมที่ประดับหนามตลอดแนว สวมเสื้อกล้ามเอวลอยรัดรูปสีดำ ทับซับในเกาะอกสีชมพู สวมปลอกแขนขอบสีดำคาดสลับขาวที่แถบสีตรงกลางของปลอกแขนทั้งสองข้างเป็นสีชมพู กระโปรงของเธอเป็นสีม่วงมีประกายกากเพชร เธอสวมถุงเท้าสีดำที่ยาวสูงขึ้นมาถึงขาอ่อน รองเท้าบู๊ทสีขาวเสริมให้เธอดูทะมัดทะแมง
“ถ้านายแยกไปจากฉันแล้ว นายจะไปที่ไหนที่แรก” เฮเซคียาห์ตบบัตรเชิญนั้นกับฝ่ามืออีกข้างเบาๆ
“คงไปทำงานแหละ ฉันก็ไปนู่น ไปนี่ เรื่อยๆ” มูนนี่ไม่ได้มองเขา เพราะกำลังสาละวนกับการปะชุนกางเกงของเขาที่ขาด
“งั้น ถ้าฉันออกมาจากเมืองหลวงได้ เราไปเจอกันที่ Full Moon Garden ดีไหม”
“หืม?” มูนนี่หยุดชุนกางเกง หันมามองหน้าเพื่อน
“เสียทรัพย์ซื้อสติกเกอร์เล่นเพลงไปเท่าไรกัน กว่านายจะได้บัตรอีเว้นท์มา”
มูนนี่ทำหน้ากลั้นหัวเราะระคนกับจะร้องไห้ มองบัตรที่เฮเซคียาห์ถืออยู่ในมือ แล้วเขาก็เอื้อมมือมาจะหยิบเอาบัตรที่เฮเซคียาห์มีอยู่ไป
เฮเซคียาห์ยกมือขึ้นสูงแล้วเตะเก้าอี้อีกฝ่าย
“ตกลงถ้านายแยกไป แล้วฉันเสร็จธุระที่เมืองหลวงแถมยังปลอดภัยด้วย เราไปเจอกันที่ Full Moon Garden ดีไหม” เฮเซคียาห์ชูบัตรเชิญในมือต่อหน้ามูนนี่ที่แสดงออกชัดเจนบนสีหน้าว่าอยากได้ของของเขาคืน
“เออ” มูนนี่ฉวยเอาบัตรเชิญคืนไป และสาละวนรีบเอามันไปบรรจงเก็บใส่ในกล่องเก็บของสะสมที่อยู่ในถุงสัมภาระ
เฮเซคียาห์ส่ายหน้ากับท่าทีของเพื่อนหนุ่มที่คลั่งเพลงร็อคและศิลปินบางคนอย่างมาก เขาคิดว่าถ้าชาตินี้ต้องการหาตัวมูนนี่เมื่อเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ใด เขาคงไม่ต้องถึงขั้นพลิกแผ่นดินหา แต่แค่จดรายชื่อสถานที่ซึ่งมีการแสดงคอนเสิร์ตของนักร้องดังๆ ที่มูนนี่ชอบ ไปตรวจสอบและเฝ้าประจำอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เหล่านั้น ก็เป็นไปได้ว่าเขาจะได้เจอกับเพื่อนของเขาอย่างแน่นอน