ตอนที่ 8: ภารกิจส่งไข่แมงป่องทะเลทราย (จบภารกิจ)
ตอนที่ 8: ภารกิจส่งไข่แมงป่องทะเลทราย (จบภารกิจ)
“ยืนยัน: ตรวจพบเศวตศาสตราอื่นๆ อยู่ข้างหน้า เป็นจำนวนมาก”
บรอธแทรกเสียงเข้ามาในหัวของเฮเซคียาห์ทั้งที่เขาหลับอยู่ เฮเซคียาห์สะดุ้งตื่น เขาเหลียวมองรอบตัวอย่างงงๆ และเห็นมูนนี่กำลังนั่งตัดเล็บมืออยู่ ไม่ได้หันมาสนใจเขา เมื่อเฮเซคียาห์มองผ่านกระจกด้านหน้าของยาน เขาพบว่าฟ้าด้านนอกดูหม่นหมอง เมฆครึ้ม ฝนอาจกำลังจะตกลงมาในเร็วๆ นี้
ตาของเขาเหลือบมองหน้าปัดแสดงค่านับถอยหลังระยะเวลาเดินทางถึงจุดหมาย
อีก 5 นาที พวกเขาจะถึงจุดหมาย
“เฮ้! เมื่อกี้แกบอกอะไรฉันนะ” เฮเซคียาห์ตบกระเป๋ากางเกงของเขาที่บรรจุบรอธซึ่งย่อส่วนตัวเองเบาๆ
บรอธพูดทวนข้อความเดิมกับที่ใช้ปลุกเขา
“ว่าไงนะ” มูนนี่เงยหน้าขึ้นจากมือของเขา ดูเหมือนบรอธจะส่งเสียงของมันออกไปให้มูนนี่ได้ยินด้วย “กี่กล่อง”
“131 กล่อง” บรอธตอบได้ในทันที
“ให้ตายเหอะ ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้” มูนนี่ยกนิ้วแตะที่หน้าจอควบคุมยาน ยานค่อยๆ หยุดจอด ขณะที่หัวยานกำลังเคลื่อนพ้นจากป่า มองออกไปที่ด้านหน้า ปรากฏทางเรียบโรยหินที่ดูแล้วเป็นฝีมือของมนุษย์เลียบกับลำธารใสที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล ซึ่งอีกฟากของลำธารเป็นผาหินที่สูงจนแทบเสียดฟ้า
“เศวตศาสตรา 130 กล่องอยู่ในโหมดพักผ่อน ฉันจึงเพิ่งตรวจพบข้อมูลนี้เมื่อเราเข้ามาใกล้พิกัดเป้าหมาย” บรอธยอมให้ข้อมูลทั้งที่คนถามเป็นมูนนี่ ไม่ใช่เฮเซคียาห์ซึ่งเป็นผู้ใช้งาน
“เกิดอะไรขึ้น” เฮเซคียาห์ถามขึ้นอย่างงุนงง ขณะเดียวกัน มูนนี่กดปุ่มบังคับให้ยานขับเคลื่อนถอยหลัง
“เราอยู่ที่นี่ไม่ได้ อันตราย! อันตรายเกินไป!” มูนนี่เสียงเครียด
นี่เป็นครั้งแรกที่เฮเซคียาห์เห็นมูนนี่เครียดจริงๆ จังๆ
“อันตราย...” เฮเซคียาห์ทวนคำพูดของอีกฝ่าย ยังไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ “นายหมายถึงอะไร”
“นักค้ากล่อง!” มูนนี่สั่งยานให้ดำลงไปในดินด้วยความเร็วสูง ถอยหลังกลับเข้าไปในป่า
โครม!
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
บางอย่างกระแทกอย่างแรงเข้ามาที่ตัวยานซึ่งส่วนหัวยานกำลังดำลงไปในดิน เฮเซคียาห์อุทานออกมาและแทบกระเด็นออกไปจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ดีว่าระบบดึงดูดกายภาพของผู้ใช้งานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาความปลอดภัยของผู้โดยสารทำงานขึ้นมาเสียก่อน เขาที่ถูกดูดกายให้นั่งมั่นอยู่บนเก้าอี้ตั้งสติ และเงยหน้าขึ้นมองกระจกใสของหน้าจอที่ตอนนี้บางส่วนถูกใช้เพื่อแสดงภาพความเสียหายของยาน และลักษณะของสิ่งที่โจมตียานจากภายนอก
“ขีปนาวุธจากผู้ใช้เศวตศาสตรา” เฮเซคียาห์ไม่อยากเชื่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
พวกเขาถูกผู้ใช้เศวตศาสตราด้วยกันโจมตี
“ห่า! ผู้จ้างงานดันเป็นนักค้ากล่อง โคตรเอาเปรียบฉิบเลย” มูนนี่สบถออกมาด้วยความเดือดดาล และลุกขึ้นมาหยิบไข่แมงป่องทะเลทรายจากที่วางของด้านหลังเพื่อจะโยนมันลงพื้น และทั้งขยี้และเหยียบเท้าลงบนไข่แมงป่องทะเลทรายสีดำอีกหลายที แต่ไข่ของสัตว์ร้ายผู้เปรียบดั่งเจ้าแห่งทะเลทรายมีเปลือกที่แข็งยิ่งกว่าเหล็ก ไข่ไม่มีแม้แต่รอยปริจากการถูกกระทำรุนแรงใส่
“มีอยู่จริงๆ ใช่ไหม นักค้ากล่อง...” เฮเซคียาห์ทบทวนความรู้ในสมองของเขา
เขาเคยอ่านเรื่องนี้ในรายงาน เขาจำได้แล้ว
ผู้ใช้เศวตศาสตรากลุ่มหนึ่งได้บุกรุกเข้าไปยังสถานที่ส่วนบุคคลของเพชฆาตระดับสูงของชาวมัสตินนอกเมืองหลวง พร้อมกับเศวตศาสตราในจำนวนที่มากกว่าอัตรา 1:1 ซึ่งจากข้อมูลที่เก็บมาได้จากผู้ใช้เศวตศาสตราที่ถูกจับนำกลับไปขังเพื่อทำการทดลองในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ของพวกปราชญ์ นักค้ากล่องเป็นคนขายเศวตศาสตราให้กับพวกผู้ใช้เศวตศาสตราเจ้าปัญหาเหล่านั้น
เฮเซคียาห์ประติดประต่อสิ่งที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ในรายงานได้ เพราะเหตุการณ์ตรงหน้า
กล่องอื่นๆ ที่ถูกใช้ โดยคนที่ไม่ใช่เจ้าของ มันมาจากไหน...
มันก็ต้องมาจากใครสักคน!
นี่พวกเขากำลังถูกปล้น!!
ผู้ส่งคำสั่งภารกิจส่งไข่แมงป่องทะเลทรายกำลังจะปล้นเอาเศวตศาสตราของพวกเขาไป!!!
“เราต้องดีดตัวออก วีวี่กำลังทนรับความเสียหายไม่ไหว มันต้องกลับคืนสู่สภาพของเศวตศาสตราเพื่อซ่อมแซมตัวเอง” มูนนี่หันมาอธิบายกับเฮเซคียาห์ขณะที่ยานส่งเสียงสัญญาณเตือนภัยดังลั่น ไฟในยานเปลี่ยนเป็นสีแดงและกะพริบถี่ พร้อมกับมีคำเตือนบนหน้าจอว่าความเสียหายเริ่มรุนแรงและยานกำลังจะระเบิด
“เอาสิ! นายกดปุ่มเลย” เฮเซคียาห์พยักหน้า
มูนนี่หมุนกายพร้อมกับเก้าอี้ไปด้านข้าง แล้วเขาก็ง้างมือขึ้น ก่อนจะตบเข้าที่ปุ่มสีแดงอันหนึ่งอย่างแรง
และ...
ฟิ้ว...ว...ว
ร่างของเฮเซคียาห์และมูนนี่กระเด็นละลิ่วออกจากที่นั่ง พุ่งผ่านหน้ายานที่เปิดออกอย่างรุนแรง จนทะลวงเปิดหน้าดินออก เปิดทางให้ร่างของพวกเขาสองคนลอยละล่องไปในอากาศ เฮเซคียาห์มองไปที่มูนนี่อย่างกังวล เพราะตระหนักว่าพวกเขาไม่มีร่มชูชีพหรืออุปกรณ์ลอยตัว เนื่องจากรูปแบบยานที่เลือกใช้เป็นของชาวมัสตินที่ไม่ยี่หระกับการใช้อุปกรณ์พวกนั้นอยู่แล้ว
“ไม่ต้องห่วง!” มูนนี่หันมาตะโกน และล้วงมือไปด้านหลัง ก่อนจะคว้าบางอย่างออกมาและโยนลงไปที่พื้นถนนโรยหินติดกับลำธาร
ฟุ่บ!
พวกเขาหล่นลงบนหมอนยางขนาดใหญ่ที่พองลมออกด้วยอัตราที่เร็วกว่าความเร็วในการร่วงลงสู่พื้นของพวกเขา
“หลบ!” เฮเซคียาห์เป็นฝ่ายตะโกนขึ้นเพราะเห็นบางอย่างทางหางตา เขากระโจนไปบนยางด้านหนึ่งเพื่อเข้าถึงตัวมูนนี่
ใบหน้าด้านข้างของเฮเซคียาห์ถูกบางอย่างถากเข้า และรู้สึกร้อนผ่าว เขารีบลุกขึ้นจากพื้นซึ่งเขากับมูนนี่หล่นลงมานอนกองด้านข้างหมอนยาง และกุมแผลที่มีเลือดออก เขาหันหลังกลับไม่ให้มูนนี่เห็นเลือดได้ และบอกมูนนี่ให้วิ่งตามเขามาขณะเดียวกันก็ถูแก้มของเขาเพื่อเช็ดเลือดให้หมดไปจากใบหน้า
ห่าธนูนับร้อยดอกพุ่งมาจากทางเดียว ชายคนหนึ่งที่อยู่ปลายลำธารที่เกือบสุดทางของถนนโรยหินคือคนที่ควบคุมพวกมัน ด้านหลังของชายคนนั้นมีกระท่อมหลังน้อยที่ภายนอกตกแต่งงดงามเหมือนกับบ้านพักตากอากาศของชาวมัสตินที่รักความสงบชอบอยู่กับธรรมชาติ ที่นั่นตั้งอยู่ในตำแหน่งที่คงตรงกับพิกัดที่เรการ์ดให้มา
“นี่มันแผนล่อมาฆ่าชัดๆ” เฮเซคียาห์เอ่ยกับมูนนี่ขณะที่พากันวิ่งอยู่
บรอธในตอนนี้ออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขาแล้ว อยู่ในขนาดปกติ มันบินไปพร้อมกับเขาที่วิ่งอยู่ บรอธส่งเสียงบอกให้เฮเซคียาห์เตรียมต่อสู้แทนที่จะวิ่งหนี เพราะเขาไม่มีทางวิ่งหนีพ้นเรการ์ดที่กำลังตามมาด้านหลัง และเมื่อเฮเซคียาห์หันไปมองโดยไม่หยุดฝีเท้า เขาก็ต้องอ้าปากด้วยความอึ้งและทึ่ง เพราะเรการ์ดที่ไล่หลังมานั้นกำลังบินอยู่
ใช่... บินอยู่
บินด้วยปีกหกคู่สีขาวซึ่งมีแสงเรืองรอง ปีกที่งอกขึ้นมาด้านหลังราวกับที่ปรากฏในเทพนิยาย สวยงามราวกับปีกของเทวดาในภาพที่ถูกประดับในวิหารเก่าแก่ที่เฮเซคียาห์เคยไปเยี่ยมชม
“มันซิงโครไนซ์ไปกี่อันวะ” มูนนี่ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือความหวาดกลัวซึ่งเฮเซคียาห์สัมผัสได้
“หวังว่าคงไม่ใช่ทั้ง 131 อันที่มันมีอยู่” เฮเซคียาห์ตอบเสียงเครียด
เขาหยุดวิ่ง และหมุนกาย กวาดเท้ากลับไปวางตั้งหลักให้มั่น ดึงเอาสร้อยคอที่มีเพนดูลัมออกมา เพราะถ้าบรอธบอกให้เขาสู้กับศัตรูที่อยู่ตรงหน้า เฮเซคียาห์ก็มั่นใจว่าเขาจะต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ได้
“มูนนี่ วิ่งต่อไปอย่าหยุด เฮเซคียาห์ยืนตั้งหลักเอาไว้ให้ดี” บรอธให้ข้อมูลเพื่อเข้าสู่การต่อสู้
เฮเซคียาห์ไม่ได้ยินเสียงของมูนนี่ แต่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายที่โกยแน่บไปอย่างรวดเร็ว ตัวของเฮเซคียาห์บอกตัวเองให้ทำใจให้สงบ เขามีประสบการณ์การต่อสู้นับร้อยปีและเริ่มคุ้นเคยกับร่างกายของมนุษย์ที่เป็นอยู่ การต่อสู้กับเรการ์ดครั้งนี้จะเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาในสถานะมนุษย์แข็งแกร่งขึ้น
“กระโดดทางขวา และออกวิ่งไปเรื่อยๆ พยายามเข้าให้ถึงตัวมัน” ข้อมูลจากบรอธในรูปแบบเสียงไหลเข้ามาในสมองของเฮเซคียาห์อย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาทำตามโดยแทบไม่ต้องใช้ความคิด เขาออกวิ่งไปเรื่อยๆ ขณะที่เรการ์ดซึ่งปีกด้านหลังกระพือดึงดูดสายตา วาดมือและฟาดสายฟ้าลงมาใส่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงของฟ้าผ่าใกล้หูทำให้หูของเขาอื้ออึง ไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง
แต่ดีว่าเขาไม่ได้ใช้แค่หูในการรับข้อมูลจากบรอธ
เฮเซคียาห์วิ่งเข้าไปจนเกือบถึงตัวเรการ์ด ก่อนจะกระโดดถอยหลังเมื่อแท่งน้ำแข็งนับร้อยพุ่งจากบนฟ้าลงมาหาเขาที่พื้น แต่การเคลื่อนไหวของเขาไม่อาจเร็วได้เท่าที่ใจคะเน คมน้ำแข็งก้านหนึ่งฝังเข้าไปในแขนของเขาก่อนจะสลายหายไปจากสายตา
เฮเซคียาห์มองเลือดที่ออก และคำรามขึ้นจมูก
เขาวิ่งเข้าไปหาเรการ์ดแบบตรงๆ
“แกคิดจะทำอะไร ไอ้หนู” เรการ์ดกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ และปล่อยหมัดออกมาในอากาศทั้งที่อยู่ห่างจากเฮเซคียาห์ไปเกินระยะมือจะเข้าถึง
ทว่า เฮเซคียาห์ถึงกับจุก เพราะหมัดนั้นอัดอากาศรวบเป็นก้อนก่อนจะส่งก้อนอากาศนั้นมาที่เขาอย่างแรง มันเป็นผลทำให้เขาถึงกับถอยหลังซวนเซไปหกก้าว และโหวงเหวงในช่องท้อง เขาเพ่งมองใบหน้าของเรการ์ดที่เป็นชายใบหน้าห้าเหลี่ยมที่ไว้หนวดดูน่าเกรงขาม ผมสีดำและดวงตาสีดำของฝ่ายตรงข้ามเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง
“ยอมให้ฉันจับเสียดีๆ เศวตศาสตราของแกดูชำนาญการใช้กลยุทธ์ต่อสู้” เรการ์ดเลื่อนสายตาไปที่บรอธซึ่งลอยอยู่ข้างเฮเซคียาห์ “ราคาคงงามอยู่”
“ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ!” เฮเซคียาห์ย่นหัวคิ้ว และถมน้ำลายลงพื้น
ทันใดนั้น เขาเบนกายหลบบางอย่างอย่างรวดเร็วตามที่บรอธชี้นำ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องหลบคืออะไร
กระบอง! เฮเซคียาห์เบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่เขาเพิ่งหลบได้
ห่างเขาไปเพียงฉิวเฉียด กระบองยักษ์สีแดงที่มีตะปุ่มตะป่ำสีทองอยู่รอบลำมาอยู่แทนที่ตรงจุดที่เขายืนอยู่ก่อน มันยืดขยายจากขนาดเดิมจากมือของเรการ์ด นี่ถ้าเขาไม่หลบ กระบองยักษ์นั่นคงทิ่มท้องเขาแล้วทำให้อวัยวะภายในบอบช้ำรุนแรง
“ฮัยย่ะ” เรการ์ดซึ่งกำยำสมชาย แต่ก็ไม่น่าถือตะบองยักษ์ที่ยาวหลายสิบเมตร และใหญ่เท่าสองคนโอบได้ กลับกวาดกระบองมาจะให้ฟาดเข้ากับตัวของเฮเซคียาห์ได้อย่างง่ายดาย เรการ์ดดูเหมือนไม่รู้สึกว่ากระบองยักษ์นั้นหนักเกินกว่าจะถือ
“วิเคราะห์: เศวตศาสตราของเรการ์ด...” เสียงของบรอธดังเข้ามาในหัว “ความสามารถ รีโมตคอนโทรล”
“รีโมตคอนโทรล” เฮเซคียาห์พึมพำ
ฉับพลันทันใด เขาเกิดความเข้าใจได้เองทันที ถึงเหตุผลที่เขาไม่ได้เห็นเศวตศาสตราสักอันอยู่ในมือของเรการ์ดขณะที่อีกฝ่ายใช้พลังจากเศวตศาสตราหลายต่อหลายอันที่ทำการซิงโครไนซ์อยู่ต่อหน้า เศวตศาสตราที่เรการ์ดใช้อยู่หลักๆ มีเพียงอันเดียวคือของเขาเอง โดยเรียกใช้งานเศวตศาสตราอันอื่นจากระยะไกล
เศวตศาสตราที่ถูกเรียกมาใช้งาน ทั้งที่ควบคุมลูกธนู ปีกนก สายฟ้า หมัดอัดลม และกระบองที่เขาเห็นอยู่ พวกมันคงเป็นเศวตศาสตราประเภทที่เจ้าของใช้ได้ตามใจนึกโดยไม่ต้องถือตัวเศวตศาสตราเพื่อจำแลงพลังเอาไว้
“รู้ไหม ฉันขี้เกียจเล่นแล้วละ จบเกมกันแค่นี้” เรการ์ดเอ่ยเสียงดัง พร้อมกับที่ในมือปรากฏหอกด้ามหนึ่ง
เฮเซคียาห์หรี่ตาลง สงสัยว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
“แนะนำ: อยู่นิ่ง เนื่องจากไม่มีโอกาสหลบพ้น”
เฮเซคียาห์มองบรอธอย่างไม่อยากเชื่อ แต่บรอธย้ำกับเขาอีกครั้งด้วยคำพูดเดิม
เฮเซคียาห์พยายามผ่อนคลาย เพราะถ้าเขาเกร็งกล้ามเนื้อละก็ เวลาโดนหอกทิ่มเข้าไปคงจะเจ็บยิ่งกว่าเดิม
ปั้ก!
“อืม...” เฮเซคียาห์คำรามเสียงพ่นจมูก หอกพุ่งมาปักที่อกด้านขวาของเขา
เขายกมือขึ้นแตะเลือดที่ไหลซึมออกมาจากตรงบริเวณหน้าอก
“เอามันออก” บรอธไม่สนใจสักนิดกับความเจ็บปวดของเฮเซคียาห์
มันทำให้เฮเซคียาห์อดเคืองไม่ได้ แต่เขาก็ไม่เถียงกับบรอธ เพียงแต่ลงมือทำตามที่มันบอก
“แก! แกโดนแบบนั้นแล้วทำไมถึงยังยืนอยู่ได้ ฉันตั้งใจให้มันทิ่มเข้าไปในปอดของแก แล้วหอกนั่นไม่มีทางพลาดเป้า” เรการ์ดมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ปีกที่อยู่ด้านหลังสั่นสะเทือน แต่เฮเซคียาห์อ่านอารมณ์จากการเคลื่อนไหวของปีกทั้งหกคู่นั้นไม่ออก เรการ์ดอาจกำลังกลัวที่สัมผัสได้ว่าเขามีบางอย่างที่แตกต่างจากผู้ใช้เศวตศาสตราคนอื่น หรืออาจจะกำลังโกรธที่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่หวัง เฮเซคียาห์ยังยืนนิ่งอยู่และดูปกติ ถ้าเป็นคนอื่นคงเจ็บหนักจนยืนไม่อยู่ไปแล้ว
“มันไม่ได้พลาดเป้าหรอก แต่ฉันแค่รักษาตัวเองได้ หอกนี่คงทำได้แค่รบกวนชาวมัสตินให้ยืนงงได้สัก 5 วิ ไม่สิ 3 วิ เพื่อให้คนอื่นใช้อาวุธอย่างอื่นเข้ามาโจมตี”
เฮเซคียาห์ยืดกายขึ้น เอียงคอ และมองเรการ์ดอย่างยโส
ไอ้มนุษย์ปัญญาอ่อนเอ้ย! เอาของพรรค์นี้มาทิ่มเนื้อเขา
“เป็นไปได้ยังไง...” เรการ์ดมองเขาตาค้าง “อย่ามาโกหก แกทำได้ยังไง”
“ก็แค่รักษาตัวเอง” เฮเซคียาห์ยกมือขึ้นกอดอก มองอีกฝ่ายเหยียดๆ
“แก!” เรการ์ดเพ่งตานิ่งที่ตัวเฮเซคียาห์ “ไม่ใช่แน่ๆ แกก็แค่มนุษย์ธรรมดา”
“ฮะ! ธรรมดานั่นเป็นคำที่ไกลความจริงโขเลย ถ้าแกรู้ว่าฉันมีความเป็นมายังไง” เฮเซคียาห์สาวเท้าเข้าหาอีกฝ่าย โยนหอกที่ดึงออกมาจากร่างกายของตัวเองทิ้งลงพื้น “แกรู้ไหม สมัยก่อนฉันทำกับพวกมนุษย์ที่มีเศวตศาสตรายังไง”
เฮเซคียาห์แสยะยิ้ม บรอธไม่เอ่ยห้ามเขา ดูเหมือนว่าจะไม่มีอันตรายหากเข้าไปใกล้ฝ่ายตรงข้ามมากขึ้นอีก
“ฉันฆ่า ฉันจับพวกมัน ฉันทรมานพวกมัน ฉันให้พวกพ้องของฉันทำการศึกษาทดลองชีวิตไร้ค่าพวกนั้น”
“พูดไร้สาระ แกก็แค่มนุษย์คนนึง” เรการ์ดไม่ยอมเชื่อ และซัดหมัดอากาศใส่เฮเซคียาห์อีกหลายที
แต่หมัดอากาศพวกนั้น แค่ทำให้รู้สึกเจ็บ ไม่ได้ทำให้บาดเจ็บภายในรุนแรงจนถึงกับต้องกระอักเลือดออกมา
“ดูเหมือนแก...” เฮเซคียาห์อ่านเกมออก “ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าจริงๆ สินะ คำพูดก่อนหน้านี้ที่บอกว่าให้ฉันยอมแพ้แล้วให้แกจับด้วย คงแค่คิดจะขโมยเศวตศาสตราของฉัน”
เรการ์ดขบกรามแน่น
“เศวตศาสตราจะหายไป ถ้าหากว่าผู้ใช้งานตาย” เฮเซคียาห์กล่าวดังๆ ถึงกฎของการใช้เศวตศาสตรา “ฉันฆ่าผู้ใช้เศวตศาสตราเสมอ ก่อนพวกมันจะดึงเศวตศาสตราออกมาใช้ และคนที่ฉันจับไป ฉันไม่เคยเฝ้าดูว่าเศวตศาสตราหายไปยังไงตอนที่พวกมันตายจากการทดลอง” เฮเซคียาห์รู้สึกได้ถึงด้านมืดในตัวเขาคนเดิม เขาซึ่งเหี้ยมโหดและเย็นชา
“แก? มัสติน? ไม่ใช่! ไม่ใช่มัสติน!” เรการ์ดตะโกนตอบโต้ และเหวี่ยงมือมาด้านหน้า ลูกธนูจำนวนมากปรากฏในอากาศและพุ่งมาหาเฮเซคียาห์ในคราวเดียว
คราวนี้เฮเซคียาห์ไม่หลบหนี เขาอ้าแขนออก หลับตา รับลูกธนูเหล่านั้นให้มาปักอยู่บนร่าง
มันเจ็บ เจ็บจริงๆ
ใจของเขาคิดแบบนั้น ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก้มมองร่างของตนที่ค่อยๆ ขับลูกธนูออกมาโดยเนื้อที่งอกขึ้นมาปิดบาดแผล
“นี่มัน! มันเรื่องบ้าอะไรกัน!” เรการ์ดเบิกตาโพลง มองเฮเซคียาห์อย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เฮเซคียาห์เปล่งเสียงหัวเราะออกมา ดังลั่นอย่างลำพอง
มือทั้งสองของเขายกขึ้น ข้างหนึ่งกำเพนดูลัมไว้ อีกข้างถึอปลายสายสร้อยของเพนดูลัม เขาวิ่งเข้าไปหาเรการ์ดพร้อมกับควงหมุนเพนดูลัมในมือให้เหวี่ยงในรัศมีวงกลม แล้วเฮเซคียาห์ก็ออกแรงโยนส่วนที่เป็นตุ้มเพนดูลัมออกไป กะจะให้มันบาดเนื้อของเรการ์ด
เพราะเพนดูลัมไม่คมเหมือนอย่างเคย มันคงตัดคอของเรการ์ดไม่ได้ในทีเดียว
เคร้ง!
โล่ขนาดใหญ่ ฉับพลันปรากฏ และขวางทางเพนดูลัมเสียก่อน
เฮเซคียาห์ที่อารมณ์เสียฟาดเพนดูลัมของเขาเข้าใส่โล่ใหญ่ที่บังตัวของเรการ์ดมิดหลายต่อหลายที เสียงโลหะกระทบโลหะเสียดดังเข้าหู ความโกรธของเขาทวีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาเห็นว่ารอยกระแทกจากเพนดูลัมบนโล่นั้นหายไปเองได้ เพราะโล่ที่เรการ์ดใช้อยู่มีความสามารถในการคืนสภาพของมันหรือไม่ก็รักษาร่องรอยที่กระทบกระแทกเข้ามาได้เอง
“ฮึ่ม! แน่จริงก็ออกมาจากหลังโล่สิวะ จะหลบเป็นเต่าหดหัวอยู่ในนั้นทำไมวะ” เฮเซคียาห์ไม่เคยปล่อยให้คู่ต่อสู้คนอื่นยกเว้นเอ็กซัสสู้ในสังเวียนกับเขานานเกินสิบห้านาที แต่ตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับมนุษย์คนหนึ่งและมนุษย์คนนั้นมีชีวิตอยู่รอดเกินสิบห้านาทีไปแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าหงุดหงิด เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนไม่เอาไหน
เขาตวัดเพนดูลัมของเขาไปข้างตัวอย่างเร็ว เสียงขวับดังขึ้นในอากาศไม่ผิดจากเสียงที่เกิดจากแส้
เฮเซคียาห์หันไปมองบรอธ และยื่นมือไปจับมันเอาไว้ แล้วเขาก็เอาจับเอาเพนดูรัมขึ้นมา พันทั้งตุ้มและสายสร้อยกับบรอธที่มีรูปทรงสีเหลี่ยม ตั้งหน้าตั้งตาทำโดยบรอธไม่ได้ส่งเสียงห้ามปรามเลยแม้แต่น้อย
“เอาไปกินซะไป๊!”
สิ้นคำ เฮเซคียาห์เหวี่ยงสายสร้อยที่ตอนนี้ตุ้มถ่วงเปลี่ยนเป็นบรอธไปเรียบร้อยแล้ว เข้ากับโล่ที่อยู่ห่างออกไปตรงหน้า โล่นั้นบุบลงไปเยอะขึ้น เฮเซคียาห์ใช้สองมือควบคุมเพนดูลัมอย่างรวดเร็ว เขาจับสายสร้อยควงบรอธให้หมุนไปมาในอากาศ แล้วก็ฟาดเข้าไปอีก ฟาดเข้าไปจนกระทั่งเหงื่อของเขาออกจนโซมกาย
“ช่วยด้วย!” เสียงมูนนี่ดังลั่น ลอดมาจากชายป่า
เฮเซคียาห์ชะงัก
เขาจ้องร่างของมูนนี่ที่ถูกนกอินทรีขนาดใหญ่จับไว้ในกรงเล็บของมันขณะที่มันโผออกมาจากป่า ปากของนกอินทรีคาบเอาไข่แมงป่องทะเลทรายสีดำมาด้วย มันคงไม่มีสติและถูกเศวตศาสตราควบคุมอยู่ เฮเซคียาห์จดจำได้ว่ามีเศวตศาสตราที่มีความสามารถในการควบคุมสัตว์ด้วยคลื่นเสียงอยู่ด้วย
เฮเซคียาห์ดึงสติจากความบ้าคลั่งอยากฆ่ามนุษย์ของตน และหันมาควบคุมเพนดูลั่มเพื่อจะคว้าจับเอาตัวของมูนนี่คืนมา
เขาต้องการมูนนี่เพื่อเดินทางต่อไปหามนุษย์กลายพันธุ์ซึ่งเขาตามหา
และเขาก็รู้สึกไม่ชอบใจด้วย ถ้าหากมูนนี่จะมาตายต่อหน้าเขา แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงมนุษย์ต่ำต้อยก็เถอะ
“อย่า! นี่มันคมเกินไป มันจะฆ่าเขา” บรอธเตือนเฮเซคียาห์ก่อนที่เขาจะลงมือทำอย่างที่คิดเอาไว้
เขานิ่ง รอให้บรอธบอกข้อมูลหรือคำแนะนำอื่นกับเขา
แต่มันเอาแต่เงียบ และเฮเซคียาห์ก็ได้เห็นมูนนี่ถูกโยนไปที่พื้น ไข่แมงป่องทะเลทรายถูกนกอินทรีวางลงอย่างนุ่มนวล และมันก็คายเศวตศาสตราอีกสองอันออกมา อันหนึ่งดูเหมือนจะเป็นของมูนนี่ เพราะมูนนี่รีบถลาไปคว้ามากุมไว้แน่นก่อนจะถูกเรการ์ดที่กล้าโผล่หน้าออกมาจากโล่ กระแทกด้วยส้นเท้าลงไปเต็มหลัง
“ฉันเอาแค่มันคนเดียวก็ได้ ฉันไม่อยากยุ่งกับแก” เรการ์ดตะโกนใส่เฮเซคียาห์อย่างหวาดๆ
เฮเซคียาห์หงุดหงิดกับภาพที่เห็น
“ปล่อยมนุษย์คนนั้นซะ!” เขาตะโกนออกไปอย่างเกรี้ยวกราด
“ไม่!” เรการ์ดขยับโล่มาบังด้านหน้า
เฮเซคียาห์มองไปทางด้านหลังของเรการ์ด เขาเห็นดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เขากำลังจะกลายเป็นมนุษย์เต็มตัวเพราะแสงของวันกำลังจะหมดลง
“บรอธ...” เฮเซคียาห์เรียกเศวตศาสตราของเขา ปลดปล่อยมันออกจากสายสร้อยเพนดูลัม “ช่วยหน่อยเถอะ”
บรอธนิ่งงันอยู่ในอุ้งมือเขา
“บอกวิธีมาหน่อย” เฮเซคียาห์ขอร้อง
บรอธยังคงนิ่ง
“บรอธ...” เฮเซคียาห์อ้อนวอน
บรอธค่อยๆ ลอยขึ้นช้า ขณะที่เฮเซคาห์ค่อยๆ ถอยหลังไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าบรอธตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ และก่อนที่เขาจะกะพริบตา บรอธก็พุ่งตัวออกไปอย่างแรง แรงมากเสียจนพื้นตั้งแต่ด้านหน้าของเฮเซคียาห์ไปจนถึงด้านหน้าของเรการ์ดถูกแรงอัดอากาศจากการเคลื่อนที่แหวกไปของบรอธบดขยี้เป็นรอยแหวกยาว
เสียงเหล็กของโล่กระทบกับบางอย่างที่คล้ายหิน และเสียงร้องโอ้กอ้ากดังขึ้นที่ด้านหลังโล่
เฮเซคียาห์มองโล่ที่มีรูเบ้อเร่ออยู่ตรงกลาง รูเป็นทรงและขนาดเดียวกันกับบรอธ โล่ที่ใหญ่และแสนแข็งแกร่งค่อยๆ สลายหายไปจากด้านหน้าของเรการ์ด เช่นเดียวกับปีกทั้งหกคู่บนด้านหลังของเขา ร่างของเรการ์ดทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้น มือข้างหนึ่งกุมบนอกที่มีเลือดไหลทะลัก แล้วเขาก็กระอักเลือดออกมา เสียงที่คล้ายกับการอาเจียนนั้นคือเสียงที่เกิดจากการไม่สามารถกลั้นเลือดไม่ให้พุ่งทะลักออกมาจากปากได้
ร่างของเรการ์ดค่อยๆ โงนเงนมาข้างหน้า และล้มคว่ำหน้าลงไปกองกับพื้น บางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นเศวตศาสตรากลิ้งหลุนออกมาอยู่ด้านหน้าร่างที่ไร้วิญญาณนั้น ก่อนจะค่อยๆ เปล่งแสงเป็นสีขาวนวลและสลายกลายเป็นฝุ่นที่บางส่วนลอยไปในอากาศและบางส่วนเหลือค้างเป็นผงขาวๆ อยู่บนพื้นดิน
นกอินทรีที่ยืนอยู่กางปีกออก และส่งเสียงร้องแหลมแสบแก้วหูขึ้นไปบนฟ้า มันยกเท้าขึ้นจะเหยียบลงไปบนตัวมูนนี่ที่กำลังพลิกกายให้หงายขึ้น
เฮเซคียาห์โวยออกมาเสียงดังลั่น ตวัดเพนดูลั่มในมืออย่างรวดเร็ว
ฉัวะ! นั่นคือเสียงยามคอนกอินทรีขาด นกอินทรีเคราะห์ร้ายตายคาที่แม้หัวนกไม่ถึงกับหลุดกระเด็นออกจากคอ เลือดจำนวนหนึ่งเปื้อนบนตัวของมูนนี่ที่ลุกขึ้นมานั่งด้วยสีหน้ามึนงง
เฮเซคียาห์รีบถลาเข้าไปจับตัวมูนนี่ และมองสำรวจร่างกายของเพื่อนเขาว่าปกติดี
“นายมีแผลเต็มไปหมด” มูนนี่อุทานและจับตัวเขาบ้าง นิ้วล้วงไปตามรูเสื้อของเขาที่ขาด
“แค่เสื้อน่ะ ฉันไม่ได้เจ็บอะไร” เฮเซคียาห์หัวเราะฝืดๆ
มูนนี่ย่นคิ้วเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องยอมเชื่อในที่สุดเมื่อพบเพียงแต่รูบนเครื่องแต่งกาย แต่ไม่พบแผลเลยแม้แต่น้อย เลือดที่พบบนตัวของเฮเซคียาห์ เฮเซคียาห์ก็โกหกว่าเป็นเลือดของเรการ์ด
“นายสู้กับเศวตศาสตราตั้งหลายอัน ยังรอดมาได้ เก่งกว่าที่ฉันเคยคิดไว้” มูนนี่รำพึงกับเฮเซคียาห์ที่ลงไปล้างตัวในลำธาร เสื้อของเขาถูกถอดโยนทิ้งลงกับพื้น เฮเซคียาห์คิดว่าคงไม่ได้ใส่เสื้อตัวนี้อีกแล้ว มันขาดจนไม่คุ้มค่าที่จะเสียเวลาไปหาคนซ่อมแซม
“ฉันเคยคิดว่าต้องอยู่ช่วยนายตลอด นายดูปวกเปียกเหมือนกับไอ้ดนตรีอคูสติกที่นายชอบฟัง” มูนนี่มองมาที่เฮเซคียาห์อย่างเหนื่อยล้า เขาคงอ่อนแรงลงจากการเผชิญกับความวุ่นวายที่เพิ่งจบไป
“ฉันไม่ได้หวังให้นายมาช่วยฉันตลอด” เฮเซคียาห์ยิ้มออกมา “ฉันเคยแต่ช่วยคนอื่น ฉันเป็นพี่ชายคนโต”
“นั่นสิ นายอายุยี่สิบแล้วนี่ แล้วก็เป็นลูกชายคนโต” มูนนี่หัวเราะออกมา
เฮเซคียาห์หัวเราะด้วย
เขากับมูนนี่เดินไปยังกระท่อมที่เรการ์ดทิ้งไว้ สงสัยว่ากำลังจะได้พบอะไรอยู่ในนั้น