ตอนที่ 8 ตัวแสบ แสบตัว
ฝุ่นผงลอยคลุ้งสะท้อนแสงอาทิตย์ เสียงนกกระจอกร้องจิ๊บ ๆ ดังอยู่นอกหน้าต่าง รู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด เมื่อคืนลินจิพยายามลากชุนมานอนบนเตียง แต่คะยั้นคะยอเท่าไหร่ฝ่ายนั้นก็ปฏิเสธ พอเล้าหลือมากเข้าก็โดนต่อยที่ท้องจนสลบไป ตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอใคร ลินจิรู้สึกอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยวหัวใจที่เจ้าชายใช้ความรุนแรงกับตน
สมัยอยู่โลกเดิม ลินจิเคยได้ยินสาว ๆ เรียกหนุ่มหล่อว่าเจ้าชาย ตอนนั้นเขาก็คิดว่า เจ้าชายบ้าบออะไรกัน พวกหล่อนอ่านการ์ตูนสาวน้อยมากไปแล้วย่ะ แต่พอเจอเข้ากับตัว ลินจิก็รู้ซึ้งว่า …มีเจ้าชายจริง ๆ ด้วยสินะ
เมื่อลุกขึ้นนั่งลินจิก็เห็นเสื้อทบสีขาวกับกางเกงขายาวพับกองอยู่ ถึงจะรู้ว่าเป็นชุดทาสแต่ด้วยเนื้อผ้าที่พอสวมแล้วชวนให้รู้สึกสบายตัว ลินจิก็มองข้ามเรื่องนั้นไป ขณะที่คิดว่า …หรือคุณชุนจะหามาให้? เขาก็รื้อกองผ้าเหล่านั้นด้วยความดีใจ พลางคลี่ออกมาสูดดมเผื่อจะมีกลิ่นป่าเขาของชุนติดมา แต่พอดมแล้วลินจิก็ย่นจมูก เขาได้กลิ่นเหม็นเขียวแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก จึงวางผ้าไว้ที่เดิมพลางก้าวเท้าลงจากเตียง
บนโต๊ะน้ำชามีอาหารจัดเตรียมไว้ให้แต่เช้า ชุนคงเอามาให้ แต่ลินจิก็หลับจนไม่รู้สึกตัวเลย พอรู้แบบนั้นเขาก็ดีใจ อย่างน้อยชุนก็มีด้านดีที่คิดเป็นห่วงตน
ลินจิลุกไปที่โต๊ะน้ำชา เห็นหมี่ผัดสีเหลืองอร่ามในถ้วยสีแดง เมื่อใช้มือสัมผัสถ้วยก็รู้สึกอุ่นเล็กน้อย แสดงว่าชุนเพิ่งยกมาเสิร์ฟให้ตนได้ไม่นาน จากนั้นก็ใช้ตะเกียบคีบเส้นหมี่ดูดกินดังซู๊ด ๆ พลางฟังเสียงนกนกกระจอกที่ร้องจิ๊บ ๆ
เมื่อเสียงเหล่านั้นเงียบหายไป ลินจิก็หยุดกิน ขมวดคิ้ว แล้วมองออกนอกหน้าต่างอยู่พักหนึ่ง นกกระจอกสองตัวที่ร้องเมื่อครู่เอียงคอมองลินจิอย่างงงงวย เห็นแบบนั้นเขาจึงหยิบเปลือกกล้วยบนถาดเซ่นไหว้แล้วเดินไปทางหน้าต่าง
“นี่แหนะ!”
ลินจิขว้างเปลือกกล้วยหอมอย่างสุดแรงใส่นอกกระจอก จนพวกมันร้อง จิ๊บ…จิ๊บ แต่ละตัวร้องคนละจิ๊บ แล้วบินไปคนละทิศละทาง
…สำเร็จ ได้ยินเสียงแล้ว
ลินจิยิ้มดีใจ เขาชอบเสียงของนกกระจอกเป็นที่สุด ถึงรู้ว่าทำเช่นนั้นแล้วนกกระจอกจะหนีไป แต่ในเมื่อนกไม่ร้องแล้ว เขาก็อยากจะได้ยินเสียงน่ารัก ๆ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่พวกมันจะเข็ดหลาบจนไม่กล้ากลับมาอีก
เมื่ออิ่มหนำสำราญใจกับหมี่ผัดที่หนุ่มหล่อยกมาให้ ลินจิก็เดินออกจากห้องอย่างอารมณ์ดี บรรยากาศบริเวณนี้มีกลิ่นหอมอบอวลของดอกหน้าวัวเย้ายวนใจ พื้นด้านนอกตำหนักมีผืนหญ้าเขียวชอุ่ม และ ‘หิน B’ สีขาวนวลดูแล้วสวยงามยิ่งนัก เห็นแบบนั้นลินจิก็อยากเข้าไปเดินเล่นในสวน
ระหว่างเดินออกนอกตำหนัก ลินจิก็พบโมโมะนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้โยก
“คุณโมโมะ”
“ท่านเทพ ตื่นแล้วเหรอคะ”
ลินจิทักเสียงใสอย่างร่าเริง พอโมโมะได้ยินก็รีบลุกจากเก้าอี้ วันนี้เธอสวมเดรสสีดำยาวลากพื้นทำให้เดินลำบาก จึงต้องยกชายกระโปรงขึ้นมาราวกับซินเดอร์เลล่าทิ้งรองเท้าล่อลวงเจ้าชาย
“จริงสิ เสื้อผ้าที่ข้าถวายให้ท่านใส่ได้ไหม แล้วอาหารรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
ได้ยินโมโมะถามแบบนั้น ลินจิก็สงสัย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
“คุณโมโมะเป็นคนจัดการให้ทั้งหมดเลยเหรอครับ”
“ท่านเทพผู้สร้างโลกปรากฏตัวทั้งที ข้าก็ต้องดูแลอย่างดีอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่คุณชุนบอกให้คุณโมโมะทำเหรอ”
ลินจิพยายามหาคำตอบมาสนับสนุนความเชื่อที่ว่า ‘ชุนเป็นห่วงตน’ อย่างสุดความสามารถ
“เอ๊ะ ชุนเหรอ สั่งสิคะ”
สีหน้าลินจิกลับมาเบิกบาน ขณะเดียวกันโมโมะก็พูดต่อ…
“ชุนบอกว่าท่านเป็นโรคละบาดเลยไม่กล้าร่วมโต๊ะอาหารด้วย แล้วก็บอกว่าท่านมีความฝันอยากเป็นทาส เลยไหว้วานให้ข้าช่วยรื้อหาชุดทาสมาถวายให้ เรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ ข้าก็อยากจะช่วย การทำให้ความฝันของผู้อื่นสมปรารถนาแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือเป็นสิ่งที่ดี”
ลินจิแก้มกระตุก จู่ ๆ ก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา นอกจากจะผิดหวังที่หลงคิดว่าชุนทำเพื่อตน ยังถูกแผนการหลอกด่าของชุนเข้าเต็มเปา
“คุณชุนบอกว่าผมป่วยเป็นอะไรเหรอครับ”
“เห็นบอกว่าท่านเป็นโรคห่าสายพันธ์หายากค่ะ”
“ขอบคุณท่านมาก”
แม้ในใจกำลังร้อนรุ่ม แต่ลินจิก็ฝืนยิ้มตอบกลับโมโมะอย่างสุภาพ
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกท่านเทพ ข้ายินดีเสมอ วันนี้ท่านต้องออกเดินทางแล้วนี่ หน้าตาสดใสแบบนี้คงหายดีแล้วสินะ ชุนบอกว่าขอกลับไปเตรียมของที่คฤหาสน์ก่อน อีกเดี๋ยวคงกลับมารับท่านแล้วล่ะ”
ลินจิเอามือทาบหัว แกล้งทำเป็นหน้ามืดตามัวไม่สบายขึ้นมาทันที ไหน ๆ ก็บอกว่าเขาเป็นโรคห่าแล้ว แบบนี้ก็ต้องเล่นตามแผน หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
“ผมคงไปไม่ไหว ขอตัวไปพักก่อน ถ้าคุณชุนมาก็บอกว่าไปได้เลยไม่ต้องรอ”
“เอ๊ะ เอาอย่างนั้นเหรอคะ”
โมโมะยกมือปิดปากด้วยความประหลาดใจ เธอไม่นึกว่าเทพเจ้าจะขี้โรคได้ถึงขนาดนี้ ส่วนลินจิก็เดินปึงปัง งอนแก้มป่องกลับเข้าห้อง โรคห่งโรคห่าอะไรกัน ประสาทเสียไปแล้วเหรอไง เขาพ่นลมหายใจอย่างรุนแรงราวกับจะให้ปอดแฟบไปข้างหนึ่ง พอกลับถึงห้องลินจิก็รีบลงกลอนประตู
ช่วงสายของวันชุนก็กลับมา ระหว่างทางเดินเข้าตำหนัก เส้นทางที่ปูด้วย ‘หิน B’ ก็สร้างเสียงกรุกกรักเวลาย่ำเดิน โมโมะที่กำลังก้มดมดอกหน้าวัวได้ยินเสียงฝีเท้า จึงลุกขึ้นหันมามอง
“อ้าวชุน กลับมาแล้วเหรอ”
โมโมะตะโกนทักพลางวิ่งออกมาจากสวน แต่ชุนก็ไม่หันมา ท่าทางของเขาเหมือนคนกำลังครุ่นคิด หน้าดำคร่ำเครียดราวกับก้นหม้อ เมื่อเห็นชุนไม่สนใจ เธอจึงคว้าผ้าคลุมสีดำตรงไหล่ซ้ายของเขา
ผ้าคลุมนี้เป็นผ้าคลุมสลายเวทที่แม่ของชุนทิ้งไว้ให้เป็นของดูต่างหน้า หลังจากเกิดมาได้เพียงสัปดาห์เดียวแม่ของเขาก็เสียชีวิต ส่วนพ่อก็หายสาบสูญไปตั้งแต่เขาอายุได้เพียงห้าขวบ ชุนโตมาโดยมีแม่นมคอยดูแล เมื่ออายุครบหกขวบ เขาก็ถูกส่งมาฝึกวิชากับโมโมะตามความปรารถนาของแม่ที่เสียไป ด้วยความผูกพัน โมโมะจึงเอ็นดูชุนราวกับเป็นลูกของตนเอง
“เดี๋ยวก่อนสิ”
เมื่อโมโมะเรียกพลางกระตุกผ้าคลุม ชุนก็หยุดเดิน ก่อนจะเหลียวหน้าปรายตามอง
“มีอะไร”
“ท่านเทพฝากข้ามาบอกเจ้าว่า ถ้าจะไปก็ไปได้เลยไม่ต้องรอ”
“…”
ชุนมองหน้าโมโมะพลางขมวดคิ้ว เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างสงสัย
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น”
“ท่านเทพบอกว่าไปไม่ไหวเลยขอพักผ่อน ดูท่าจะอาการหนัก”
ชุนอ้าปากร้อง “เฮอะ” ออกมา ก่อนจะกุมขมับ จากนั้นก็กอดอกมองโมโมะอย่างอับจนคำพูด ไม่คิดเลยว่าอาจารย์ของตนจะบ้าจี้ตามไปด้วย ถึงเขาจะเป็นคนบอกว่าฝั่งนั้นไม่สบาย แต่ก็เป็นเพียงการล้อเล่นเท่านั้น โมโมะก็อายุปูนนี้แล้ว น่าจะมีวิจารณญาณสักหน่อย ชุนรู้สึกปวดหัวตุ๊บขึ้นมาทันที
“เดี๋ยวข้าจะไปจัดการ”
ว่าแล้วชุนก็ก้าวขาฉับ ๆ จนผ้าคลุมสีดำหลุดออกจากมือของโมโมะ พลางคิดว่า …ป่วยบิดามันเถอะ เมื่อวานยังแผลงฤทธิ์จนเขาแทบจะอาเจียนออกมาอยู่เลย ความคิดของเทพตนนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก กินพิษงูเป็นอาหารหรืออย่างไรกัน
ชุนต้องการแก้เผ็ดลินจิเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าตนจะกลายเป็นฝ่ายที่โดนปั่นหัวเสียเอง
เมื่อมาถึงหน้าห้องพักของลินจิ ชุนก็พบว่าประตูถูกลงกลอนจากด้านใน เขาจึงตะโกนเรียก
“เจ้าเป็นอะไร ข้าบอกแล้วไงว่าวันนี้ต้องออกเดินทาง ยังไม่เตรียมตัวอีกหรือ”
ลินจิได้ยินเสียงชุนโหวกเหวกโวยวาย จึงส่งเสียงตอบเหมือนคนใกล้ตาย
“ผมไม่สบาย กว่าจะหายคงปีหน้า เชิญไปก่อนได้เลย อีกสามปีค่อยกลับมารับก็ยังทัน”
…บิดามันเถอะ ชุนเริ่มทนไม่ไหว อยากจะจับลินจิมัดแล้วถ่วงน้ำให้รู้แล้วรู้รอด
“เปิดเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้าไม่เปิดอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
ชุนแผดเสียงพลางเขย่าประตูไม้ดังตึงตัง
“ผมลุกไม่ไหว บอกแล้วไงว่าป่วยอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ไปที่ชอบที่ชอบเถิด”
สิ้นสุดความอดทน สมองระบมแทบจะระเบิด ในเมื่อพูดดี ๆ ไม่รู้เรื่องก็ต้องใช้กำลัง
ชุนวางฝ่ามือประทับลงบนบานประตู เกิดวงเวทสีแดงขนาดเล็กล้อมรอบจุดที่สัมผัส จากนั้นเสียงระเบิดก็ดังลั่นสนั่นขึ้นมาจนควันตลบอบอวลปกคลุมทั่วห้อง
เมื่อไม่มีสิ่งใดขวางกั้นชุนก็สาวเท้ากระทบพื้นปึงปังเข้าหาลินจิด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
“จะไปไม่ไป”
ลินจิตกใจจนหน้าซีด พลางคิดว่า แย่แล้ว ๆ ทำอย่างไรดี แต่ยังไม่ทันได้คิดต่อ ชุนก็คว้าแขนของลินจิไว้แน่น แล้วกระชากสุดแรงจนลินจิล้มลงกองกับพื้น
“โอ๊ย ผมเจ็บนะ บอกว่าไม่ไปไงเล่า”
ลินจิลุกขึ้นมาดิ้น สะบัดแขนสุดแรง แต่ก็ไม่สามารถหลุดจากเงื้อมมือของสัตว์ป่าได้ เมื่ออับจนหนทางเขาก็แสร้งบีบน้ำตาเหมือนคราวก่อน
“ฮือ ฮวา ฮือ… ไม่เอา ยังไม่อยากตาย”
“คิดจะเอาลูกไม้ไหนมาเล่นกับข้าอีก ข้าไม่เชื่อเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะบีบน้ำตา กุเรื่องขึ้นมาหลอกข้า ต่าง ๆ นา ถ้าไม่ใช่ข้าแล้วใครจะทนพฤติกรรมของเจ้าได้”
ในขณะที่ชุนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ลินจิก็พ่นลมหายใจออกมา ก่อนพุ่งเข้าไปซุกหน้าเข้ากับอกของชุน
“นี่เจ้าทำอะไร”
ชุนขว้างมือลินจิทิ้งทันที จนเขาล้มลงนั่งในท่าพับเพียบกองแหมะอยู่บนพื้น
“ผมไม่มีมือเช็ดน้ำตา”
ชุนพ่นลมหายใจอย่างแรง จนเส้นผมของลินจิกระดิก พลางคิดว่า …ไม่มีมือบ้าบออะไรกัน เขาจับแค่แขนเดียวเท่านั้น ไม่ได้รวบไว้สองแขนสักหน่อย
“ข้าไม่มีเวลามาบ้ากับเจ้า ยังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ”
ลินจิเบ้ปากใส่ ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วร้อง “ฮึ” ออกมาพลางเช็ดน้ำตา พอตั้งท่าจะอ้าปาก ชุนก็คว้าหมับเข้าที่แขนแล้วกระชากลินจิจนตัวโยน
“อ๊ะ”
“ไป”
“ไม่ไป”
“ผมรออาวุธอยู่ ยูมิยังไม่กลับมาเลย”
“เจ้าไม่ต้องเอาเรื่องพวกนี้มาอ้าง ข้าไม่เชื่อเจ้าอีกแล้ว”
ทั้งสองฉุดกระชากลากถูกันอยู่พักหนึ่ง ลินจิยื้อดึงอย่างไม่ยอมแพ้ จนชุนต้องกระชากอย่างสุดแรง แล้วหันขวับมา
“เจ้าจะไปหรือไม่ไป”
“คุณชุนนั่นแหละที่ต้องออกไป”
ลินจิกระชากแขนกลับจนหลุดออกมาได้ มองชุนด้วยความขุ่นเคือง ขณะเดียวกันชุนก็จ้องหน้าลินจิ แล้วถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมข้าต้องไป”
“ถ้าคุณชุนไม่ไป ผมไปเอง”
...หมายความว่าอย่างไร ชุนมึนงงไปพักหนึ่ง สมองอื้ออึงด้วยความเบลอ
ขณะที่ยืนอึ้งคิดอย่างตามไม่ทันอยู่นั้น ลินจิก็เดินไปถึงประตูแล้ว
“นี่ เจ้า!”
ชุนเกรงว่าลินจิจะหนีจนตามตัวไม่ได้ จึงวิ่งเข้าไปกอดจากด้านหลัง แล้วดึงกลับเข้ามาในห้อง เทพตนนี้ยิ่งมีความคิดแปลก ๆ อยู่ด้วย ถ้าปล่อยให้หลุดไป ไม่รู้จะสร้างความเดือดร้อนอะไรอีกบ้าง
“ปล่อยผมนะ ปล่อยผมออกไป ผมไม่อยู่ที่นี่แล้ว ไม่อยากเห็นหน้าคุณชุนแล้ว”
ลินจิดิ้นสุดแรง ไม่สนแล้วว่าชุนจะเป็นอย่างไร ในเมื่อฝั่งนั้นชอบใช้แต่กำลังก็ต้องอาละวาด ลินจิเดือดดาลเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ทั้งทุบทั้งตีแขนชุนดังผับ ๆ แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่สะทบสะท้าน ลินจิจึงหมุนตัวหันหลังสุดแรง แล้วกัดเข้าให้ที่ท้องของชุน
“โอ๊ย เจ้าบ้า ปล่อยนะ”
ชุนเจ็บจนร้องออกมา แต่ลินจิก็ไม่ปล่อย เขาไม่ได้ตั้งใจจะกัดให้เป็นแผล แค่อยากจะสั่งสอนคนนิสัยไม่ดีชอบใช้กำลังก็เท่านั้น
“อ่อยอ๋มอ่อน” ลินจิพูดอู้อี้ว่าปล่อยผมก่อน
สุดท้ายชุนก็ยอมปล่อยออกมาเพราะทนความเจ็บไม่ไหว เขาหันหลังเปิดเสื้อดูบาดแผล พอเห็นรอยเขี้ยวสัตว์ฝังอยู่กลางพุง ชุนก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ พลางคิดว่า …จะทำอย่างไรกับเทพหมาบ้าตนนี้ดี
เมื่อหันหลังไปก็เห็นลินจินั่งกอดเข่าเซื่องซึมอยู่ริมกำแพง
…หรือว่าเขาจะทำเกินไปจริง ๆ
ขณะที่คิดแบบนั้นชุนก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าลินจิจะแสดงละครอีกรึเปล่า แต่พอหยุดมองอยู่พักหนึ่ง ก็เห็นลินจิเงียบไม่พูดอะไร ตอนนั้นเองที่ชุนมั่นใจว่าลินจิคงรู้สึกแย่จริง ๆ
“นี่เจ้าโกรธข้าเหรอ”
“ช่างเถอะ ๆ ผมไม่อยากถือสา”
ลินจิกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ พลางลุงขึ้นสาวเท้าเดินออกไป เห็นแบบนั้นชุนก็รีบไล่ตาม
“เจ้าเป็นเทพอัญเชิญของข้านะ”
“ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย”
“เจ้าเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ ขืนพวกปีศาจได้ผลึกดวงดาวไป เจ้ารู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ลินจิหยุดเท้าเดินอย่างฉับพลัน จังหวะนั้นชุนก็รีบหยุดตาม เกือบจะชนด้านหลังของลินจิเข้าให้
“ผมจะบอกให้เข้าใจ ผมไม่ใช่เทพจ้งเทพเจ้าบ้าบออะไรทั้งนั้น ผมเป็นมนุษย์”
ชุนมองลินจิตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วมองย้อนขึ้นไปตั้งแต่เท้าจรดหัว ก่อนจะพ่นลมหายใจพร้อมเสียง “ฮึ” ออกมาพร้อมกับยิ้มมุมปาก
“ไม่ใช่เทพเจ้าแต่ก็ออกมาจากวงเวทอัญเชิญ เจ้าจะหลอกใครกัน”
ลินจิยืดไหล่ตรงมองหน้าชุน ไม่อยากเชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ เทพเจ้าบ้าบออะไรกัน เขาอยากกลับบ้านแล้ว
ทันใดนั้นชุนก็เข้าคว้าตัวลินจิ แล้วจับยกพาดบ่าด้วยท่าห้อยหัว ถึงจะรู้สึกผิดแต่เขาก็ไม่มีทางเลือก ที่เกิดเหตุวุ่นวายจะโทษลินจิอย่างเดียวก็ไม่ได้ เขาเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกัน
“ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย”
ลินจิดิ้นสุดแรงพลางทุบตีด้านหลังของชุนรัว ๆ แต่ชุนก็ไม่สนใจ เขาต่อยท้องลินจิจนสลบไป จากนั้นก็รีบพาเจ้าตัวแสบออกจากตำหนักทันที