ตอนที่แล้วMoney Monster Episode VIII [นายธนาคารแห่งความมืด]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMoney Monster Episode IX [ถือกำเนิด ราชาแห่งการทำลายและการสร้างสรรค์]

Money Monster Episode IX [สู่พรมแดนไร้ขอบเขต]


Money Monster

Episode IX

[สู่พรมแดนไร้ขอบเขต]

 

นอกฐานบัญชาการ

“เหรียญ..ต้องไปเอาเหรียญ” เสียงร้องโหยหวนดังมาจากเหล่าอมนุษย์ทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะบนท้องถนน แม่น้ำ สะพาน หลังคาทุกแห่งถูกย้อมไปด้วยคลื่นร่างสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่แห่กันมาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น

รูปร่างอันน่าสยดสยองผิดมนุษย์และสัมผัสน่าสะอิดสะเอียนที่แผ่ออกมา เมื่อจับรวมกันเป็นกลุ่มกลับให้บรรยากาศน่าสะพรึงอย่างพิสดาร แม้โบรกเกอร์จะเคยชินกับกรีดมามากเท่าใดก็ต้องผงะเมื่อต้องพบเห็นภาพที่เกิดขึ้นเยี่ยงเวลานี้

“ช่วยด้วย!” เสียงของชายผู้หนึ่งดังขอความช่วยเหลือบนใบหน้าแสดงอาการตื่นกลัวสุดขีด ร่างของเขาถูกกรีดสูงห้าเมตรยกขึ้นชูขึ้นฟ้าและกำลังถูกดึงให้ท่อนล่างกับบนแยกออกจากกัน

“ตาย..ซะ!”

“ไม่! ขอร้องล่ะ! อย่า อย่าฆ่าฉัน!”

“ตาย!” กรีดสูงห้าเมตรเอ่ยเสียงทุนต่ำและเริ่มออกแรงดึงให้ร่างของชายคนนั้นขาดเป็นสองท่อนแต่กลับมีร่างเงาหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามาพอดี

[Attack Card : แทงปลิดเก้าจุดชีพจร 8,900 Coin]

“เพิ่มอีกหนึ่งหมื่นเหรียญ เช็ค”

[Payout Complete (ชำระเสร็จสิ้น)] สิ้นเสียงสังเคราะห์ บนใบดาบเรเพียร์พลันสว่างคลุมไปด้วยแสงสีเงิน หญิงสาวกระโดดเข้าใส่แผ่นหลังอันใหญ่โตของอมนุษย์ร่างยักษ์ สะบัดดาบในมืออย่างพลิ้วไหวราวสายน้ำแทงเข้ากล้ามเนื้อหลังทะลุหน้าอกเก้าจุด

“อะ..แอ่ก” ร่างยักษ์นิ่งเผลอปล่อยร่างของชายคนนั้นกระแทกสู่พื้นเสียงดังก่อนที่เลือดจะไหลทะลักออกจากรูเก้าจุดที่ถูกแทงเป็นสายน้ำตกและระเบิดออกเป็นกองธนบัตรจำนวนมากในเวลาต่อมา

[Dividend (เงินปันผล): 29,900 Coin]

“โดฟี่”

“ปี้” เสียงปลาโลมาดังก่อนที่มันจะว่ายอากาศพุ่งเข้ามาหานายหญิงของมันอย่างรวดเร็ว เมซูลกระโดดขึ้นเหยียบบนศีรษะของมันและถูกมันกระแทกเท้าให้ลอยสูงขึ้น

หญิงสาวหมุนรอบตัวอย่างงดงามกลางอากาศราวกับกำลังเต้นระบำอยู่ ร่อนลงใจกลางดงอมนุษย์คนเดียวอย่างเด็ดเดี่ยว ร่างกายอันยืดหยุ่นและว่องไวเคลื่อนไหวร้อยหกสิบองศาใช้ดาบเรเพียร์กระหน่ำแทงศัตรูรอบด้านจนเลือดกระเซ็นกลางอากาศให้อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต

“รุ่นพี่” เมซูลเอ่ยเสียงส่งสัญญาณแล้วกระโดดถอยหนี ร่างของคุโรงาเนะโผล่พรวดขึ้นจากพื้นดินพร้อมดาบคาตานะคู่สองเล่ม ดวงตาอันคมกริบตวัดมองพวกมันเยี่ยงผู้ล่าแล้วเหวี่ยงดาบตัดชิ้นส่วนร่างกายของเหล่าอมนุษย์ออกเป็นชิ้นๆ

“ทำได้ดีมากเมซูล ดูเหมือนจะระบำดาบได้เก่งขึ้นสินะ” ชายหนุ่มผมดำเอ่ยยิ้มกับเมซูลอย่างสุภาพ

“ค่ะ”

“เห็นสก็อตไหม” คุโรงาเนะเอ่ยถาม เมซูลทำสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะชี้ไปยังอีกจุดหนึ่งก่อนที่เขาจะหันไปเหลียวมองที่จุดนั้น

ท่ามกลางอมนุษย์สีดำนับร้อยตัว กลับมีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาจากจุดกึ่งกลางนั้นพร้อมกับกรีดที่ลอยกระเด็นออกมาเรียงตัวแทบทุกวินาที

“กระจอก!กระจอก!กระจอก!กระจอก!กระจอก!กระจอก!กระจอก!กระจอก!กระจอก!กระจอก!กระจอก!กระจอก!กระจอก! โผล่มาตั้งเยอะมีปัญญาแค่นี้งั้นเรอะเจ้าพวกอมนุษย์น่ารังเกียจ อย่าออกมาเพ่นพ่านให้เปล่าประโยชน์เลย อย่างพวกแกเชิญอุดอู้อยู่ในท่อระบายน้ำไปตลอดชาติซะเถอะ” เสียงโวยวายอันเป็นเอกลักษณ์ดังออกมาจากชายหนุ่มผมแดง ทุกครั้งที่ปล่อยหมัดที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงจะซัดร่างของกรีดด้วยพละกำลังมหาศาล

ไม่ต่างจากเครื่องจักรสังหารที่คอยจัดการกรีดทุกตัวที่เข้ามาขวางทาง เดือดร้อนถึงพันธมิตรที่ต้องระวังไม่ให้ถูกลูกหลงเพราะหากถูกเข้าไปเต็มๆ จะไม่จบแค่เข้าโรงบาลอย่างแน่นอน ทำให้คุโรงาเนะได้แต่หัวเราะยิ้มๆ

“ปากบอกว่าคู่ต่อสู้น่าเบื่อแต่ดูเหมือนจะสนุกอยู่นี่นะ”

“ก็เพราะพลังของรุ่นพี่สก็อตโชว์ออกมาได้เต็มที่เมื่อมีศัตรูเยอะเป็นกลุ่มนี่คะ”

“นั่นสินะ” คุโรงาเนะเอ่ยพลางคลี่ยิ้มอยู่เบาๆ ก่อนจะหันไปมองที่อีกมุมหนึ่งพร้อมกับเมซูล

กลุ่มคนชุดเขียวพากันชักอาวุธออกมาเข้าโรมรันกับเหล่าอมนุษย์ระดับสูงอย่างไร้ความยำเกรง ทุกครั้งที่ใช้การ์ดจะเกิดแสงสีอลังการเสมอ สัตว์ประหลาดมากมายน้อยใหญ่พากันปรากฏตัวและขย้ำร่างสีดำของกรีดให้ล้มลงพื้น ทุกคนทำงานกันอย่างมีแบบแผนและทรงประสิทธิภาพ โดยมีชายรุ่นใหญ่ผู้หนึ่งเป็นคนคอยบัญชาการ ต้อนรับศัตรูจำนวนนับหลายพันตนพร้อมกันด้วยจำนวนคนหลักหลายร้อย

นี่ก็คือคือพลังของขุมกำลังยักษ์ใหญ่แห่งโลกโบรกเกอร์

ในโลกของโบรกเกอร์มีสิ่งที่เรียกว่า[องค์กร]ที่มีหน้าที่คล้าย[บริษัท]หรือ[กองทุน] คือเครือข่ายของโบรกเกอร์ที่ก่อตั้ง ทำงานและทำให้องค์กรเติบโตเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ยิ่งองค์กรมีรากฐานแข็งแรงเท่าไหร่ ประสิทธิภาพในการทำงานก็ยิ่งมั่นคงและเด็ดขาดมากเท่านั้น

มีตั้งแต่องค์กรขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ แต่ท่ามกลางองค์กรขนาดใหญ่ที่มีอยู่น้อยนิด กลับมีสี่องค์กรที่ผงาดขึ้นมาเหนือกว่าองค์กรอื่นๆ ที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างอหังการ แล้วถูกขนานนามว่า [สี่มหาอำนาจ]

และกลุ่มคนชุดเขียวก็เป็นสมาชิกของหนึ่งในองค์กรที่ว่า

“รู้สึกไม่ชอบใจเลย ใช่ไหม เมซูล”

“ค่ะ” เมซูลผงกศีรษะก่อนจะเบนหน้าไปทิศทางอื่น

‘เหลืออีกหนึ่งวันเท่านั้น อีกแค่หนึ่งวัน ทุกอย่างก็จะจบลง’

 

 

ในห้องของไลท์

ในระหว่างที่โลกภายนอกกำลังวุ่นวายกับการกำจัดกรีดที่โผล่มาไม่รู้จบ ไลท์กลับอยู่ไม่สุขจนเดินรอบห้องมาตลอดทั้งวัน หลายวันมานี้เขาทำให้โบรกเกอร์ที่คอยจับตาดูพฤติกรรมต้องปวดเศียรเวียนเกล้าจนต้องกรอกยาแก้ปวดไปครึ่งกระปุก

ตอนไลท์กลับมาจากโศกนาฏกรรม เขามีสภาพไม่ต่างจากซากศพซังกะตาย แต่เมื่อวันก่อนสภาพจิตใจกลับฟื้นคืนสภาพเดิมอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าวปลาอาหารที่เสิร์ฟให้ไม่ยอมทานสักคำบัดนี้ซัดเกลี้ยงไม่เกลือสักเม็ด

แถมวุ่นวายหนักขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าชิพเตอร์คนนี้มีปืนไว้ในครอบครอง พอถามหาที่มาก็ตอบว่า[พบที่ชั้นวางหนังสือ]อย่างเดียวไม่ยอมปริปากเพิ่มเลยแม้แต่คำเดียว

‘เหลวไหล! ปืนมันจะไปวางอยู่บนชั้นหนังสือได้ยังไง พวกฉันตรวจเช็ดดีแล้ว’ พวกโบรกเกอร์ยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน เพราะการที่ชิพเตอร์มีอาวุธครอบครองมีความเสี่ยงที่จะทำให้ชิพเตอร์ฆ่าตัวตายได้จากสภาวะตึงเครียด

หากเรื่องนี้ไปถึงหูเบื้องบนมีหวังโดนเฉดหัวหลุดอย่างแน่นอน แต่ยังดีที่ปืนสีเงินกระบอกนั้นไม่มีกระสุนเลยแม้แต่นัดเดียว จึงอ้างได้ว่ามันคือ[ของประดับห้อง] เลยทำให้รอดพ้นวิกฤตได้อย่างหวุดหวิด แต่หากจิสตินได้ล่วงรู้เข้ามีหวังพ่อหนุ่มคนนั้นต้องอกแตกตายอย่างแน่นอน

โดนชิพเตอร์ขู่ด้วยปืนไร้กระสุน สำหรับคนที่เหมือนชอบอวดเบ่งอำนาจบาตรใหญ่คงมิแคล้วอยากกัดลิ้นตาย การที่ไลท์เดินวนไปทั่วห้องเลยถูกพวกผู้คุมเข้าใจว่า กลัวเรื่องจะไปถึงหูจัสตินและถูกตามกลับมาเอาคืน แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย

‘ซวยแล้ว ทำยังไงดีๆๆ’

‘ลืมไปซะสนิทว่าถึงอีกฝ่ายจะมีความต้องการสูง แต่คนที่มีความต้องการเร่งด่วนมากกว่าคือเรา ฝั่งนั้นก็แค่เตะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ ไปจนกว่าเวลาใกล้จะหมด เจ้าอเดมัสคงเชื่อมั่นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าเราจะใช้เหรียญแน่เลยไม่รีบร้อน เป็นฝั่งเราต่างหากที่ต้องรีบร้อน’

‘คิดจะเล่นสงครามจิตวิทยากันรึไง ทดสอบความอดทนงั้นเรอะ! ไม่ตลกนะเฟ้ย วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ถ้าเราไม่ใช้เหรียญล่ะก็ครอบครัวของเราคง..’

ต้องหายไปตลอดกาลงั้นเหรอ?

ไลท์ได้แต่คิดอย่างปวดร้าวในความคิดในสมองตีกันจนรัวไปหมด ความเครียดพุ่งขึ้นสูงจนปรอทแทบแตก กำเหรียญตราอสูรในมือแน่นเดินทั่วห้องอย่างทุรนทุราย

ไลท์หันไปมองที่นาฬิกาบนโต๊ะพบว่าตอนนี้เวลาสองทุ่มแล้ว เหลือเวลาอยู่อีกประมาณสี่ชั่วโมงก่อนที่อำนาจของเหรียญจะหมดลง ระหว่างเขากับอเดมัสใครจะสิ้นความอดทนก่อนกัน ไลท์ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะใจเย็นขนาดนั้นได้

ครอบครัวของเขาหายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่อีกฝ่ายถึงไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็อาจไม่ส่งผลกระทบอะไรมาก อย่างมากก็แค่เสียดาย ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็รู้สึกว่าไพ่ในมือของอีกฝ่ายเหนือกว่าตนหลายก้าว

ไลท์อยากใช้เหรียญใจจะขาด แต่ก็อยากได้ตัวช่วยพิเศษเช่นกัน มันทำให้หัวใจของเขาบีบคั้นเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

‘อเดมัส..หมอนั่นฉลาดมาก ไม่สิ อาจมีประสบการณ์ต้องรับมือกับคนแบบเราอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เรามองเกมไม่ขาดเท่า บางทีมันอาจจับตาดูจากที่ไหนสักที่ก็ได้’ ไลท์คิดและกวาดสายตามองไปทั่วห้อง อเดมัสโผล่ออกมาโดยที่ไม่มีโบรกเกอร์คนไหนรู้ตัวเลย แถมยังตอบโต้กับเขาได้ในทันทีที่ปรากฏตัว แสดงว่ามีช่องทางสอดส่องหรืออยู่ใกล้ตัวนี้

“เฮ้อ” ชายหนุ่มถอนลมหายใจเฮือกโตพลางนั่งลงบนเตียง ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูรูปถ่ายรวมครอบครัวอีกครั้ง

มันเป็นรูปถ่ายเมื่อหลายปีก่อน เป็นช่วงที่ไอลิกับรินะน้องสาวฝาแฝดเกิดขึ้นใหม่ ความเป็นอยู่ของครอบครัวดีมากกว่าปัจจุบันหลายสิบเท่า และมีบุคคลหนึ่งที่ยังอยู่

คาโน่ ลินสตอร์ม ผู้เป็นปู่ของเขานั่นเอง แม้ความทรงจำร่วมกันจะไม่มาก แต่แนวคิดของท่านก็ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวและส่งผลต่อการดำเนินชีวิตมาเรื่อยมา

‘ถ้าเป็นปู่กับพ่อจะทำยังไง’ ไลท์คิดในใจ

‘ถ้าเป็นปู่กับพ่อจะทำสัญญาโดยไม่ต้องการตัวช่วยรึเปล่า?’

‘ผมอยากให้ปู่กับพ่อสอนผมมากกว่านี้ ผมต้องการความกล้ามากกว่านี้..ผมมันเป็นคนขี้ขลาดที่ถ้าอะไรยังไม่แน่นอนก็ไม่กล้าลงมือทำ บางครั้งผมก็ทั้งชอบและเกลียดด้านนี้ของตัวเองเหลือเกิน’ ไลท์คิดแล้วกำมือแรง ฟันขบแน่นกดข่มความรู้สึกทั้งเจ็บใจและปวดร้าวในเวลาเดียวกัน มันทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว

ในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่จนพากันตกงาน พ่อแม่แทบไม่มีเงินติดตัวและพากันหาสมัครงานกันจ้าระหวั่น เวลานั้นแทนที่จะเก็บออมเงินไว้ใช้ในระยะยาว สิ่งที่พวกท่านทำก็คือการซื้อเนื้อและผักคุณภาพดีๆ กลับมา

ตัวไลท์ในตอนนั้นตกใจมาก เลยโวยวายอย่างออกนอกหน้าแต่พ่อของเขากลับยิ้มและพูดว่า[ปู่เองก็เคยทำแบบนี้] แต่นอกจากนั้นก็ยังมีอีกคำพูดหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าพ่อของเขามีความกล้ามากเพียงใด

[จะมามัวคิดเล็กคิดน้อยไม่ได้นะ! คนเราไม่ต้องหาเหตุผลให้ทุกการกระทำให้มากมาย ทำทุกอย่างให้เต็มที่ตามที่ใจต้องการก็พอแล้ว สำหรับพ่อแม่แล้ว การเติมเต็มปากท้องของลูกคือความต้องการสูงสุด]

‘พ่อคิดแบบนั้นได้ยังไงนะ ทั้งที่ถ้าไม่ประหยัดจะต้องกดดันให้ตัวเองหางานให้ได้เร็วๆ แท้’ ไลท์ได้แต่คิดอย่างสงสัยพลางจ้องภาพบนหน้าจอตาไม่กะพริบ

‘เราเอง..ก็ต้องทำให้เต็มที่เหมือนกัน’

          เพราะพ่อเองก็เคยทำมาแล้ว

 

 

ไลท์ได้เข้าสู่ห้วงนิทรา อเดมัสที่อยจับตาดูการกระทำทุกฝีก้าวของชายหนุ่มได้แต่ยิ้มอย่างใจเย็นต่อไป นายธนาคารแห่งความมืดย่อมตกลงข้อเสนอพิเศษกับมาม่อนได้สำเร็จแล้ว แต่การจะให้ชิพเตอร์คนหนึ่งได้รับข้อเสนอที่เกินหน้าเกินตาคนอื่น อาจไม่ดีเท่าใดนัก

แม้มาม่อนจะไม่ได้มีกะใจจะเล่นเกมทดสอบความอดทน แต่อเดมัสไม่คิดเช่นนั้น การรักษาผลประโยชน์สูงสุดของฝ่ายตนและลดความได้เปรียบของอีกฝ่ายก็เป็นงานของนายธนาคารแห่งความมืด เขาจึงเลือกที่จะเตะถ่วงเวลาให้ไลท์ร้อนรนจนใช้เหรียญซะเอง หากทำแบบนั้นก็ไม่จำเป็นต้องยื่นข้อเสนอสุดวิเศษให้แล้ว

อเดมัสเลยรอคอยอย่างใจเย็น เฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิดจนถึงวันสุดท้ายก่อนที่เหรียญจะหมดอำนาจ เมื่อเห็นปฏิกิริยาอยู่ไม่สุขเหมือนหนูติดจับก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก แต่จู่ๆ ก็หลับไปเสียดื้อๆ ทำให้แม้แต่นายธนาคารแห่งความมืดของเขายังเผลอสะดุ้งใจ

‘ล้มเลิกเรื่องการใช้เหรียญไปแล้วเลยนอนหลับ หรือนอนหลับให้เราเป็นฝ่ายร้อนใจกันแน่?’ อเดมัสคิดในใจพร้อมปั้นหน้ายิ้มแบบฝืนๆ

ตอนนี้ตนสอดส่องไลท์ผ่านกระจกวิเศษ ไม่สามารถจับสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายหลับจริงหรือแกล้งหลับ หากไม่โผล่ตัวไปใกล้ๆ ก็ตรวจสอบไม่ได้ แต่ถ้าโผล่ออกไปและเจ้าตัวตื่นขึ้นมาตนก็ต้องมอบข้อเสนอพิเศษให้ตามคำพูด

‘เอาจนได้สินะครับ ไลท์ ลินสตอร์ม ผมประเมินคุณต่ำไปจริงๆ’ อเดมัสหัวเราะพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบและรอคอยต่อไป เวลาเหลืออยู่อีกตั้งสามชั่วโมงก่อนเหรียญจะหมดอำนาจ เกมทดสอบความอดทนมันยังไม่จบ

นั่งรอต่อไป สิบนาทีผ่านไป ยี่สิบนาทีผ่านไป ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่บนใบหน้าของนายธนาคารแห่งความมืดกลับผุดไปด้วยเม็ดเหงื่อมหาศาล ดวงตาสีดำสนิทจดจ้องชายหนุ่มที่นอนสนิทไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยเสมือนกับตายไปแล้ว

‘หรือนี่จะหลับไปจริงๆ!’ อเดมัสคิด

หากหลับไปจริงๆ แล้วพลาดการทำสัญญามีหวังโดนเจ้านายด่าหัวหดแน่

‘แต่เวลายังเหลืออีกเกือบหนึ่งชั่วโมง’ อเดมัสอดกลั้นและนั่งรอต่อไปแต่ครั้งนี้เขาไม่อาจจิบกาแฟไปพลางอ่านหนังสือไปพลางอีกต่อไปแล้ว ตาหนึ่งมองไลท์ที่หลับปุ๋ยเหมือนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อีกตาหนึ่งมองเข็มนาฬิกาที่เดินอย่างเชื่องช้า

เวลาลดลงทุกขณะ ทุกครั้งที่เข็มนาฬิกาใกล้กับเลขสิบสองหัวใจของอเดมัสจะเต้นแรงขึ้นเสมอ

ตึกตัก ตึกตัก

รอคอยว่าเมื่อไหร่ไลท์จะเลิกเล่นละครขึ้นมาใช้เหรียญเสียที แต่พอถึงสิบนาทีสุดท้ายอเดมัสก็ไม่ใจเย็นอีกต่อไป

‘ทำไมถึงยังไม่ใช้เหรียญอีก!’

‘หรือว่านี่จะหลับจริงๆ..ไม่คิดจะชุบชีวิตครอบครัวแล้วงั้นหรือ ไม่สิ บางทีอาจคิดว่าหลับสักตื่นค่อยหาทางรับมือเรากับท่านมาม่อน แต่เพราะสมองแบกรับความเครียดมาตลอดทั้งวันทำให้หลับยาวงั้นเหรอ’

‘แย่ล่ะสิ ถ้าหลับจริงๆ ล่ะก็ เหรียญได้หมดอำนาจไม่รู้ตัวแน่ๆ’

‘แต่ก็อาจเป็นแผนที่ทำให้เราร้อนรนก็ได้’

‘นี่เรากลายเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนให้ออกไปแล้วงั้นเหรอ ด้วยการนอนหลับนี่นะ?’

อเดมัสขบคิดจนหัวแทบระเบิด กระทั่งเวลาเหลืออยู่เพียงห้านาทีเท่านั้น ห้านาทีคือเวลาขั้นต่ำที่ควรจะทำสัญญาแล้ว นายธนาคารแห่งความมืดลุกขึ้นพรวดพร้อมรอยยิ้มอันเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ร่างกายเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและลมหายใจที่หอบระรัว

ร่างสูงโปร่งปรากฏขึ้นที่ห้องของไลท์ในเวลาต่อมา เมื่อพื้นรองเท้ากระทบกับกระเบื้องใบหูของชายหนุ่มก็กระดิกก่อนที่เขาจะปักผ้าห่มออกมาให้เห็นใบหน้าชัดๆ

“อืม..” ไลท์ผงกศีรษะและแบมือออก เผยให้เห็นเหรียญตราอสูรสีทองที่ตกกระทบกับแสงของดวงจันทร์ มันช่างเปล่งประกายไปด้วยพลังเร้นลับ และในยามนี้ก็พอที่จะสำแดงฤทธิ์แล้ว

“ดูเหมือนเกมทดสอบความอดทนฉันจะเป็นฝ่ายชนะนะ” ไลท์เอ่ยให้แก่อีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มของผู้มีชัยเหนือกว่า ในอกของอเดมัสรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อได้ยินคำพูดนี้ก่อนจะคลายยิ้มให้

“ครับท่านไลท์...ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านมาม่อนได้มอบข้อเสนอสุดวิเศษให้ท่านแต่เพียงผู้เดียว หากเช่นนั้นเรามาเริ่มกันเถอะครับ”

“อืม..” ไลท์ผงกศีรษะและแบมือออก เผยให้เห็นเหรียญตราอสูรสีทองที่ตกกระทบกับแสงของดวงจันทร์ มันช่างเปล่งประกายไปด้วยพลังเร้นลับ และในยามนี้ก็พอที่จะสำแดงฤทธิ์แล้ว

แสงสีทองปรากฏขึ้นบนพื้นและสาดส่องสว่างไปทั่วห้อง เขาได้ยินเสียงพยายามจะเปิดประตูเสมือนกับพวกโบรกเกอร์ได้ล่วงรู้ว่าการทำสัญญาจะเริ่มต้นขึ้น

ไลท์ก้าวเท้าออกมายืนใจกลางแสงที่ว่านั่นและเอ่ยร่ายคำสวดที่อเดมัสจัดเตรียมเอาไว้

 

Money is an intermediate in the exchange process

(เงินคือสื่อกลางการแลกเปลี่ยน)

Sustaining life, run the World

(สิ่งที่ใช้คำจุนชีวิตและโลก)

It is everything

(มันคือทุกสรรพสิ่ง)

From alpha to omega

(จรดอัลฟ่าและโอเมกา)

Father and mother

(บิดาและมารดา)

The progenitor of life and the God of Greed

(ต้นกำเนิดของชีวิตและพระเจ้าแห่งความโลภ)

Mamon(มาม่อน)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด