ตอนที่แล้ว08 แพ้ทาง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป10 ช่วยด้วย…

09 ผสานพลัง


09

ผสานพลัง

 

                แย่แน่ๆ

คือสิ่งที่เคนเซย์คิดในใจตลอดเวลา ขณะสกัดกั้นดิคเคนส์ทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มันลอยเข้าไปด้านในห้องโถง แม้โดยปกติแล้วดิคเคนส์ธรรมชาติจะเคลื่อนไหวได้อืดเอื่อย ไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้อะไรเหมือนกับดิคเคนส์ประดิษฐ์ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือแรงดูดพลังชีวิตที่มีมากกว่าหลายเท่า

เคนเซย์เริ่มตัวชา

สัญญาณที่เริ่มบ่งบอกว่าเกราะป้องกันการถูกดูดพลังชีวิตของเขาเริ่มอ่อนแรงลงแล้ว หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงรับมือไม่ไหวแน่นอน ต่อให้ขึ้นชื่อว่าเป็นทายาทของตระกูลนักปราบวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ด้วยจำนวนที่มากขนาดนี้แถมยังมีออกมาเรื่อยๆ อย่างผิดวิสัยดิคเคนส์ธรรมชาติ ก็อาจทำให้เขาตายได้จริงๆ เหมือนกัน

แต่ยังไงก็ตาม เขาจะหนีจากตรงนี้หรือยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะหากปล่อยให้เจ้าพวกนี้หลุดเข้าไปข้างใน พวกพี่ๆ รวมถึงโซอีกับธาวินที่มีเกราะป้องกันน้อยกว่าเขาแบบเทียบไม่ได้คงไม่รอดแน่นอน

ฮึก..

เคนเซย์เริ่มหายใจไม่ออก จากอาการตัวชากลายเป็นหน้ามืด แล้วในตอนนี้ก็เริ่มหายใจสะดุดแล้ว เมื่อเนื้อตัวเริ่มเปลี้ย มือที่จับดาบเริ่มไม่มีแรงจนต้องพักปักดาบลงพื้นเพื่อพยุงตัว

ในขณะที่คลื่นวิญญาณสีดำชุดใหม่เริ่มโถมเข้ามา หญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเพื่อบังเคนเซย์จากเหล่าวิญญาณไว้ ก่อนจะใช้ดาบที่เกิดจากพลังวิญญาณของตัวเองจัดการดิคเคนส์ตรงหน้าไป

เคนเซย์ที่เริ่มหายใจหอบเงยหน้าขึ้นไปมอง ไม่เพียงแต่รุ่นพี่สาวสวมแว่นที่ชื่อยูทากะเท่านั้น แต่ดูเหมือนกำลังเสริมที่ร้องขอไปจะมาถึงแล้วนั่นเอง คนจากหน่วย K-1 K-2 K-3 หน่วยรบกำจัดวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดเริ่มกระจายตัวกันไปตามจุดต่างๆ และคงใช้เวลาไม่นานหลังจากนี้ในการกำจัดดิคเคนส์ให้หมดไป

“หืม ภาพหายากแบบนี้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกดีมั้ย ไหวมั้ยจ๊ะ”

ยูทากะ หญิงสาวเชื้อสายชาวญี่ปุ่นสวมแว่นสุดน่ารักสังกัดหน่วย K-1 รุ่นพี่ที่สถาบันกองปราบของเคนเซย์เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มล้อเลียน

แม้แต่ภายในหน่วย K-1 ด้วยกันเองก็ยังยอมรับในความสามารถของเคนเซย์ หากเขาไม่ถูกดึงตัวไปช่วยงานหน่วย K-0 ที่ต้องมีนักปราบวิญญาณสายนี้ที่เก่งกาจสักคนบ้าง เชื่อได้ว่าแม้แต่ภายในหน่วย K-1 ด้วยกันเอง ก็คงไม่มีใครมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน ภาพที่เขาถึงกับต้องปักดาบลงพื้นเพื่อพยุงตัวราวกับจะล้มลงได้ตลอดเวลานั้นจึงเป็นภาพหายากอย่างแท้จริง

“โธ่...ผมกำลังจะขอบคุณรุ่นพี่แท้ๆ หมดเลยความซาบซึ้ง”

เคนเซย์ตอบด้วยรอยยิ้มแห้ง ในขณะที่ยูทากะหัวเราะเสียงดังลั่น

“ล้อเล่นน่า เยอะขนาดนี้เป็นใครก็ไม่ไหวทั้งนั้นแหละ นั่งพักก่อนเถอะ ปล่อยให้พวกเราจัดการเอง”

ภายในห้องโถงใหญ่

“ใจดีกับสาวๆ เหมือนเดิมเลยนะครับ”

ชาเกลบอกกับหัวหน้าของตัวเองเมื่อเห็นสภาพสาวร่างโคลน หากใช้กระสุนจริงร่างกายสัดส่วนชวนมองนั้นคงพรุนเป็นรูไปหมดแล้ว แต่หัวหน้าของเขากลับเปลี่ยนเป็นกระสุนยาง แล้วเล็งอัดเข้าที่บริเวณลิ้นปี่ใต้อกตรงกลางหลายนัดพร้อมกับจุดอื่นๆ บ้างประปราย ผลคือหญิงสาวคนร้ายคงจุกจนสลบและร่วงลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว

“ก็นายเล่นจัดการอีกคนเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว เราคงต้องหาคนกลับไปสอบปากคำบ้าง”

เมื่อผู้ใช้พลังหมดสติ การควบคุมพลังวิญญาณย่อมสลายไปด้วย โคลนที่แปะอยู่ตาของเฮคเตอร์หายไป รวมถึงรองเท้าคู่แพงของหัวหน้าหน่วยที่ละลายกลายเป็นโคลนเรียบร้อยแล้ว และเมื่อชาเกลหันไปมองที่เด็กทั้งสองที่คาดว่าจะหลุดจากโคลนที่ยึดเท้าไว้เหมือนกันนั่นเอง ทว่า...

ปัง! ชาเกลคว้าปืนขึ้นมายิงข้ามร่างของเด็กทั้งสองที่นอนสลบอยู่ไปด้านหลังหนึ่งนัด คนร้ายสวมแว่นที่เหมือนจะแอบย่องเข้ามาเอาตัวโซอีไปหยุดชะงัก ก่อนจะกระโดดถอยหนีไปอีกฟากของห้องเมื่อชาเกลลอยตัวตามเข้าไปเพื่อจัดการ  หนุ่มหล่อแห่งกองปราบวิญญาณหันกลับไปดูเด็กๆ ที่นอนนิ่งไม่ขยับ และตรงเข้าไปดูอาการของธาวินก่อนในทันที

ฟอแกนด์ยกปืนของจริงสองกระบอกแรกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วสร้างกระสุนจากพลังวิญญาณไล่ยิงตามไปต่อ แต่ก็ดูเหมือนคนร้ายจะใช้การกระกระโดดไปมาเพื่อเร่งความเร็วให้ตัวเองจนขยับตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว มิหนำซ้ำยังตอบโต้กลับโดยควักกระสุนสีเงินเม็ดเล็กขว้างกลับมา

‘...สร้างกำแพงป้องกันกระสุน!...’

เสียงของเอ็ดเวิร์ดจางดังขึ้นในหัวของฟอแกนด์ ความตั้งใจที่จะสร้างอาวุธโจมตีต่อถูกเปลี่ยนเป็นกระจกกันกระสุนเพื่อป้องกันตัวเองและคนข้างหลัง รวมถึงชาเกลกับเด็กอีกสองคนที่อยู่อีกด้านด้วย

เสียงกระสุนเม็ดสีเงินดังกระทบกระจกใสอันแข็งแรง ที่ฟอแกนด์สร้างกระจกก็เพื่อจะได้มองเห็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย ผู้บัญชาการภาคสนามอย่างเอ็ดเวิร์ด จาง ยังคงทำงานต่อ นอกจากเขาจะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลพลังวิญญาณได้อย่างแม่นยำแล้ว ท่านรองของหน่วยยังมีพลังในการส่งพลังวิญญาณเป็นเสียงเข้าไปในสมองของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องพูดออกมา หากว่าแตะตัวหรือแปะพลังไว้ก่อนหน้าแล้ว

...ความสามารถของมันคือการเร่งความเร็วของวัตถุที่เคลื่อนไหว แต่ไม่น่าจะควบคุมทิศทางให้หักเลี้ยวได้ ชาเกล นายค่อยๆ พาเด็กสองคนมาทางนี้ เพราะมันอาจจะหาจังหวะฉกตัวโซอีไปได้ทุกเมื่อ ส่วนนาย...เฮคเตอร์

เฮคเตอร์ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกตัวเอง แม้โคลนจะหายไปจากตาแล้วแต่เขาก็ยังแสบตาและทุกอย่างก็พร่าเลือนไปหมด แต่การต่อสู้ครั้งนี้ก็ยังไม่จบลง

เมื่อคำสั่งมากมายของเอ็ดเวิร์ดถูกเตรียมพร้อม ฟอแกนด์ก็แยกสร้างเกราะกำแพงกระจกขึ้นทีละส่วนๆ เพื่อกำบังกระสุนให้ชาเกลที่พาเด็กทั้งสองคนกลับมาทางนี้ เมื่อรวมตัวกันครบ และชาเกลเอื้อมมือไปแตะที่หลังของหัวหน้าเพื่อผสานรูปแบบการใช้พลังวิญญาณเข้าด้วยกัน การโต้กลับก็เริ่มขึ้น

พลังของฟอแกนด์สร้างได้ทีละอย่าง เสี้ยววินาทีที่สลายกระจกกันกระสุนออกไป ร่างของทุกคนก็ลอยขึ้นด้วยพลังของชาเกลเพื่อหลบเม็ดกระสุนสีเงิน และตู้เก็บของขนาดใหญ่หลายตู้ก็ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของท่านหัวหน้า ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกโถมลงไปใส่คนร้ายใส่สูทสวมแว่นด้วยพลังของชาเกล

พลังของฟอแกนด์คือการใช้พลังวิญญาณสร้างสิ่งต่างๆ ที่ไม่มีชีวิต แต่เขาเพียงแค่สร้างได้ไม่สามารถทำให้มันขยับได้เองหากไม่ผสานพลังการควบคุมสิ่งของจากชาเกล แม้ก่อนหน้านี้จะสร้างอาวุธโจมตีอย่างปืนได้ แต่เพราะปืนมีกลไกทำให้ลูกกระสุนเคลื่อนไหวไปได้เอง ปืนจึงมักจะเป็นอาวุธที่ฟอแกนด์สร้างมาใช้บ่อยที่สุดในการต่อสู้

“จัดการเลย อยู่ตรงหน้านั่นแหละ!” เสียงจริงๆ ของเอ็ดเวิร์ดดังขึ้น เฮคเตอร์เผยตัวออกมาจากตู้แล้วพุ่งตรงไปยังจุดที่คนร้ายยืนอยู่ด้วยความช่วยเหลือสุดท้ายจากชาเกล แม้จะเห็นได้น้อยนิด แต่มันก็ไม่เป็นปัญหากับการออกแรงจากหัวไหล่ที่ปล่อยไปยังปลายหมัดตรง และโดนเป้าหมายเข้าไปเต็มๆ

คิม ผู้ร้ายสวมแว่นล้มลงไปนอนกับพื้นพร้อมกับตู้ไม้มากมายที่ทับถม

ทุกคนหายใจกันอย่างโล่งอกเมื่อคิดว่าทุกอย่างจบลง

“ตั้งแต่รวมตัวกันเป็นเคซีโร่รุ่นนี้มา วันนี้คงเป็นวันที่สะบักสะบอมกันที่สุดแล้ว”

ฟอแกนด์บ่นอุบอย่างรำคาญใจ อาจเพราะที่ผ่านมาพลังของเฮคเตอร์ทำให้แต่ละภารกิจนั้นแสนสบายจนแทบไม่ต้องทำอะไรมาก ดูท่า...เขาเองก็คงหาแผนรับมือที่ในช่วงเวลาที่เจ้าเด็กหมัดหนักที่สุดในหน่วยต่อสู้ไม่ได้เผื่อไว้บ้างแล้ว

“คงต้องพับแผนฟื้นความทรงจำให้คุณโซอีก่อน กลับจากนี้ไปต่อให้ต้องบีบคอบังคับผู้บัญชาการสูงสุด แต่เราก็คงต้องทำให้เขาบอกเรื่องผู้ใช้พลังวิญญาณนอกระบบพวกนี้แล้ว”

ท่านรองหัวหน้าเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปตรวจดูอาการของเด็กทั้งสองในทันที ชาเกลเองก็เดินไปดึงแขนเฮคเตอร์ให้กลับมายืนรวมกัน

ธาวินเหมือนจะสลบไปแล้ว ก่อนเข้ามาถึงที่นี่มีกลุ่มดิคเคนส์ล้อมรอบตัวเด็กๆ ไว้ คงจะโดนดูดพลังไปบ้างแต่คงยังไม่ถึงขั้นร้ายแรงเพราะยังหายใจได้ปกติดี อาจจะแค่รู้สึกหน้ามืดจนวูบหมดสติไป

ส่วนโซอี... เอ็ดเวิร์ดแปลกใจที่โซอียังนอนลืมตา ถ้าไม่ติดว่ายังคงหายใจปกติเธอก็ดูเหมือนศพที่ซีดไปหมดแล้วทั้งตัว แต่ก่อนที่เขาจะเรียกเฮคเตอร์ให้กลับมาพาเด็กๆ กลับไปที่แผนกแพทย์วิญญาณนั่นเอง

โดยไม่ทันที่ใครจะได้สังเกต มีกลุ่มโคลนเกิดขึ้นเป็นเส้นเล็กๆ ไหลเข้าไปในกองตู้ไม้ที่กองทับคนร้ายสวมแว่นอยู่ กว่าที่ใครจะรู้ตัว หญิงสาวร่างโคลนก็ดึงตัวเพื่อนร่วมทีมของตัวเองออกมาได้แล้ว

“หัวหน้า!” เสียงของเอ็ดเวิร์ดดังขึ้นเพื่อเตือน

สาวร่างโคลนที่ได้สติฟื้นตัวกลับมาอย่างไม่น่าเชื่อลุกขึ้นกระโดด ก่อนที่ความเร็วจะถูกเร่งด้วยพลังของคิมที่ยังพอมีสติเหลืออยู่บ้าง

ฟอแกนด์สร้างกำแพงเหล็กกั้นทางออกจากผนังที่ทะลุเป็นรูกว้าง ในตอนนั้นเอง เมื่อหมดหนทางจะหนีได้ เจ้าคนร้ายสวมแว่นจึงผลักหญิงสาวผู้ช่วยตนออกมาไปทางกลุ่มที่ศัตรูยืนอยู่ แล้วเร่งความเร็วใส่แรงผลักนั้นจนอีกฝั่งต้องหาทางรับมือ ก่อนจะอาศัยจังหวะนั้นกระโดดอีกครั้งแล้วหนีรอดออกจากห้องโถงทางหลังคาที่เคนเซย์เคยตัดช่องไว้ไปได้

หัวหน้าหน่วยเคซีโร่สร้างกำแพงยางที่มีความยืดหยุ่นเพื่อรับตัวหญิงสาวร่างโคลนไว้ เอ็ดเวิร์ดแบกธาวินกระโดดหลบออกไป ในขณะที่ชาเกลอุ้มโซอีถอยออกมาและใช้พลังเฮือกสุดท้ายผลักเฮคเตอร์เข้าไปเพื่อปิดงานให้สมบูรณ์

คำสั่งเสียงของเอ็ดเวิร์ดยังคงดังขึ้นในหัวเฮคเตอร์ เขาจับต้นแขนของหญิงสาวร่างโคลนที่แทบไม่เหลือพลังป้องกันตัวแล้ว และใช้พลังพาหายตัวไปยังที่ไกลแสนไกล

เริ่มจากจุดสุดยอดของโลกที่ยอดเขาเอฟเวอเรสต์ ต่อด้วยชมวิวที่ปลายคบเพลิงของเทพีเสรีภาพ ก่อนจะพาหญิงสาวกลับมายังห้องโถงที่เดิมด้วยอาการหมดสภาพอย่างสมบูรณ์แบบเพราะผลกระทบจากการถูกพาหายตัว อันที่จริงเขาอาจไม่ต้องพาไปไกลถึงขนาดนั้น แต่เพราะยิ่งหายตัวในระยะทางความไกลเท่าไหร่ผลกระทบก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น เขาจึงต้องพาไปไกลมากๆ สักรอบเพื่อความแน่ใจ เพิ่มอีกรอบเพราะแค้นที่ทำให้ตาของเขาเจ็บ แต่หากเพิ่มกว่านี้อีกสักครั้งคนร้ายน่าจะได้ช็อคตายจริงๆ ก่อนได้พาไปสอบปากคำ

แม้จะหมดสภาพไปอย่างแน่นอนแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายฟอแกนด์ก็ตรงเข้าไปสวมกุญแจมือใส่ข้อมือสองข้างของหญิงสาวผมสีทอง กดสวิตช์เปิดระบบต้านทานพลังงานที่รีโมทแล้วเก็บไว้กับตัว มันคือกุญแจมือแบบพิเศษซึ่งมีไว้จับตัวคนร้ายผู้มีพลังวิญญาณทุกสายโดยเฉพาะ หากเปิดโหมดต้านพลังงานที่รีโมทแล้ว กุญแจมือจะส่งผลควบคุมไม่ให้สามารถใช้พลังวิญญาณใดๆ ได้อีกต่อไป

“โซอีเป็นยังไงบ้าง” เฮคเตอร์ได้แต่ถามชาเกลที่ยืนอยู่ด้วยกัน

“ที่แน่ๆ คงไม่หนักเท่านาย ข้างนอกมีกำลังเสริมจากหน่วยอื่นมาแล้ว เคนเซย์คงไม่เป็นไร รีบกลับกันเถอะ”

ชาเกลตอบกลับ การเคลื่อนย้ายตัวผู้บาดเจ็บเริ่มขึ้นในทันทีจากนั้น แม้เฮคเตอร์จะแสบตาจนมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหากับหายตัวไปยังสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เริ่มจากพาเอ็ดเวิร์ดไปก่อนเพื่อให้สามารถอธิบายเรื่องราวต่างๆ กับแพทย์วิญญาณได้ และกลับมาพาโซอีไปด้วยอีกรอบ

เพราะธาวินยังไม่เคยถูกเฮคเตอร์พาหายตัว หากขนส่งตัวด้วยวิธีนั้นเกรงว่าจะยิ่งทำให้อาการหนักลง แพทย์วิญญาณที่ติดตามกำลังเสริมมา หลังจากช่วยฟื้นพลังให้เคนเซย์บ้างแล้วก็เดินเข้ามาดูในห้องโถงก่อนจะช่วยธาวินเป็นคนแรก และเช่นเดียวกับทุกครั้ง ชาเกลที่แม้จะดูหมดเรี่ยวแรงก็แต่ปฏิเสธการช่วยเหลือจากแพทย์วิญญาณ เขาเพียงออกไปนั่งพักรับลมข้างนอกไม่นานสภาพโดยทั่วไปก็ดูดีขึ้นทันตา ชาเกลส่งกุญแจรถยนต์ของตัวเองให้เคนเซย์ ก่อนจะรีบพาธาวินที่ดีขึ้นบ้างแล้วลอยกลับไปที่กองปราบวิญญาณ

“เคนเซย์” ในขณะที่ทุกคนกำลังจะเตรียมตัวกลับ หัวหน้าก็เรียกน้องเล็กของหน่วยไว้ “นายก็รู้สึกใช่มั้ยว่ามันแปลกๆ”

“ครับ มันแปลกมากจริงๆ ปกติดิคเคนส์ธรรมชาติเวลาเจอกลิ่นที่ไม่ชอบก็จะหนี ยิ่งเจอพวกนักปราบวิญญาณก็ยิ่งจะไม่อยากเข้ามาใกล้ แถมก่อนตายมาเป็นแบบนี้พวกเขาก็เป็นคนมาก่อนนั่นแหละ ไม่มีทางสามัคคีมากันพร้อมหน้าขนาดนี้ได้หรอก ถ้ามันไม่ใช่อะไรที่......” เคนเซย์เว้นวรรคเพื่อหาคำพูดที่ลงตัว เขารู้สึกอึกอักพูดไม่ค่อยออกเมื่อนึกย้อนไปว่าได้ยินอะไรบางอย่างตอนที่ก้าวเข้ามาในห้องโถงนี้เป็นครั้งแรก

ใครกันที่เหล่าวิญญาณพากันพูดว่า ‘มันมาแล้ว’ ใครกันคือคนที่เจ้าพวกนั้นต้องการฉีกให้เป็นชิ้นๆ สิบเก้าปีก่อนหน้าหากที่นี่ยังปกติดี เจ้าของคฤหาสน์นักสะกดวิญญาณทั้งหลายก็คงไม่มีทางปล่อยให้มีวิญญาณแบบนี้อยู่ในบ้าน

หากนั่นคือวิญญาณที่ตายด้วยเหตุการณ์เมื่อสิบเก้าปีก่อน แล้วยังวนเวียนอยู่ที่นี่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดแล้วล่ะก็ สมาชิกห้าคนในห้องตอนนั้นที่ดูจะเกี่ยวข้องกับที่นี่ที่สุดก็คงจะมีแค่...

เคนเซย์แทบไม่กล้านึกต่อ เพราะยิ่งนึกแล้วมันยิ่งชวนขนลุกขึ้นมาทุกที และคิดยังไงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างยิ่ง

“นายเคยอ่านแฟ้มคดีเมื่อสิบเก้าปีก่อนรึเปล่า” หัวหน้าหน่วยถามเคนเซย์ขึ้นต่อ เมื่อได้รับการยืนยันจากนักปราบวิญญาณสายตรงแล้ว ความเป็นจริงที่เริ่มก่อตัวกันเป็นก้อนในหัวก็ยิ่งเริ่มทำให้ฟอแกนด์หนักใจ

“เคยอ่านเมื่อนานมาแล้วครับ น่าจะตอนเข้าหน่วยใหม่ๆ ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าจำรายละเอียดได้มากแค่ไหน”

“มันเกิดขึ้นตอนฉันเริ่มเข้ามาเป็นหน่วยเคซีโร่ได้ไม่นาน คดีใหญ่ที่เป็นความอัปยศของปราบวิญญาณ ของหน่วยเคซีโร่ที่ตามตัวคนร้ายไม่เจอสักที”

แทบจะเป็นครั้งแรกที่เคนเซย์ได้เห็นหัวหน้าของตัวเองทำหน้าและน้ำเสียงสลด นี่คงเป็นตราบาปของหน่วยเคซีโร่ในรุ่นก่อนหน้านี้อย่างแท้จริง

“มันเป็นช่วงเช้ามืดที่ทุกคนคงเพิ่งตื่นและไม่มีเวลาเตรียมตัวรับมือ ธรรมชาติของนักสะกดวิญญาณโดยทั่วไปก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการต่อสู้ด้วยพละกำลังหรือใช้อาวุธเหมือนพวกนักปราบวิญญาณอยู่แล้ว พวกเขาแค่มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งจนพวกวิญญาณทั้งหลายไม่สามารถทำอะไรได้ง่ายๆ แต่ไม่ใช่กับคน...ฉันคิดแล้วคิดอีกมาตลอด แต่ต่อให้คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้แค่ไหน สุดท้ายก็ยังกลับมาคิดเรื่องนี้อยู่ดี คนร้ายที่ก่อเหตุครั้งนั้นไม่ใช่วิญญาณหรอก คนด้วยกันเองนี่แหละ”

“หัวหน้าคงไม่ได้หมายถึง......” เคนเซย์หยุดไว้แค่นั้น ไม่กล้าเอ่ยชื่อเธอคนนั้นออกมา

“หลังจากกองปราบวิญญาณเข้าไปตรวจค้นที่เกิดเหตุ แล้วพบโซอีคนเดียวที่นอนสลบอยู่และยังมีชีวิต ท่ามกลางศพมากมายที่ถูกแทงเป็นแผลตามจุดสำคัญจนถึงตาย โซอีเป็นคนเดียวที่ไม่มีแผลแม้แต่รอยขีดข่วน ลักษณะแผลของทุกคนที่ตายตามผลชันสูตรก็ไม่ใช่อาวุธพวกดาบหรืออื่นๆ แบบที่นักสะกดวิญญาณรุ่นโตๆ ที่ต่อสู้ได้ใช้กัน แต่น่าจะเกิดจากมีดทำครัวที่ตกอยู่ห่างจากตัวโซอีไม่ไกล”

“แต่ว่า”

“แต่เด็กตัวเล็กแค่นั้นไม่น่าจะทำได้ใช่มั้ยล่ะ แน่นอนว่าทุกคนต้องคิดแบบนั้น” ฟอแกนด์พูดสวนเคนเซย์ที่กำลังจะแย้งกลับ เพราะรู้ดีว่าลูกน้องหมายถึงอะไร “หลังจากโซอีฟื้น เธอก็ตกอยู่ในสภาพช็อคจนเหมือนคนจิตหลุดลอย พูดอยู่แค่คำเดียวว่าเธอจำอะไรไม่ได้สักอย่าง กองปราบส่งตัวเธอไปศูนย์วิจัยเพื่อทดสอบพลัง แม้ว่าชื่อสายตระกูลชามันด์หรือชามิลเลียร์จะไม่ได้มีความหมายอะไรขนาดนั้นแล้ว แต่นักสะกดวิญญาณรุ่นเด็กทุกคนที่อยู่ที่นี่ คือคนที่มีแววว่าจะมีพลังแข็งแกร่งเท่านั้นทางตระกูลหลักจึงจะรับเข้ามาดูแลเอง โซอีเป็นหนึ่งในนั้น แน่นอนว่าเราสงสัยเธอที่สุด แต่ผลการทดสอบจากศูนย์วิจัยที่พยายามทำอยู่หลายครั้งกลับกลายเป็นว่าโซอีไม่มีพลังอะไรสักอย่างเลย เธอสะกดวิญญาณเป็นอะไรไม่ได้เลย ทำอะไรไม่ได้เลยทั้งนั้น เหมือนแค่คนธรรมดาที่มองเห็นวิญญาณเฉยๆ เท่านั้นเอง”

เคนเซย์แอบโล่งอกทีเดียวที่ได้ยินแบบนั้น เพราะถ้ามันใช่...เขาเองก็คงจะทำตัวไม่ถูกแล้วจริงๆ

“การจะดื้อดึงยัดเยียดให้เด็กเจ็ดขวบเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตายเก้าสิบเก้าศพ ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานอะไรเลยมันก็คงจะมากเกินไป สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้กองปราบวิญญาณก็เลยต้องปล่อยตัวโซอีไป ได้ยินมาว่าเธอมีสภาพเหมือนคนตายที่เดินได้อยู่นาน จนทางบ้านตัดสินใจย้ายไปที่อังกฤษเพื่อไม่ให้โซอียึดติดกับความทรงจำพวกนี้ แต่ว่านะ...มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้โซอีไม่โตขึ้นเลยแบบนี้ และฉันเชื่อว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่นี่แน่นอน”

“หัวหน้ายังเชื่อว่าคุณโซอีเป็นคนทำเหรอครับ”

“ก็ไม่เชิงแบบนั้น ไม่มีทางที่เด็กผู้หญิงเจ็ดขวบจะไปมีเรี่ยวแรงจัดการคนทั้งหมด ซึ่งเจ็ดสิบกว่าคนเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงโตกว่าเธอได้อยู่แล้ว แต่ถ้าลองโยงไปเกี่ยวข้องกับต้นไวท์แอชที่หายไปในคืนนั้นด้วยพอดี ‘การสิง’ คงเป็นคำตอบที่ลงตัวที่สุด”

“จริงด้วย นั่นเป็นไปได้มากเลย” เคนเซย์ทุบกำปั้นเข้ากับฝ่ามืออย่างเห็นด้วย

“แต่ถึงรู้อย่างนั้นก็ตาม ตราบใดที่เรายังจับวิญญาณนั่นไม่ได้ก็ไม่มีความหมายอะไรเลยอยู่ดี ฉันเองก็คาดหวังให้โซอีจำอะไรได้บ้างเผื่อจะมีหนทางอะไรที่จะตามสืบได้เพิ่มขึ้น เพื่อปิดคดีนี้และก็เพื่อตัวโซอีเองด้วย ถ้าเป็นการพิจารณาคดีแบบโลกมนุษย์โซอีอาจจะกลายเป็นฆาตกรที่มีความผิด แต่ในทางโลกวิญญาณแล้ว ถ้ายืนยันได้ว่านั่นคือการสิงที่เธอไม่เต็มใจ โซอีก็เป็นแค่เด็กน่าสงสารคนหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อเหมือนกัน”

ฟอแกนด์มองพื้นที่โดยรอบแล้วถอนใจอีกครั้ง เขายังจดจำภาพซากศพที่นอนตายเกลื่อนในวันนั้นได้เป็นอย่างดี

“เคนเซย์...ถ้าวันหนึ่งนายต้องหันมาต่อสู้กับพวกเดียวกันเอง นายจะทำได้มั้ย”

“............หมายความว่ายังไงครับ”

“ฉันคิดว่าจะลองพาโซอีไปศูนย์วิจัยอีกครั้ง แต่เฮคเตอร์มันต้องไม่ยอมแน่ๆ เฮ้อ...ช่างเถอะ กลับกันดีกว่า ไม่รู้ว่าตาของเฮคเตอร์จะเป็นยังไงบ้าง”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด