บทที่ 9 : ตรวน
บทที่ 9 : ตรวน
แสงจากตะเกียงเทียนเคลื่อนวับไหวอยู่ในห้องมืดราวกับเป็นฉากเต้นรำระหว่างเปลวไฟกับเงา โดยมีเสียงของโซ่ตรวนที่ลากขัดไปบนพื้นเป็นเพลงให้จังหวะประกอบไปพร้อมๆ กัน
ในบรรยากาศอึมครึม นิ้วเรียวยาวป้ายเอายาขี้ผึ้งสีน้ำตาลอ่อนลงไปในร่องแตกลายงาบนใบหน้าของหุ่นสงครามตนสุดท้ายตนเดียวที่หลงเหลือกลับจากสมรภูมิซึ่งตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ให้เจ้าของนิ้วเรียวสวยนั้นซ่อมแซมส่วนที่ผุพังจากการต่อสู้
และอาจจะเพราะบัดนี้ไม่มีหุ่นตนอื่นๆ รอคอยการซ่อมแซม ห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์งานช่างห้องนี้จึงดูกว้างขึ้นกว่าปกติถนัดตา แต่ขณะเดียวกันมันก็ดูเงียบเหงาวังเวงลงไปด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าสองเงาร่างที่อยู่ในห้องจะไม่รู้สึกถึงความเหงานั้นเลยก็ตาม
เพราะฝ่ายหนึ่งไม่เคยแสดงความรู้สึกใดๆ ด้วยหัวใจทำจากไม้ ส่วนอีกฝ่ายนั้นก็ไม่ต้องการอะไรมากกว่าการได้นั่งอยู่กับหุ่นตรงหน้า แม้บางครั้งจะรู้สึกเจ็บปวดยามต้องเห็นร่องรอยความเสียหายที่ปรากฏบนโครงร่างแต่มันไม่สำคัญเท่ากับการได้เห็นเขากลับมาจากโลกแห่งการฆ่าฟัน
ร่องรอยแตกร้าวบนลำตัวและใบหน้าถูกซ่อมแซมด้วยมืออย่างละเมียดละไม ทั้งที่ความจริงหุ่นสงครามตนนี้ก็สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่หญิงวัยกลางคนผู้นี้ก็ยังเลือกที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเองเสมอ แม้บางครั้งมันจะดูเกินความจำเป็นไปบ้างอย่างการปกปิดร่องรอยถลอกเล็กๆ หรือตำหนิภายนอกที่แทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นนางก็ยังใช้เวลาอยู่กับมันได้เป็นวันเป็นคืน เพียงเพื่อให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบ ก่อนที่มันจะยับเยินกลับมาให้นางซ่อมแซมอีกครั้ง
ทว่านั่นเองคือเหตุผล นางต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อที่หุ่นตนนี้จะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
“ท่านผู้สร้าง...” หุ่นสงครามเอ่ยขึ้นผ่านลำคอในความเงียบงัน เรียกความสนใจจากหญิงตรงหน้าขณะที่นางกำลังง่วนอยู่กับการเก็บรายละเอียด “ทำไมถึงต้องสร้างให้ผมแตกต่างจากหุ่นตนอื่น…”
แม้จะพูดออกมาแผ่นเบาทว่าก็ชัดเจน ผู้สร้าง ได้ยินคำถามนั้นก็เผลอหยุดมือไปชั่วครู่แล้วหันมาหยิบแปรงขนม้าขึ้นมาปัดเอาเศษฝุ่นที่เปรอะเปื้อนบนผิวไม้ออกและเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น นุ่มนวล “ก็เพราะเธอแตกต่างไงล่ะจ้ะ ฮอรัส เธอคือดวงอาทิตย์ในตอนกลางวัน แล้วก็เป็นดวงจันทร์ในเวลากลางคืนสำหรับฉัน”
ฮอรัส ไม่แสดงอาการใดๆ นอกจากหันศีรษะกวาดดวงตาสีนิลมองไปยังหน้าต่างที่ถูกปิดไว้ด้วยกรงเหล็ก “ที่นี่มองไม่เห็นท้องฟ้า… นั่นคือเหตุผลที่สร้างผมรึเปล่า เพื่อเป็นดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์” หุ่นสงครามคล้ายจะไม่เข้าใจความนัยของการเปรียบเปรยจึงเอ่ยถามต่อ เพราะนับแต่ความทรงจำแรกสุดของเขา ผู้สร้างก็ถูกจองจำอยู่ที่นี่แล้ว ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่จะได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันของจริง ทว่านางก็เอ่ยถึงมันขึ้นมาบ่อยครั้ง คราวนี้ก็เช่นกัน
ผู้สร้าง ได้ยินหุ่นของเธอถามคำถามเช่นนั้นออกมาก็เพียงแค่หัวเราะเบาๆ ผ่านรอยยิ้มอบอุ่นที่มุมปากแล้วกล่าวตอบ “เปล่าจ้ะ ฉันไม่ได้สร้างเธอขึ้นมาเพราะอะไรแบบนั้นหรอกนะ” เธอว่าพร้อมกับจับมืออีกฝ่าย “เธอแตกต่างก็เพราะเธอคือเธอ ฮอรัส... ไม่ใช่แค่ตุ๊กตาหรืออาวุธอย่างที่คนพวกนั้นอยากจะให้เธอเป็น”
“...ผมไม่เข้าใจ”
“เรื่องบางเรื่องก็ยากจะอธิบายได้ด้วยคำพูด แต่ฉันเชื่อว่าสักวันเธอจะต้องเข้าใจมันได้ด้วยตัวเองแน่จ้ะ” ผู้สร้างกล่าวพร้อมกับมองตรงเข้าไปในดวงตามณีของฮอรัส
ถึงมันจะมืดมิดดูเหมือนไร้ก้นบึ้งไม่มีอะไรอยู่ในนั้น แต่เพราะนางเป็นคนเจียระไนปั้นแต่งดวงตาคู่นี้ขึ้นมาเองจึงรู้ดีว่ามันมีอะไรมากกว่าที่เห็น
ภายใต้รูปลักษณ์เฉยชาคือความเดียงสาซึ่งถูกปาดป้ายด้วยไฟและความรุนแรงอันไม่อาจหลีกเลี่ยง เช่นเดียวกันกับเด็กอีกหลายๆ คนบนโลกนี้ เพียงแต่ต่างกันที่เด็กพวกนั้นอย่างน้อยก็ได้รับโอกาสในการเลือกที่จะมีชีวิต
“ผมเห็นเอลฟ์มาที่นี่ เขาคุยกับท่านแม่ทัพเกี่ยวกับพวกเรา… กำลังจะมีบางอย่างเกิดขึ้นรึเปล่า” ฮอรัสเปลี่ยนเรื่อง พูดถึงสิ่งที่รับรู้มาก่อนหน้า แม้จะดูเหมือนไร้ความรู้สึกแต่ข้อมูลที่ทั้งสองคุยกันก็ยากเกินกว่าจะปล่อยผ่านไปไม่รายงาน
ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็รับรู้เรื่องนี้ดีอยู่ก่อนแล้วเมื่อนางยิ้มแล้วตอบคำถามด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ใช่จ้ะ บางอย่างกำลังเกิดขึ้น แต่เธอสัญญาแล้วใช่มั้ยว่าจะมีชีวิต เพราะฉะนั้นไม่ว่ามันจะเกิดอะไรเธอก็ต้องทำตามสัญญานะเข้าใจมั้ย” นางเอ่ยเสียงนุ่มกลบเกลื่อนความจริงบางอย่างเอาไว้ ขณะที่ใช้ฝ่ามือลูบจับใบหน้าของฮอรัสอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน และเป็นช่วงเวลานั้นเองที่บางสิ่งที่เธอว่าได้เกิดขึ้น
เสียงฝีเท้าจำนวนหลายคู่ค่อยๆ ดังตึงตังขึ้นมาจากบันไดทางเดินชั้นบนเหนือห้องใต้ดินที่ขุดสร้างขึ้นมาพิเศษลงไปในภูเขา เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับเก็บรักษาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สำคัญหลายอย่างเอาไว้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุดยอดกำลังรบและอาวุธที่พลิกโฉมสงครามจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างมหัศจรรย์ในเวลาไม่กี่ปี อาวุธที่สมบูรณ์แบบที่สุดซึ่งถูกเรียกว่าตุ๊กตาสงคราม และเบื้องหลังการพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์สงครามทั้งหมดนั้นถูกเก็บเอาไว้ที่นี่ ในคุกใต้ดินที่ใช้จองจำธิดากษัตริย์ซึ่งไม่มีใครเอ่ยนามจริง หากแต่เรียกขานกันอย่างเดียจฉันท์ในหลายชื่อ ‘นังแม่มด’ ’ เจ้าหญิงต้องสาป’ หรือกระทั่ง’ นังแพศยานอกรีต’ ด้วยว่าสิ่งที่นางทำในอดีตนั้นเลวร้ายเกินกว่าคนทั่วไปจะให้อภัย แม้นางจะเปลี่ยนแปลงหน้าสงครามนี้ก็ตาม
เสียงย่ำเท้าหยุดลงพร้อมภาพของกลุ่มทหารในชุดเกราะเต็มยศ อาวุธครบมือนับได้ร่วมสิบคนที่ยืนอยู่หน้าตะแกรงเหล็กสองขั้นสำหรับคุมขังป้องกันไม่ให้คนที่อยู่ด้านในออกพบไปเจอโลกภายนอก พร้อมกันนั้นเองที่ร่างกำยำใหญ่ของชายวัยกร้านโลกปรากฏขึ้น มือขวาของเขากุมดาบโลหะ ขณะที่มือซ้ายถือม้วนกระดาษลงตราประทับจากห้าเผ่าพันธุ์
“อาร์มุน...” ใบหน้าหยาบกระด้างแบบนักรบ ไม่แสดงออกซึ่งอารมณ์ใดๆ ระหว่างมองผ่านกรงเหล็กเข้าไปยังร่างของผู้สร้าง เรียกเธอด้วยชื่อจริงที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ยินมันมานานหลายปีแล้ว
อาร์มุนมองตอบเสียงเรียบนั้นด้วยใบหน้านิ่งสนิท ไม่ยิ้ม ไม่บึ้งตึง มีแต่ความว่างเปล่าขณะที่ทั้งสองประสานสายตาซึ่งกันและกัน ยากจะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ กระทั่งหุ่นสงครามที่นั่งอยู่ๆ ใกล้ๆ ก็ไม่อาจคาดเดา
และเป็นตอนนั้นเองที่อาร์มุนลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้ายอดขุนศึกผู้นั้น ห่างกันเพียงกรงเหล็กไม่กี่ศอก
“ราห์...” เสียงนุ่มละมุนถูกส่งออกผ่านริมฝีปากซีดอิดโรยเป็นชื่อของแม่ทัพ ทำเอาอีกฝ่ายหลบสายตามองต่ำถอดถอนใจไม่กล้ามองร่องรอยความเจ็บปวดและอิดโรยบนใบหน้าของนาง
“พวกเจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน” แม่ทัพกล่าวสั่งการกับทหารใกล้ๆ แต่อาจเป็นเพราะมันแผ่วเบาไม่หนักแน่นเหมือนปกติหรืออย่างไรไม่อาจทราบ ทหารที่ยืนรายล้อมอยู่จึงได้แสดงท่าทีขัดขืนลังเลออกมา จนเขาต้องตะโกนออกไปอย่างเกรี้ยวกราด “บอกให้ออกไป!!!”
ทหารที่ติดตามมาได้ยินความโกรธานั้นก็ถึงกับขนลุกสะดุ้งโหยงเพราะความกดดันจากยอดนักรบที่แผ่ออกมาเป็นของจริง บางคนที่ฝึกมาไม่แกร่งพอก็ถึงกับเป็นลมล้มพับ ต้องช่วยกันประคองออกไปด้านนอกตามคำสั่งอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อไม่เหลือใครอื่นอีกนอกจากทั้งสองชายหญิงกับหนึ่งตุ๊กตาสงครามฮอรัส ความเงียบก็พลันเข้าปกคลุมบรรยากาศราวกับทั้งหมดถูกคำสาปให้เป็นใบ้บอดไปพร้อมกัน ก่อนจะเป็นอาร์มุนที่เริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน
“ท่านดูไม่แก่ลงเลย…” นางเอ่ยเสียงเรียบแต่ฟังแล้วรู้ว่ามีความรู้สึกบางอย่างในใจ ขณะมองหน้าอีกฝ่าย
“เจ้าก็ด้วย…” แม่ทัพเอ่ยในลำคอ น้ำเสียงไม่แข็งขันเหมือนปกติที่ใช้กับทหารใต้บังคับบัญชา ก่อนจะเหลือบไปเห็นโซ่ตรวนที่ข้อเท้าของอาร์มุน ซึ่งไม่ใช่แค่ล้อมล็อกหากแต่เจาะทะลุ ร้อยเข้าไปหลังเส้นเอ็นไม่ต่างจากตรวนทาส “ตรวนนั่นเจ็บรึเปล่า”
“เจ็บสิ.. เจ็บมาก แต่ชินแล้วล่ะ ท่านไม่ต้องห่วง” อาร์มุนเอ่ยตอบพร้อมกับรอยยิ้มดูขัดแย้งแปลกประหลาด ก่อนที่นางจะถามกลับ “ท่านล่ะเจ็บมั้ย ตรวนที่พวกเขาผูกท่านไว้... ตรวนในมือนั่น”
แม้ทัพไม่ตอบแต่กัดฟันแน่นเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงสารคำสั่งในมือของเขา แม้จะผ่านมาหลายปีที่ทั้งสองไม่เคยได้คุยกันซึ่งหน้าเช่นนี้ แต่อาร์มุนก็ยังคงอ่านใจเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งเสมอ นางรู้ว่าเขากำลังเจ็บปวด
“ทำไม.. ทำไมต้องให้มันจบแบบนี้... ทำไม!!!” แม้ทัพใหญ่เอ่ยในลำคอแผ่วเบา แล้วกระแทกเสียงลั่น ใช้ท่อนแขนทุบกรงเหล็กอย่างแรงด้วยอารมณ์ที่หลากหลายจนมันบิดงอผิดรูป
พลันร่างทรงพลังแข็งแกร่งของชายซึ่งถูกขนาดนามว่าเป็นยอดขุนศึกก็พับลงคุกเข่าลงกับพื้น ก้มศีรษะตรงนั้นต่อหน้านางแม่มดอาร์มุน โดยไม่มีใครเห็นฟันที่ขบแน่นและดวงตาที่ปิดลงไม่ให้มีน้ำหยดออกมา “ทำไม ทำไมต้องทำแบบนี้... ทำไมถึงไม่ยอมพูดความจริงว่าเจ้าไม่ได้ฆ่าลูกเรา...”
อาร์มุนและฮอรัสมองภาพของยอดนักรบที่บัดนี้ทำไม่ได้แม้แต่จะเก็บกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ได้แต่นั่งคุกเข่าใช้มือต่อยพื้นหินจนแหลกละเอียดอยู่อีกฟากของกรงเหล็กที่ขวางกั้นพวกเขาเอาไว้จากกัน
ในห้วงแห่งมวลอารมณ์นั้นเองที่อาร์มุนพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนกรงโลหะสองชั้นที่ขวางกั้นจะค่อยๆ สลายกลายเป็นเม็ดทรายร่วงหล่นลงไปบนพื้นเพียงแค่นางวาดมือผ่าน
ไม่เว้นแม้แต่ตรวนผูกมัดที่บัดนี้เปลี่ยนจากโซ่เหล็กกลายเป็นฝุ่นผงกระจัดกระจายไปทั่ว บ่งบอกอำนาจเวทมนตร์อันเหนือล้ำและเป็นการตอกย้ำว่าตลอดมานางสามารถเดินออกจากคุกใต้ดินแห่งนี้ได้ทุกเวลาหากนางต้องการ แต่นางไม่ทำ
“แม่ที่ปล่อยให้ลูกตัวเองตาย มันก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าลูกด้วยมือตัวเอง... ฉันให้กำเนิดเขาขึ้นมาให้ตาย โทษที่ฉันได้รับมันสมควรแล้วล่ะ…” อาร์มุนนั่งลงต่อหน้าแม้ทัพใหญ่พร้อมกับใช้มือลูบศีรษะของเขาอย่างออนโยน ขณะค่อยๆ หยิบสารคำสั่งประหารออกจากมือ
นางค่อยๆ ใช้มือเชยคางของแม่ทัพขึ้นให้เห็นใบหน้าที่ตอนนี้มีน้ำหนึ่งหยดเล็ดลอดออกมาจากดวงตา เพียงหยดเดียวแต่เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ความเจ็บปวดของบุรุษผู้มีหัวใจแกร่งกว่าหินศิลา
“แต่คราวนี้มันต่างออกไปแล้วยอดรัก พวกเราไม่จำเป็นต้องรอให้ชะตามากำหนดว่ามันจะพรากชีวิตลูกของเราไปเมื่อไหร่… พวกเราช่วยเขาได้ พวกเรากำหนดมันเองได้” อาร์มุนเอ่ยขณะมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย
“เจ้าพูดเรื่องอะไร… อาร์มุน เจ้าทำอะไร” แม่ทัพขมวดปมคิ้วเอ่ยคำถามออกไปทันทีเมื่อได้ฟังสิ่งที่อาร์มุนพูด ทว่าไม่มีคำตอบออกมาเป็นคำพูด เมื่ออาร์มุนจุมพิตลงไปบนริมฝีปากแตกระแหงของเขาแทนคำตอบย้อนคืนวันเวลาในอดีตที่ทั้งสองเคยอยู่ด้วยกัน
ภาพที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นสะท้อนผ่านอัญมณีสีนิลในดวงตาของหุ่นสงครามตนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในห้อง ฮอรัสจับจ้องไปยังคู่รักที่ยังจูบกันอยู่ด้วยใบหน้านิ่งเรียบสนิทไม่แสดงมวลอารมณ์ใดๆ ถึงแม้ว่าภายในนั้นจะกำลังเริ่มประมวลหาคำตอบของสิ่งที่ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
“ลูกของพวกท่าน?” เขาส่งเสียงขัดจังหวะขึ้นมาเบาๆ เป็นการตั้งคำถามถึงสิ่งที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าควรจดจำเป็นข้อมูลหรือไม่ พร้อมกับแสดงท่าทีเอียงคอสงสัยเป็นภาษากาย ก่อนอาร์มุนจะถอนจูบจากแม่ทัพแล้วยืนขึ้นหันไปยิ้มละมุนให้กับเขา
“เขามีชื่อว่าฮอรัสจ้ะ... ลูกแม่” มหามารดาแห่งปฐมเวทเอ่ย พร้อมกับรอยยิ้มซึ่งติดตรึงวนเวียนอยู่ในความทรงจำของตุ๊กตาสงครามตนนี้ไปชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าจะผ่านไปอีกสักร้อยหรือพันปีต่อให้เธอไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ฮอรัสก็จะยังจดจำมันได้เสมอ...
ภาพในอดีตเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในกระบวนการคิดของหุ่นสงครามซ้ำไปซ้ำมา ทุกคำพูดทุกรายละเอียดยังคงชัดเจนแม้มันจะผ่านกาลเวลามาแล้วเป็นพันปี
ทั้งหมดต้องขอบคุณผลึกแห่งความเป็นจริงที่ถูกนำมาใช้ร่วมกับมหามนต์มิติเวลาแห่งมหาจอมเวทซึ่งกำลังยืนกอดอกมองภาพฉายเหตุการณ์ดังกล่าวในห้องขังพิเศษสร้างจากหินเป็นกำแพงหนาสองศอก อยู่ลึกลงมาใต้ดินสองชั้น ถือเป็นห้องขังที่แน่นหนาที่สุดแล้วเท่าที่สมาคมนักผจญภัยแห่งเทรียลจะสามารถจัดหาให้ตามคำสั่งขององค์ราชินีได้
ไม่มีใครรู้ว่ามันจะแข็งแรงพอสำหรับหุ่นสงครามที่สามารถหักกระดูกปีศาจแห่งเทมได้ด้วยมือเดียวหรือไม่ แต่มหาเวทที่แยกห้องขังนี้ออกจากความเป็นจริงไปยังมิติแห่งกาลเวลาก็เชื่อถือได้แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อคนที่ร่ายมันขึ้นคือจอมเวทผู้ถือครองหนึ่งในสามโทเทมที่ทรงพลังที่สุดในโลกเวทมนต์ คทาเอเลเมนโต้
"ท่านทำได้ยังไงอาร์มุน... ท่านสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขนาดนี้ขึ้นมาได้ยังไง" องค์ราชินีเอ่ยกับตัวเองเบาๆ ด้วยสายตากระหายใคร่รู้ขณะเหลือบมองโครงร่างของฮอรัสซึ่งบัดนี้ถูกยึดตรึงอยู่บนพื้นด้่วยท่ากางเขน กางแขนกางขา ถูกจับแยกชิ้นส่วนออกจากกัน
กระนั้นหัวใจไม้ยังคงเต้นและเชื่อมต่อวิญญาณรับรู้ไปตามเส้นอาเคนกลายเป็นภาพชวนสยอง ขณะเดียวกันก็บ่งบอกว่าถ้าหากหุ่นสงครามตนนั้นมีชีวิตจริง มันก็คงยังไม่ตาย เพียงแค่โดนสับแยกชิ้นทั้งเป็นแบบนั้นเพื่อศึกษาการทำงานของร่างกาย ไม่ต่างอะไรกับการศึกษากายวิภาคของสัตว์