บทที่ 17 เรื่องของอดีต [1]
บทที่ 17 เรื่องของอดีต [1]
ทิวทัศน์ริมหน้าต่างของห้องที่ใหญ่โตดูเหมือนจะกลายเป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับสไปค์มากที่สุด เขาใช้เวลาอยู่ในห้องนี้ และฝังตัวอยู่กับพิกัดริมหน้าต่างชนิดที่ถ้าไม่ใช่เวลาฝึกฝนหรือพักผ่อน เขาจะไม่ยอมออกไปไหน
มีลาร์เดินเข้ามาในห้องทีไรจะต้องพบกับเขาในสภาพนี้อยู่เสมอ แววตาล่องลอยจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่ไกลแสนไกล ตลอดเวลาสามสัปดาห์ที่ผ่านมาจะต้องเห็นภาพแบบนี้อยู่ทุกวี่วัน
“ตราบที่เจ้ายังฝึกฝนไม่สำเร็จ ข้าก็คงปล่อยเจ้าออกไปไหนไม่ได้ รู้ใช่ไหม” มีลาร์กล่าวเสียงเรียบแต่กลับแฝงความเย็นชาเอาไว้ภายในคำพูดนั้น
“ข้าไม่ได้คิดถึงใครจนนึกอยากจะออกไปสักหน่อย” สไปค์ตอบกลับทั้งที่ยังจ้องมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอยู่
“งั้นทำไมถึงได้ชอบมองออกไปนอกหน้าต่างนั่นนัก มันมีอะไรดีนักหนา”
คำถามนี้เหมือนจะเป็นอะไรที่ยาก สไปค์ไม่ได้ตอบกลับในทันที เขานิ่งเงียบไปเหมือนกับต้องการเรียบเรียงคำพูดบางประโยคที่มีน้ำหนักมากพอจะทำให้เขากลายเป็นแบบนี้ได้ มีลาร์เริ่มสังเกตเห็นความไม่ปกติของเจ้าตัวฝ่ายตรงข้าม เขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกายลูกศิษย์ก่อนจะสังเกตเห็นแววตาที่ฉายแววความเศร้าออกมาเรื่อย ๆ
“ในบางเวลาที่เห็นท้องฟ้า ข้ามักจะนึกถึงเพื่อนของข้าคนหนึ่ง” น้ำเสียงของสไปค์แผ่วเบาราวกับกำลังข่มกลั้นความรู้สึกบางอย่างไม่ให้เล็ดลอดออกมา “มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว แต่ความผิดบาปยังตามติดอยู่ในใจข้า ไม่อาจลบเลือนได้”
“เพื่อให้การฝึกฝนของเจ้าเป็นไปอย่างราบรื่นสมบูรณ์” มีลาร์พูดขึ้น “ช่วยเล่าเหตุการณ์นั้นให้ข้าฟัง”
สไปค์หันไปจ้องที่ท้องฟ้าด้านนอกบานหน้าต่างอีกครั้ง เขานิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมา...
เจ็ดปีก่อน
ช่วงเวลายามสี่ของหมู่บ้านวาตะนั้นถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกและความหนาว ในช่วงใกล้เช้านี้จะมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 8-10 องศา ทำให้ไม่ค่อยจะมีคนในหมู่บ้านคนไหนนึกอยากออกมาจากที่นอนนัก เพราะงานที่พวกเขาทำก็ไม่จำเป็นว่าต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อมาทำด้วย
แต่ไม่ใช่กับคน ๆ หนึ่งที่ตื่นแต่เช้าทุกวันเพื่อมุ่งหน้าไปทำบางสิ่งบางอย่าง เขาเดินออกจากบ้านตั้งแต่ก่อนตีสี่เพื่อตรงไปยังสนามฝึกฝนประจำหมู่บ้าน ก่อนจะเริ่มลงมือฝึกพลังปราณอยู่ทุกวัน ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้แม้จะหนาวเหน็บเพียงใด เมื่อเปล่งรังสีปราณออกมา ร่างกายก็อบอุ่นขึ้นตาเห็น
ตั้งแต่วันที่มารสามตนบุกเข้ามารุกรานหมู่บ้าน กาลเวลาก็ผ่านเลยมาถึงสามเดือนแล้ว หมู่บ้านซ่อมแซมจนกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม ส่วนตัวสไปค์เองก็ฝึกฝนตัวเองอย่างหนักทุกวัน เขาตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่ง ล้างหน้าเปลี่ยนชุดและออกมาฝึกฝนที่สนามฝึกฝนจนถึงเช้าแล้วค่อยกลับไปที่บ้านเพื่อทำกิจกรรมอย่างอื่นต่อ
ระหว่างสามเดือนที่ผ่านมาไม่เพียงแค่ฝึกฝนอย่างหนักเท่านั้น เขายังเดินเข้าห้องสมุดของหมู่บ้านวาตะทั้งที่ไม่เคยคิดอยากเข้ามาก่อน สมุดหนังสือของที่นี่ไม่ได้มีเยอะมากมายเพราะเป็นเพียงห้องสมุดของหมู่บ้านธรรมดา ๆ เท่านั้น แน่นอนว่าสไปค์ไม่ใช่คนที่รักในการอ่านหนังสือ ที่เขาเข้ามาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะรู้ให้ได้
เรื่องของ ‘มาร’
เป็นอย่างที่คิด มีบางเล่มที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับมารซึ่งเป็นความรู้เบื้องต้นอยู่ด้วย สไปค์ตั้งใจศึกษาเรื่องราวของมารจนกระทั่งรับรู้ว่าในหมู่มารทั้งหมดนั้นมีการแบ่งแยกระดับกันอยู่ไม่น้อย
มารระดับต่ำจะมีลักษณะรูปกายที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนสัตว์ประหลาดที่ไม่ระบุประเภท พวกมันไม่มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง การกระทำทุกอย่างของมันจะเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณเท่านั้น และดูเหมือนว่าจะมีฐานะไม่ต่างไปจากสัตว์เลี้ยงของมารระดับที่สูงกว่าอีกที โดยชื่อเรียกของมารระดับต่ำจะมีชื่อว่าไมนาร์
มารระดับกลางจะมีความแตกต่างจากมารระดับต่ำทุกอย่างไม่ว่าจะรูปกายและพลังต่อสู้ พวกมันที่ถูกจัดอยู่ในระดับกลางจะได้รับสามัญสำนึกในการดำรงชีพ ความฉลาดมีมากขึ้นเมื่อเทียบกับระดับต่ำที่เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณตนเท่านั้น รูปกายของมารระดับกลางจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็เล็ก บ้างก็ใหญ่ แต่ทุก ๆ ตนจะสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ แต่ไม่อาจคงร่างมนุษย์ได้ถาวร พวกมันจำเป็นจะต้องพักฟื้นพลังในร่างปิศาจอยู่เสมอ มารระดับนี้จะถูกเรียกว่าไมนาร์รัน
มารระดับสูงนั้นถือว่าเป็นระดับขั้นที่สูงที่สุดในหมู่มารด้วยกัน พวกมันมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามารระดับกลาง และมีพลังในการคงรูปลักษณ์แบบมนุษย์ได้นานตราบเท่าที่ตนอยากทำ พวกมันมีมันสมองที่ฉลาดล้ำไม่ต่างไปจากมนุษย์เลย โดยปกติแล้วมารระดับสูงจะไม่ค่อยปรากฏตัวให้ใครเห็น เพราะพวกมันมักถือตนเองสูงส่งเกินกว่าจะยอมเหยียบย่ำลงมาบนแผ่นดินเดียวกับมวลมนุษย์ พวกมารระดับนี้จะถูกเรียกว่ามานาร์รัส
และในหมู่มารระดับสูงก็ยังมีระดับที่แตกแขนงออกไปอีกเป็นกลุ่ม ๆ แต่ระดับที่สูงที่สุดจะมีเพียงหนึ่งเดียวคือระดับของผู้ปกครอง ซึ่งมนุษย์จะรู้จักกันในนามของราชันย์มารผู้มีนามเรียกขานว่าอัชลี่ย์
นี่คือเรื่องราวของมารที่มีการบันทึกไว้ในหนังสือตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษเมื่อพันกว่าปีก่อน
มารสามตนที่เคยบุกหมู่บ้านเมื่อสามเดือนที่แล้วจะต้องเป็นมารที่มีระดับชนชั้นไม่ต่ำไปกว่าระดับกลางแน่ สไปค์เชื่อเช่นนั้น แต่ข้อสงสัยก็ยังมีอยู่อีกหนึ่งนั่นก็คือบทสนทนาที่พวกมันคุยกับเธอคนนั้นราวกับรู้จักกันมาก่อน
ชื่อของเธอ...ฟลอร์เลน? มันเป็นชื่อที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาในห้วงสำนึกลึก ๆ แต่เขายังไม่อาจฟันธงได้ว่าเป็นชื่อของเธอหรือไม่ เพราะในตอนนั้นเขาไม่ได้สติ พอได้สติก็มีเวลาอยู่กับเธอไม่นานแล้วเธอก็จากไปอย่างง่าย ๆ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาสไปค์จึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแน่วแน่ว่าจะฝึกฝนและพัฒนาตนให้เก่งกาจ เขารู้สึกว่าตัวตนของเขากับเด็กสาวคนนั้นช่างห่างไกลกันอย่างบอกไม่ถูก
“ย่า!” หลังจากพ้นช่วงเวลาฝึกปราณด้วยตัวเอง สไปค์ก็เริ่มฝึกฝนท่าพื้นฐานอีกครั้ง เริ่มจากปล่อยหมัด ออกแรงเตะ ทำซ้ำไปซ้ำมาไม่ต่ำกว่าร้อยกว่าพันครั้ง จนกว่าร่างกายจะคุ้นชินและจดจำกับสิ่งเหล่านี้ได้ บางวันเขาฝึกจนเลือดตกยางออกและสลบล้มลงไปโดยที่ไม่มีใครมาเหลียวแล
“เจ้าอีกแล้วเรอะ” มีเสียงดังเล็ดลอดเข้ามา เจ้าของเสียงคือเด็กหนุ่มร่างใหญ่กว่าเขา แววตาไม่เป็นมิตรเผยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ข้างกายเขาคนนั้นมีกลุ่มเด็กชายหญิงรวมทั้งหมดหกคนเดินเข้ามาพร้อมเพรียงกัน เมื่อสไปค์มองเห็นคนกลุ่มนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมาแล้ว เป็นเวลาตื่นนอนของชาววาตะแล้ว แต่ก็ไม่คาดฝันว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันกลุ่มนี้จะตื่นเช้ามารวมตัวกันเร็วขนาดนี้เหมือนกัน
ความจริงคือกาเรนผู้เป็นหัวโจกเด็กรุ่นเดียวกันได้ลงมติให้กลุ่มแก๊งของตนตื่นให้เช้าที่สุดเพื่อมาฝึกฝนวิชาต่อสู้ที่นี่ เพราะไม่อาจทนเห็นสไปค์ซึ่งเป็นเด็กนอกคอกของหมู่บ้านต้องมีฝีมือรุดหน้าไปไกลยิ่งกว่า แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ในความคิดของเขาก็ตามที
“ดูนั่นสิ โทบี้ เจ้าสไปค์มันออกท่าสะเปะสะปะขนาดนั้น ยังกล้าเรียกว่าเป็นวิชาต่อสู้ได้อีก”
“นั่นสิ จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นคนไล่มารออกไปจากหมู่บ้านเราได้ คงมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ ๆ”
“เฮอะ เจ้าเชื่อ? ข้าไม่เชื่อหรอก พวกมารมันปอดแหกกันเองมากกว่า”
เด็กสองคนถกเถียงกันสนุกสนาน คุยกันอย่างออกรสชาติ แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้สไปค์ล้วนได้ยินทุกถ้อยคำ แต่เขากลับทำเหมือนไม่ได้ยิน นั่นยิ่งทำให้กาเรนโมโหมากขึ้นไปอีก
เจ้าเป็นใครถึงได้บังอาจไม่สนใจข้าคนนี้!
เด็กหนุ่มหัวโจกวิ่งตรงไปพร้อมกับเงื้อหมัดขวา เกร็งกล้ามเนื้อแน่นขนัดและปล่อยออกไปสุดแรง สไปค์ซึ่งกำลังฝึกฝนท่าร่างพื้นฐานอยู่หันสายตากลับมาทันควัน เขาสอดแขนเข้าไปยังจุดอับของกาเรนก่อนจะใช้แรงพลิกร่างของเพื่อนร่วมรุ่นที่ตัวใหญ่กว่าตน ร่างของกาเรนหมุนควงกลางอากาศก่อนจะตกลงกระแทกพื้นเสียงดังตึง!
“กาเรน!”
“อูย...แก บังอาจนัก”
แน่นอนว่าการกระแทกเข้ากับพื้นอย่างจังไม่ว่าเป็นใครก็ต้องเจ็บตัวกันทั้งนั้น ยิ่งถ้าอยู่ในท่าที่ไม่ได้เตรียมพร้อมแล้วล่ะก็ คงไม่ต้องพูดถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ
สไปค์มองดูมือทั้งสองของตนพลางทำสีหน้าประหลาดใจ แต่ไม่นานนักกลุ่มเด็กทั้งหมดก็กรูกันเข้ามาโดยมีเป้าหมายคือตัวเขา
ย...แย่ล่ะสิ
แม้ในใจจะคิดไปอย่างนั้น แต่ร่างกายของสไปค์กลับขยับเคลื่อนไหวไปเองโดยอัตโนมัติ เขาใช้กระบวนท่าแปลกประหลาดบางอย่างจัดการกับเด็กเกเรทุกคนจนล้มลงกองกับพื้นเป็นว่าเล่น เหลือเพียงคนเดียวที่อยู่ห่างออกไป
“อาเทียร์” สไปค์เอ่ยชื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นออกมาเมื่อมองเห็นตัวเธอที่อยู่ห่างออกไป
อาเทียร์เป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวที่ไม่เคยมีท่าทีรังเกียจและแบ่งแยกสไปค์ เธอปฏิบัติตัวอย่างดีกับทุกคน เรียบร้อย และอ่อนโยน เป็นเหมือนกับเชือกที่คอยมัดทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน สไปค์ไม่เคยนึกรังเกียจอาเทียร์เหมือนกับที่แสดงออกกับพวกกาเรน เขามองเธอเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งจริง ๆ แม้ว่าในแต่ละวันจะไม่ค่อยได้คุยกันเลยก็ตาม
สีหน้าของอาเทียร์ดูอึ้งทึ่งมากกว่าหวาดกลัว เธอไม่เคยเห็นสไปค์ต่อสู้จริงจังมาก่อน และไม่เคยคิดว่าเขาจะเก่งกาจถึงขั้นทำให้กลุ่มกาเรนทุกคนต้องล้มหมอนนอนเสื่อแบบนี้
“ฝากที่เหลือด้วย” สไปค์เอ่ยออกมา ก่อนจะเดินจากไป คำพูดของเขามีความหมายว่าให้อาเทียร์ช่วยดูแลพวกกาเรนที่ยังลุกไม่ขึ้นนั่นด้วย แน่นอนว่าต่อให้ไม่บอกแบบนี้อาเทียร์ก็ตั้งใจจะเข้าไปช่วยเหลือพวกกาเรนอยู่แล้ว
“เจ้าจะไปไหนสไปค์ หลังจากนี้คิดจะทำอะไรต่อ”
“ข้าอยากนอนพักสักงีบ” คำถามของอาเทียร์ถูกตอบกลับในทันที สไปค์เดินจากไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง
หลังจากที่ปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ในช่วงสายสไปค์ก็กลับมาที่ลานฝึกฝนอีกครั้ง คราวนี้เด็กทุกคนในหมู่บ้านต่างพร้อมใจกันมาฝึกฝนที่นี่ตามเวลาที่กำหนดไว้โดยครูฝึก สไปค์เดินเข้าไปประจำที่ของตนก่อนจะเริ่มยืดเส้นยืดสาย แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบื้องหน้า พอเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นกาเรนที่มีสีหน้าเกลียดชังราวกับยักษ์มาร
“ไม่รีบกลับเข้าที่เดี๋ยวได้โดนครูฝึกทำโทษหรอก” สไปค์พูดขึ้น กาเรนสบถพ่นลมหายใจออกมา
“วันนี้ครูฝึกออกไปทำภารกิจนอกหมู่บ้าน เขาฝากให้พวกเราฝึกฝนกันเอาเอง” กาเรนตอบกลับทันที “ข้ามาคิดบัญชีกับเจ้า”
“เจ้าไม่เบื่อบ้างหรือไงที่ต้องมาคอยหาเรื่องข้าตลอดเวลา”
“มันไม่เกี่ยวกับความเบื่อ แต่ข้าไม่ชอบใจที่เห็นเจ้าลอยหน้าลอยตาทำเหมือนกับว่าข้าเป็นฝุ่นผง ทั้งที่เจ้าเป็นแค่ไอ้เด็กนอกคอก!” กาเรนเปล่งเสียงดังตวาดใส่สไปค์ คำพูดของกาเรนหนักหน่วงเสียดแทงเข้าไปในใจ แม้กระทั่งคนในกลุ่มเด็กเกเรด้วยกันยังสะดุ้งเบา ๆ
อาเทียร์รีบเดินเข้ามา เธอยืนอยู่เบื้องหน้ากาเรนก่อนจะฟาดมือเล็ก ๆ ตบเข้าไปที่แก้มจนเกิดเสียงดังเพี้ยะ
“เขาฝึกฝนทุกวันจนล้มเจ้าได้ เขามีปราณจากที่ไม่เคยมี แล้วอะไรที่มันยังนอกคอกสำหรับเจ้าอีก?”
“อะไรของเจ้า...คิดจะเข้าข้างมันหรือไงอาเทียร์” กาเรนถลึงตามองใส่อาเทียร์ แต่แววตาของเขาในยามนี้ไม่ได้น่ากลัวสำหรับเธออีกต่อไปแล้ว
“เจ้าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้นำพวกเราในอนาคต” อาเทียร์ถลึงตากลับ แววตาของเธอหนักแน่นเสียจนกาเรนรู้สึกใจสั่นขึ้นมา
คนที่เป็นถึงชายชาตรี มีร่างกายกำยำแข็งแกร่งอย่างเขา เมื่อถูกสตรีถลึงตาจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเช่นนี้ย่อมไม่สามารถยอมได้ กาเรนเงื้อหมัดขึ้นตั้งใจจะต่อยอาเทียร์เพื่อต้องการสั่งสอนให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก่อนที่หมัดจะถูกแรงเหวี่ยงออกไป เหล่าเด็กคนอื่น ๆ ต่างก็วิ่งเข้ามากอดร่างกาเรนเอาไว้และรั้งไม่ให้กาเรนปล่อยหมัดนั้น
“กาเรน! เจ้าจะทำเลยเถิดเกินไปแล้ว นั่นอาเทียร์นะ ตั้งสติก่อน!”
“หุบปาก ใครใช้ให้พวกเจ้ามาสั่งข้า! ปล่อยนะ!”
ท่ามกลางการยื้อยุดของเด็กเกเรกลุ่มนี้ อาเทียร์หันกลับมามองทางสไปค์ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่ฝ่ามือของเขา เด็กสาวเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา “ไปกันเถอะ” ก่อนที่จะดึงร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลออกไป ทิ้งให้สนามฝึกฝนวุ่นวายไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้งของเด็กเกเรที่ไม่มีความสามัคคีกัน
อาเทียร์จูงมือสไปค์เดินออกมาถึงในป่าบนหุบเขา เธอพาเขามาโดยไม่พูดไม่จาอะไร ก่อนจะเดินมาถึงบริเวณแม่น้ำภายในป่าที่พวกเด็ก ๆ มักจะเข้ามาเล่นที่นี่กันเป็นประจำ อาเทียร์ปล่อยมือเขาก่อนจะลงไปนั่งริมฝั่งแม่น้ำ และใช้สายตาจ้องมาทางสไปค์ที่ยังคงตีหน้างงเหมือนนึกคำพูดไม่ออก
“มาตรงนี้สิ”
“เจ้าทำแบบนี้ทำไม” สไปค์ถามด้วยความประหลาดใจ
“แบบนี้ของเจ้าคือแบบไหน?”
“แบบที่เจ้าทำกับกาเรน เจ้าไม่กลัวว่าจะเป็นเหมือนข้า?”
“เหมือนเจ้าคือการถูกทอดทิ้งให้อยู่นอกกลุ่ม ต้องเล่นอะไรเองคนเดียวแบบนั้นใช่ไหม?”
“ก็รู้นี่ แล้วทำไมยังทำแบบนั้นอีก”
อาเทียร์หันหน้ากลับไปมองบนผิวน้ำ ระลอกคลื่นเป็นวงที่เกิดจากแรงกระเพื่อมของปลายนิ้วเท้าที่หย่อนลงไป มอบความรู้สึกเลื่อนลอยอย่างแปลกประหลาดให้กับตัวเธอในตอนนี้
“กาเรนแท้จริงแล้วไม่ใช่คนแบบนี้...แต่เพราะมีเจ้าอยู่ เขาถึงได้กลายเป็นคนเผด็จการ” อาเทียร์กล่าวออกมาในระหว่างที่สายตายังคงโฟกัสอยู่ที่จุดเดิม “เขาถูกปลูกฝังมาเพื่อให้กลายเป็นผู้นำ กลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง กลายเป็นคนที่ทุกคนจะต้องเชื่อฟัง แต่เมื่อมาเจอกับเจ้า...เจ้าซึ่งไม่มีท่าทีแยแสในตัวเขา มองข้ามเขา ราวกับไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา สิ่งนี้มอบความรู้สึกไม่สบอารมณ์ให้กับกาเรนมาโดยตลอด”
“ก็ชอบมาหาเรื่องข้า ทำไมข้าจะต้องไปสนใจด้วยล่ะ” สไปค์สบถอย่างไม่สบอารมณ์ต่อเรื่องนี้
“จริงอยู่ว่าเรื่องนี้กาเรนเองก็ผิด ไม่สิ ไม่เพียงแค่กาเรน คนที่ผิดคือพวกเราที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเจ้าทั้งหมดที่เคยปฏิบัติไม่ดีกับเจ้านั่นแหละ” อาเทียร์ยิ้มแห้งในขณะที่พูด ความรู้สึกผิดฉายออกมาจากใบหน้าที่อ่อนเยาว์
ดวงตาที่เคยสดใสบัดนี้กลับฉายแววความเศร้าอยู่เด่นชัด
อยู่ ๆ มาพูดเรื่องแบบนี้ เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรต้องตอบอะไรกลับไป ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศจนชวนให้รู้สึกอึดอัด เมื่อมองดูแล้วเหมือนว่าอาเทียร์ยังสงวนท่าทีบางอย่างอยู่ เธออาจมีเรื่องให้พูดต่อแต่ก็ยังนิ่งเงียบราวกับคิดว่าไม่พูดเสียยังจะดีกว่า สไปค์ถอนหายใจพลางจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์
บรรยากาศแบบนี้มีอยู่ทุกวัน แต่น่าแปลกที่เขาพึ่งจะได้สัมผัสมันอย่างจริงจังในรอบสามเดือน
แต่แล้วฉับพลันนั้นเอง บนท้องฟ้าที่เขามองอยู่นั้นปรากฏเงาร่างสีดำทาบทับลงมา เด็กหนุ่มเบิกตาโตก่อนจะกระโดดหลบออกข้างด้วยความแตกตื่นตกใจ เสียงดังเกิดขึ้นจากการร่วงหล่นของร่างเงาสีดำร่างนั้น อาเทียร์หันขวับกลับมาก่อนจะพบกับภาพที่ชวนให้รู้สึกหวาดกลัว
ร่างที่ใหญ่โตกว่าสามถึงสี่เมตรยืนผงาดอยู่ระหว่างกลางของเด็กทั้งสองคน ลำคอของมันสั่นเครือส่งเสียงขู่คำรามออกมาเบา ๆ ดวงตาสีแดงฉาน ทั่วทั้งร่างปกคลุมไว้ด้วยขนสีน้ำตาล เขี้ยวในปากคลอบคลุมไปด้วยน้ำลายเหนียว ๆ ชวนให้รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ สิ่งมีชีวิตนี้คือหมาป่า...เป็นหมาป่าที่ยืนด้วยสองขา
“ว...แวร์วูล์ฟ?” สไปค์ส่งเสียงออกมาเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตตรงหน้าตน มันมีลักษณะเหมือนกับแวร์วูล์ฟ แต่สิ่งที่ชวนให้รู้สึกแปลกใจคือทำไมแวร์วูล์ฟถึงได้ปรากฏตัวออกมาในเวลากลางวันแบบนี้ได้?
มนุษย์หมาป่าร่างยักษ์พุ่งกระโจนเข้าหาร่างของอาเทียร์ที่ไร้ซึ่งการป้องกัน มันใช้อุ้งมือคว้าหมับเข้าที่เอวเล็ก ๆ ก่อนจะเหวี่ยงขึ้นมาพาดไว้บนบ่า และทะยานฝีเท้าหายเข้าไปในป่าลึก สไปค์ส่งเสียงตวาดไล่หลังก่อนจะวิ่งเต็มฝีเท้าตามมาอย่างสุดกำลัง เจ้าหมาบ้านั่นถึงกับจับตัวอาเทียร์ไปต่อหน้าต่อตา!
หากอาเทียร์เป็นอะไรไปเพราะพาเขามาที่นี่...เขาคงจะไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต!
เขาใช้ทุกสิ่งที่มีติดตามเงาร่างที่อยู่ไกลลิบนั่นไป โดยไม่สนใจว่าจะมีอุปสรรคใดมาขวาง แม้ว่าจะต้องพบเจอกับฝูงหมาป่าก็ไม่กลัว เพราะเขาในตอนนี้ไม่ใช่เขาคนเดิมเมื่อสามเดือนก่อนอีกแล้ว!
ความเร็วของทั้งคู่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กว่าที่สไปค์จะตามมาทันก็ต้องพบว่าแวร์วูล์ฟตนนั้นได้หายไปจากระบบสายตาเสียแล้ว แต่ทว่าเบื้องหน้าของเด็กหนุ่มกลับมีทางเข้าของถ้ำปรากฏให้เห็น เดิมทีเขาไม่เคยเข้ามาในป่าลึกถึงขนาดนี้จึงไม่รู้ว่ามีถ้ำอยู่ในที่แบบนี้ด้วย
ลางสังหรณ์บอกเขาว่าแวร์วูล์ฟตนนั้นพาตัวอาเทียร์เข้าไปข้างในถ้ำแห่งนี้
เขาก้าวเข้าไปในถ้ำอย่างไม่ลังเล ในใจหวังเพียงช่วยเหลืออาเทียร์ออกมา แต่พอก้าวเข้ามาในถ้ำเพียงก้าวเดียว กลับมีเสียงหวีดแหลมดังขึ้นเต็มแก้วหู เด็กหนุ่มเอามือจับศีรษะตนและเหวี่ยงสะบัดไปมาเพื่อหวังจะไล่เสียงที่น่ารำคาญนี้ให้หายไป
บรู๋ววว
มีเสียงหอนของหมาป่าดังขึ้นจากภายในถ้ำ สไปค์พยายามตั้งสติก่อนจะเร่งพลังปราณสีม่วงเข้มออกมาครอบคลุมร่างกายเอาไว้ เสียงที่รบกวนแก้วหูบัดนี้กลับเลือนหายไป เขาดันร่างตัวเองไปข้างหน้าด้วยขาทั้งสอง ไม่รู้ทำไมยิ่งก้าวกลับยิ่งรู้สึกถึงความหนักอึ้งราวกับที่นี่มีแรงโน้มถ่วงหนักหนากดลงมาตลอดเวลา
พอเข้ามาลึกขึ้นเรื่อย ๆ แสงอาทิตย์ก็เริ่มส่องเข้ามาไม่ถึง สิ่งที่สไปค์มองเห็นมีเพียงความมืดมิดเท่านั้น แต่ในความมืดมิดกลับมีแสงสว่างส่องอยู่ลิบลิ่ว เขาเชื่อว่านั่นคือทางออกจากความมืด ไม่รอช้า เขารีบเร่งความเร็วเพื่อจะไปให้ถึงที่นั่น จนในที่สุดก็ทะลุแสงสว่างตรงนั้นออกมา
เพื่อมาพบกับอะไรบางอย่างที่น่าหวาดกลัวเป็นที่สุด...
พอออกจากความมืดมาได้ เขาก็พบว่าตนยืนอยู่ในจุดที่เป็นเนินสูงขึ้นมา และพอมองลงไปยังเบื้องล่างก็ต้องพบกับฝูงแวร์วูลฟ์ขนสีน้ำตาลซึ่งกำลังกระโดดโลดเต้นร่ายรำไปมาท่ามกลางกองเพลิงที่ก่อขึ้นตรงจุดศูนย์กลาง มันดูราวกับเป็นพิธีกรรมบางอย่างที่พวกมันกำลังให้ความสำคัญ
กองเพลิงตรงจุดศูนย์กลางมีทั้งหมดห้ากอง และในจุดกึ่งกลางระหว่างกองเพลิงทั้งห้า มีร่างของอาเทียร์นอนสลบไม่ได้สติอยู่ในนั้น
“อาเทียร์!”
เด็กหนุ่มวัยสิบขวบไม่อาจหยุดยั้งเสียงร้องของตนได้ เขาเผลอตะโกนออกไปเมื่อเห็นเพื่อนสาวกำลังตกอยู่ในอันตราย และโชคร้ายที่เสียงของเขาดังพอจะทำให้ฝูงแวร์วูล์ฟทั้งหมดได้ยิน
“ซวย...แล้วไง”
พอได้สติคิดขึ้นได้ก็รู้ว่าต่อให้หันหลังหนีตอนนี้ก็คงจะสายเกินไปแล้ว...