ตอนที่ 7: ภารกิจส่งไข่แมงป่องทะเลทราย (II)
ตอนที่ 7: ภารกิจส่งไข่แมงป่องทะเลทราย (II)
เฮเซคียาห์หมุนกายจากประตูกลับมาทำความรู้จักห้องแรกภายในคฤหาสน์ เบื้องหน้าของเขา ที่สุดทางเดิน ลึกเข้าไปมีบันไดใหญ่ ขั้นบันไดที่เห็นเป็นทางเดียวทอดยาวขึ้นไปสู่ชานพักบันไดกว้างซึ่งขยายพื้นที่ออกไปทั้งซ้ายและขวา บันไดที่เชื่อมแต่ละด้านของชานพักบันได ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ล้วนนำทางผู้คนไปยังชั้นสอง
เฮเซคียาห์แตะฮู้ดที่ปิดคลุมศีรษะของเขาเอาไว้ นึกจะปลดออก แต่แล้วเขาก็ลังเลและยกเลิกความคิดไป
มูนนี่ยืนอยู่ตรงสุดทางเดินของห้อง
“ชั้นสองมีหลายห้อง ห้องสมุด ห้องนั่งเล่น...” เขาแนะนำคฤหาสน์ชั้นบนอย่างคร่าวๆ ทีท่าสบายๆ ราวกับทั้งคฤหาสน์เป็นของเขาเอง
มือของมูนนี่ข้างหนึ่งวางไว้บนหัวของราวบันไดด้านที่อยู่ใกล้มือ
คฤหาสน์หลังนี้คงมีคนคอยดูแลทำความสะอาดเป็นอย่างดี ราวบันไดไม้สนถูกขัดจนมันวาว โคมระย้าทั่วห้องได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน และพรมกำมะหยี่สีแดงสด ไม่มีร่องรอยของการเปรอะเปื้อน ลายดอกไม้พันด้วยเถาวัลย์ปักด้วยด้ายสีเหลืองบนพรมบริเวณตรงกลางห้องและด้านข้างขนาบกับกำแพงห้องทั้งสองด้านเป็นทางยาวไม่ซีดจาง
“นี่!”
เสียงตวาด กระชากสติของเฮเซคียาห์ให้หันไปมองด้านขวามือของเขา
ตอนแรกเฮเซคียาห์มัวแต่พุ่งความสนใจไปยังบรรยากาศแปลกใหม่ที่ประตูและโถงด้านหน้า เขาเลยไม่เห็นว่า ทางด้านข้างมีช่องกระจกบานเลื่อนปิดและเปิดได้ ขนาดพอให้ยื่นศีรษะลอดผ่าน คนที่อยู่ในห้องเบื้องหลังช่องกระจกเป็นผู้หญิงสูงวัยที่ผมสีเทาถูกรวบตึง ดวงตาข้างหนึ่งของเธอฝ้าฝาง จมูกงองุ้มเป็นตะขอ ผิวเหี่ยวย่นบนใบหน้ามีรอยฝ้าและกระเต็มไปหมด
“หน้าตาไม่คุ้นเคย ต้องการให้ช่วยอะไรไหม” เสียงของเธออู้อี้ คงเพราะเหลือฟันในปากอยู่น้อยซี่
เฮเซคียาห์นิ่ง เขากำลังคิดหาการโต้ตอบที่เหมาะสม
อีกฝ่ายอ่อนวัยกว่า(มาก) เพียงแค่หน้าแก่
“เอ่อ ไม่ครับ คือผมตามเพื่อนมา”
“นั่นแหละ ยิ่งต้องกังวล ไอ้หนุ่มนั่นมันแนะนำได้แต่เรื่องฉิบหายๆ”
“อ้าว! ยายแก่ หยุดเลย! หยุดคำพูดไว้เลย” มูนนี่เดินย้อนกลับมาทำสีหน้าเอาเรื่องใส่หญิงชรา
“ระวังตัวไว้หน่อยก็แล้วกัน ไอ้เด็กเวรนี่ลากเพื่อนมาทีไร ครั้งต่อไปก็ได้ข่าวว่าตายแล้วทู๊กที”
คำพูดของหญิงชราทำให้เฮเซคียาห์ตกใจ
เขามองหน้ามูนนี่ที่ขบริมฝีปากล่างและยกมือเกาที่ซอกคออย่างว้าวุ่นใจ
“มันไม่ใช่ความผิดของฉันนะยาย ผู้ใช้เศวตศาสตรามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงอยู่แล้ว” มูนนี่เดาะลิ้นเล่นเมื่อพูดจบ แล้วเขาก็ขยับมาโอบไหล่เฮเซคียาห์และออกแรงรั้งให้เดินไปด้วยกัน “ยายแก่นี่คอยดูแลคฤหาสน์หลังนี้ เห็นว่าเจ้าของคฤหาสน์จ้างมา หนังเหี่ยวๆ ดูไม่มีประโยชน์อะไรแต่เป็นผู้ใช้เศวตศาสตราเหมือนกัน”
“ผู้ใช้เศวตศาสตรา?” เฮเซคียาห์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างสนเท่ห์ เหลียวกลับไปมองทางกระจกบานเลื่อน แต่พบว่ามันปิดลงแล้ว และเขาไม่สามารถเห็นได้ว่าหญิงชรากำลังทำอะไรอยู่ในห้อง
อย่างไรก็ตาม เขาทันเห็นทางหางตาขณะหมุนใบหน้ากลับมาจ้องมูนนี่ว่ามีประตูอยู่ทางฝั่งขวามือ มันน่าจะพาพวกเขาไปพบหญิงชราในห้องชั้นในซึ่งเป็นอีกด้านของกระจกบานเลื่อนได้
“ยายแก่เป็นนักคิดค้นอาวุธ ถ้านายต้องการอาวุธดีๆ เจ๋งๆ ก็กลับมาหาได้ แต่ยายแก่ขี้งกมาก ระวังไว้ว่านายต้องจ่ายเธออย่างแพงชนิดหมดตูด”
“แล้วที่เธอว่า นายพาคนไปตาย?” เฮเซคียาห์เริ่มเคลือบแคลงว่ามูนนี่จะมีแผนหลอกใช้เขา
เศวตศาสตราประเภทเสริมสร้างเชาว์ปัญญาอย่างบรอธ ไม่ล้ำเลิศและเหมาะกับการต่อสู้เท่ากับเศวตศาสตราอื่นๆ เพราะมันเป็นสายสนับสนุน แต่ก็กล่าวได้ว่าในการรบกับชาวมัสติน มนุษย์ไม่มีโอกาสชนะเลยถ้าไม่มีสมาชิกในกลุ่มที่ครอบครองเศวตศาสตราประเภทนี้
นอกจากนี้ เศวตศาสตราประเภทเสริมสร้างเชาว์ปัญญายังช่วยหาเงินได้มาก เพราะสามารถค้นหาแหล่งทรัพยากรต่างๆ หรือวางกลยุทธ์เพื่อขโมย โจมตี หรือหลบหนีที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง
“ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ก็อย่างที่ฉันบอก นายเป็นผู้ใช้เศวตศาสตรา นายก็เสี่ยงตายสูงกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว นอกจากนั้นการหาที่นี่เจอ นายก็ต้องเป็นพวกที่อยากโค่นล้มมัสติน ไม่ก็ใช้ประโยชน์จากเศวตศาสตราในทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะรับจ้างทั่วไป รับจ้างหาของทั่วราชอาณาจักรอย่างฉัน หรืออาสาสมัครไปช่วยทำอะไรที่มันเสี่ยงๆ” มูนนี่กดมุมปากลงข้างหนึ่ง กลอกตามองบนและถอนหายใจ ดูรำคาญใจกับสายตาของเฮเซคียาห์ที่จ้องไปที่ตัวเองอย่างจับผิด
“ถ้านายหลอกใช้ฉันทำอะไรบ้าๆ ละก็ ฉันไม่ตายง่ายๆ แน่ และจะเอาคืนให้สาสม” เฮเซคียาห์ขู่ไว้ก่อน
มูนนี่ถอนหายใจแรงๆ อีกครั้ง คลายมือที่กอดคอเขาออก และเดินนำไปก่อน ไปวางเท้าข้างหนึ่งลงบนบันไดขั้นแรก มือจับหัวของราวบันไดไว้ขณะเอี้ยวกายกลับมามองหน้าเขา
“ฉันไม่เคยหลอกใช้ใครหรอก” เสียงของมูนนี่ดังข้ามห้อง
“เอาไว้ฉันพิสูจน์เองแล้วกัน” เฮเซคียาห์ไม่ใช่คนไร้สมอง ในชีวิตของเขา เขาเคยเห็นการหลอกใช้ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันเองมานับครั้งไม่ถ้วน แม้ระหว่างในหมู่มัสตินด้วยกันเองก็ใช่จะไม่เกิดขึ้นเลย เขาจึงรู้ว่ามีเพียงเวลาเท่านั้นที่พิสูจน์ให้เห็นความจริงใจของมูนนี่ได้
“ก็ตามใจนาย อ้อ ทางด้านนั้นเป็นบาร์กับห้องอาหาร” มูนนี่เบนใบหน้าไปทางประตูฝั่งซ้ายมือก่อนถึงตัวบันได
เฮเซคียาห์เดินมาจนอยู่ด้านหน้าของประตูที่มูนนี่บอก เขาได้ยินเสียงดนตรีแว่วมาจากด้านใน
เสียงหัวเราะของหนุ่มสาวสองคนดังแทรกขึ้นมาทางด้านหลัง เฮเซคียาห์เบี่ยงกายหันกลับไปมองที่ประตูทางเข้า เห็นคนแปลกหน้าชายและหญิงเพิ่งเดินเข้ามา พวกเขาสวมเพียงกางเกงหนังที่รัดท่อนขาแน่นเปรี๊ยะ ท่อนบนเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยสัก ห่วงกลมร้อยประดับอยู่เต็มไปหมดบนริมฝีปากปากและปีกจมูกของพวกเขา ทั้งคู่ทำผมทรงสกินเฮด เส้นผมเป็นสีดำ ดูเหมือนไม่ได้ผ่านการย้อมสี
“เฮ้! มูนนี่ แวะมาด้วยเหรอ งานล่าสุดของนายทำอะไรมา” ผู้ชายยกมือซ้ายตบแก้มซ้ายของเขาเบาๆ แล้วยื่นมาหามูนนี่ แขนอีกข้างยกโอบไหล่ผู้หญิงที่เป็นแฟนสาว
มูนนี่เดินมาจับมือกับอีกฝ่าย เฮเซคียาห์จึงกลายเป็นหลบไปอยู่ด้านหลังของมูนนี่ไปโดยปริยาย
“เก็บไข่แมงป่องทะเลทราย” มูนนี่ตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“เจ๋งนี่เพื่อน! ไอ้ไข่บ้านั่น งานบ้าแบบนั้นใครให้มาวะเนี่ย” คนชวนคุยเรื่องงานหัวเราะพร้อมกับเขย่ามือมูนนี่ราวกับคนบ้า
“ยังไม่รู้ตัวมันเลย แต่ก็นะ ใครแคร์ แค่ทำได้ แล้วจ่ายเงินมาก็พอ”
จบประโยคของมูนนี่ ทั้งมูนนี่และคู่รักชาวมนุษย์สุดแนวก็หัวเราะไปพร้อมกันราวกับคนบ้า
“เดี๋ยวนายจะพาเพื่อนขึ้นไปสำรวจด้านบนใช่ไหม” สายตาของผู้ใช้เศวตศาสตราที่ดูเพ้อๆ เหมือนพี้ยา มองซอกแซกข้ามไหล่ของมูนนี่มาที่เฮเซคียาห์
เฮเซคียาห์ยิ้มแหยตอบ
“ว่าแต่...” คนหัวเกรียนที่มองเฮเซคียาห์จู่ๆ ก็ชะงัก ย่นหัวคิ้วเข้าหากัน แล้วโน้มกายลงมาเพื่อจ้องเฮเซคียาห์ใกล้ๆ
มูนนี่เดินมาบังตัวเฮเซคียาห์ไว้
“เฮ้! ก็แค่คล้ายใช่ไหม ตัวมันไม่ได้เรืองแสง คงไม่ใช่หรอกเนอะ” คนที่จ้องเขม็งยืดกายขึ้น เจรจากับมูนนี่ด้วยน้ำเสียงระแวง
“เออ ไม่ใช่” มูนนี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระด้างแต่แฝงความต้องการปกป้องเอาไว้ “ไอ้นี่ไม่ใช่มัสตินหรอก มันแค่ไม่ค่อยสบาย ตัวขาวๆ ดูซีดๆ ประหลาดๆ”
“อะ เหรอ” คนฟังยอมรับฟังคำอธิบาย แต่ท่าทีเกร็งตัวและจังหวะหายใจไม่ได้ผ่อนคลายลง ดูเหมือนยังแคลงใจอยู่
มูนนี่ยิ้มเผล่ให้อีกฝ่าย
ดวงตาของผู้ใช้เศวตศาสตราผู้ชายจ้องเฮเซคียาห์อย่างไม่เป็นมิตร เขาเดินไป แต่ยังคงเอี้ยวศีรษะมาจ้องเฮเซคียาห์ ส่วนมูนนี่เอาแต่ส่งยิ้มหวานตาม
เมื่อคู่รักสุดแนวหายลับเข้าไปในบาร์และประตูปิดลงตามหลังพวกเขาแล้ว มูนนี่หุบยิ้มแล้วหันมามองเฮเซคียาห์ด้วยสีหน้าและแววตาโล่งใจ
“เกือบไป! นายโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้นะ ดันหล่อผิดธรรมชาติไปหน่อย”
“ก็นะ” เฮเซคียาห์พยักหน้า
เขายกมือขึ้นจับฮู้ดข้างหนึ่งของตัวผ้าคลุม และกำผ้าไว้ในมือแน่นขณะที่มูนนี่หันหลังให้และเดินนำขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง สายตาของคู่รักชาวมนุษย์ที่มองมาที่เขาเมื่อครู่ทำให้เขาตื่นตัวและเคร่งเครียด
ไม่ผิดแน่! พวกนั้นต้องเคยฆ่าชาวมัสตินสำเร็จมาแล้วไม่น้อย
“การเป็นเพื่อนกับมนุษย์ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว” บรอธเอ่ยกับเฮเซคียาห์ที่นั่งเหม่อบนเก้าอี้กลมข้างหน้าต่างที่เปิดอยู่ อากาศข้างนอกหนาวจนถ้าคนอยู่ใกล้หน้าต่างเป็นมนุษย์ คงต้องรีบปิดหน้าต่างลง แต่สำหรับชาวมัสตินทั่วไปหรือเฮเซคียาห์แล้ว อุณหภูมิเท่ากันนี้กลับทำให้รู้สึกเย็นสบายมากกว่า
“ถูกต้องซะที่ไหน...”
“นายก็เริ่มชอบพวกเขาขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ” บรอธเอาส่วนมุมของมันเคาะอย่างแรงกลางหน้าผากของเฮเซคียาห์ ทำเอาเขาร้องออกมาเพราะความเจ็บ “โดยเฉพาะมูนนี่ นายเห็นเขาเป็นเพื่อน”
“ไม่!” เฮเซคียาห์ปัดมือไล่บรอธไปให้พ้นหน้าเขา น้ำเสียงแฝงความหงุดหงิด “แค่เจอกันแป๊บเดียว”
“ช่วงเวลาสั้นๆ อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆ หนึ่งไปตลอดชีวิตได้” บรอธวางตัวของมันเองที่ขอบหน้าต่าง
“...”
“เฮ้...” บรอธส่งเสียง
เฮเซคียาห์เอาแต่นิ่งงัน
เขาคิดว่าช่วงเวลาสั้นๆ ที่บรอธเอ่ย คือเวลาคืนเดียวที่เขาเปลี่ยนจากชาวมัสตินเป็นมนุษย์ และตอนนี้เขาหวนระลึกและคิดถึงราชินีเอสเธอร์ผู้ให้กำเนิดเขา
เขาเริ่มจดจำเธอได้เมื่อช่วงอายุราวๆ ขวบกว่า ภาพแรกที่เขาจดจำได้ คือเธอจุ๊บหน้าผากของเขาเบาๆ หลังกลับจากการช่วยราชาองค์ก่อนว่าราชการ ในวันนั้นเธอยกตัวเขา เหวี่ยงโยกไปมาจนทำให้เขาหัวเราะลั่น
ชาวมัสตินเติบโตช้ากว่ามนุษย์ พวกเขาใช้เวลาอยู่นานเกือบ 10 ปีกว่าจะเดินและพูดได้เท่ากับทารกอายุ 1 ขวบ ในช่วงเวลาแบบนั้นสมองอาจเติบโตไปก่อนและเข้าใจหลายเรื่องได้ดี แต่ยังต้องพึ่งพาคนที่เป็นพ่อและแม่ตลอดเวลาในการเคลื่อนไหวและทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เฮเซคียาห์มีความทรงจำจากการเห็นเธอทุ่มเทเสียสละเลี้ยงดูเขาในช่วงเวลานั้นอัดแน่นอยู่ในสมอง
“ไม่ว่ายังไง ฉันก็หันหลังให้ชาวมัสตินไม่ได้” เฮเซคียาห์ถอนหายใจอย่างไม่สบายใจ “ต่อให้ฉันกลับไปเป็นชาวมัสตินไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันอยากฆ่าพวกเขา”
“ฉันเข้าใจ แต่นายเป็นผู้ใช้เศวตศาสตรา นี่คือเส้นทางชีวิตของนาย”
“...”
เฮเซคียาห์ไม่คิดว่าการเถียงกับบรอธเรื่องความต้องการของเขาซึ่งไม่ตรงกับจุดประสงค์การกำเนิดของบรอธจะมีบทสรุปที่สร้างความพอใจให้กับเขา
“ฉันเชื่อว่าวันหนึ่งนายต้องฆ่าพวกเขา” บรอธพูดย้ำสิ่งที่ถือเป็นฝันร้ายของเฮเซคียาห์
“... ไม่”
เขาลุกขึ้นยืนแล้วพาตัวเองขึ้นเตียงเพื่อตัดบท
เมื่อเข้าสู่นิทรา เฮเซคียาห์ค่อยๆ แหวกว่ายเข้าสู่ห่วงลึกของความฝัน เขาเห็นมือของกษัตริย์องค์ก่อน คนที่เขาเคยหวาดกลัวที่สุดในชีวิตยื่นเข้ามา และมาบีบคอเขา เขาดิ้นรนในความฝัน ดิ้นรนอย่างแรงก่อนจะรู้สึกได้ถึงหลังที่กระแทกอย่างจัง
“นายเป็นอะไรมากหรือเปล่า” มูนนี่เปิดประตูห้องน้ำออกมาถามเขาที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นห้อง
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ” เฮเซคียาห์ลุกขึ้นนั่ง เขาครางเบาๆ ในคอ เจ็บหลัง หลังคงกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรงเพราะเตียงที่นอนอยู่เป็นเตียงที่ยกสูงขึ้นจากพื้นมาก เพื่อให้นักเดินทางสามารถเก็บสัมภาระไว้ใต้เตียงได้
“ฉันได้พิกัดส่งของมาแล้ว เขาไม่มีคนมารับ แต่ให้ฉันไปส่งของถึงที่ ค่ำนี้” มูนนี่ตอบขณะกลับเข้าไปในห้องน้ำ
“นายจะให้ฉันรอนายอยู่ที่โรงแรมไหม” เฮเซคียาห์ลุกขึ้นยืน เขาหาวหวอด
ภายนอกโรงแรม ท้องฟ้าสว่างจ้า ตอนนี้คงสายมากแล้ว แต่ถ้าให้เฮเซคียาห์นอนต่อ เขาก็นอนได้
“ไปด้วยกัน นายช่วยฉัน ฉันควรให้เครดิตนายด้วย”
“ให้แค่เครดิตใช่ไหม ไม่แบ่งของตอบแทน” เฮเซคียาห์ไปยืนเกาะขอบประตูห้องน้ำ มองเพื่อนโกนหนวด
“ฮะๆ แบ่งสิ” มูนนี่เอ่ยในสิ่งที่เฮเซคียาห์คาดไม่ถึง แล้วยกมือขึ้นลูบคางที่เกลี้ยงเกลา ตามองเข้าไปในกระจกด้านหน้า “แต่แค่ 1 ใน 4 นะ เพราะอีกส่วนถือว่านายจ่ายฉันเพื่อจ้างให้ไปตามหาไอ้มนุษย์กลายพันธุ์ที่นายเล่าให้ฟัง
“โอเค! ดีลว่ะเพื่อน” เฮเซคียาห์ยิ้มร่า เขาหมุนกายเดินกลับไปที่หน้าต่าง
ในตอนกลางวันอากาศของหมู่บ้านแห่งนี้ต่างไปจากตอนกลางคืนลิบลับ อุณหภูมิกำลังดี ไม่ร้อนเกินไป และไม่หนาวเกินไป เด็กชายคนหนึ่งบนถนนหน้าโรงแรมสังเกตเห็นเขา เฮเซคียาห์ได้ยินเสียงผิวปากยาวๆ เรียกร้องความสนใจ พร้อมกับมือของอีกฝ่ายที่โบกไปมา
ดวงตาของเฮเซคียาห์ว่างเปล่า เขาปิดหน้าต่างลง
“เด็กนั่นชอบนายจริงๆ ทักทายทุกครั้งที่เห็นนาย นายออกไปข้างนอกก็วิ่งมาชวนคุยตลอด” บรอธวางตัวเองลงบนเตียง
“น่ารำคาญ” เฮเซคียาห์เดินไปหยิบถุงใส่สัมภาระของตัวเองมาตรวจสอบ
มูนนี่ช่วยหาถุงสัมภาระให้เขาใหม่ พร้อมทั้งช่วยหาของใช้จำเป็นเพื่อเฮเซคียาห์จะพกติดตัวไปได้ตลอดการเดินทางโดยไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทนเมื่อตอนมอบให้
“นายน่าจะรับเด็กสักคนมาเลี้ยง เมืองนี้เด็กกำพร้าเต็มไปหมด”
“พูดอะไรออกมา” เฮเซคียาห์หยุดมือ จ้องเศวตศาสตราของเขา “มัสตินไปเลี้ยงมนุษย์ บ้าไปหน่อยไหม”
“นายเป็นมนุษย์ต่างหาก มนุษย์ใหม่แกะกล่องที่ต้องเรียนรู้การเป็นมนุษย์ที่ดี”
“ไปตายซะ!”
“วิเคราะห์: นายต้องตายไปก่อน”
“อยู่เงียบๆ ฉันเก็บของอยู่”
“โอเค”
“ยืนยัน: มีผู้ใช้เศวตศาสตราในพิกัดดังกล่าว” บรอธรายงานกับเฮเซคียาห์หลังจากตรวจสอบพิกัดที่มูนนี่ได้มา
“แล้วคนที่ชื่อเรการ์ด เขาเป็นคนยังไง” เฮเซคียาห์อดถามไม่ได้
เขาเพิ่งเข้าใจความสามารถของบรอธเพิ่มขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เศวตศาสตราของเขาสามารถสอดแนมเศวตศาสตราของคนอื่นได้ โดยบรอธสามารถบอกเขาให้รู้ถึงพลังของเศวตศาสตราที่กำลังเผชิญหน้าอยู่หรือที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียง และที่สำคัญบรอธสามารถรู้ได้ถึงรายละเอียดด้านบุคลิกภาพของเจ้าของเศวตศาสตราดังกล่าว และคาดคะเนจากข้อมูลที่สอดแนมได้ ว่าคนๆ นั้นมีแนวโน้มเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกับเฮเซคียาห์
อย่างไรก็ตาม บรอธเตือนเขาว่าข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของเศวตศาสตราที่มันแจ้งให้เขารับทราบได้ อาจมีความคลาดเคลื่อน เนื่องจากเศวตศาสตราบางอันไม่ได้ถูกใช้อย่างสม่ำเสมอหรือมีผู้ใช้งานร่วมกันหลายคน หรือบุคลิกภาพของเจ้าของสับสนเพราะอาการทางจิตเวช ทำให้ข้อมูลในหน่วยความจำของเศวตศาสตราอื่นที่บรอธเข้าสอดแนมเป็นข้อมูลที่ไม่มีความชัดเจน
“รายงาน: ไม่ใช่คนดี” บรอธตอบกลับมาด้วยเสียงเนิบๆ
เฮเซคียาห์สังหรณ์ใจไม่ดี
“อย่าคาดหวังอะไรจากคนจ้างงาน” มูนนี่สั่งสอนเขา
เฮเซคียาห์ยักไหล่ เขาไม่คาดหวังอะไรจากพวกมนุษย์มากนักหรอก
ตอนนี้พวกเขาโดยสารในยานสำหรับเดินทางเคลื่อนที่ในป่าของชาวมัสติน ยานนี้มีลักษณะเป็นท่อยาวเหมือนหนอน ใช้ดินตามธรรมชาติเป็นพลังงาน ระหว่างเคลื่อนที่ยานจะดูดดินขึ้นมาจากพื้นป่าเพื่อมาปรับเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยีพิเศษให้เกิดเป็นพลังงานขับเคลื่อนที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ สสารที่มากับดินที่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้จะถูกเก็บไว้ในกล่องกากเชื้อเพลิงซึ่งมูนนี่สามารถดึงออกมาภายหลังเพื่อเทกากต่างๆ คืนสู่ป่า โดยส่วนมากเป็นพวกก้อนหินที่ยังไม่ผุพังดี รากไม้ หรือซากวัตถุโบราณที่ประกอบด้วยธาตุที่ไม่พบในดินทั่วไป
“คำเตือน: ที่นั่นอาจมีคนที่พวกนายต้องให้ความช่วยเหลืออยู่” บรอธให้ข้อมูลที่ไม่ได้ขอ
“ใครกันล่ะ” มูนนี่ปรับระดับอุณหภูมิในยานให้เย็นลงอีกหน่อย “ถ้าจะมีใครตายที่นั่นก็ปล่อยให้ตายไปเถอะ”
“เออ ถ้านายไม่ยุ่ง ฉันก็ไม่ยุ่ง” เฮเซคียาห์เออออ เขาไม่อยากมีปัญหากับมูนนี่
บรอธไม่ได้ให้รายละเอียดพวกเขามากไปกว่านั้น
ยานตัวหนอนเคลื่อนตัวต่อเนื่องไปยังพิกัดที่ถูกตั้งค่าไว้ เมื่อมันเจอต้นไม้หรือก้อนหินกีดขวางทางอยู่ และยากจะผ่านไปได้ มันมุดตัวลงดินเหมือนกับไส้เดือนเพื่อชอนไชลงไปใต้ดินสักครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับขึ้นมายังพื้นด้านบน
บนหน้าจอควบคุมยาน หน้าปัดแสดงค่านับถอยหลังจากค่าคะเนตั้งต้นว่า พวกเขาจะใช้เวลาเดินทางกว่า 3 ชั่วโมงจึงจะถึงจุดหมาย
เฮเซคียาห์เหลือบมองมูนนี่ที่เอนกาย ปิดตาลงและฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์ด้วยอุปกรณ์เล่นเพลงที่เป็นแบบสติกเกอร์ขนาดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ใช้แปะลงไปในหู ผู้ใช้เศวตศาสตราหลายคนมีความสามารถในการร้องเพลงและผลิตแผ่นสติกเกอร์ดังกล่าวเพื่อขายให้แก่ผู้คนตามหมู่บ้านต่างๆ
เฮเซคียาห์ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขาพกสติกเกอร์แบบเดียวกันมาด้วย
เสียงร้องเพลงของผู้หญิงคนหนึ่ง หวานเอื้อน อ่อนช้อย อยู่ในหูของเขา เธอใส่อารมณ์ในการร้องเพลงที่มีท่วงทำนองดนตรีที่อ่อนโยนระคนกับเศร้าโศก เธอร้องโดยใช้ภาษาหนึ่งของมนุษย์ที่เฮเซคียาห์เข้าใจเป็นอย่างดี เขาจึงฟังอย่างซาบซึ้งดื่มด่ำในเนื้อเพลงที่มีสาระเกี่ยวกับการเรียกร้องเสรีภาพของมนุษย์ที่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนกที่ถูกขังอยู่ในกรง
“นายน่าจะฟังร็อค” มูนนี่เอียงศีรษะมาคุยกับเขา
“นั่นมันรสนิยมนาย ฉันชอบฟังกีต้าร์อคูสติกมากกว่า”
“พวกอคูสติกนี่ มันดนตรีหน่อมแน้ม ฟังแล้วอ่อนปวกเปียกยังไงไม่รู้”
“เรื่องของนาย” เฮเซคียาห์กรอกตา เขาเบี่ยงกายหันหน้าไปอีกทาง
มูนนี่ไม่ยุ่งกับเขาต่อ
...แต่สักพัก เฮเซคียาห์ก็ได้ยินมูนนี่ตะโกนแหกปากลั่น ครวญครางพร่ำร้องดนตรีร็อคเหมือนกับคนบ้า เขย่าขา ทุบมือกับหน้าจอบังคับยาน โหวกเหวกโวยวายสุดๆ
ท้ายที่สุดเฮเซคียาห์เลยดึงสติกเกอร์เล่นเพลงออกมาทิ้งแม้ว่าจะเสียดายเหลือเกิน สติกเกอร์พวกนี้เป็นแบบใช้แล้วทิ้ง ทิ้งแล้วทิ้งเลย
เฮเซคียาห์เอายางใส่หูเพื่อป้องกันเสียงรบกวนมายัดใส่หูแทน
แล้วเขาก็แกล้งหลับ ก่อนที่มูนนี่จะพยายามโน้มน้าวให้เขาโยกหัวเหมือนเมากาวไปพร้อมกัน