ตอนที่ 7 พรุ่งนี้ต้องเดินทางเหรอ
เนื่องจากความหิวเข้าครอบงำ ลินจิจึงโฟกัสที่การกินเพียงอย่างเดียว ส่วนยูมิก็นั่งจ้องเทพเจ้าพุ้ยข้าวจนแก้มปริ เคี้ยวอาหารดังจับ ๆ เหมือนหมู่ป่าที่ขโมยกินข้องเซ่นไหว้ในป้าช้า เธอนั่งมองอยู่อย่างนั้นด้วยท่าทีเฝ้าคอย
“ท่านเทพคะ”
พอยูมิกวักมือเรียกลินจิก็ปรายตามองอย่างรำคาญ ก่อนจะเรอออกมาเสียงยาวดัง “เอิกกกก…” ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอิ่มแล้ว
“ครับ”
เขาวางตะเกียบลงบนถาดอาหารช้า ๆ ด้วยกริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยดั่งผู้ดี พร้อมขยับปรับท่านั่ง ยกไหล่ยึกยัก กะพริบตาหลายครั้งจ้องมองยูมิอย่างพิจารณา…
ยูมิเป็นเด็กสาวน่ารักตากลม ผมของเธอดำยาวเหยียดตรงมัดรวบไว้ด้านหลัง พอดูใกล้ ๆ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน หน้าตาแบบนี้ถ้าอยู่ในโลกของเขา หนุ่ม ๆ คงจะรุมล้อมเหมือนแมลงวันตอมแน่ ๆ
“เอ่อ…คือ”
ยูมิกระอึกกระอักเหลือบมองลินจิเป็นครั้งคราวคล้ายกับอยากจะพูดอะไร พอลินจิบอกว่า “พูดมาเถอะ” เธอก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“คือว่า… สองวันก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้คฤหาสน์ของข้า อีกทั้งพี่สาวของข้ายังหายตัวไป ตำราต้องห้ามในคลังวิชาก็ถูกขโมยไป ข้าล่ะเป็นกังวลเหลือเกิน”
“อ๋อ เรื่องนี้นี่เอง”
ลินจิพูดเสียงสูงพลางผงกหัวหงึก ๆ จำได้ว่าชุนเคยเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเหมือนกัน
“พี่ชุนท่าทางเป็นกังวลมาก เลยไหว้วานให้ข้ามาขอร้องท่านเทพให้ช่วยรวบรวมผลึกดวงดาวทั้งแปดชิ้นค่ะ”
“ผลึกดวงดาว?”
เมื่อลินจิพูดทวนซ้ำอย่างไม่เข้าใจ ยูมิก็พยักหน้าหนึ่งครั้ง แล้วเล่าต่อ…
“ค่ะ ตามตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อเทพเจ้าผู้สร้างโลกปรากฏตัว ผลึกดวงดาวก็จะตกลงมาจากสวรรค์ ถ้ารวบรวมครบทั้งแปดชิ้นความปรารถนาก็จะกลายเป็นจริง เกรงว่าถ้าปีศาจชั่วร้ายได้มันไปก่อน โลกนี้คงต้องเกิดภัยพิบัติแน่”
…ตำนงตำนานอะไรกัน งมงายเกินไปแล้วยัยนี่
ลินจิแสร้งทำเป็นฟังแต่ก็นึกต่อต้านในใจ นิยายแฟนตาซีที่เขาแต่งไม่เคยมีเรื่องพวกนี้สักหน่อย แต่พอเห็นยูมิทำสีหน้าจริงจัง ลินจิก็ชักไม่แน่ใจ
…หรือว่าจะจริง เป็นเพราะเราเหรอ?
“เพราะฉะนั้น ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยนะคะ”
พูดเสร็จยูมิก็ก้มหัวลงเป็นการขอร้อง ระหว่างที่ลินจิกำลังนึกกังวลว่าเป็นเพราะตัวเองรึเปล่า ยูมิก็ก้มหัวต่ำลงจนปอยผมของเธอจุ่มลงไปในถ้วยน้ำซุป
“ว๊าย”
“อ๊ะ”
เธอสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหยิบผ้าผืนเล็กมาเช็ดผมปื๊ด ๆ ก่อนจะขยำแล้วซุกเก็บไว้ในชุดกิโมโน ขณะที่ลินจิกำลังคิดว่า…ซกมกจัง ยูมิก็กล่าวด้วยสายตาอ้อนวอนอีกครั้ง
“ท่านเทพคะ ได้โปรดเถอะค่ะ ช่วยใช้พลังของท่านรวบรวมผลึกดวงดาวให้ครบทั้งแปดชิ้นด้วยนะคะ”
ลินจิกะพริบตาปริบ ๆ พลางคิดว่าตัวเองไม่มีพลังแบบนั้นสักหน่อย แถมคุณชุนยังชอบแกล้งเขาด้วย เป็นไปได้ลินจิก็อยากจะกลับไปที่โลกเดิม ถึงแม้ตอนนี้เขาจะสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่เพราะไม่มีกรอบสังคมบังคับ แต่ลินจิก็คิดถึงครอบครัว คิดถึงบ้าน คิดถึงเครื่องปรับอากาศ และคิดถึงอาหารฝีมือแม่เป็นที่สุด ส่วนผลพลอยได้ก็คงจะเป็นการได้เหล่หนุ่ม ๆ กางเกงน้ำเงินบนรถไฟฟ้า …ให้อยู่ที่นี่นาน ๆ คงไม่ไหวหรอก
ขณะที่ลินจิครุ่นคิด ยูมิก็ก้มหัวขอร้องอีกครั้ง คราวนี้เธอเหน็บปอยผมไว้ข้างหูเรียบร้อยแล้ว
“ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยนะคะ”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นของยูมิ ลินจิก็ทำสีหน้าลำบากใจอยู่พักหนึ่ง พลางคิดว่าถ้าปฏิเสธไปคงจะดูเป็นคนไม่ดี หลังจากเงียบกันไปครู่หนึ่ง ลินจิก็เริ่มทนความกดดันไม่ไหว เขาพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ แล้วพยักหน้า เมื่อยูมิเห็นแบบนั้นเธอก็ยิ้มแป้นทันที
“ถึงจะว่าอย่างนั้นเถอะครับ ปีศาจที่นี่น่ากลัวจะตายไป ให้ผมไปแย่งผลึกดวงดาวกับเจ้าพวกนั้นคงไม่ไหวหรอก อาวุธผมก็ใช้ไม่เป็น แถมยังมีเรื่องเยอะแยะที่ต้องทำ ต้นฉบับนิยายของผมก็ยังไม่เสร็จ”
“…ต้นฉบับ?”
ยูมิพึมพำออกมาเสียงเบาอย่างสงสัย ลินจิเห็นแบบนั้นก็รู้สึกเหมือนงานเข้า เขากอดอก มองบน พ่นลมออกจากปากอย่างเบื่อหน่าย ถ้าต้องอธิบายคงไม่จบไม่สิ้นแน่ จึงแสร้งแต่งเรื่องปั้นคำให้ดูดี ชูนิ้วชี้ขึ้นฟ้าอย่างนุ่มนวล ตอบยูมิไปว่า…
“มันคือภารกิจสวรรค์ครับ”
“อ๊ะ ถ้าเรื่องนั้นยูมิก็อาจจะช่วยได้นะคะ”
“เอ๊ะ”
ลินจิมองหน้ายูมิอย่างไม่เข้าใจ ช่วยอะไรของหล่อน อย่างหล่อนจะมาเขียนนิยายวายเหรอ
“ยูมิเป็นผู้ใช้เวท ‘เชื่อมมิติ’ ค่ะ สามารถเข้าไปในมิติของเทพอัญเชิญตนอื่น ๆ ได้”
ลินจิเอียงคอนึกตามอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามด้วยแววตาทอประกาย
“แบบนี้ก็พาผมกลับได้สิ”
ยูมิก็ส่ายหน้าเบา ๆ
“ถึงจะเป็นเวทที่สามารถท่องไปได้ทุกที่ แต่ก็มีข้อจำกัดเยอะอยู่เหมือนกันค่ะ อย่างมากก็ทำได้แค่นำสิ่งของมาจากมิติอื่นกลับมาเท่านั้น ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ต่างมิติ ยูมิก็ใช้เวท ‘สะกดประสบการณ์’ สอดแทรกตัวตนเข้าไปในความทรงจำของเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันค่ะ”
…ขี้โกงเกินไปแล้ว ทำไมเราไม่มีเวทแบบนี้บ้างนะ
ขณะที่ลินจิคิดเปรียบเทียบพลางน้อยใจตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ ไอเดียบันเจิดก็ผุดปิ๊งขึ้นมาในหัว เขาไม่รอช้ารีบลุกขึ้นเดินไปเปิดเป้แล้วจดลิสต์รายการสั่งซื้อทันที ส่วนยูมิก็หันมองตามอย่างสงสัย
“อะไรเหรอคะ”
ลินจิยกมือปรามประมาณว่า ‘เงียบก่อนสิยะหล่อน’ จากนั้นก็ตั้งใจนึกพลางจดรายการสิ่งของที่ต้องซื้อลงไป
“อ่านออกใช่เปล่าครับ”
พอลินจิยื่นลิสต์รายการสั่งซื้อให้ ยูมิก็ใช้ความคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้าช้า ๆ
“ท่านเทพถามแปลกจัง พวกเราก็ใช้ภาษาเดียวกันหมดนี่คะ ท่านสามารถสร้างสิ่งที่ท่านไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจได้ด้วยเหรอ”
จริงอย่างที่ยูมิพูด แต่คิดไปก็ปวดหัว ลินจิจึงหยุดคิดแล้วเปลี่ยนประเด็นมาที่ลิสต์สั่งซื้อ
“เธอรู้จักของพวกนี้ใช่เปล่า”
ลินจิถามพลางสะบัดกระดาษดังผับ ๆ จากนั้นก็อธิบายข้อมูลคล่าว ๆ ให้ยูมิฟัง แล้วเธอก็ทำแก้มป่องขึ้นมา
“ฟันผุเหรอ ที่นั่นมีหมอฟันนะ”
“ท่านเทพคะ ยูมิบอกแล้วไงว่ายูมิมีเวทสะกดความทรงจำ เรื่องขนบธรรมเนียม จารีต วัฒนธรรม หายห่วงเถอะค่ะ”
ว่าแล้วเธอก็คว้าหมับที่ลิสต์รายการ ก่อนใช้มือสัมผัสบริเวณหน้าผากของลินจิด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทันใดนั้นบรรยากาศรอบห้องก็เปลี่ยนไป เกิดแสงสว่างไสวจนลินจิมองไม่เห็นอะไรเลย เมื่อแสงดับวูบลงก็ปรากฏวงเวทสีขาวขนาดใหญ่กระจายเต็มพื้นห้อง
“พูดว่าอนุญาตสิคะ”
“เอ๊ะ อะ…อนุญาต”
สิ้นสุดเสียงอึกอักของลินจิ ยูมิก็หลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะประสานมือไว้ที่กลางอก ร่างกายของเธอค่อย ๆ เลือนหายไปทีละนิดทีละน้อย เริ่มจากศีรษะ ไหล่ ขา ไล่ต่ำลงไปจนถึงเท้า กระทั่งไม่หลงเหลืออะไรต่อหน้าลินจิ จากนั้นวงเวทบนพื้นห้องก็เลือนลาง ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ
…..
ณ ด้านหน้าของตำหนักโมโมะ
“นี่ชุน ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่ได้ออกจากบริเวณนี้มาสามร้อยปีแล้ว ตั้งแต่ท่านเปี๊ยกโกะจากไป ข้าก็กลายเป็นแม่หม้ายผู้โชคร้ายเฝ้าอยู่ในเขตแดนกักกันรกร้างนี่”
โมโมะนั่งเกี่ยวปอยผมเล่นอยู่บนเก้าอี้โยก ถามชุนพลางพร่ำบ่นเหมือนคนแก่ แม้เสียงจะอ่อนนุ่มแต่ก็ฟังดูเหนื่อยหน่ายกับชีวิต
“…”
ชุนยักไหล่ เหล่มองด้วยหางตา ท่าทางเหมือนกึ่งเอือมระอา แต่โมโมะก็ตั้งท่าชวนคุยอย่างไม่ยอมแพ้ เธอโยกตัวโอนเอนบนเก้าอี้ไม้ จนเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดอย่างเรียกร้องความสนใจ กระทั่งชุนเริ่มทนกับเสียงน่ารำคาญไม่ไหว
“นั่งโยกเก้าอี้เป็นยายแก่ไปได้ ออกจากที่นี่แล้วท่านจะหายเป็นหม้ายหรือไงกัน”
ชุนตอบเสียงแข็งอย่างไร้เยื้อใย ราวกับว่าพร้อมจะตัดสายสัมพันธ์ศิษย์-อาจารย์ได้ทุกเมื่อ
“ข้าแค่บอกให้เจ้าฟัง ไม่ได้ปรารถนาความรักจากชายอื่นแต่อย่างใด แต่บางทีข้าก็เหงา…”
“อยากรู้ก็เชิญออกไปดูเอง”
แม้ประโยคของโมโมะจะฟังดูขัดแย้ง แต่ชุนก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาปรายตามองอาจารย์อายุสามร้อยกว่าปี ที่ภายนอกยังดูเหมือนหญิงสาวทั่วไปอย่างเบื่อหน่าย
ชุนฝึกวิชากับโมโมะมาตั้งแต่เยาว์วัย เคยเห็นหน้าสามีของเธอบ้างเป็นครั้งคราว สามีของโมโมะเป็นเทพอสูรนามว่า ‘เปี๊ยกโกะ’ แต่โชคร้ายที่เปี๊ยกโกะได้สละชีพของตนเพื่อสะกดปีศาจร้ายไว้ใน ‘ตำราต้องห้าม’ เมื่อสิบสองปีก่อน จากนั้นนางก็กลายเป็นแม่หม้ายลูกหนึ่งอยู่ในเขตแดดกักกันที่สามีสร้างไว้ให้ ถึงเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ด้วยพลังของเขตแดนกักกัน เธอจึงดูเหมือนหญิงสาววัยยี่สิบห้าอยู่เสมอ ส่วน ‘อากิ’ ลูกชายของเธอ ตอนนี้กำลังออกไปสืบเบาะแสของ ‘ตำราต้องห้าม’ ที่หายไป
ขณะที่ชุนทอดสายตาออกไปยังสวนดอกไม้หลากสีด้านหน้าของตำหนัก โมโมะก็พยายามชวนศิษย์ของตนคุยต่อ
“นี่เจ้ากำลังบอกให้ข้าไปตายหรือ”
“ก็เห็นท่านบ่นว่าเหงา บางทีอาจจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับท่าน”
ถึงชุนจะไม่ได้คิดแบบนั้น แต่เขาก็ตอบเสียงเรียบอย่างกวนประสาท เพราะทุกครั้งที่มาเยี่ยม เธอก็มักจะบ่นติดปากว่า ‘เหงา’ อยู่เสมอ จนชุนเองก็ไม่แน่ใจว่าเหงาเพราะอยากให้คนมาหา หรือเหงาที่ไม่ได้ออกไปข้างนอกกันแน่
“เจ้าบ้าแล้วหรือไง อยากจะให้ข้าตายจริง ๆ เหรอ ถ้าข้าออกจากที่นี่ก็ได้กลายเป็นเถ้ากระดูกกันพอดี”
โมโมะว่ากล่าวชุนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดหน้าเชอะใส่
“ข้าขอตัวก่อน พรุ่งนี้ต้องรีบออกเดินทาง”
ชุนหันหลังยกมือให้ พูดอย่างเฉยเมยราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ขณะเดียวกันโมโมะก็จ้องชุนจนตาเขียว
“นี่ เดี๋ยวก่อนสิ”
พอโมโมะเรียก ชุนก็หันมามองครู่หนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก จากนั้นก็เดินเข้าไปในตำหนักราวกับไม่ได้ยินอะไร ส่วนโมโมะก็โกรธหน้าดำหน้าแดงอยู่บนเก้าอี้โยก
…..
“อุ๊ ๆ อิ๊ ๆ อุ๊ย ๆ โอ๊ย ๆ”
ขณะเข้าใกล้ห้องที่ลินจิพักอยู่ ชุนก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ลอดออกมา เขากำหมัดแน่นยืนฟังอยู่ที่หน้าประตู พลางคิดว่าหูคงแว่วไป แต่เสียงจากด้านในก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“อุ๊ ๆ อิ๊ ๆ อุ๊ย ๆ โอ๊ย ๆ”
ชุนพ่นลมหายใจ ใช้มือกุมขมับ ปวดหัวตุ๊บ ๆ จนสมองแทบจะระเบิดออกมาเป็นป๊อปคอร์น จากนั้นก็ผลักประตูดังปัง!
“ทำเสียงอะไรของเจ้าน่ะ”
“อ๊ะ”
พอได้ยินเสียงเรียกลินจิก็เงยหน้าขึ้นมา สีหน้าตอนตกใจอ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนปลาใกล้ตาย คิ้วเรียวตรงเป็นเส้นขนาดราวกับเอาไม้บรรทัดมาทาบแล้ววาดไว้ ปากนิด จมูกหน่อย มองไกล ๆ เหมือนมีลูกปัดกลม ๆ สะท้อนแสงบริเวณปลายจมูก
“ถามได้ ก็ร้องเพลงน่ะสิ เค้ากำลังฮิตเลย อ้ายแหน่น่ะ หัดฟังซะบ้างนะ”
“หยุดร้อง”
ชุนเป้ปากพลางตำหนิ ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินเสียงอะไรแบบนี้จากเทพเจ้าอัญเชิญ เขาเดินฮึดฮัดหน้าตูมไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาพลางสังเกตลินจิที่กำลังนั่งรื้อตู้เสื้อผ้าของโมโมะ อันที่จริงห้องนี้เป็นห้องของหล่อน แต่โมโมะก็ยกให้ลินจิพักชั่วคราว ข้าวข้องเครื่องใช้และตู้เสื้อผ้าก็เลยตกอยู่ในน้ำมือของเทพเจ้าอย่างไม่มีใครห้ามได้
“นิสัยไม่ดี”
ลินจิหันมาตอบ ทำปากยื่นเล็กน้อย ยิ่งจ้องตากัน ต่างฝ่ายก็ยิ่งแสดงสีหน้าไม่พอใจหนักกว่าเดิม พอชุนเห็นแบบนั้นก็หรี่ตามอง ริมฝีปากกระตุกยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย พลางสังเกตลินจิจากหัวจรดพื้น
“เจ้าหนู! ใส่ชุดนี้เหมาะดีนะ”
“เอ๊ะ”
ลินจิก้มมองพลางสำรวจชุดที่ตัวเองใส่ เขาสวมเสื้อทบสีขาวกับกางเกงขายาวที่รื้อมาจากตู้เสื้อผ้าของโมโมะ ซึ่งมันคือชุดของทาสรับใช้ที่เพิ่งลาออกไปเมื่อเดือนก่อน แต่ลินจิก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร และไม่คิดว่าเสื้อผ้าที่ตัวเองเลือกใส่นั้นจะส่งเสริมให้ตนดูดี
จากนั้นชุนก็ร้อง “หึ” ออกมาเบา ๆ
“เจ้าดูมีราศีความเป็นทาสอย่างเป็นธรรมชาติเลยล่ะ”
“อ๊ะ เดี๋ยวสิครับ นั่นชมเหรอ”
…ราศีความเป็นทาสมันหมายความว่าไงกันฮะ ลินจิเผลอร้องกระแทกสียง “คุณชุน!” ออกมาซะดัง ส่วนชุนก็ยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน เงยหน้ามองต่ำราวกับลินจิเป็นทาสผู้ต่ำต้อย ก่อนจะก้มหน้าหัวเราะจนไหล่สั่นในท่ากอดอก
ในขณะที่ลินจิกำลังโกรธจนหน้าเขียวที่โดนดูถูกว่าเป็นทาส ชุนก็หันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาอะไร
“ยูมิไปไหน”
“หือ”
เมื่อลินจิเจอประโยคคำถาม สิ่งที่อยากจะต่อว่าชุนเมื่อครู่ก็หายวับทันที เขาคิดก่อนตอบอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณชุนให้ยูมิมาขอร้องผมเรื่องตามหาผลึกดวงดาวนี่ครับ เธอก็เลยใช้เวทมิติไปสวรรค์เพื่อเอาอาวุธกลับมาให้”
คำพูดนี้ในจริงมีเท็จ ในเท็จมีจริง รายการที่ลินจิลิสต์ไปให้ยูมิมีแต่ของใช้ส่วนตัวทั้งนั้น ครีมกันแดด แว่นตา ชุดว่ายน้ำ แบตเตอรี่สำรอง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฯลฯ ซึ่งไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับการต่อสู้เลย
“หืม…”
ได้ยินแบบนั้นชุนก็ขมวดคิ้วเพ่งมองลินจิอย่างสงสัย หรือเทพอัญเชิญของเขาจะกลับตัวกลับใจรักดีมาช่วยพันธกิจสำคัญ
“เจ้ามีอาวุธด้วยรึ”
เมื่อถูกถามลินจิก็หลบตาทำท่าอึกอัก ถ้าชุนรู้ว่าเขาให้ยูมิไปทำเรื่องไร้สาระ มีหวัง…อึ๋ย… ลินจิคิดในใจพลางมองฝักดาบของชุน
ขณะที่ชุนเพ่งมองเพื่อเค้นคำตอบอย่างไม่กระพริบตา ลินจิเห็นท่าไม่ดีจึงแสร้งตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จกลบเกลื่อนสถานการณ์
“ผมมันเป็นเทพไม่ได้เรื่อง พลังต่อสู้ต่ำต้อย แถมยังไร้ประโยชน์ คุณชุนคงลำบากมากเลยสินะครับ ถึงอย่างนั้นผมก็จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยคุณชุน ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ โลกของผมมีอาวุธดี ๆ มากมาย ของที่สั่งยูมิไปทั้งหมดก็เพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ ผมก็อยากจะช่วยคุณชุนบ้าง แม้จะเล็กน้อยจนคุณชุนไม่เห็นคุณค่าก็เถอะ สำหรับคุณชุนแล้วผมคงเป็นตัวถ่วงสินะครับ”
ลินจิพูดเสียงเบาลง กะพริบตาเล็กน้อยจนน้ำตารื้นเปื้อนขนตาแต่ยังไม่ไหลออกมา แค่ปิ่ม ๆ เท่านั้น เขากำลังเล่นบทสาวน้อยผู้ไร้ค่าในสายตาของเจ้าชาย
ชุนฟังลินจิพูดอย่างสงสาร แต่ก็สงสัยว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ขณะเดียวกันนัยน์ตาของลินจิก็คลอไปด้วยหยาดน้ำบาง ๆ รอยยิ้มเปื้อนไปด้วยความขมขื่น ความน้อยอกน้อยใจ เหมือนคนสูญสิ้นทุกอย่างในชีวิต เห็นแล้วชุนก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจลินจิขึ้นมาจริง ๆ
“อย่างน้อยเจ้าก็มีเขตอาคมที่แข็งแกร่งนะ”
“แล้วคุณชุนเบื่อผมรึเปล่าครับ”
ลินจิได้คืบจะเอาศอก ที่ถามไปอย่างนั้นก็เพราะอยากให้ชุนแสดงท่าทีว่าตนนั้นสำคัญ แม้จะเล็กน้อย แต่น้ำขึ้นต้องรีบตัก โอกาสดี ๆ แบบนี้จะพลาดได้อย่างไร
ชุนใช้ความคิด คิดแล้วคิดอีก เดิมทีเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับลินจิอยู่แล้ว จึงไม่เคยคิดเรื่องที่ว่าเบื่อหรือไม่เบื่อมาก่อน แต่ถ้าใช้คำว่า ‘รำคาญ’ ก็น่าจะได้ พอมองดูสายตาของลินจิที่เต็มไปด้วยความหวัง ชุนก็คิดว่า…ถ้าตอบแบบนั้นจะตรงไปรึเปล่า
ลินจิบ่นอยู่ในใจ มารดามันเถอะ เขาเป็นถึงหนุ่มน้อยน่ารัก น่าทะนุถนอม บอบบางยิ่งกว่าสำลี ที่ต้องมาลำบากลำบนแบบนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ชัด ๆ ไหนจะปราบปีศาจ ไหนจะรวบรวมผลึกดวงดาว ยอมไปด้วยก็บุญโขแล้ว หัดสำนึกบุญคุณซะบ้างสิ บ่งเบื่ออะไรกัน เรื่องแค่นี้ยังต้องคิดอีก สมองพิการไปแล้วเหรอไง
“เจ้าหนู เจ้าถามข้าเรื่องนี้ทำไมกัน”
“ช่างเถอะครับ ถือว่าผมไม่ได้ถามก็แล้วกัน”
ลินจิตอบเสียงอ่อน ชูนิ้วกลางเรียวเล็กขึ้นมาปาดน้ำตา แล้วเบือนหน้าหนี
“ตอบข้ามา เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงถาม ถ้าคุณชุนรู้ว่าทำไม ช่วยตอบผมที”
คิ้วดกดำของชุนกระตุกหงึกขึ้นทันที เขาจ้องมองลินจิอยู่ครู่หนึ่ง พลางคิดว่า… บิดามันเถอะ คนที่ถามก็น่าจะต้องรู้สิ ทำไมถึงโยนให้คนที่ถูกถามเป็นฝ่ายคิดเรื่องของตัวเองได้เสียนี่ วันพรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางแล้ว ขืนยังสื่อสารกันไม่รู้เรื่องแบบนี้ มีหวังคงต้องกลายเป็นบ้าก่อนจะรวบรวมผลึกดวงดาวครบแน่ ๆ
“นี่!”
พอชุนตะเพิดเรียก ลินจิก็หันขวับพูดสวนทันที
“ผมไม่ได้ชื่อนี่ เรียกนี่อยู่นั่นแหละ ผมชื่อลินจิครับ”
ว่าแล้วลินจิก็รีบเผ่นออกจากห้อง ทิ้งให้ชุนนั่งเครียดอยู่ที่โต๊ะน้ำชาเพียงลำพัง จากนั้นชุนก็ถอนหายใจเสียงดังราวกับปอดจะทะลักออกมา