ตอนที่ 6 การแสดงของชายหนุ่ม
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะต่อกรกับหนุ่มหล่อหน้าบูดเป็นตูดหมึกได้ ลินจิใช้กลยุทธ์ล่อลวงชุนเพื่อแก้เผ็ด โดยการชักจูงด้วยคำเท็จและชี้นำด้วยผลลัพธ์อย่างมีชั้นเชิง ในที่สุดชุนก็หลงเชื่อหัวปักหัวปำว่าพิธีกรรม ‘คอสเพลย์’ จะสามารถส่งลินจิสู่สุขติได้ แม้ตอนแรกชุนจะคัดค้านเพราะไม่กล้าสวมเสื้อผ้าสตรี แต่ปัญหาติดขัดก็สลายไปด้วยกลเม็ดเคล็ดลับที่ลินจิวางอุบายไว้อย่างแยบยล
แม้จะรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่โลกนี้ไม่มีเครื่องสำอาง แต่ลินจิก็สรรสร้างปฏิมากรรมบนใบหน้าของชุนด้วยสีของดอกไม้ แม้จะเห็นไม่ชัดเจน แต่ดอกหน้าวัวที่ทัดหูก็ดูสะดุดตา ทำให้ภาพลักษณ์ของชายหนุ่มดูฟรุ้งฟริ้งกระดิ่งแมวขึ้นมาทันที
…อั๊ย อั๊ย น่าร๊อคเอาะร์
จากนั้นลินจิก็เผด็จศึก ด้วยการไปช่วงชิงชุดเดรสจีบระบายสุดโปรดของโมโมะจากตู้เสื้อผ้าของเธอ ก่อนจะวิ่งเร่กลับเข้าห้องอย่างลั้ลลา ตอนนี้หัวใจของเขากำลังฟูฟ่องเหมือนชิฟฟ่อนเค้กที่เพิ่งออกจากเตา ส่วนชุนก็นั่งกุมขมับหน้าเครียดราวกับนักเรียนทำไฟนอลเทส
“รีบ ๆ สวมเข้าสิ”
ลินจิยื่นเดรสให้ชุน กระตุ้นอย่างตื่นเต้น ส่วนอีกฝ่ายก็เพ่งมองเดรสสีขาวบริสุทธิ์จนคิ้วแทบจะชนกัน
“เอ่อ…”
“น่ารักใช่เปล่าครับ ชุดนี้คุณโมโมะหวงมากเลยล่ะ กว่าจะได้มาผมเหนื่อยแทบแย่”
ลินจิส่งยิ้มมุ้งมิ้งน่ารักให้ ขณะที่ชุนนั่งหน้าซีดอยู่ข้างโต๊ะน้ำชา
“เร็ว ๆ สิ”
ว่าแล้วลินจิก็คว้าเดรสจากมืออีกฝ่ายมาทาบ
“อืม เหมาะจริง ๆ ตอนแรกยังคิดอยู่เลยว่าจะเอาสีชมพูดีรึเปล่า แต่คิดถูกแล้วที่เลือกสีขา-”
เดรสสีขาวถูกกระชากกลับไปกลางครัน จีบระบายที่ติดอยู่สะบัดพลิ้วไปมา
“เอาไปคืนโมโมะเถอะ”
“อะไรกัน ผมตั้งใจเลือกให้เลยนะครับ ถึงกับต้องใช้พลังเฮือกสุดท้ายยื้อแย่งมา แบบนี้มันหยามน้ำใจกันชัด ๆ ฮือ…”
ลินจิโหวกเหวกโวยวายแกล้งร้องไห้เสียงดังเหมือนวัวออกลูก
“อย่ามาหาเรื่องนะ!”
“ใครหาเรื่อง คุณชุนนั่นแหละที่หาเรื่อง เอะอะอะไรก็จะฆ่าผม พอจะช่วยก็ปฏิเสธ เห็นน้ำใจของอื่นเป็นของเล่นหรือยังไง ทุกอย่างที่ทำไปช่างไร้คุณค่า ความอุตสาหพยายามสุดท้ายก็สูญเปล่า แม้แต่ความปรารถนาดีจากจิตใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของผม คุณชุนก็เหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาเจอเรื่องสะเทือนใจแบบนี้ ผมคงเจ็บปวดไปถึงชาติหน้าแน่ ๆ ฮือ ฮือ ฮือ…”
ลินจิเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ยังชิดซ้าย ด่าไปร้องไห้ไป อันที่จริงเขาแค่คิดถึงบ้านแต่ก็แสร้งสร้างสถานการณ์เชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกัน
“เอ่อ…คือข้า”
ชุนมองลินจิร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อเห็นน้ำตาของคนอายุน้อยกว่า ความรู้สึกที่เหมือนรังแกเด็กก็ผุดขึ้นมาในใจ ชีพจรกระตุกวูบ ความขุ่นเคืองก่อนหน้านี้หายไปเกือบหมด แต่ชุนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมลินจิต้องร้องไห้ซะใหญ่โตขนาดนี้ พูดกันดี ๆ ก็ได้ นี่เล่นด่าเขาจนเสียผู้เสียคนอย่างกับเป็นปีศาจร้ายก็ไม่ปาน
“เข้าใจแล้ว เจ้าห้ามแอบดูนะ”
ชุนถอนหายใจ กล่าวเสียงอ่อย แล้วเดินไปเปลี่ยนชุดหลังฉากกั้นรูปมังกร
…สำเร็จ
“ผมไม่ดูหรอกครับ”
หลังโดนสั่งมาแบบนั้น ลินจิก็รีบตอบกลับพลางเช็ดน้ำตาจอมปลอม ก่อนจะแอบย่องเข้าไปมองตรงขอบฉากกั้นอย่างตื่นเต้น
…โอกาสดี ๆ แบบนี้จะพลาดได้อย่างไรกัน
ขณะที่ชุนถอดเครื่องแต่งกายของตนออก เขาก็ค่อย ๆ หยิบเดรสมาใส่ด้วยท่าทีสุดจะกล้ำกลืน ใบหน้าแดงซ่านไปถึงคอด้วยความอับอาย ท่าตอนผูกโบว์บนเอวคอด ๆ นั่นก็ดูขัดกับบุคลิก ลินจิเห็นแล้วก็รู้สึกใจเต้นตึกตักจนลืมความโศกเศร้าเมื่อครู่ไป
พอชุนใกล้เสร็จ ลินจิก็รีบกลับมานั่งที่โต๊ะน้ำชาแล้วแสร้งทำทีประมาณว่า ‘นั่งรอตั้งนานแล้วนะ’
ชุนปรากฏกายออกมาจากฉากกั้น กล้ามเนื้อทั่วร่างเต้นตุบ ๆ ในใจรู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก น่าขายหน้าจริง ๆ เขาเป็นถึงบุรุษผู้ควบคุมธาตุทั้งสี่ ทำไมต้องมาทำเรื่องบัดสีเช่นนี้ด้วย หากคนอื่นรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เมื่อเห็นแววตาทอประกายของลินจิ ชุนก็รีบเบือนหน้าหนี กัดฟันเอ่ยว่า
“หลับตาซะเจ้าหนู ถ้าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”
“ผมสัญญาว่าจะไม่เล่าเรื่องนี้แค่คำเดียว”
ลินจิยืดอกพยักหน้าอย่างจริงจัง แสดงอารมณ์หนักแน่นชนิดที่ว่ายอมหักไม่ยอมงอ ถึงอย่างนั้นชุนก็ไม่ได้สงสัยในการเล่นคำของลินจิ
…จะไม่เล่าแค่คำเดียว แต่จะเล่าให้ครบทุกคำเลย
“ข้าบอกให้ปิดตา”
“เดี๋ยวก่อนสิครับ พิธีศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ จะเอาดาบที่มีกลิ่นคาวเลือดมาสร้างความแปดเปื้อนได้อย่างไรกัน เอามานี่! เดี๋ยวผมเก็บให้”
ลินจิลุกขึ้นรับดาบอย่างชมดชม้อย คล้อยตามองช้า ๆ แล้วก้าวขาไปที่เตียงก่อนวางดาบลง
“เจ้านั่งรออยู่ตรงนั้นแหละ อย่าเข้ามาใกล้ข้า”
“เริ่มได้แล้วครับ”
“หลับตา!”
ชุนหันมองลินจิด้วยสีหน้าถมึงทึง พลางออกคำสั่ง
“ครับ”
ลินจิรีบเอามือปิดตาแล้วกางเขตอาคมเพื่อความปลอดภัย เกิดแสงสีทองเป็นวงล้อมสว่างไสวรอบตัวทั้งสอง อันที่จริงเรื่องความปลอดภัยนั้นเป็นเรื่องรอง แต่หลัก ๆ คือเพื่อเพิ่มอรรถรสในการชม
“หันหลังไปซะ”
“ตามตำราบอกไว้ว่าต้องเปิดตา นี่ผมหยวน ๆ ให้แล้วนะครับ ถ้าคุณชุนทำไม่ได้ก็เลิกเถอะ อัญเชิญผมมาอยู่ในที่ตรากตรำแบบนี้ รับผิดชอบเลยนะครับ”
ชุนหน้ากระตุก ขบกรามแน่น หัวใจเต้นรัว เพื่อที่จะจัดการกับเรื่องน่าอับอาบให้จบ ๆ เขารีบพับนิ้วก้อยกับนิ้วกลางลง ทำท่าโบกไม้โบกมือร่ายรำพร้อมร่ายมนตร์อย่างแม่นยำตามที่ลินจิเคยสอนไว้
“มนตร์แห่งจันทราจงสำแดงฤทธา ณ บัดนี้…”
จากนั้นก็ไล่ไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เมอร์คิวรี่ มาร์ จูปิเตอร์
ลินจิแอบมองลอดง่ามนิ้ว เพลิดเพลินกับการแสดงของชายหนุ่มจนแทบจะลืมหุบนิ้วกลับ ในใจหัวเราะคิกคักจนเกือบจะกลั้นไว้ไม่อยู่ ถ้าแบตฯ โทรศัพท์ไม่หมดเขาคงจะถ่ายคลิปเก็บไว้ด้วย
และเมื่อจบด้วยท่าโพสต์ของวีนัส…
“เรียบร้อย”
ชุนหันไปบอกลินจิ เมื่อภาพตรงหน้าปรากฏหัวก็เดือดปุด ๆ ด้วยความโมโห
ลินจิถึงขีดจำกัดเผลอหลุดหัวเราะออกมาดัง “คิก” จากนั้นก็ปล่อยกร๊ากตีขาผึบผับ ๆ นอนหงายอยู่บนเตียง
ในที่สุดชุนก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าถูกหลอก
“นี่เจ้ากล้าหลอกข้าหรือ อยากตายใช่มั้ย!”
“ใจเย็นก่อนคุณชุน การหัวเราะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม น่าแปลกใจจริง ทำไมถึงไม่ได้ผลกันนะ สงสัยต้องลองใหม่อีกรอบ”
ลินจิทรงตัวเอานิ้วจิ้มคางพลางเงยหน้านึก ตอบกลับอย่างจริงจัง
ขณะเดียวกันชุนก็เดินตึงตังเข้าไปหาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะยืนนิ่งมองลินจิจนตาเขียว ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเจอเทพอัญเชิญตนไหนที่แสบขนาดนี้ คราวก่อนก็หลอกด่าว่าเขาเป็นหมา คิดว่าเท่านั้นก็หมดความอดทนแล้ว ปรากฏว่าวันนี้ยังกล้ามาหลอกเขาให้สวมชุดสตรีร่ายรำอีก ชุนกัดฟันแน่นจนได้ยินเสียงสะเทือนดังกึก ๆ อยู่ในปาก
“ผมบอกให้ใจเย็นก่อน เพราะใจร้อนแบบนี้ไงพิธีกรรมถึงได้ล้มเหลว”
ไม่ไหวแล้ว นี่คิดว่าเขาโง่เง่าเต่าตุ่นจนดูไม่ออกว่าถูกหรอกหรือไงกัน นับวันก็ยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าต้องอยู่ด้วยกันต่อไป มีหวังคงต้องสติแตกเข้าสักวันแน่
สัญญาณเตือนภัยของลินจิเริ่มทำงาน เขารีบคว้าผ้าห่มมาเป็นโล่ป้องกัน จากนั้นชุนก็ดึงผ้าห่มมาจากลินจิ
“อ๊าย! ไม่นะ อย่านะ โรคจิต!”
ลินจิร้องสุดเสียง เขาตกใจจนหน้าซีด ส่วนชุนก็ออกแรงยื้อแย่งผ้าห่มกลับมา วงแสงกลม ๆ ของเขตอาคมชนกันจนเป็นเครื่องหมายอินฟินิตี้ ‘∞’ พอชุนคว้าดาบของตนได้ เขาก็รีบหอบเสื้อผ้าเดินออกจากห้องในชุดเดรส
เขตอาคมวูบดับลง ลินจิกระพริบตาปริบ ๆ มองตามแผ่นหลังรูปสามเหลี่ยมคว่ำ ‘▽’ ของชุนไป ตอนที่ลินจิหลับตาแย่งผ้าห่มก็เผลอม้วนเอาดาบของชุนมาด้วย พอรู้ว่าเป้าหมายของชุนไม่ใช่ตน ลินจิก็รู้สึกเสียดาย
…ตายจริง เข้าใจผิดหรอกเหรอ อุตส่าห์ขัดขืนพอเป็นพิธี
ในสายตาของลินจิ ชุนที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเอาการ ฝีมือต่อสู้ร้ายกาจ เหมือนคนที่ผ่านศึกสงครามและโลกนี้มาอย่างโชกโชน แต่บางครั้งลินจิกลับรู้สึกว่า…ชุนชอบทำตัวไม่รู้ประสีประสาราวกับหนุ่มเวอร์จิ้น จะว่าไร้สมองก็ไม่ใช่ เรียกว่าไร้เดียงสาน่าจะเหมาะกว่า เลยถูกหลอกเอาง่าย ๆ แบบนี้สินะ
ขณะที่คิดว่า…ชุนจะเคยมีประสบการณ์เรื่องอย่างว่ารึเปล่านะ ลินก็จิส่ายหัว
…ไม่หรอกมั้ง ก็ดูโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่ แถมยังหน้าตาแบบนั้นอีก
เมื่อความคิดต่ำตมดับลง ลินจิก็ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง ทันใดนั้นฟ้าก็ร้องครืนขึ้นมา ปรากฏก้อนเมฆดำครึ้มตั้งเค้าปกคลุมทั่วบริเวณ
…อึ๋ย เดี๋ยวถูกฟ้าผ่า น่ากลัว
เห็นอย่างนั้นลินจิจึงปิดหน้าต่างกลับดังเดิม ก่อนจะกลับไปกอดผ้าห่มอยู่บนเตียงอย่างเหงาหงอย จู่ ๆ ความรู้สึกผิดก็จู่โจมลินจิเข้าอย่างจัง
…แกล้งแรงไปรึเปล่านะ
หากเจอหน้ากันอีกครั้ง ลินจิก็อยากจะขอโทษ ขณะที่กำลังกลัดกลุ้ม ความหิวโหยก็เข้ามาทักทาย แต่ลินจิก็ไม่กล้าออกจากห้อง เพราะไม่รู้ว่าชุนจะสติแตกขึ้นมาอีกรึเปล่า
…เดาไม่ถูกเลยจริง ๆ
“ท่านเทพ เข้าไปได้มั้ยคะ”
ลินจิลืมตาช้า ๆ เมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ ดังงุ้งงิ้งอยู่หน้าห้อง หลังจากฝนตกเขาก็ผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
“…ครับ ได้ครับ”
เขาพยุงตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วขานรับ จากนั้นยูมิก็เปิดประตูก้าวสั้น ๆ เข้ามาพร้อมถาดอาหารสีดำแดง
ลินจิมองเธอเดินอย่างหงุดหงิด
…ไม่เข้าใจจริง ๆ ถ้าเดินลำบากขนานนั้นจะใส่กระโปงแคบ ๆ ทำไมกัน เป็นเขาหน่อยไม่ได้ จะฉีกข้างให้ถึงรักแร้เลย
เมื่อมาถึงโต๊ะน้ำชา ยูมิก็วางถาดอาหารแล้วนั่งลง ลินจิได้กลิ่นหอมโชยเข้าจมูกก็ลุกลี้ลุกลนเดินไปดู
ในถาดมีเนื้อย่าง ข้าวสวย ผัดผักชนิดที่เป็นแท่งยาว ๆ และซุปใส
“ขอโทษด้วยนะครับ ที่ต้องรบกวน”
ลินจินั่งลงพลางตอบอย่างสุภาพจนรู้สึกไม่เป็นตัวเอง บนโลกนี้คงมีแต่ชุนเท่านั้นที่เขาสามารถแสดงความต่ำตมออกมาได้อย่างไม่ต้องกั๊กหรือหมกเม็ด
“พี่ชุนให้เอามาถวายท่านเทพค่ะ”
ลินจิดีใจตาลุกวาวเมื่อรู้ว่าชุนเป็นห่วงตน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสำนึกผิดที่ดันไปแกล้งชุนแรงขนาดนั้น
ไม่ทันไรชุนก็ปรากฏตัวอยู่หน้าประตูในท่ากอดอกแล้วส่งเสียง “หึ” ออกมา เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิมเรียบร้อยแล้ว
“ข้าแค่ไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้า”
“อ้อ งั้นหรือครับ”
…อย่างนี้นี่เอง ดูท่าจะไม่ได้ทำเพื่อเราสินะ
ยูมิหัวเราะปิดปาดพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อย่างจ่อปากลินจิ
เมื่อเห็นเนื้อย่างตรงปลายตะเกียบดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมา ลินจิก็ร้องอย่างตกใจ
“เหวอ… เอาอะไรมาให้กินเนี่ย”
“ว๊าย!”
ยูมิเองก็สะดุ้งเหมือนกัน เธอปาตะเกียบลงพื้น ลุกขึ้นยืนเอามือทาบอกอย่างใจหาย
“มานี่ ข้าจัดการเอง”
ชุนรีบพุ่งพรวดเข้ามาราวกับสุนัขลาบราดอร์ไล่ตามกระดูก จากนั้นก็แบมือทั้งสองจ่อที่จานเนื้อย่าง เสี้ยววินาทีนั้นเปลวเพลิงก็ลุกโชนท่วมชิ้นเนื้อ
“จริง ๆ เลยนะ ต้องลำบากข้าอยู่เรื่อย”
เมื่อเนื้อบนจานหยุดการเคลื่อนไหว ชุนก็ใช้สันมือสับลงกลางหัวของลินจิ
“โอ๊ย อะไรอีกเนี่ย”
“แค่นี้ยังน้อยไป เป็นเทพประสาอะไร กับไอ้แค่เศษเนื้อยังทำอะไรไม่ได้”
“อย่าทะเลาะกันสิคะ”
ยูมิเดินเข้าคั่นกลางปรามทั้งสอง ก่อนก้มลงเก็บตะเกียบ จากนั้นก็ใช้หัวคารอทฟาดเพี๊ยะ ๆ ลงไปที่ชิ้นเนื้ออย่างโหดเหี้ยม
ลินจิรู้สึกแปลกใจ สงสัยว่ายูมิหยิบแครอทตอนไหนกัน หรือว่าเธอพกติดตัวเอาไว้ …ไม่หรอกมั้ง
เมื่อชิ้นเนื้อปีศาจบนพื้นแน่นิ่ง ยูมิก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อเอาไว้
“ตายจริง เดี๋ยวข้าไปเปลี่ยนตะเกียบให้นะคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ว่าแต่…เนื้อนี่กินได้จริง ๆ เหรอครับ”
ยูมิวางตะเกียบลงบนโต๊ะ แล้วสะบัดชิ้นเนื้อเมื่อครู่ออกนอกหน้าต่าง ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งอังแก้ม ก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนกำลังลังเลว่าควรบอกดีรึเปล่า
ลินจิรีบหยิบตะเกียบคีบเนื้อเข้าปากโดยไม่รอฟังคำตอบ จากนั้นก็พุ้ยข้าวเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างมูมมามเหมือนหมูกินรำ
“อ่าอ่อยอีอ๊ะอั๊บ”
เมื่อรู้ว่าลินจิชอบ ยูมิก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เหมือนตัดสินใจได้
“ถือเป็นของหายากเลยล่ะคะ”
“…?”
ลินจิใช้ปลายตะเกียบจิ้มปาก เงยหน้ารอฟังอย่างสงสัย
“มันคือก้อนเนื้องอกของปีศาจค่ะ พักนี้มีปีศาจล้มป่วยเพราะเนื้องอกเยอะ ชาวบ้านเลยช่วยกันรักษา โดยการตัดก้อนเนื้องอกพวกนี้มาขาย นอกจะได้ช่วยเหลือปีศาจแล้ว ยังได้อาหารกลับมาด้วยค่ะ ถือเป็นการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน”
“อุก…”
ลินจิแทบสำลอกออกมา เขาเอามือปิดปากงอตัวลงเพื่อกลั้นอาหารและน้ำย่อย แต่อาการคลื่นเหียนก็เข้าจู่โจมอย่างไม่หยุดยั้ง
“มากเรื่องเสียจริง ถ้ากินไม่ได้ก็เททิ้ง” ชุนเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย
เมื่อลินจิได้ยิน ความหงุดหงิดก็เข้าแทรกทันที เขาพยายามกลืนอาหารที่จุกคอลงท้อง พออ้าปากทำท่าจะเถียง ยูมิก็ยกมือห้ามลินจิด้วยท่าทางประมาณว่า ‘อย่าเลย’
ชุนเหลือบตามองลินจิที่แยกเขี้ยวขู่แง่ง ๆ ข้างโต๊ะน้ำชาแล้วใช้ฝักดาบเขกหัวโป้ก
“โอ๊ย”
ขณะที่ลินจิร้องโอดครวญ เขาก็พูดเบา ๆ ว่า “ฝากด้วยนะยูมิ” ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเยือกเย็น