ตอนที่แล้วMoney Monster Episode VI [หัวใจที่แตกร้าว]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMoney Monster Episode IX [สู่พรมแดนไร้ขอบเขต]

Money Monster Episode VIII [นายธนาคารแห่งความมืด]


Money Monster

Episode VIII

[นายธนาคารแห่งความมืด]

 

หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว โลกภายนอกเป็นเช่นไรและเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไลท์ไม่ได้ล่วงรู้เลยแม้แต่น้อย ถาดอาหารที่นำมาเสิร์ฟยังเต็มไปด้วยกับข้าวที่เย็นชืดแทบไม่ได้รับการแตะต้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ้องไปเรื่อยเปื่อยหวนคิดถึงความทรงจำที่ผ่านมา

ภาพของพ่อแม่ น้องชาย น้องสาวฝาแฝดวนเวียนในหัวซ้ำไปซ้ำมาไม่มีหยุด เขาอยากร่ำไห้แต่ก็เหนื่อยจะทำจนใจแทบขาด จมปลักอยู่กับความเศร้าแบบไร้จุดหมาย ช่างเป็นความทรมานที่ยากจะลืมเลือน

“จะทำยังไงดี...” ไลท์โอดครวญอย่างแผ่วเบา ทั้งหดหู่และสับสนหนทางจะไปต่อ เขาซุกหน้าลงหมอนอย่างสิ้นหวัง ทว่า กลับมีเสียงหนึ่งดังที่ข้างหู

“ก็ทำสัญญาสิครับ” เป็นเสียงของผู้ชายกระซิบที่ข้างหู ไลท์ดีดตัวสะดุ้งไปชิดกำแพงอย่างแตกตื่น สายตาของเขาเพ่งเล็งไปที่อีกฝ่ายด้วยความหวาดระแวงเต็มพิกัด เมื่อกดปุ่มฉุกเฉินเพื่อจะเรียกคนอื่นเข้ามาก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ

“กดไปก็ไม่มีประโยชน์ครับท่านไลท์ เพราะในห้องนี้มีแต่พวกเราเท่านั้น และจะไม่มีใครเห็นหรือรับรู้การสนทนาของกระผมกับท่านอย่างแน่นอน”

“คุณป็นใคร” ไลท์หรี่ตาถาม

“โอ้ กระผมช่างเสียมารยาทซะจริง กระผมมีชื่อว่า[อเดมัส]เป็นนายธนาคารแห่งความมืดครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” อเดมัสเอ่ยแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงราว190เซนติเมตร สวมชุดสูทสีดำทั้งตัว ผิวกายสีขาวซีดราวซากศพ ใบหน้ายิ้มละไมที่ให้ความรู้สึกน่าขนลุกราวกับภาพวาด รอบกายแฝงไปด้วยกลิ่นอายบางอย่างที่เหมือนกับเคยรู้จักมาก่อน

ความรู้สึกแบบนี้มันยังไงกันนะ?

เหมือนพวกกรีดเลย

“นายธนาคารแห่งความมืด..เป็นพวกเดียวกับกรีดหรือโบรกเกอร์งั้นเหรอ”

“ไม่ใช่ครับ กระผมเป็นผู้รับใช้ของท่านมาม่อน” อเมดัสเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แต่ดวงตาของไลท์กลับเบิกกว้างออก เขาพุ่งตัวเข้ากระแทกใส่ชายสวมสูทจนล้มลงกับพื้น ใช้ร่างกายกดอีกฝ่ายพร้อมบีบคออย่างสุดแรง

“งั้นเหรอ! เพราะแกส่งจดหมายและเหรียญบ้าอะไรก็ไม่รู้มาให้ฉัน ครอบครัวของฉัน ครอบครัวของฉันเลยต้องตาย!” ใบหน้าของไลท์บิดเบี้ยวไปด้วยโทสะเพิ่มแรงบีบที่คอให้มากยิ่งขึ้น แต่อเมดัสกลับไมได้แสดงท่าทีขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ยังคนรอยยิ้มอันไร้รสชาติไว้ดังเดิม

‘เจ้าหมอนี่’

“แหม เปล่าประโยชน์ครับท่านไลท์ ต่อให้เอาลูกตะกั่วมาเป่าหัวผมในระยะเผาขน ท่านก็ไม่มีทางเห็นเลือดผมสักหยดอยู่ดี ฟุฟุฟุ” อเมดัสหัวเราะด้วยท่าทีอันเยือกเย็น ไลท์กระตุกคิ้วอย่างเจ็บใจก่อนจะปล่อยมือออกอย่างเชื่องช้า

“ทำไมถึงส่งเหรียญมาให้ฉัน..” ไลท์ถามอย่างแผ่วเบา

“ชะตากรรมของท่านเป็นที่ต้องการของท่านมาม่อนครับ”

“ชะตากรรมของฉันมันมีค่ามากมายขนาดนั้นเลยเหรอ”

“แน่นอนสิครับ!” อเดมัสยิ้มกว้างและดีดนิ้วเสียงดังเปราะหนึ่งที เพียงพริบตาเดียวร่างของนายธนาคารแห่งความมืดก็หายวับไปจากพื้น

‘หายไปแล้ว!’

“แต่เพราะท่านไม่ยอมใช้เหรียญสักที เลยกลายเป็นหน้าที่ของพวกผมที่จะมาโน้มน้าวท่าน” เสียงของอเดมัสดังมาจากด้านหลัง ไลท์รีบหันขวับไปมองที่ต้นทางเสียงดีๆ พบว่าเจ้านั่นมานั่งจิบกาแฟบนเก้าอี้โยกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“โน้มน้าว..งั้นเหรอ”

“ครับ ที่จริงนายธนาคารแห่งความมืดอย่างเรามีหน้าที่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยดำเนินการ ผู้ให้คำปรึกษา หรือกระทั่งเป็นนักทวงหนี้ แต่หน้าที่หลักของเราก็คือการเป็น[พนักงานฝ่ายขาย] และ [จัดการธุรกรรมการเงิน] การโน้มน้าวให้ชิพเตอร์กลายเป็นโบรกเกอร์คืองานหลักของเรา”

“...”

“มีคำถามอะไรรึเปล่าครับ?”

“ไม่”

“ถ้าเช่นนั้นกระผมของเข้าประเด็น” อเดมัสเอ่ยและเสกสมุดปกหนาเล่มใหญ่ออกมาเปิดดูกลางอากาศ

“ด้วยอำนาจของชะตากรรมที่ท่านมีในตอนนี้ ท่านสามารถคืนชีพให้กับครอบครัวของท่านได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ก็มีเหตุผลบางประการที่ทำให้ท่านไม่ยอมใช้เหรียญเสียที พอจะบอกได้หรือไม่ว่าด้วยเหตุใด?” อเดมัสเอ่ยถาม ส่งผลให้ชายหนุ่มเงียบงันไปครู่หนึ่ง

ไลท์ลุกขึ้นไปนั่งบนเตียงก่อนจะค่อยๆ นึกทบทวน หนึ่งวันมานี้มีคนหลายคนที่เข้ามาพูดโน้มน้าวให้เขาอย่าเพิ่งใช้เหรียญ ไม่ว่าจะเสนอของมีค่ามากมาย ส่งผู้หญิงสวยๆ มาพูดจาเกลี้ยกล่อม แต่ไลท์ก็หาได้สนใจไม่ ฉะนั้นเหตุผลที่ยังไม่ใช้เหรียญไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำพูดหว่านล้อมนั่นแน่ๆ

“ให้ผมเดา เพราะคุณไม่มั่นใจใช่ไหมล่ะครับ?”

“!” หัวใจของไลท์เต้นแรงวูบหนึ่ง

“เพราะว่าคุณได้เห็นการต่อสู้ระหว่างโบรกเกอร์กับกรีดมาแล้ว และได้ฟังเกี่ยวกับเงื่อนไขหลังทำสัญญาไปเป็นที่เรียบร้อย เลยรู้สึกไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะส่งเงินให้ได้ทุกเดือน ใช่หรือไหม?”

“....”

“แสดงว่าใช่จริงๆ ด้วยสินะครับ” อเมดัสยิ้มอีกครั้งอย่างผู้มีชัย ไลท์ได้แต่แน่นิ่งไม่ตอบโต้อะไรทั้งสิ้น

แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นอย่างที่อเดมัสพูดเกือบทั้งหมด

ไลท์ได้เห็นการต่อสู้ของเมซูลมาแล้ว แถมยังอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายตั้งหลายครั้ง ต่อให้ได้พลังมา เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถทำได้เทียบเท่าโบรกเกอร์คนอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการหาเงินมาส่งทุกเดือนแบบไม่ขาด

หากไม่สามารถส่งเงินติดต่อกันสามเดือน ความปรารถนาทั้งหมดจะถูกริบคืนนั่นคือสิ่งที่ไลท์รู้มาจากเมซูล หากเขาขอให้ครอบครัวกลับคืนมาแต่หาเงินส่งไม่ได้ขึ้นมาล่ะ? ครอบครัวของเขาจะต้องหายไปอีกตลอดกาล

ไม่มีหลักประกันอะไรว่าถ้าใช้เหรียญแล้ว ครอบครัวของเขาจะคงอยู่ไปตลอดกาล เขาอยากใช้เหรียญแต่ไม่กล้าพอ เสมือนมีขุนทรัพย์มากองอยู่ตรงหน้าแต่ไม่สามารถก้าวเข้าไปเอาได้เพราะไม่รู้ว่า เส้นทางตรงหน้าจะมีกับดักซุกซ่อนไว้หรือไม่

หากพลาดพลั้งแม้แต่ก้าวเดียว ทุกอย่างจะต้องสูญเปล่าไปทั้งหมดเหมือนการต่อโดมิโน

‘อึดอัดจัง’

“ฟุฟุ” อเดมัสแอบแสยะยิ้มขึ้นมาแวบหนึ่ง

‘ดูเหมือนนิสัยที่ชอบคิดอะไรให้รอบคอบจะเป็นตัวปัญหาสินะครับ แต่เพราะเป็นคนแบบนี้ท่านมาม่อนเลยชอบ’ อเดมัสคิดในใจก่อนจะดีดนิ้วให้สมุดปกหนาหายไปและเป็นการเรียกสติของชายหนุ่มให้กลับคืนมาอีกด้วย

“ท่านต้องการหลักประกันสินะครับ!”

“...”

“นี่แกอ่านใจฉันได้ใช่ไหม”

“นายธนาคารแห่งความมืดต้องมีทักษะเพียบพร้อมครับ พวกกระผมต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าเพื่อจะได้ตอบสนองความต้องการได้อย่างตรงจุด และขอแสดงความยินดีให้แก่ท่านไลท์อย่างสุดซึ้ง เพราะพวกเรามีสุดยอดข้อเสนอสุดวิเศษมาให้ท่านแล้วครับ!”

“ว่าไงนะ” ไลท์ทำสีหน้าประหลาดใจก่อนจะสังเกตเห็นรอยยิ้มของอเดมัสเปลี่ยนไป ไม่ใช่รอยยิ้มอันจืดชืดไร้รสชาติอีกต่อไป แต่มันแฝงไปด้วยกลิ่นอายเร้นลับ

“เพราะมีลูกค้าของเราจำนวนไม่น้อยที่ชะตากรรมมีอำนาจสูงมาก แต่คำขอของพวกเขาช่างเล็กน้อยจนน่าเสียดาย ท่านมาม่อนเลยคิดนโยบายสุดฉลาดปราดเปรื่อง”

“ว่ามา เร็วๆ เข้า”

“อย่างที่ท่านทราบอยู่แล้ว ว่ายิ่งคำขอยากเท่าใดหนี้สินที่ท่านต้องแบบรับก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ในกรณีที่มีหนี้สินมากเกินไป ทางเรามีตัวช่วยสุดวิเศษเพื่อสนับสนุนให้เป็นกรณีพิเศษ ยิ่งมีหนี้สินมากเท่าไหร่ การ์ดคู่หู อาวุธ ชุด ความสามารถพิเศษก็จะมีความแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”

“เป็นการทำให้ชิพเตอร์มีความมั่นใจที่จะใช้เหรียญมากขึ้นสินะ...”

“ใช่แล้วครับ! สมกับเป็นท่านไลท์ สติปัญญาช่างปราดเปรื่องเสียนี่กระไร”

“แบบนั้นมันก็..” ไลท์หยุดคิดครู่หนึ่ง

การได้รับตัวช่วยอาจเพิ่มความสะดวกในการหาเงินมากยิ่งขึ้น แต่มันจะมากน้อยสักแค่ไหนกัน? อันนี้ไลท์ก็ไม่ทราบ มันคลุมเครือเกินไป บางทีอาจเป็นกลลวงที่อเดมัสกับมาม่อนใช้หว่านล้อมก็ได้ เพราะอย่างไรดูเหมือนฝั่งนั้นจะต้องการชะตากรรมของเขามาก

‘เดี๋ยวก่อนนะ?’

“อเดมัส” ไลท์เอ่ยชื่อของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ทำให้นายธนาคารแห่งความมืดเอียงตัวขานด้วยรอยยิ้มว่า

“ครับ?”

“ชะตากรรมของฉันพิเศษมากไหม”

“มากสิครับ”

“มากขนาดไหน”

“มากชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์เลยครับ”

“ถ้างั้น..ไม่คิดเหรอว่าข้อเสนอที่ฉันสมควรได้รับควรพิเศษชนิดไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์?”

“!!!” อเดมัสถึงกับเบิกตากว้างให้แก่คำพูดของชายหนุ่ม ใบหน้าอันหม่นหมองของไลท์กลับฉายสีสันเป็นประกายขึ้นในทันที ดวงตาสีน้ำเงินจดจ้องมาที่ตนราวกำลังจับผิดสังเกต ส่งผลให้เขายิ้มที่มุมปาก

‘พอมองเห็นโอกาสก็เปลี่ยนไปอย่างกันคนละคน ใช้ประโยชน์จากความต้องการของเราเรียกร้องผลประโยชน์ให้ตัวเองมากขึ้นงั้นหรือครับ สมแล้วที่ท่านมาม่อนต้องการเป็นพิเศษ’

“นอกจากอาวุธ การ์ด ชุด ความสามารถติดตัว ฉันคิดว่าควรมีอะไรเพิ่มขึ้นมาสักหน่อย เช่นการ์ดหายากหลายๆ ใบ โบนัสเมื่อกำจัดกรีดได้มากขึ้น เพิ่มความสามารถที่ได้เปรียบในการต่อสู้ มีโอกาสจับได้การ์ดดีๆ มาขึ้นมือตามที่ใจต้องการเป็นบางครั้ง อะไรเทือกนี้”

“อืม..ถ้าเช่นนั้นเดี๋ยวกระผมขอไปหารือกับท่านมาม่อนเสียก่อน”

‘สำเร็จ ต้องต่อรองเพิ่มอีกสักหน่อย’ ไลท์คิดในใจ

“กระผมขอตัวสักครู่ นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากกระผมขอรับ” อเดมัสลุกขึ้นยืนตรงก่อนจะโน้มตัวทำความเคารพ ทิ้งปืนพกให้ไลท์หนึ่งกระบอกไว้บนโต๊ะแล้วอันตรธานหายไปในอากาศ

“หนีไปซะแล้ว..” ไลท์กล่าวพึมพำอย่างเสียดายก่อนจะลุกไปหยิบปืนกระบอกนั้นมาไว้ในมือ

‘ถึงอะไรจะยังไม่แน่นอน แต่อย่างน้อยถ้าใช้เหรียญเราก็มีตัวช่วยให้เหนือมากกว่าโบรกเกอร์คนอื่นๆ ถ้าทำได้โอกาสที่จะสร้างความมั่นคงจนส่งเงินได้ทุกงวดก็เป็นไปได้ เราต้องรอดูก่อนว่าอเดมัสกับมาม่อนจะมีข้อเสนอพิเศษอะไรมาให้เราบ้าง’

‘ตอนนี้เหลือเวลาอยู่ประมาณสองสามวันก่อนเหรียญจะหมดอำนาจ ยิ่งเวลาใกล้หมดพวกนั้นก็จะยิ่งตื่นตัว ที่เราต้องทำคือรอคอยอย่างใจเย็นเท่านั้น’

 

          ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามทีตามด้วยเสียงไขกุญแจดังจากด้านนอก กลไกรักษาความปลอดภัยเริ่มปลดออกทีละขั้นก่อนจะถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นผู้มาเยือนอันแสนจะแปลกตาจำนวนหนึ่ง

กลุ่มคนสวมชุดสีน้ำตาลเข้มก้าวเข้ามาภายในห้องก่อนที่จะมีสมาชิกในพันธมิตรบางส่วนตามหลังมาติดๆ ไลท์หรี่สายตามองผู้มาใหม่ด้วยท่าทีระมัดระวังแล้วซ่อนปืนพกไว้ที่ด้านหลัง

“ยินดีที่ได้รู้จัก ชื่อของฉันคือโจนาธาน หวังว่าจะเป็นมิตรต่อกัน” ชายรุ่นใหญ่คนหนึ่งก้าวออกมาด้านหน้าสุดและเอ่ยแนะนำตัว เขาแต่งตัวแตกต่างจากคนอื่นๆ เล็กน้อย ดูเหมือนจะเป็นคนมีอำนาจสูงคนหนึ่ง สังเกตจากการที่พวกพันธมิตรค่อนข้างมีท่าทีประหม่าต่อเขา

“ผมชื่อไลท์ ลินสตอร์ม”

“ไลท์ ลินสตอร์ม เป็นชื่อที่ดี” โจนาธานเอ่ย

“มีธุระอะไร”

“พวกเราแค่อยากพบเธอเป็นการส่วนตัว ที่จริงน่าจะเรียกว่าฉันคนเดียวมากกว่า คนอื่นแค่ตามมาด้วยเฉยๆ”

“คนธรรมดาแบบผมมีอะไรให้เชยชมงั้นหรือ”

“ก็แค่อยากเห็นหน้าเท่านั้น ไม่ได้มีเหตุผลแอบแฝงอะไรเลยจริงๆ ทำไมเราถึงไม่อยากเห็นคนที่ต้องปกป้องคุ้มครองล่ะ? จริงไหม”

“ปกป้องคุ้มครอง...”

“ใช่” โจนาธารยิ้มเล็กน้อยก่อนที่คำพูดต่อไปจะทำให้พวกตนต้องผงะ

“น่าแปลกใจ ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนกำลังถูกคุมขัง” สิ้นเสียงของไลท์สายตาสบประมาทนับสิบคู่ก็พุ่งมาใส่เขาเป็นตาเดียวกัน โจนาธานเผยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างเป็นเลศนัย

“ความปลอดภัยของชิพเตอร์เป็นสิ่งสำคัญลำดับแรก เราต้องปกป้องคุ้มครองเธอจนกว่าเหรียญจะหมดสิ้นอำนาจ มาตรการรักษาความปลอดภัยต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ ถ้านั่นทำให้รู้สึกไม่สบายใจก็คงต้องขอให้ทำใจสักหน่อย”

“อีกเหตุผลก็คือ สะดวกต่อจับตาดูพฤติกรรมสินะ” ไลท์ลดสายตาต่ำลงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตาหวาดมองจับสังเกตปฏิกิริยาต่อทุกคนภายในห้อง เขาพบว่าทุกคนนิ่งสนิทไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรอีกเลย

‘ยอมรับกันแล้วสินะ เราถูกใช้เป็นเครื่องมืออย่างที่คิดจริงๆ’

โบรกเกอร์พวกนี้ต้องการให้ไลท์ไม่ใช้พลังของเหรียญจนกว่าอำนาจของมันจะหมดลงเพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรให้มากที่สุด เพื่อการนั้นเลยต้องส่งคนมาเกลี้ยกล่อมและจับตาดูพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด และเหมือนกลุ่มของโจนาธารจะไม่ใช่หนึ่งในพันธมิตรและมีอำนาจสูงกว่า

ดูเหมือนอำนาจของเหรียญที่เขาถือครองอยู่จะรุนแรงมากจนดึงดูดกรีดให้เข้ามามหาศาล ภายนอกคงกลายเป็นสงครามขนาดย่อมๆ ไปแล้ว เลยต้องหาคนมาช่วย

“พูดความจริงเถอะ ทำไมถึงเข้ามาหาผมถึงที่นี่”

“ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรจริงๆ ฉันแค่อยากมาดูว่าคนที่ดึงดูดกรีดได้มากขนาดนี้จะมีหน้าตาเป็นยังไง” โจนาธานยักไหล่หัวเราะตอบอย่างร่าเริง แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับยังคงทำสีหน้าเคร่งขรึมอยู่

“ก็มีหน้าตาเป็นอย่างที่เห็น กลับไปเถอะ ทางนี้กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ รู้หรือยัง ว่าครอบครัวผมตายหมดแล้ว”

“ขอแสดงความเสียใจด้—”

“เฮ้ย! ไอ้ชิพเตอร์สวะ คนอุตส่าห์ท่อมาถึงที่ ทำให้ไม่เห็นจะซาบซึ้งบุญคุณพวกเราเลยสักนิดฟะ” ชายผมทองคนหนึ่งก้าวขึ้นมาตรงหน้าและมองต่ำลงมาที่ไลท์ด้วยสายตาเหยียดหยาม ทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาในทันที

“จัสติน อย่าพูดจาเสียมารยาท” โจนาธานเอ่ยเตือน แต่ชายผมทองเมินหน้าหนีไปทางอื่นไม่เชื่อฟังคำพูดเลยสักนิด

“คนพูดจาเสียมารยาทคือมันต่างหาก อะไรวะนั่น อยู่ในห้องเล็กเป็นรูหนู แค่ครอบครัวตายทำเป็นนั่งซึม เห็นแล้วรกหูรกตาชะมัด” จัสตินเดินเข้ามาใกล้ไลท์และยื่นหน้าเข้ามาจ้องเขม่ง สายตาของไลท์คมกริบขึ้นในบัดดลและจ้องกลับไปอย่างหาญกล้า ทำให้ชายผมทองไม่สบอารมณ์เล็กน้อย

“มองอะไรของแก อยากมีปัญหานักรึไง”

“เอาอีกแล้วนิสัยเสียของเจ้าจัสติน”

“แหย่ชิพเตอร์แล้วมันสนุกตรงไหนกัน” เพื่อนร่วมงานคนอื่นแอบซุบซิบกันลับหลัง ดูเหมือนว่าชายที่ชื่อจัสตินจะมีนิสัยชื่นชอบการแหย่ชิพเตอร์ทำให้คนพวกนี้ไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดใจอะไรเลย

โจนาธานได้แต่ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีจะเข้ามาห้ามเลยแม้แต่นิดแถมแอบยิ้มที่มุมปากเล็กๆ อีกด้วย

‘ทำไมถึงยิ้ม?’

“มองมาทางนี้สิวะ ไอ้ชิพเตอร์สวะนี่” จัสตินพ่นถ้อยคำขยะให้ไลท์กลับมาสนใจ

“รู้ไว้ซะด้วยว่าถ้าไม่ใช่เพราะโบรกเกอร์อย่างพวกฉันคอยฆ่ากรีดให้ ชิพเตอร์แบบพวกแกตายเป็นหมาข้างถนนไปนานแล้ว สำนึกไว้ซะพวกเราเป็นบุญคุณขนาดไหน เอ้า! ทำไมยังไม่ก้มกราบอีก”

“เหรอ ฉันไม่เห็นจำได้สักคำว่าขอให้ช่วย”

“หา?”

“นอกจากโบรกเกอร์ที่พาฉันมาที่นี่ ฉันไม่เคยพูดสักคำเดียวว่าขอให้ช่วย แน่จริงก็ปล่อยฉันให้ออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกสิ”

“ไอ้เวรนี่!” จัสตินทำใบหน้าบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดกระชากคอไลท์ขึ้นกระแทกเข้ากับพนังกำแพง คนอื่นเห็นท่าไม่ดีคิดจะเข้าไปห้ามแต่โจนาธานยกมือขึ้นมาขวางเอาไว้ก่อนจะส่งเสียงแผ่วบางว่า “ปล่อยให้ทำไป” ทำให้คนเหล่านั้นพยักหน้าเบาๆ เป็นการรับทราบ

“ชิพเตอร์อย่างฉันคือทรัพยากรของพวกโบรกเกอร์ทุกคน ไม่ใช่ฉันที่ต้องเป็นคนขอให้ช่วย แต่เป็นโบรกเกอร์ต่างหากที่ต้องขอให้ฉันอยู่ ขอโทษนะ แต่ไพ่ฉันดีกว่า”

“แก!!” จัสตินว้ากเสียงดังลั่น ทำให้ไลท์เกิดสะดุ้งขึ้นด้วยความหวาดหวั่น ใบหน้าของชายผมทองที่เด่นสง่าไปด้วยออร่าผู้ดี บัดนี้บูดเบี้ยวจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลยแม้แต่น้อยจนแอบผิดหวังนิดๆ ที่ยุแยงง่ายเกินคาด

“หึหึ นั่นสินะ แต่ว่า! ถึงให้แกตายไม่ได้แต่ถ้าทรมานล่ะก็ง่ายนิดเดียว ฉันจะซ้อมแกจนต้องร้องขอชีวิต ขอแค่แกไม่ตายพวกฉันก็ไม่แคร์ว่าแกจะเป็นยังไง ไอ้ชิพเตอร์สวะ ลองลิ้มรสชาติของพลังฉันหน่อยเป็นไง!” จิสตินแสยะยิ้มและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นโหมดต่อสู้ แต่ในพริบตาที่กำลังจะดึงการ์ดขึ้นมาในมือบนหน้าผากกลับมีอะไรบางอย่างที่เย็นเฉียบคล้ายโลหะจ่อกระบาลในระยะเผาขน

ปืนพกสีเงินที่ไลท์เก็บซ่อนไว้ด้านหลังถูกชักขึ้นมาเล็งตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ร้อนถึงพวกพันธมิตรที่สับสนกันยกใหญ่ที่ไม่รู้ว่าชิพเตอร์ที่อยู่ในการดูแลของตนพกอาวุธได้อย่างไร

เหงื่อบนใบหน้าของจิสตันไหลพรากเมื่อนิ้วของอีกฝ่ายจ่อที่ไกลปืนอยู่รอมร่อ ใบหน้าอันเรียบเฉยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของไลท์ทำให้ไม่กล้าปริปากเลยแม้แต่คำเดียว

โบรกเกอร์ได้รับพลังที่สามารถฟื้นฟูความเสียหายได้รวดเร็วและทนอาการบาดเจ็บได้มากกว่าคนทั่วไปก็จริง แต่หากลูกตะกั่วเจาะสมองก็ว่าไปอย่าง ต้องตายอย่างแน่นอน

“กะ..แกจะยิงหัวฉันงั้นเรอะ แน่จริงก็ลองทำดูสิ ถ้าฉันตายขึ้นมา เหรียญแกหมดอำนาจเมื่อไหร่ได้เห็นดีแน่ เพราะพรรคพวกของฉันคงไม่ปล่อยเอาไว้ให้ขายหน้าหรอก”

“เหรอ?” ไลท์เอียงคอทำเป็นไม่ประสีประสา

“แต่ฉันไม่กลัวตายหรอก..ครอบครัวฉันตายหมดแล้ว ถ้าได้ฆ่าสวะสักคนก่อนไปเยี่ยมพวกเขาก็ไม่เลว ดีเหมือนกันใช่ไหม? คุณโบรกเกอร์สวะ”

“แก!!!!!”

“จัสติน! เลิกเล่นอะไรไร้สาระได้แล้ว ไปที่ไหนก็ขายขี้หน้า” โจนาธานที่ดูมาสักพักเดินพรวดเข้ามากระชากคอเสื้อของจัสตินให้ล้มไปกระแทกพื้นที่ด้านหลัง เขาค่อยหันมาคุยกับไลท์

“ขอโทษที่คนของเราเสียมารยาท ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาทโปรดรับนี่ไว้” โจนาธานเอ่ยกับไลท์อย่างนอบน้อมไม่มีทางทีเหยียดหยามผิดกับจัสตินลิบลับ เขาล้วงเอานามบัตรสีทองจากกระเป๋าควักมายื่นให้ไลท์ ชายหนุ่มทำตัวไม่ถูกคิดว่าจะถูกหาเรื่องเพิ่มเลยรับมันมาแบบมึนงง

“นี่คือนามบัตรของฉัน หากได้กลายเป็นโบรกเกอร์เหมือนกันก็จงอย่าเกรงใจที่จะโทรมา ในกรณีที่มีโอกาสได้ใช้ล่ะนะ” โจนาธารเอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะสะบัดแขนส่งสัญญาณให้กลับ เหล่าคนชุดเขียวพากันผงกศีรษะเดินตามหลังของผู้เป็นหัวหน้าไป จัสตินหันมามองไลท์ด้วยสายตาเคียดแค้นหนึ่งทีก่อนจะสะบัดร่างถอยกลับไป

ไลท์ถอนหายใจหลังการเยี่ยมเยือนจบลง เขาถูกโบรกเกอร์ของกลุ่มพันธมิตรสอบถามว่าเอาอาวุธมาจากไหน เลยบอกไปว่ามันวางอยู่บนชั้นหนังสือ เลยวุ่นวายกันยกใหญ่จนต้องค้นกันทั่วห้องว่ามีอาวุธซุกซ่อนอยู่อีกหรือไม่ และไอ้หน้าไหนเอาอาวุธอันตรายมาวางในห้องของชิพเตอร์

เพราะเหมือนพวกโบรกเกอร์จะไม่อยากให้ไลท์ฆ่าตัวตาย

 

หลังจากเดินออกไปสักพักโจนาธารเดินยิ้มด้วยท่าทางอารมณ์ดี ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพูด

[ชิพเตอร์คนนั้นเป็นยังไงบ้าง]

“ตอนแรกคิดอยากจะมาดูว่าคนที่เหรียญมีอำนาจมากกว่าบอสของพวกโรเกียร์มีหน้าตาเป็นยังไง แต่เหมือนจะได้เห็นโชว์ที่สุดยอดเข้าให้แล้ว”

[ยังไง?]

“ในตอนแรกได้ยินจากพันธมิตรพวกนี้ว่าหมอนั่นมีสภาพซังกะตาย ซึมเศร้าจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่เหมือนจะยังคงสตินึกคิดได้แถมฉลาดเอาเรื่อง ถ้าเป็นโบรกเกอร์คงชวนเข้ามาอยู่ด้วยแล้ว”

[หึหึ ถ้าอย่างนั้นก็น่าสนใจ..]

“ใช่ ฉันพนันสิบล้านเหรียญ เจ้านี่ต้องกลายเป็นโบรกเกอร์แน่”

[ฉันขอผ่าน]

เพราะฉันก็อยากให้เขาเป็นโบรกเกอร์เร็วๆ เหมือนกัน

          บุคคลปริศนากล่าวทิ้งท้ายก่อนที่เขาจะยกโทรศัพท์ลงพื้นโต๊ะ สายตาของเขามองออกไปนอกหน้าต่าง รอคอยความเป็นไปและการกำเนิดของผู้มีพรสวรรค์คนใหม่

ตำแหน่งบนยอดสูงที่ไม่เคยสั่นคลอน แม้จะทำเยี่ยงไรก็มิเกิดการเปลี่ยนแปลง การที่มีคลื่นลูกใหญ่ปรากฏตัวขึ้น คือความน่าสนใจสูงสุดของราชาผู้เบื่อหน่าย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด