07 คฤหาสน์ผีสิง
07
คฤหาสน์ผีสิง
รั้วปูนสีขาวสูงใหญ่ที่ทอดลึกเข้าไปภายในเขตป่า ยาวสุดลูกหูลูกตาทั้งทางซ้ายและขวาจนไม่อาจรู้ได้เลยว่าไปบรรจบกันที่ใด เมื่อรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาถึงจุดสิ้นสุดของถนนสายหลัก สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายต่อคณะสำรวจเล็กๆ นี้คือเสาโครงประตูไม้แกะสลักอันวิจิตรงดงามซึ่งตั้งตระหง่านมาแล้วนับพันปี อาณาเขตแห่งตระกูลนักสะกดวิญญาณที่ว่ากันว่า เป็นผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูทางเข้าออกนรกกับสวรรค์ไว้
ชาเกลจอดรถยนต์เมื่อเห็นว่าเฮคเตอร์มายืนรออยู่ที่หน้าประตูทางเข้าแล้ว เขาลงจากรถและไปช่วยเพื่อนสนิทดันบานประตูไม้ขนาดใหญ่คนละข้างให้เปิดออก สิบเก้าปีที่ผ่านมานี้หลังจากเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ แม้ที่นี่จะไม่มีเวรยามคอยเฝ้า ประตูไม่ได้ลงกลอนหรือคล้องกุญแจอะไรไว้ แต่ก็แทบไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าใกล้แม้แต่เหล่านักปราบวิญญาณ ด้วยกิตติศัพท์อันลือลั่นว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่ต้อนรับแขกที่มีชีวิตแล้วให้มาเยือน
“บรรยากาศมันดูเหมือนบ้านผีสิงแบบที่เล่ามาจริงๆ แฮะ” ธาวินที่นั่งอยู่บนเบาะหลังพึมพำขึ้นหลังเปิดกระจกรถแล้วชะโงกหน้าออกไปดูอย่างตื่นเต้น
“ไม่ใช่ดูเหมือน แต่ที่นี่คืออาณาเขตผีสิงของแท้เลยล่ะ พวกนายถึงต้องมาช่วงกลางวันเท่านั้นและต้องเอาไม้กันผีแบบฉันมาด้วยนี่ไง เตือนไว้ก่อนเลยนะว่าอย่านอกลู่นอกทางจากที่เอ็ดจังสั่งไว้เด็ดขาด” เคนเซย์ที่นั่งอยู่เบาะหลังเช่นกันเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้แต่น้องเล็กผู้ชอบส่งเสียงดังที่สุดในเคซีโร่ยังต้องสำรวมไว้เมื่อมาที่นี่
“รู้แล้วรู้แล้ว เห็นอะไรอย่าตกใจ อย่าชี้ไม้ชี้มือถ้ารู้สึกว่าเห็นอะไรประหลาด อย่าส่งเสียงดังเกินไปด้วย เพราะที่นี่เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ของนักสะกดวิญญาณที่แม้แต่นักปราบวิญญาณอย่างพวกพี่ยังต้องเกรงใจ ถึงขนาดไม่ใช้พลังสุ่มสี่สุ่มห้าจนต้องขับรถเข้ามาแทนการหายตัวหรือลอยเข้าไปง่ายๆ ใช่มั้ยล่ะ ผมฟังมารอบที่ร้อยตั้งแต่เมื่อวานจนท่องได้แล้วเนี่ย”
ธาวินเอาตัวกลับเข้ามาแล้วปิดกระจกรถ โซอียังคงนั่งนิ่งเงียบมาตลอดเส้นทาง แม้ว่าสองหนุ่มเบาะหลังจะคุยกันต่อเรื่องเตาเผาวิญญาณที่แม้แต่เคนเซย์เองก็ยังไม่เคยเห็น เฮคเตอร์มารอที่นี่ไม่ขึ้นรถมาด้วยเพราะย่นระยะอาการเมารถของตัวเอง แต่หลังจากเปิดประตูทางเข้าได้แล้วทั้งชาเกลทั้งเฮคเตอร์ก็เดินกลับมาขึ้นรถ
เฮคเตอร์เปิดประตูด้านหน้าข้างคนขับ โซอีเข้าใจว่าเธอคงต้องลงไปนั่งข้างหลังซึ่งพอจะมีพื้นที่ให้เธอได้นั่งมากกว่าเขา แต่แล้วเมื่อก้าวลงจากรถ ร่างของหญิงสาวตัวเล็กก็ถูกดึงกลับเข้าไปใหม่ให้นั่งบนตักของเฮคเตอร์ทันที
“เธอยังโอเคใช่มั้ย” เสียงของผู้ปกครองที่อายุน้อยกว่าถามขึ้น เมื่อเริ่มเห็นว่าสีหน้าของโซอีไม่ค่อยจะดีเท่าไร
“อื้อ ฉันไม่เป็นไร” ตามปกติโซอีคงจะโวยวายไปแล้วถ้าต้องมานั่งตักใครแบบนี้ แต่เธอในตอนนี้ที่เริ่มหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด กลับรู้สึกปลอดภัยขึ้นเมื่อมีคนอยู่ใกล้ตัวติดกันแบบนี้ตลอดเวลา
หลังจากการตัดสินใจกลับมารื้อฟื้นความทรงจำที่คฤหาสน์ชามันด์ของโซอี แผนการเดินทางก็เริ่มขึ้นทันทีตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นหลังได้รับอนุญาตจากหัวหน้าหน่วย ที่ต้องทำเรื่องขอไปยังผู้บัญชาการสูงสุดอีกที
บรรยากาศนอกรถยนต์ที่แล่นเข้าไปอย่างเชื่องช้าสร้างความตื่นตาให้กับธาวินเป็นอย่างมาก สองข้างทางรอบถนนทางเข้าแห่งนี้มีอาคารสถานที่เหมือนเขตชุมชนเล็กๆ แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในตอนนี้กลับมีเพียงวิญญาณมากมายเต็มไปหมด ทั้งแบบยังเป็นดวงไฟ ทั้งยังคงสภาพในรูปร่างของคน หลากหลายสีสันตามวาระกรรมของตนเองอย่างที่คุณลุงรองหัวหน้าหน่วยเล่าให้ฟังเมื่อวาน
“เมื่อก่อนตรงนี้เคยมีคนอาศัยอยู่จริงๆ แล้วก็เป็นแหล่งซื้อของที่ระลึก แต่ธุรกิจทุกอย่างก็เริ่มพังกันหมด หลังเกิดเรื่องเมื่อสิบเก้าปีก่อนแล้วต้นไวท์แอชก็ยังหายไปทั้งต้นด้วย” ชาเกลอธิบายเพิ่มเติมเมื่อทั้งรถเงียบจนน่าอึดอัดเกินไป
“มันหายไปทั้งต้นจริงๆ เลยเหรอครับ” หนุ่มน้อยธาวินจอมขี้สงสัยถามต่อ
“ใช่ เหลือแต่หลุมดินจนตอนนี้คงจะเป็นแอ่งน้ำขนาดเท่าสระว่ายน้ำมาตรฐานสักสองสระไปแทนแล้วล่ะ”
“โห นึกภาพดูแล้วคงต้นใหญ่มากเลย... อยากไปดูตรงนั้นด้วยจัง ถ้ามีเวลาเหลือพอเราไปได้มั้ยฮะ”
“ก็รอดูสถานการณ์ก่อนแล้วกัน เพราะมันต้องเข้าป่าไปอีกไกลเลย”
บทสนทนาจบลงตรงนั้นในขณะที่รถยนต์ยังคงไหลไปต่อเรื่อยๆ นับเป็นระยะไกลหลายกิโลเมตรทีเดียวที่คณะเดินทางขับรถผ่านประตูทางเข้าด้านหน้าสุดมา แต่ยิ่งเข้าใกล้เขตรั้วชั้นในที่กั้นคฤหาสน์ออกจากเขตท่องเที่ยวเท่าไร เฮคเตอร์ยิ่งสังเกตได้ว่าเนื้อตัวของโซอีก็เริ่มเกร็งมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อถึงจุดจอดรถ ทุกคนก็ลงมาก่อนจะได้พบกับรั้วสีขาวและกรอบประตูไม้ที่เล็กกว่าด้านหน้าอีกครั้ง ชาเกลกับเคนเซย์เป็นคนเดินไปผลักบานประตูให้เปิดออก
“ถ้าไม่ไหวก็ห้ามฝืนเข้าใจมั้ย ให้รีบบอกแล้วฉันจะพาเธอกลับทันที”
โซอีเพียงพยักหน้ารับไม่ตอบเป็นเสียง เฮคเตอร์ถอนใจอย่างกังวลแต่ก็ทำได้เพียงจับมือข้างหนึ่งของเธอไว้แน่น
เมื่อทั้งห้าเดินผ่านประตูเข้ามา บรรยากาศภายในนี้ก็ทำให้รู้สึกถึงแรงกดดันวิญญาณมากขึ้นอย่างชัดเจน เฮคเตอร์แทบจะหันไปมองโซอีทุกๆ สิบวินาทีเพื่อให้แน่ใจว่าคนปากแข็งยังน่าจะไหวแน่นอน
“อ...” เสียงของธาวินเกือบหลุดออกมาแต่ยังดีที่ปิดปากตัวเองไว้ได้ทัน เด็กหนุ่มได้แต่กระชุกเสื้อเคนเซย์อย่างลนลาน แล้วพยายามเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งจนแทบเป็นเสียงกระซิบ “พี่เคนๆ... นั่นวิญญาณสีดำไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ แต่จำนวนแค่หนึ่งหรือสองก็ไม่ต้องกังวลหรอก พวกเขาน่าจะกลัวเราจนอยากหนีมากกว่า กลิ่นของพวกนักปราบวิญญาณสายสลายพลังวิญญาณก็เหมือนกลิ่นสาบที่พวกดิคเคนส์ไม่ถูกโฉลกนั่นแหละ ถ้าพวกเรามาส่วนใหญ่พวกเขาจะหนีไปมากกว่าเพราะกลัวถูกเราจัดการ พี่เฮคเตอร์กับพี่ชาเกลที่เป็นสายพิเศษจะไม่ค่อยมีกลิ่นนี้ ฉันถึงต้องมาเป็นไม้กันผีให้พวกนายไง” เคนเซย์ตอบกลับเสียงแผ่วเบาเช่นกัน
สิ่งก่อสร้างที่อยู่ตรงหน้าคนทั้งห้าหากเรียกว่าคฤหาสน์ก็อาจจะผิดที่ผิดทางไปสักหน่อย แม้ไม่นับว่าที่นี่เสื่อมโทรมไปตามเวลาเพราะไม่มีคนคอยดูแลและเต็มไปด้วยพงหญ้าสูงท่วมหัว แต่ตัวบ้านแบบโบราณที่เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวเชื่อมจุดต่างๆ ด้วยระเบียงทางเดินครอบหลังคาที่ทำจากไม้ทั้งหมด โยงกันไปยังจุดต่างๆ ยาวลึกลงไปจนมองไม่เห็นหลังบ้าน ลานภายในและภายนอกตลอดริมทางเดินอาจเคยเป็นสวนสวยมีบ่อน้ำใสสะอาดเลี้ยงปลาสวยงามมาก่อนนั้น ก็ดูจะไกลจากภาพลักษณ์ของคฤหาสน์ใหญ่โตสไตล์ยุโรปที่คุ้นตา
เฮคเตอร์เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า โซอีจะรู้ตัวเองรึเปล่าว่าเธอกำลังบีบมือเขาแน่นมากๆ
“พี่เคนนน ทางนั้นก็มีอ๊ะ ไม่เป็นไรแน่นะ ทำไมกองปราบถึงปล่อยให้มีวิญญาณสีดำอยู่แถวนี้แล้วไม่มาจัดการล่ะ” ธาวินยังคงกระตุกเสื้อเคนเซย์เร็วรัว อาการตื่นเต้นแทบจะเปลี่ยนเป็นปอดแหกไปแล้ว
“ไม่เป็นไรน่า เอาไว้กลับไปฝึกให้เก่งๆ แล้วนายจะรู้ว่าแค่นี้ไม่ได้น่ากลัวเลย ส่วนเรื่องดิคเคนส์ ที่เราต้องปล่อยไว้แบบนี้ก็เพื่อปกป้องมรดกของตระกูลชามันด์น่ะ เห็นเอ็ดจังเคยบอกแบบนั้น พวกขโมยที่จะมาเข้ามาเอาอะไรส่วนใหญ่ก็โดนคุณเจ้าที่เจ้าทางที่เป็นวิญญาณติดที่จัดการไป คนปกติถึงไม่มาที่นี่กันเพราะมาแล้วไม่รอดสักราย มันก็เป็นประโยชน์ในการดูแลสมบัติเหมือนกันทางกองปราบก็เลยปล่อยๆ ไว้ แต่ว่านะ...” ตอบธาวินแล้วเคนเซย์ก็หันไปทางชาเกล “ต่อให้ไม่ใช่วิญญาณก็น่ากลัวจะโดนงูฉกเอานะพี่ ผมไปตัดหญ้าออกก่อนสักหน่อยดีมั้ย เอาพอให้เดินได้ จะถือว่าลบหลู่รึเปล่า”
“คงไม่หรอก พวกเขาอาจจะขอบคุณเราด้วยซ้ำที่ทำความสะอาดให้”
พลังวิญญาณของเคนเซย์ที่กลายรูปร่างเป็นดาบปรากฏออกมา ใช้เวลาไม่นานนักหญ้ารกชัฏตามทางเข้าก็โดนตัดแบบหยาบๆ จนเห็นตัวบ้านและเส้นทางชัดเจนขึ้น ธาวินได้แต่มองตามอ้าปากเหวออย่างตื่นตา
โซอีรู้สึกได้ว่าขาของตัวเองค่อยๆ หนักขึ้นในทุกย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้า ทั้งห้าคนผ่านประตูทางเข้ามาแล้วพบระเบียงไม้ที่น่าจะเชื่อมไปสู่โถงรับแขกแล้ว จากการพูดคุยกันคร่าวๆ พวกเขาจะเดินเข้าไปให้ถึงจุดที่ตั้งของเตาเผาวิญญาณที่น่าจะอยู่โซนด้านหลัง แต่แล้ว...
“ในที่สุด... มันก็มา” “มันมาแล้ว” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฉีกมันเป็นชิ้นๆ”
ทันทีที่ทั้งห้าเดินเข้ามาถึงหน้าห้องโถงใหญ่ เสียงเพรียกจากไหนสักแห่งก็เริ่มลอยออกมา ทุกคนหันซ้ายขวามองรอบตัวอย่างหวาดระแวง
“น่าจะเป็นพวกวิญญาณอาฆาตที่ตายไปเมื่อสิบเก้าปีก่อน” ชาเกลเอ่ยขึ้นมา เขายังดูแน่นิ่งตั้งสติได้ดี “แต่กันไว้หน่อยดีกว่า เฮคเตอร์ นายไปสำรวจจำนวนที่ด้านบนซ้ายขวารอบบ้านให้ทีว่ามีจำนวนเยอะรึเปล่า กลายเป็นดิคเคนส์ไปเยอะรึยัง เราจะรอที่ด้านใน”
“อืม ฝากด้วยนะ” มนุษย์หายตัวรับคำและเอ่ยปาก ‘ฝาก’ บางสิ่งที่รู้กันดีเอาไว้ก่อนที่ร่างจะหายวับไป
ชาเกลพาทุกคนเข้าไปในห้องโถงก่อนจะปิดประตูที่ยังใช้การได้ แม้สภาพด้านในจะเป็นเหมือนห้องโถงที่กว้างมากๆ แต่ก็มีข้าวของและพวกตู้โชว์วางล้มระเกะระกะราวกับถูกรื้อค้น และเพราะเป็นห้องแบบโบราณตามผนังจึงได้มีช่องระบายอากาศเต็มไปหมด แม้แต่บนหลังคาส่วนหนึ่งก็เป็นกระเบื้องใสจนห้องสว่างไสวเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน สิ่งที่กำลังจะฆ่าพวกเขาทั้งสี่คือฝุ่นที่เขรอะห้องจนแม้แต่เคนเซย์ยังสำลักมากกว่า
ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ โซอีก็ยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้าง หลับตาปี๋ หน้าซีดเผือด หายใจหอบถี่จนทรุดนั่งกับพื้น พร้อมกับเสียงที่ดังลั่นขึ้นในหัวไม่หยุด
“ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน” “ฆ่ามัน”
เฮคเตอร์หายตัวไปสังเกตการณ์โดยรอบ และเมื่อมองเห็นจากบนฟ้าว่ามีกลุ่มดิคเคนส์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเริ่มทยอยออกมาจากป่า และลอยอย่างเชื่องช้าตรงไปยังห้องโถงในคฤหาสน์นั่น แม้จะเป็นดิคเคนส์ธรรมชาติที่อืดเอื่อยและส่วนมากจะไม่มีพลังในการต่อสู้เหมือนดิคเคนส์ประดิษฐ์ แต่จำนวนมากขนาดนี้ก็เริ่มไม่น่าไว้ใจแล้วเช่นกัน เฮคเตอร์หายตัวกลับไปยังห้องโถง และตัดสินใจทันทีว่าจะพาโซอีหายตัวกลับไปส่งที่ออฟฟิศของหน่วยเป็นคนแรก
ทว่า... ทันทีที่หายตัวกลับเข้ามา และกำลังจะพาโซอีที่ทรุดลงกับพื้นท่ามกลางความแตกตื่นของทุกคนไป อยู่ๆ ก็ปรากฏบางสิ่งที่คล้ายกับโคลนขึ้นที่เท้าของหญิงสาวตัวเล็ก และโคลนนั่นก็ยึดร่างของเธอไว้ให้ติดอยู่กับที่จนแม้แต่พลังของเฮคเตอร์ก็พาหายตัวหนีไปไม่ได้
โคลนประหลาดถูกสาดเข้ามาอีกครั้ง แต่เฮคเตอร์ ชาเกล และเคนเซย์ที่เคยชินกับการต่อสู้ไหวตัวทันจนกระโดดหลบหนีออกไปได้ ยกเว้นธาวินที่อยู่ห่างจากโซอีไม่ไกลก็ติดกับดักโคลนเข้าไปอีกคน
“นี่มันอะไรเนี่ยยยย”
ธาวินแหกปากโวยวาย ในขณะที่โซอีดูเหมือนจะตกใจมองซ้ายขวาจนพูดอะไรไม่ออกไปแทน เฮคเตอร์ลองพยายามพาโซอีหายตัวออกมาอีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ อาจเพราะพลังวิญญาณของเขาจะคลอบคลุมทุกอย่างที่จะทำให้หายตัวไป และการที่เท้ายึดติดกับคฤหาสน์มันก็มากเกินกว่ากำลังของเฮคเตอร์ที่จะพาทุกอย่างไปด้วยกัน
“เหตุฉุกเฉิน! K-0- Code299 เรียกกำลังเสริมด่วน! ขอความช่วยเหลือจากหน่วย K-1 K-2 K-3 เต็มกำลังที่คฤหาสน์ชามันด์เดี๋ยวนี้!”
เมื่อเห็นว่าแม้แต่พลังทำให้สิ่งของลอยได้ของชาเกลก็ใช้ไม่ได้ผล เฮคเตอร์จึงโทรเข้ากองปราบวิญญาณเพื่อขอกำลังเสริมทันที ด้วยจำนวนดิคเคนส์ที่มากขนาดนี้ต่อให้เป็นเคนเซย์ก็รับมือไม่ไหวแน่ๆ
“เคนเซย์ ด้านนอกมันกำลังมาเป็นร้อย พยายามไปสกัดไว้หน่อยก่อนกำลังเสริมจะมา ฉันจะออกไปช่วยด้วย ฝากในนี้ด้วยนะชาเกล” เฮคเตอร์พูดจบ ก็มีสายโทรเข้ามาที่โทรศัพท์ของชาเกลในทันที
“ครับหัวหน้า เดี๋ยวนี้เลย” สั้นๆ จบความเพื่อนร่วมงานก็พอรู้ว่าเป็นสายจากหัวหน้าหน่วยของตัวเอง “ไปเถอะฉันจะดูทางนี้เอง” ชาเกลหันไปบอกทุกคนให้แยกย้ายทำงาน
เคนเซย์ปลดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลที่เป็นนกไฟออกมา ก่อนเปลี่ยนสภาพเข้าโหมดมิติวิญญาณและใช้ดาบฟันทะลุหลังคาออกไป เฮคเตอร์ยังดื้อพยายามยื้อใช้พลังให้โซอีหลุดออกมาอีกครั้งแต่มันก็ยังไม่สำเร็จ
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว” สุดท้ายชายหนุ่มก็ได้แต่พูดแบบนั้นกับโซอีที่ยืนตัวสั่นหน้าซีด ไม่แม้แต่จะร้องโวยวายเหมือนธาวินหรือส่งเสียงตกใจอะไรสักคำ ซึ่งอาการแบบนี้ดูน่าเป็นห่วงกว่าการโหวกเหวกโวยวายหลายเท่า
แต่แล้ว... ในขณะที่จะหายตัวไป อะไรบางอย่างก็พุ่งเข้ามาหาเฮคเตอร์ด้วยความเร็วสูงจนกระแทกร่างของเขาที่ไม่ทันระวัง เฮคเตอร์กระเด็นไปกระแทกเข้ากับโครงประตูเลื่อนไม้อ่อนจนทะลุออกนอกห้อง เมื่อลุกขึ้นมาและยังไม่ทันจะได้กลับเข้าไป ตรงหน้าของเฮคเตอร์ก็ปรากฏเงาร่างของชายตัวใหญ่บึกบึนซึ่งร่างกายหุ้มไปด้วยหิน
ชาเกลตกใจที่เฮคเตอร์ลอยออกไปด้านนอกจนคิดจะตามไปดู แต่แล้วโคลนที่สาดเข้ามาอีกครั้งก็หยุดเขาไว้ คู่ต่อสู้ของชาเกลปรากฏตัว สาวสวยผมยาวสีทองแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงเข้ารูปอวดหุ่นเซ็กซี่คือที่มาของโคลนที่จับตัวเด็กๆ ไว้นั่นเอง
“ตายจริง หล่อขนาดนี้ฆ่าให้ตายก็น่าเสียดายแย่เลย”
ชาเกลได้แต่ขมวดคิ้วประมาณสถานการณ์ แต่ดูทุกอย่างจะเลวร้ายเข้าไปอีกเมื่อมีเสียงของชายใส่แว่นอีกคน
“บังเอิญจริงๆ แต่คงเป็นโชคดีของเราวันนี้ ถ้าจัดการคนพวกนี้ได้แล้วเอาตัวเด็กนี่ไป นายท่านต้องให้รางวัลใหญ่เราแน่ๆ เอาไว้ค่อยไปทำลายเตาเผาวิญญาณก็แล้วกัน”
“จริงด้วย นายท่านจะต้องดีใจแน่ๆ ฉันจะจัดการเจ้าคนหล่อนี่เอง ห้ามแย่งผลงานเชียวนะ”
“งั้นก็ตามสบาย มีหรือไม่มีผลงานเพิ่มฉันก็เป็นคนสำคัญอยู่ดีนั่นแหละ ไม่เหมือนเธอสินะที่ดูจะมีคู่ต่อสู้เยอะหน่อย แถมเป็นเด็กใหม่คงต้องการผลงาน งั้นฉันออกไปดูเจ้าหินโง่นั่นข้างนอกก็แล้วกัน”
เตาเผาก็ต้องรักษา เด็กหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งติดโคลนตรงหน้าก็ต้องดูแล แถมยังต้องจัดการเจ้าพวกนี้อีก งานมันล้นมือของเขาเกินไป ชาเกลได้แต่นึกหาทางออกเพราะดูท่าเคนเซย์คงมีงานล้นมือไม่ต่างกัน คงต้องหวังให้เฮคเตอร์จัดการทางนั้นได้ไวๆ หรือให้กำลังเสริมมาทันเวลา...
ทางด้านของเฮคเตอร์ หลังจากลุกขึ้นมาตั้งหลักใหม่ได้ ซีกซ้ายของลำตัวก็ระบมเล็กน้อยพร้อมกับหัวที่แตกจนเริ่มมีเลือดไหลอาบ
“เนี่ยเรอะ มนุษย์หายตัวที่น่ากลัวที่สุดในเคซีโร่ กระจอกเป็นบ้า”
ชายร่างสูงใหญ่ที่ตามลำตัวมีหินโผล่ออกมาปกป้องร่างกายไว้ทุกส่วนเย้ยขึ้น เฮคเตอร์มองตาขวางกลับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก่อนจะพุ่งเข้าใส่ศัตรูทันที
แต่แล้วสนับถุงมือกับหมัดที่มั่นใจว่าหนักพอของเขากลับไม่สะทกสะท้านเกราะของมนุษย์หินสักนิด แม้แต่จะใช้มือจับเพื่อพาศัตรูหายตัวให้เวียนหัวไส้บิดจนอ้วกหมดแรงก็ทำไม่ได้ เพราะหินพวกนี้คงจะเกิดจากพลังวิญญาณสายพิเศษของอีกฝ่ายคอยปกป้องเนื้อกายที่แท้จริงไว้
พลังวิญญาณของเฮคเตอร์ได้รับการยกย่องว่าสะดวกในการจับกุมคนร้ายที่สุด เพราะแค่แตะตัวอีกฝ่ายพาให้หายตัวได้เท่านั้น ผู้ที่ไม่คุ้นเคยแน่นอนว่าย่อมเกิดผลกระทบข้างเคียงจนทำอะไรต่อไม่ได้ มิหนำซ้ำนอกจากคนร้ายหัวทองล่องหนที่ปล่อยดิคเคนส์ประดิษฐ์ได้แล้ว ก็ยังไม่เคยมีใครไวกว่าเขาจนหนีได้ทันสักคน แม้พลังจะแสนสะดวกแต่แน่นอนว่าสิ่งใดๆ ในโลกย่อมมีเงื่อนไข ทุกอย่างที่ว่ามาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเฮคเตอร์ ‘แตะตัว’ คู่ต่อสู้ได้เท่านั้น
ไอ้มนุษย์หินนี่ต้องเป็นหนึ่งในผู้ใช้พลังวิญญาณนอกระบบแน่ๆ และเป็นรูปแบบพลังที่เขาแพ้ทางโดยสิ้นเชิง แต่การตัดใจย่อมไม่ใช่หนทาง เฮคเตอร์หายตัววุบวับไปมาอย่างว่องไวในการโจมตีต่อเนื่องเพื่อหาจุดอ่อน ใช้กายวุธหมัดเท้าเข่าศอกที่มีทั้งหมดแต่ดูเหมือนศัตรูจะไม่สะทกสะท้าน และมีแต่จะทำให้เขาสูญเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์มากขึ้นเรื่อยๆ ชาเกลก็เหมือนมีอะไรต้องทำด้านในเพราะเขาได้ยินเสียงการต่อสู้ เคนเซย์เองแค่พยายามป้องกันไม่ให้ดิคเคนส์เข้าไปข้างในห้องโถงใหญ่ก็ดูจะงานล้นมือแล้ว
ในขณะที่คิดหาทางออก อยู่ๆ ชายหนุ่มสวมแว่นรูปร่างผอมบางใส่ชุดสูทผูกเนกไทสีดำก็ปรากฏตัวขึ้นอีกคน เฮคเตอร์หายตัวถอยหลังออกมาตั้งหลักเพื่อดูสถานการณ์ เจ้ามนุษย์หินนั่นถึงจะมีเกราะป้องกันขั้นสุดยอด แต่ในทางกลับกับก็ช้าเป็นเต่าจนไม่น่าจะตามมาโจมตีเขาได้ทันหากถอยห่างไปสักช่วงระยะ
แต่เมื่อเจ้าแว่นผมดำนั่นโผล่มา แล้วเหมือนจะทำท่าผลักเจ้ามนุษย์หินนั้นมาข้างหน้า อยู่ๆ เจ้าหินบ้านั่นก็พุ่งเข้าหาเฮคเตอร์ด้วยความเร็วสูงที่แม้แต่พลังหายตัวของเขายังหลบไม่ทัน
“อัก!” เฮคเตอร์ที่โดนหมัดคู่ต่อสู้จนตัวปลิวกลับเข้ามาด้านในห้องโถงร้องกระอักออกมาอย่างเจ็บจุก นอกจากหัวที่แตก หนนี้ดูเหมือนจะมีเลือดไหลออกจากปากเพิ่มขึ้น
“พี่เฮคเตอร์!”
เป็นเสียงของธาวินที่ร้องเรียกออกมาอย่างตกใจ เฮคเตอร์พยายามลุกขึ้นมาใหม่แล้วสะบัดหน้าเพื่อทำให้ตัวเองสร่างมึน เขาหันไปเห็นโซอีที่นอนสลบอยู่ ใบหน้าของเธอดูจะไม่มีเลือดเหลืออยู่อีกแล้ว โคลนนั่นดูดพลังอะไรไปด้วยหรือเปล่า แต่ดูจากธาวินที่ยังเสียงดังดีก็คงไม่น่าห่วงเท่าไร ตอนนี้ที่ต้องห่วงคือจะทำยังไงให้จัดการเจ้าพวกนี้ได้ต่างหาก
“ชาเกล! เปลี่ยนตัว!”
ชาเกลที่ลอยตัวหลบโคลนไปมาเห็นสภาพของเฮคเตอร์แล้วก็ตอบกลับทันที
“นายแพ้ทางยัยนี่แน่ๆ แตะตัวมันไม่ได้หรอก”
“แต่ฉันว่านายจัดการไอ้ตัวข้างนอกนั่นได้แน่ๆ เปลี่ยน! เดี๋ยวฉันหาทางต่อเอง”