ตอนที่แล้ว05: เค้กแต่งงาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป07 คฤหาสน์ผีสิง

06 นักสะกดวิญญาณ


 

06

นักสะกดวิญญาณ

“ขอบคุณที่ช่วยตรวจร่างกายให้นะคะ”

เมื่อโซอีพูดจบพร้อมกับส่งยิ้มหวานเพื่อการค้า แพทย์หญิงอนาเซียก็แทบทำตัวไม่ถูกเมื่อมองสิ่งที่ถูกยื่นออกมาตรงหน้า มันคือครัวซองค์และพายหน้าตาน่ารับประทานอย่างละชิ้นที่อยู่ในหีบห่อน่ารักเหมือนของร้านเบเกอรี่ทั่วไป

“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ กำลังหิวอยู่พอดีเลย” อนาเซียตอบด้วยอาการแบ่งรับแบ่งสู้แล้วยื่นมือไปรับขนมมา เธอทำตัวไม่ถูกนักเพราะยังจำได้ดีถึงวีรกรรมฝีปากที่ผู้หญิงตัวเล็กคนนี้เคยทำไว้

“ถ้าลองชิมดูแล้วชอบก็ติดต่อมาที่นี่ได้เลยนะคะ หรือถ้าชอบขนมประเภทอื่นๆ ชอบแบบหวานน้อยหวานมากก็สั่งมาเป็นพิเศษได้นะคะ” โซอียื่นนามบัตรให้กับคุณหมอคนสวยอีกครั้งทันที

“เราจะไปกันแล้ว”

เสียงของฟอแกนด์ หัวหน้าหน่วยเคซีโร่โผล่หน้าเข้ามาบอกกับโซอีในห้องตรวจ ที่จริงวันนี้โซอีไม่มีนัดตรวจร่างกาย แต่เธอขอตามฟอแกนด์มาเองเพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น โซอีโค้งลาคุณหมออย่างมีมารยาทผิดกับคราวก่อนลิบลับ แล้วเดินตามฟอแกนด์ออกไปด้านนอก

“นี่คือ ธาวิน เด็กอีกคนที่เราช่วยไว้ได้ ธาวินมาจากประเทศไทย เขาเพิ่งออกจากแผนกแพทย์วิญญาณได้วันนี้”

โซอีมองสภาพของเด็กหนุ่มคนตรงหน้า ดูแล้วอายุน่าจะราวๆ สิบสี่หรือสิบห้าคงได้ ใบหน้าโซนคนเอเชียดูผอมไปสักหน่อยและตัวไม่สูงนัก แขนขวาของเขายังคงใส่เฝือกมีผ้ามัดห้อยกับคอไว้ ที่ใบหน้ามีผ้าปิดแผลแปะอยู่ที่หน้าผากด้านซ้ายเช่นกัน ภาพรวมดูสะบักสะบอมเหมือนโดนทำร้ายมาอย่างสาหัสเลยทีเดียว

“น่ารักจัง เรียกพี่ว่าพี่ไม้ก็ได้ คนไทยมีชื่อเล่นทุกคน แล้วน้องชื่ออะไรครับ”

ก่อนที่โซอีจะได้ทักทายแนะนำตัวกลับ ธาวินก็ยื่นมือข้างที่ไม่บาดเจ็บออกมาทำท่าเหมือนจะลูบหัวเธอ

แต่แล้ว... หมับ! อยู่ๆ เฮคเตอร์ก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากไหนไม่ทราบคว้ามือข้างนั้นไว้

“เห็นมากันนานแล้วไม่กลับซะที ผมเลยมาส่องดู”

ธาวิน หรือ ไม้ ยังคงงุนงงกับสิ่งที่เกิดตรงหน้า ฟอแกนด์มองลูกน้องตัวเองแล้วได้แต่ระอาจนถอนใจ ตั้งแต่พาโซอีไปอยู่ด้วยหลายวันมานี้ ดูหมอนี่จะเริ่มมีอาการ ‘ติด’ โซอีหนักขึ้นทุกวัน

“โห... เจ๋งอะ พี่มาจากไหน มาได้ยังไงอะ”

“เขาเป็นนักปราบวิญญาณแบบสายพิเศษน่ะ” ฟอแกนด์เป็นคนตอบคำถามนั้นให้ เมื่อเฮคเตอร์หันไปคุยกับโซอีเรื่องผลกิจการการค้าไปแล้วโดยไม่ได้สนใจฟังทางนี้เลย

“เหมือนกับลุงน่ะเหรอ”

“อาก็พอ... ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้น”

“แล้วผมจะทำแบบนี้ได้บ้างมั้ย”

“เสียใจด้วยนายไม่ใช่นักปราบวิญญาณ แต่เป็นนักสะกดวิญญาณ เอาล่ะ วันนี้คงต้องเปิดโรงเรียนชั่วคราวกันสักหน่อย กลับไปที่ออฟฟิศก่อนแล้วกัน”

แม้โซอีจะอยู่ที่นี่มาแล้วหลายวัน แต่เธอก็มัววุ่นวายอยู่กับการหาช่องทางทำกิจการเบเกอรี่เพื่อหารายได้ จนไม่ค่อยได้สนใจเรื่องราวที่กำลังนั่งฟังเหล่านี้เท่าไรนัก เพราะสำหรับเธอแล้วค่าอาหารสำคัญที่สุดมาเป็นอันดับแรก

เมื่อกลับถึงออฟฟิศของหน่วยเคซีโร่ นักสะกดวิญญาณผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยทั้งสองก็ถูกส่งตัวไปยังเอ็ดเวิร์ด จาง รองหัวหน้าหน่วยเพื่ออบรมหลักสูตรเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เคนเซย์ไม่อยู่ที่ออฟฟิศในวันนี้เพราะติดเรียนที่มหาวิทยาลัย ส่วนท่านหัวหน้าหน่วยก็แวบหายไปไหนไม่ทราบอีกแล้วเช่นเคย

“ก่อนอื่น ขอเริ่มจากพื้นฐานทั่วไปของโลกวิญญาณ โดยปกติแล้วมิติของคนกับวิญญาณเป็นคนละมิติ เพียงแต่มันอยู่ทับซ้อนกันโดยมีเส้นกั้นเป็นแค่อากาศเท่านั้น มนุษย์ที่สิ้นอายุขัยวิญญาณจะไปชำระกรรมดีชั่วของตัวเองก่อนจะกลับเข้าสู่ระบบเวียนว่ายตายเกิด ส่วนคนที่ชะตาขาดตายก่อนเวลาอันควร วิญญาณเหล่านั้นก็จะยังวนเวียนอยู่เพื่อรอเวลานั้นของตัวเอง เว้นแต่วิญญาณบางประเภทที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ ซึ่งก็มีข้อยกเว้นแตกต่างกันไป”

“ชำระกรรมดีชั่วที่ว่านั่นคือไปนรกหรือสวรรค์อะไรแบบนั้นเหรอฮะ” ธาวินเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย

“อันนี้คงตอบแบบร้อยเปอร์เซ็นไม่ได้เพราะผมเองก็ยังไม่เคยตาย มันเป็นเหมือนโลกที่ต้องไปไกลอีกขั้นหนึ่งกว่าการเป็นวิญญาณน่ะ คงต้องตายเองเท่านั้นแหละถึงจะได้รู้กันจริงๆ แต่ที่มีแนวคิดนี้เพราะว่ามีการค้นคว้าโดยอ้างอิงจากข้อมูลความจริงที่ใกล้เคียงที่สุด นั่นก็คือหากคนตายไปวิญญาณจะกลายเป็นดวงไฟ จิตที่ยังจำตัวตนได้เท่านั้นถึงจะทำให้เห็นเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ กรรมบุญบาปในตัวที่สร้างมาจะแบ่งระดับความเข้มของสีต่างกันไป ถ้ายิ่งเข้มออกสีส้มแดงมากก็แปลว่าเป็นวิญญาณที่ทำกรรมบาปหนักมามาก หากเป็นดวงไฟสีเหลืองใสคือวิญญาณที่ทำกรรมดีมามาก หากเป็นสีขาวใสบริสุทธิ์นั่นคือวิญญาณของทารกแรกเกิดที่ยังไม่ถูกอะไรเจือปน”

“แล้วถ้าคนกับวิญญาณอยู่คนละมิติกัน คนเราจะเห็นวิญญาณได้ยังไงครับ แบบว่า...มีข่าวมีเรื่องเล่าพวกนี้เยอะแยะใช่มั้ยล่ะว่าไปเจออะไรกันมา หรือพวกภาพถ่ายติดวิญญาณอะไรแบบนั้น” หนุ่มน้อยผู้ตื่นเต้นอยากรู้ไปทุกอย่างถามขึ้นต่อ

“อย่างที่บอกไปว่า มิติของคนกับวิญญาณมีเส้นแบ่งที่มองไม่เห็นเป็นอากาศเท่านั้น คนบางคนมีความสามารถพิเศษในการมองเห็นวิญญาณ วิญญาณบางวิญญาณก็มีความสามารถพิเศษในการมองเห็นคน หรือบางครั้งก็มีพลังมากพอที่จะเปิดเผยหรือปกปิดตนเองไม่ให้คนเห็นได้ นักปราบวิญญาณอย่างพวกเรา คือผู้มีความสามารถพิเศษในนำกายหยาบข้ามเข้าสู่มิติของวิญญาณ แล้วใช้พลังวิญญาณให้ส่งผลกระทบต่อวิญญาณได้ ดังนั้นต่อให้สู้กันอยู่กลางเมือง คนส่วนมากที่มองไม่เห็นวิญญาณก็จะมองไม่เห็นหรอกว่าเรากำลังทำอะไรกัน แต่ยังไงก็ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่คนพลุกพล่านนั่นแหละนะ เพราะว่าการกระทำต่อวัตถุใดๆ ในทั้งสองมิติ ต่างก็ส่งผลแบบปกติให้คนทั่วไปเห็นได้ อย่างเช่นถ้าสู้กันจนต้นไม้หัก ต้นไม้ต้นนั้นมันก็จะหักจริงๆ ในทั้งสองมิตินั่นแหละ”

“งั้นแปลว่าคนที่มองเห็นวิญญาณบางคนก็แค่เห็น แต่ไม่ได้เป็นนักปราบวิญญาณอะไรแบบนี้ก็ได้ใช่มั้ยครับ”

“นั่นก็เป็นไปได้หลายกรณี มนุษย์บางคนมีพลังการมองเห็นวิญญาณสูงมากก็จะเป็นแบบที่คุณพูดมา แล้วพื้นฐานของนักสะกดวิญญาณทุกคนก็มองเห็นวิญญาณอยู่แล้ว แม้ตัวเองจะใช้พลังอะไรไม่ได้ก็ตาม ส่วนนักปราบวิญญาณทุกคนเห็นวิญญาณได้เป็นเรื่องปกติ แต่มันก็มีอีกหนึ่งกรณีเหมือนกัน อย่างพวกวิญญาณระดับสูงมากๆ ที่สามารถย้ายตัวเองมายังมิติของผู้คน สามารถเลือกได้ว่าจะแสดงตนให้คนทั่วไปเห็นหรือไม่ ดังนั้นหากเราเห็นสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณ บางครั้งอาจต้องตั้งคำถามใหม่ว่า เราแค่มีพลังเห็นเขา หรือเขาต้องการให้คุณเห็นกันแน่”

“อย่างนี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้ว แต่เอ๊ะ...ไม่สิ มีอย่างหนึ่งที่คาใจผมมาตั้งแต่มาอยู่ที่นี่แล้วคุยกับพวกคุณหมอแล้ว ทำไมผมคุยกับทุกคนรู้เรื่องเหมือนเราพูดภาษาเดียวกันตั้งแต่เกิดเลย คนแถวนี้ไม่น่าจะใช้ภาษาไทยกันนะ”

“ผู้ปะทุพลังวิญญาณทุกรูปแบบจะมีความสามารถทางภาษาแฝงอยู่ด้วย เหมือนเราจะได้รับภาษานี้มาเลย ก็เลยสามารถคุยกับผู้มีพลังวิญญาณทุกคนเข้าใจได้ แม้ว่าที่จริงเราอาจจะมีภาษาแม่คนละภาษา มาจากคนละประเทศก็ตาม ภาษาที่ว่านี้ก็คือภาษาพื้นเมืองของคาเรมนี่แหละ นายจะคุยกับคนประเทศนี้รู้เรื่อง ดังนั้นไม่ต้องห่วงเวลาไปซื้อข้าวกิน”

“โห...สะดวกดีจัง ผมเข้าใจแล้ว ว่าแต่นักปราบวิญญาณกับนักสะกดวิญญาณนี่ต่างกันยังไงเหรอฮะ”

“เอาล่ะ เข้าเรื่องหลักของวันนี้กันแล้วสินะ ผู้มีพลังวิญญาณแบ่งออกเป็นสองประเภท นั่นคือนักสะกดวิญญาณ และนักปราบวิญญาณ โดยปกติแล้วนักปราบวิญญาณจะเป็นใครคนไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องสืบทอดเชื้อสายจากพ่อแม่ กองปราบวิญญาณมีสิ่งที่เรียกว่ากระจกแห่งชะตากรรม ซึ่งปล่อยพลังการกำเนิดที่ทำให้มนุษย์สามารถปะทุพลังวิญญาณได้ และจะบันทึกข้อมูลของนักปราบวิญญาณไว้ทุกคน แต่กับนักสะกดวิญญาณนั้นต่างออกไป เพราะมีเพียงเชื้อสายของตระกูลหลักอย่างชามันด์ หรือสายตระกูลรองอย่างชามิลเลียร์เท่านั้นที่จะมีพลังของนักสะกดวิญญาณได้ เป็นความสามารถที่สืบต่อกันทางสายเลือดของคนในตระกูลเท่านั้น”

“แต่ผมไม่ได้นามสกุลชามันด์ หรือชามิลเลียร์ที่ว่านี้เลยนะฮะ” ธาวินขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย

“การแบ่งสายตระกูลหลักกับตระกูลรองดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเป็นพันปีแล้ว ตามประวัติศาสตร์โลกวิญญาณเท่าที่เคยอ่านมานะ ต้นตระกูลของนักสะกดวิญญาณมีชื่อว่าโมริส เขาเป็นผู้มีพลังวิญญาณที่ทรงอำนาจมากในยุคสมัยนั้น และมีภรรยาหลายคนกับมีลูกอีกเกือบร้อยคนน่าจะได้”

“โห ตาลุงนั่นจะขยันปั๊มลูกไปไหนเนี่ย” ธาวินพูดลอยๆ ขึ้นมาจนเอ็ดเวิร์ดหัวเราะ

“เรียกว่าเป็นฮาเร็มที่แท้จริงคงได้เลยล่ะ ตามตำราเหมือนจะเขียนไว้ว่าเป็นคนหล่อมากซะด้วย น่าอิจฉาเป็นบ้าเลยว่าไหม”

แต่แล้ว เมื่อชายต่างวัยทั้งสองได้ยินเสียงถอนหายใจจากโซอี ทุกอย่างจึงกลับเข้าสู่เรื่องราวที่เป็นการเป็นงานขึ้น

“โมริสให้ลูกชายทุกคนใช้นามสกุลชามันด์ตามเขาแสดงถึงการเป็นสายตระกูลหลัก ให้ลูกสาวใช้นามสกุลชามิลเลียร์เพื่อแสดงการเป็นสายตระกูลรองแล้วให้ลูกเขยแต่งเข้าตระกูลแทน เวลาผ่านไปหลายร้อยปี ลูกหลานของเขาก็เริ่มกระจายตัวกันออกไปอยู่ทั่วโลก ดังนั้นต่อให้จะสืบเชื้อสายมาจากสายชามันด์หรือชามิลเลียร์ก็ตาม แต่เวลาผ่านมาขนาดนี้แล้วการแต่งงานเปลี่ยนนามสกุลอะไรต่างๆ ก็ทำให้ชื่อตระกูลหลักตระกูลรองไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้นอีกต่อไป สิ่งที่แสดงถึงสายเลือดที่แท้จริงได้คือคนที่ใช้พลังของนักสะกดวิญญาณได้ต่างหาก”

“แล้วนักสะกดวิญญาณแบบพวกผมนี่ทำอะไรได้บ้างเหรอฮะ” ธาวินคนขี้สงสัยคนเดิมถามขึ้นต่ออย่างตื่นเต้น

“ก็ตามชื่อเรียกนั่นแหละ นักสะกดวิญญาณสามารถสะกดให้วิญญาณกลายเป็นสิ่งต่างๆ ตามแต่ความถนัดของเจ้าตัวได้ เช่นสะกดให้อยู่ในรูปแบบของต้นไม้ ตุ๊กตา หรือแม้แต่ชามข้าวก็ยังเคยมี แต่ไม่ใช่ว่าจะไปสะกดวิญญาณของใครก็ได้ตามใจหรอกนะ พวกเขาสามารถสะกดได้แต่วิญญาณที่เริ่มมีสีดำเจือปน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการกลายเป็นดิคเคนส์”

“มันคืออะไรฮะ ดิคเคนส์ที่ว่าเนี่ย”

“อย่างที่เคยบอกเมื่อกี้ว่าวิญญาณของมนุษย์จะมีสีตามกรรมดีชั่วของตัวเอง เมื่อวิญญาณออกจากร่างของมนุษย์ ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามกระบวนการของโลกวิญญาณ พวกที่ตายเพราะหมดอายุขัยก็จะไปชำระกรรมดีกรรมชั่วของตัวเองก่อนไปเกิดใหม่ แต่พวกที่มีปัญหาคือพวกที่ชะตาขาดก่อนถึงเวลาอันควรนั่นแหละ วิญญาณพวกนี้จะเร่ร่อนไปเรื่อยๆ แบบรู้ตัวบ้างหรือไม่รู้ตัวบ้างแล้วแต่กรณีไป แล้วถ้าเกิดทำอะไรแผลงๆ เช่นไปทำร้ายมนุษย์โดยการดูดพลังชีวิตของมนุษย์เพื่อให้ตัวเองยังมีพลังงานอยู่ได้ต่อเรื่อยๆ เมื่อไร วิญญาณนั้นก็จะค่อยๆ กลายเป็นสีดำที่เราเรียกว่าดิคเคนส์นั่นเอง”

“ใครเป็นคนกำหนดกันว่ามนุษย์คนไหนควรจะใช้ชีวิตถึงอายุเท่าไหร่ เขามีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนั้นกัน”

โซอีที่เงียบฟังมานานพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เช่นเคย อาจเพราะคนอื่นในหน่วยพยายามทำงานของตัวเองไปเงียบๆ เพื่อไม่ให้รบกวนการเรียนการสอน ประโยคนี้ของเธอจึงเรียกความสนใจจากคนทั้งห้องได้เลยทีเดียว

“ไม่มีใครรู้เรื่องนั้นหรอก แต่อย่าไปคิดให้ปวดหัวเลยว่าใครเป็นคนกำหนดอายุขัยของเรา หันมามองการใช้ชีวิตตัวเองกันดีกว่าว่า เรารักษาชีวิตตัวเราดีแค่ไหนเพื่อให้มันอยู่รอดได้นานๆ น่ะ จริงมั้ย”

โซอีไม่ตอบเอ็ดเวิร์ด แต่อาการที่เริ่มนั่งกอดอกยกขาไขว่ห้างนั้น ก็ออกจะชัดเจนว่าไม่ค่อยพอใจกับคำตอบเท่าไร

“กลับเข้าเรื่องกันต่อ นักสะกดวิญญาณสามารถสะกดวิญญาณที่เป็นดิคเคนส์ให้อยู่ในสิ่งของรูปแบบต่างๆ ได้ และเหมือนจะมีกฎเหล็กตายตัวเป็นพื้นฐานพลังว่า ไม่มีใครสามารถคลายคาถาสะกดของใครได้ทั้งนั้น วิญญาณที่ถูกสะกดเป็นสิ่งต่างๆ บ้างก็ถูกรีดพลังวิญญาณออกมาใช้ในรูปแบบต่างๆ จนแตกสลายไม่ได้ไปผุดไปเกิด อันที่จริงแล้ววิญญาณที่กลายเป็นดิคเคนส์หากถูกทำลาย ไม่ว่าจะด้วยฝีมือของนักปราบวิญญาณหรือนักสะกดวิญญาณมันก็จะแตกสลายไปเลยเหมือนกัน มีหนทางเพียงสองทางที่จะนำดวงวิญญาณสีดำนั้นกลับเข้าสู่วงจรเวียนว่ายตายเกิดใหม่ได้”

เอ็ดเวิร์ดหยุดพักหายใจก่อนจะพูดต่อ

“อย่างแรกคือต้องใช้แพทย์วิญญาณที่มีพลังขั้นสูงสุดซึ่งหายากอย่างที่สุด และในปัจจุบันนี้ก็ไม่มีแพทย์วิญญาณคนไหนที่สามารถแปรสภาพวิญญาณสีดำให้กลับเป็นสีปกติได้ และในบันทึกอดีตที่ผ่านมาก็เหมือนจะมีคนที่ทำได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น อย่างที่สองคือต้องให้นักสะกดวิญญาณนำเอาวิญญาณที่ตัวเองสะกดเป็นสิ่งของเข้าเตาเผาวิญญาณ ได้ยินมาว่าเตาเผาวิญญาณจะล้างคราบวิญญาณสีดำออกได้จนกลับมาเป็นสีปกติของกรรมตัวเอง แล้วใช้คาถาสวดส่งวิญญาณให้ไปชำระกรรมของตัวเอง ก่อนจะเข้าสู่วงจรเวียนว่ายตายเกิดต่อไป”

“ถ้ามีความสามารถทำแบบนั้นได้ แพทย์วิญญาณจัดเป็นประเภทไหนเหรอคะ นักปราบวิญญาณ หรือนักสะกดวิญญาณ” หนนี้เป็นโซอีที่ถามขึ้นบ้าง

“หากแบ่งตามลักษณะการปะทุพลังแล้ว แพทย์วิญญาณก็จัดเป็นนักปราบวิญญาณประเภทหนึ่ง อืม...บอกไว้ตอนนี้เลยก็ดี นักปราบวิญญาณแบ่งออกเป็นสามประเภท แบบแรกคือสายสลายพลังวิญญาณ เป็นพลังพื้นฐานทั่วไปเหมือนของเคนเซย์ พลังวิญญาณจะแปรรูปเป็นสื่ออะไรสักอย่างแล้วแต่ผู้ใช้ถนัด เพื่อปล่อยพลังสลายวิญญาณใส่ดิคเคนส์ แบบที่สองคือสายแปรสภาพวิญญาณหรือที่เรียกว่าแพทย์วิญญาณนั่นแหละ พวกเขาจะสามารถเติมเต็มพลังวิญญาณที่ถูกกัดกินไป หรือฟื้นฟูพลังวิญญาณเหมือนการเติมพลังใหม่ให้เต็มหากใช้ไปเยอะๆ นั่นแหละ แบบสุดท้ายก็สายพิเศษแบบพวกเรา พลังวิญญาณของเราจะไม่มีผลต่อการสลายดิคเคนส์ แต่จะเป็นประโยชน์ในด้านอื่นๆ แทน หน่วยของพวกเราก็เลยเป็นหน่วยจับโจรที่เป็นคนมากกว่าไล่ปราบดิคเคนส์เหมือนหน่วยอื่นๆ นั่นเอง”

“ถ้าอย่างนั้น... แล้วทำไมพวกเราถึงถูกไล่ล่ากวาดล้างแบบนี้กันคะ ถ้าในปัจจุบันนี้เราคือหนทางเดียวที่จะปลดปล่อยดิคเคนส์ให้กลับมาเป็นปกติได้”

“กลับกันเลย อาจเป็นเพราะว่ามีคนที่ไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้นอยู่รึเปล่าต่างหาก แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีใครรู้ดีนอกจากคนที่ทำหรอกนะ”

“คงต้องรอจับไอ้พวกที่มันตามล่าพวกเธอได้นั่นแหละ เราถึงจะได้รู้กัน” เฮคเตอร์เดินเข้ามาแล้วพูดขึ้นต่อจากท่านรองของหน่วย “คดีเมื่อสิบเก้าปีก่อนก็น่าจะปิดได้สักทีด้วยใช่มั้ย เอ็ดจัง”

“ก็...คงจะอย่างนั้น ตอนนี้พวกคุณสองคนเป็นหนึ่งในนักสะกดวิญญาณที่เหลืออยู่ไม่กี่คนแล้ว ถ้าเป็นไปได้อยากจะลองฝึกการใช้พลังของนักสะกดวิญญาณไว้บ้างมั้ย ที่กองปราบวิญญาณมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นนักสะกดวิญญาณอยู่สองคน ผมว่าพวกเขาน่าจะยินดีที่จะสอนพวกคุณนะ”

“ผมจะเรียน! โห... นี่มันเหมือนได้รับจดหมายให้เข้าฮอกวอตส์เลย” ทุกคนหันไปมองธาวินที่ลุกขึ้นยืนยกมืออย่างตื่นเต้น สีหน้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกใบใหม่นี้

“...ถ้างั้นลองเรียนวิชาควิดดิชดูก่อนมั้ย” อยู่ๆ ชาเกลก็นึกสนุกจนมาร่วมวงอีกคน เขาเอามือแตะไม้กวาดที่เป็นสมบัติประจำตัวซึ่งเก็บอยู่ข้างตู้หลังโต๊ะทำงาน ไม้กวาดลอยไปที่ธาวินแล้วเสียบเข้าหว่างขาของเด็กหนุ่ม ก่อนที่ไม้จะลอยตัวขึ้นพร้อมกับยกร่างของเขาขึ้นไป

“เหวอออ!” แต่เพราะไม่เคยชินจึงยังทำให้ทรงตัวไม่ได้ หนุ่มน้อยจึงห้อยตัวต่องแต่งลงข้างล่าง ใช้แขนข้างที่ไม่หักกับปลายเท้าสองข้างกอดไม้กวาดไว้แน่น ชาเกลแกล้งพาธาวินให้ลอยไปลอยมาร้องเสียงหลงดังลั่นห้องอยู่ครู่หนึ่ง จนเริ่มมีรังสีอำมหิตจากเอ็ดเวิร์ดจางลอยมานั่นแหละ เด็กไทยผู้ใฝ่ฝันอยากเข้าโรงเรียนเวทมนตร์จึงรอดชีวิตมาได้

“ฉันขอผ่านนะคะ ด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ ฉันคงจะแต่งงานมีลูกให้มีนักสะกดวิญญาณเพิ่มขึ้นในโลกไม่ได้หรอก เรียนไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร”

“หืม...ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ อีกไม่นานเธอจะต้องโตเป็นสาวน่ารัก มีหนุ่มๆ รุมจีบเยอะแยะแน่ๆ เลยนะ” ธาวินที่ถูกปล่อยตัวกลับมานั่งที่เดิมพูดขึ้นด้วยความไม่รู้ เกิดความเงียบอยู่ชั่วขณะทีเดียว จนท้ายก็เป็นเฮคเตอร์ที่คลี่คลายสถานการณ์นี้ให้

“คือมีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้นน่ะ ถึงจะเห็นตัวแค่นี้แต่ที่จริงโซอีอายุยี่สิบหกแล้ว”

“หา! นั่นเยอะกว่าผมเกือบสองเท่าเลยนะ”

การตอกย้ำเรื่องอายุเยอะยิ่งทำให้หัวคิ้วของโซอีขมวดตึงเข้าไปอีก

“ถ้านายชอบอ่านนิยายดูอนิเมะญี่ปุ่นล่ะก็ จะเรียกพี่สาวคนนี้ว่าโอะเน่สะหมะก็ได้นะ”

“เอ๋... เอ่อ... แบบว่า... มันดูขัดๆ ความรู้สึกยังไงก็ไม่รู้นะครับ”

โซอีถอนใจอีกครั้ง เลิกโต้ตอบบทสนทนาที่ดูไร้ประโยชน์นี้ต่อ

“แล้วเกิดอะไรขึ้นเหรอครับทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ได้”

เมื่อโซอีนิ่งไปไม่ตอบ จนท้ายท่านรองของหน่วยจึงเป็นคนบอกออกมาแทน

“สิบเก้าปีก่อน สายตระกูลหลักของนักสะกดวิญญาณถูกฆาตกรรมหมู่ยกตระกูล ที่เกิดเหตุคือคฤหาสน์ชามันด์ที่อยู่ในคาเรมนี่แหละ คุณโซอีที่ในตอนนั้นอายุเจ็ดปีเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ตอนนั้นมันคงเกิดอะไรขึ้นสักอย่างจนส่งผลทำให้ร่างกายของคุณโซอีไม่โตขึ้นอีกเลย เธอพอจะเคยได้ยินข่าวต้นไวท์แอช ต้นไม้สีขาวที่เคยเป็นจุดแลนด์มาร์กชื่อดังระดับโลกที่หายไปของคาเรมมั้ยล่ะธาวิน”

“อ่า...จะว่าไปก็เหมือนเคยได้ยินนะครับ ผมเคยเห็นผ่านๆ ตามสารคดีปริศนาโลกเร้นลับอะไรพวกนั้น”

“ต้นไวท์แอชหายไปในวันที่เกิดโศกนาฏกรรมที่คฤหาสน์ชามันด์ ว่ากันว่าโมริส ชามันด์ ต้นตระกูลของพวกเธอได้สะกดวิญญาณที่ชั่วร้ายที่สุดไว้จนกลายเป็นต้นไม้ต้นนั้น อยู่มาวันหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามันหลุดออกมาได้ด้วยวิธีการไหนนั่นแหละ ด้วยความแค้นที่มีต่อโมริสชามันด์ก็เลยทำให้เจ้าวิญญาณนั่นฆ่าล้างคนทั้งตระกูล จากนั้นก็หายสาบสูญไปเลย จนกระทั่งเกิดเหตุไล่ล่านักสะกดวิญญาณทั่วโลกอีกครั้งเมื่อตอนที่ไปรับพวกเธอมาอยู่ที่นี่นี่แหละ”

“อย่างนี้นี่เอง...” ธาวินหันไปมองโซอีด้วยสายตาที่เปลี่ยนเป็นความเห็นใจในทันที “แล้วจำหน้าคนร้ายไม่ได้เลยเหรอครับ อย่างน้อยถ้าพอมีเบาะแสอะไรบ้าง...”

“พอเถอะ” เฮคเตอร์เป็นคนบอกให้เด็กหนุ่มจากไทยหยุดพูด เพราะเกรงว่าจะไปกระทบจิตใจของโซอีเข้า แม้เธอจะเคยบอกว่าไม่ต้องระวังเรื่องนี้เพราะเธอจำอะไรไม่ได้ก็ตาม แต่อย่างที่พ่อแม่ของโซอีทำอาจจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ให้เธอลืมไปได้ก็คงจะดีเสียกว่า มันคงไม่สนุกนักหรอกหากต้องใช้ชีวิตโดยมีภาพความทรงจำที่เต็มไปด้วยศพนอนจมกองเลือดเกลื่อนรอบตัว

“นั่นสินะ... จะว่าไปแล้วก็ ฉันจำอะไรไม่ได้ก็จริง...แต่ว่า ถ้าฉันจำอะไรได้ขึ้นมาบ้างมันก็น่าจะเป็นประโยชน์กับการตามจับคนร้ายใช่มั้ยคะคุณเอ็ด”

“ก็...น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยแหละครับ ผมเองก็บอกไม่ได้ว่าการพยายามไปรื้อฟื้นมันจะเป็นเรื่องดีหรือเปล่า เพราะเราเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณโซอีเคยเห็นหน้าคนร้าย หรือจำอะไรเกี่ยวกับคนร้ายได้จริงๆ ไหม ผมเคยอ่านคำให้การของคุณเมื่อสิบเก้าปีก่อน ทุกอย่างถูกระบุไว้ว่าคุณจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แต่นั่นอาจเป็นเพราะคุณกำลังช๊อคมากจนอยู่ในสภาพสติหลุดลอยอยู่ก็ได้”

โซอีถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง เฮคเตอร์สังเกตได้ว่าเธอกำสองมือเข้าแน่นเลยทีเดียว

“พาฉันไปที่คฤหาสน์นั่นเถอะค่ะ ฉันเองก็อยากจะหาทางจับคนร้ายให้ได้ไวๆ เหมือนกัน จะได้กลับไปใช้ชีวิตปกติได้เหมือนเดิม อีกอย่างฉันก็ไม่ใช่เด็กเจ็ดขวบเหมือนตอนนั้นแล้ว สิบเก้าปีที่ผ่านมาก็ทรมานเหมือนตกอยู่ในนรกจนเคยชินแล้ว ให้รู้อะไรเพิ่มมันก็คงจะไม่มีอะไรหนักหนาไปกว่านี้อีกแล้ว”

“โซอี... เอาจริงเหรอ ไม่งั้นที่พ่อกับแม่ของเธอพยายามทำมา ย้ายหนีจากที่นี่ไปอยู่อังกฤษอาจจะหมดความหมายไปเลยนะ” เฮคเตอร์ยังเน้นย้ำเรื่องนี้ขึ้น เขารู้สึกไม่เห็นด้วยเลยจริงๆ

“พ่อกับแม่ตายไปแล้ว ท่านคงสบายใจแล้วที่ตายไปตอนยังเห็นฉันจำอะไรไม่ได้ และไม่ได้ทุกข์ร้อนกับความทรงจำเลวร้ายพวกนั้น แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่ แล้วถ้าต้องอยู่แบบหนีต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้มันจะมีความหมายอะไรกัน ถ้าความทรงจำพวกนี้อาจจะนำไปสู่เบาะแสสำคัญในการจับตัวคนร้ายได้ ก็ให้ฉันได้ต่อสู้ในแบบของฉันเพื่อตัวฉันเองเถอะนะ ไปที่นั่นกันเถอะ ฉันจะพยายามนึกให้ออกให้ได้ว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น...”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด