บทที่ 6 : การปะทะกันของปีศาจ
บทที่ 6 : การปะทะกันของปีศาจ
ในบรรยากาศหนาวเหน็บของเม็ดฝนที่ตกลงมาห่าใหญ่เป็นพายุ เสียงลั่นร้าวของท้องฟ้าสั่นสะเทือนลงมาถึงผืนดิน ราวกับเป็นสัญญาณลั่นกลองรบจากสวรรค์ ทว่ากองกำลังทัพนั้นต่างไปมิได้มุ่งเน้นจำนวนขุนศึกเหมือนโบราณกาล
กลุ่มนักผจญภัยเพียงสี่คนเร่งติดตามร่องรอยเป้าหมายมาจนถึงสวนสมุนไพรของเอลีอา ตามคำบอกเล่าจากปากของอดีตมหาจอมเวทถึงสิ่งที่ปลิดชีวิตหมาป่าเฟนรีสได้อย่างง่ายดายเหมือนริดดอกไม้จากต้นและอาจเปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้กลายเป็นสุสานได้ในชั่วข้ามคืน สิ่งที่แม้แต่คนระดับมหาราชินียังถึงกับเอ่ยปากว่าอันตรายถึงขนาดให้ใช้รหัสภารกิจระดับหนึ่ง แลกชีวิตได้หากจำเป็น สิ่งที่นางเรียกว่าหุ่นสงคราม
“มันอยู่ที่นี่ หุ่นสงครามนั่นอยู่นี่แน่” เสียงหวานแต่กระด้างดังขึ้นด้วยอารมณ์วิตกตื่นเต้น ดวงตาสีส้มสะท้อนประกายลุกวาวยามที่มันจ้องมองผ่านสายฝนไปยังบ้านหินใจกลางสวนสมุนไพร แม้เส้นผมและพวงหางจะเปียกปอนแต่ยังแสดงสัญชาตญาณบ่งบอกความพรั่นพรึงในใจ เมื่อสิ่งที่มันสัมผัสได้นั้นคร่าชีวิตมามากมายยิ่งกว่าจำนวนคนที่จิ้งจอกสาวเคยพบเจอ แต่ความหวาดหวั่นของนางเทียบไม่ได้เลยแม้แต่เสี้ยวหนึ่งของสิ่งที่ครึ่งเอลฟ์สาว เอเดล ต้องเผชิญ
ใบหน้าสะคราญแบบเอลฟ์แต่ไม่ขาวซีดและไร้เขากวางบนศีรษะดูงามตาแม้มันจะเปียกปอนจนยากจะแยกระหว่างน้ำฝนและน้ำตา ทว่าริมฝีปากและฟันที่ขบแน่นก็บอกความในใจได้ดีไม่แพ้มือที่กำคันศรเอาไว้จนแทบจะจิกเล็บห้อเลือด
เพราะนางรู้ดีว่าอีกคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้นกับหุ่นสงครามคือมารดาของนาง หากว่าไม่ถูกท่อนแขนใหญ่ยักษ์ของจระเข้หนุ่มอุ้มล๊อกและปิดปากเอาไว้ด้วยแรงของเผ่าเกล็ด ป่านนี้นางคงพุ่งตัวออกไปโดยไม่รอใครแล้วทำให้แผนการพังไม่เป็นท่าแน่
“ใจเย็นๆ แม่ของเจ้ายังมีชีวิต” จิ้งจอกว่า พลางตบไหล่อีกฝ่ายให้ใจเย็นลงเพราะนอกเหนือจากแรงกดดันของสัญชาตญาณที่พยายามบอกถึงอันตรายแล้ว นางยังสัมผัสได้ถึงอีกชีวิตในนั้นด้วย
ฝ่ายคร็อคคัสเมื่อเห็นว่าสาวน้อยนั้นเย็นลงบ้างแล้ว ก็ยอมปล่อยมือออก แต่ยังจับตาเตรียมพร้อมหากนางคิดจะทำอะไรโง่ๆ
“แม่บาดเจ็บรึเปล่า มันทำอะไรเธอรึเปล่า” เอเดล เมื่อได้โอกาสจึงรีบเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าจริงจัง เธอไม่รู้เลยว่าหุ่นสงครามนั้นอันตรายแค่ไหนหรือมันอาจจะทำอะไรได้บ้าง
“สัมผัสของข้าบอกเรื่องนั้นไม่ได้ แต่นางปลอดภัย และพวกเราจะช่วยนางกัน” จิ้งจอกสาวมองตาอีกฝ่ายคล้ายเป็นการให้สัญญา ขณะเพ่งสมาธิรับสัมผัสการคงอยู่ของสิ่งต่างๆ รอบพื้นที่เพื่อประเมินความเสี่ยงหากเกิดการปะทะว่าจะไม่มีใครถูกลูกหลง
ทว่าระหว่างนั้นเองที่เสียงขุ่นเข้มทุ่มต่ำดังขึ้นแทรกอย่างผิดปกติ
“พวกเราน่าจะขอความช่วยเหลือจากองค์ราชินีมากกว่านี้ มากกว่าแค่การยืนยันเป้าหมาย” ชายหนุ่มในชุดเกราะหนังกับโซ่ถักเชนเมลกล่าวเรียบๆ ไม่แสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าแต่เพราะเหตุนั้นเองที่ทำให้มันฟังดูแปลกจนเจ้าชายแห่งลุ่มน้ำเหนือสังเกตเห็นความผิดปกติ
สหายนักรบผู้นี้ของเขาถึงจะฉลาด รอบคอบ แต่หลายครั้งก็มักจะหยิ่งทะนงในความสามารถระดับปีศาจของตัวเอง ไม่บ่อยนักที่เขาจะแสดงอาการไม่มั่นใจออกมา และคงไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้สึกบางอย่างเพราะแม้แต่มีดโคปิสที่ข้างเอวก็กำลังสั่นระริกไม่หยุดอยู่ในฝักจนเกิดเสียงคล้ายกระดิ่งถูกลม
“มันแค่ตื่นเต้นน่ะ… คงไม่เป็นไร” ชายหนุ่มหันมาสบตากับเพื่อนชาวเกล็ดส่งสัญญาณว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง พันธนาการปีศาจยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดีตราบใดที่พวกเขายังทำตามแผน
“แถวนี้ปลอดภัย ใช้แผนปกติได้ แต่ต้องหาทางหลอกล่อหุ่นนั่นให้ออกห่างจากแม่ของนางก่อน... คิดว่าไง” จิ้งจอกสาวเสนอให้ใช้แผนหลักที่ใช้กันมาตลอด
หลังจากที่นางสำรวจพื้นที่ดีแล้วว่าปลอดภัยไม่มีใคร เปิดทางให้ชายหนุ่มสามารถปลดพันธนาการปีศาจเข้าต่อสู้ได้เต็มที่ ประสานงานกับกองทัพอวตารกระดูกที่ใช้พัวพันเป้าหมาย โดยที่นางจะรับหน้าที่คอยสนับสนุนด้วยมนต์ลวงตา ซึ่งนอกจากจะสามารถลบตัวตนของทุกคนให้จางหายไปไม่ตกเป็นเป้าจู่โจมจากเป้าหมายและจากปีศาจคลั่งได้แล้ว ยังใช้ร่วมในการโจมตีทำให้มันทรงประสิทธิภาพมากขึ้น
อีกทั้งหากชายหนุ่มผู้รับหน้าที่เป็นคนตัดสินใจลำดับสุดท้ายของกลุ่มยอมรับให้เอเดลเข้าร่วมกระบวนจู่โจมนี้ด้วยก็จะเท่ากับพวกเขามีพลธนูมือดีเพิ่มขึ้นมาอีกคน ถึงโอกาสที่ชายหนุ่มจะยอมรับความเสี่ยงเข้ามาในกระบวนแผนที่ได้ผลอยู่แล้วจะน้อยจนแทบเป็นศูนย์ก็ตาม
“เราว่าคงใช้แผนนั้นไม่ได้แล้ว…” พลันคำตอบที่จิ้งจอกสาวไม่ได้คาดหวังก็ดังเป็นเสียงแหบแห้งจากปากของคร็อกคัส
ก่อนที่ฉับพลันสัญชาตญาณจิ้งจอกจะทำให้นางรู้สึกเสียวสันหลังวาบและสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคนอื่นๆ ที่คงจะรู้สึกไม่ต่างกันนัก เมื่อปลายสายตาหลังม่านฝนนั้นคือเงาร่างของชายหนุ่มตัวสูงซึ่งยืนอยู่หน้าประตูจ้องมองตอบมายังพวกเขาด้วยนัยน์ตาสีดำสนิทมืดมิดไร้ก้นบึ้ง ทั้งที่มนต์ลวงตาของเธอยังทำงานอยู่ ไม่ควรจะมีใครรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเขาด้วยซ้ำ
“มันเห็นพวกเรา” ชายหนุ่มเอ่ยโดยไม่กระพริบตาจากเงาร่างตรงหน้า ด้วยกลัวว่าพริบตาที่ละจากมันจะเป็นพริบตาเดียวกันกับที่ศีรษะหลุดจากบ่า “...ทำไมมันไม่โจมตี”
ในห่วงแห่งความกดดันที่สายตาของผู้ถูกพันธนาการปีศาจคลั่งจากเทมและปีศาจสงครามจากบรรพกาลจับจ้องประสานกันนั้นเอง ภาพของผู้แสดงอีกคนพลันปรากฏขึ้นในฉาก เงาร่างอ้อนแอ้นกับเขากวางเด่นเปิดประตูเดินตามออกมาด้วยท่าทางสงสัยประหลาดใจ แต่นางไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสายฝน
“แม่! นั่นแม่ฉัน” เร็วเท่าคำพูด เอเดล ที่ได้เห็นว่าแม่ของตนปลอดภัยก็ง้างคันธนูเหมันต์สีหิมะในมือเล็งไปยังหน้าผากของหุ่นสงครามค้างไว้ เตรียมพร้อมปลิดชีวิตภายในศรเดียวตามที่เคยได้รับการฝึกมาเผื่อสำหรับสถานการณ์ช่วยเหลือตัวประกัน
“ข้างๆ นั่นแม่เธอ เธอตัดสินใจ... ถ้าคิดว่ายิงโดนก็ยิงเลย” ชายหนุ่มเอ่ยเป็นจริงจังในลำคอ ไม่ยอมละสายตาจากเป้าหมาย
เป็นเวลาเดียวกันกับที่จระเข้หนุ่มแอบอัญเชิญร่างอวตารกระดูกของตัวเองขึ้นมานับพันตน ล้อมรอบบริเวณกันพื้นเอาไว้หมดเมื่อได้เห็นมือซ้ายของสหายตนที่บัดนี้อยู่ห่างจากมีดโคพิสที่กำลังสั่นอย่างบ้าคลั่งเพียงไม่กี่นิ้ว เช่นกันกับจิ้งจอกสาวที่ค่อยๆ ร่ายมนตร์ลวงสัมผัสจากระยะไกลเพื่อลบตัวตนของเอรีอาออกไปไม่ให้ตกเป็นเป้าของปีศาจคลั่ง
โดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว เพียงแค่ใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมร่วมกันมาจนเป็นระบบ พวกเขาทั้งหมดเห็นตรงกันแล้วว่าจะเป็นฝ่ายเปิดศึกเข้าปะทะ และสัญญาณนั้นคือทันทีที่ศรถูกปล่อย
และในเสี้ยววินาทีของการตัดสินใจ สายเชือกถูกปล่อยจากมือรั้งในที่สุด ลูกดอกอาบยาพุ่งโค้งเบี่ยงวิธีตามลมฝน แต่ทั้งหมดถูกคำนวณเอาไว้หมดนานแล้วด้วยสายตาและสัญชาตญาณของครึ่งเอลฟ์ ศรนี้ไม่มีวันพลาดเป้า
ทว่าชายหนุ่มในชุดเกราะไม่เคยคาดหวังว่าศรนี้จะสร้างความเสียหายใดๆ ได้อยู่แล้วตั้งแต่ต้น ความเร็วของลูกดอกจากคันรั้งไม่ต่างอะไรกับเด็กขว้างก้อนหินในโลกของระดับอัญมณี เขาใช้เพียงชั่วพริบตากุมมีดในมือแล้วปลดปล่อยพันธนาการปีศาจออกมาในทีเดียว
หมอกดำพวยพุ่งปกคลุมทั่วทั้งร่าง กล้ามเนื้อที่ขยายออกอย่างวิปริตรวดเร็วทำลายโซ่ถักเชนเมลที่สวมอยู่จนระเบิดแตก ใบหน้าแปรเปลี่ยนจากหนุ่มแน่นกลายเป็นอสุรกายไร้ดวงตา ทว่ามีปากขนาดใหญ่ยักษ์ยิ้มกว้างเห็นไรฟันแหลมคมเรียงกันเป็นแถว มือซ้ายถูกแทนที่ด้วยคมมีด มือขวาปรากฏกรงเล็บคมกริบไม่ต่างกัน
เป็นร่างเกือบสมบูรณ์ที่สุดของปีศาจคลั่งที่ครั้งหนึ่งเคยอาละวาดอยู่จริงในเมืองที่ชื่อว่า เทม เป็นตำนานที่ถูกเล่าขานไปทั่วทุกแดนดินถึงความโหดเหี้ยมและร้ายกาจขนาดที่ต้องใช้จอมเวทและนักผจญภัยระดับอัญมณีถึงเก้าคนเพื่อผนึกมันเอาไว้ในร่างบริสุทธิ์ของเด็กทารกเพื่อหวังจะฆ่าทิ้งไปทั้งเด็กและปีศาจ แต่ปริศนาไม่รู้จบนั้นไม่เคยถูกเล่าต่อว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เด็กทารกคนดังกล่าวถึงได้เติบโตขึ้นมาเป็นนักผจญภัยเสียเอง
ร่างใหญ่ยักษ์ของปีศาจคลั่งดูงุ่มงามทว่าแท้จริงมันรวดเร็วเสียยิ่งกว่าศรของเอเดล ราวกับเป็นการต่อให้ เมื่อการปลดปล่อยแปรสภาพสมบูรณ์ อสุรกายตนนั้นก็พลันพุ่งทะยานตัวเองเข้าใส่สิ่งเดียวที่มันเห็นคือร่างของหุ่นสงครามตนสุดท้ายหรืออาจเรียกได้ว่าปีศาจจากบรรพกาลที่ถูกสร้างโดยมนุษย์
ออกตัวช้ากว่าทว่าถึงก่อน ปีศาจคลั่งวาดมือซ้ายขึ้นกลางอากาศแล้วสะบัดลงหมายจะแยกส่วนเป้าหมายให้ขาดเป็นสองซีก แต่สิ่งที่มันได้รับกลับมาคือความแปลกใจ
หุ่นสงครามนาม ฮอรัส ใช้ท่อนแทนรับเอาคมมีดนั้นเอาไว้ได้ แม้ชิ้นส่วนภายนอกจะถูกสับลึกเข้าไปแต่ไม่ผ่านโครงโลหะ และแรงปะทะนั้นทำเอาฝ่าเท้าจมลงไปในดินฉ่ำฝน
เป็นเสี้ยววินาทีนั้นเองที่สองอสุรกายได้เผชิญหน้ากันใกล้ๆ ฝ่ายหนึ่งแสดงรอยยิ้มบ้าคลั่ง อีกฝ่ายไม่แม้แต่ขยับรอยต่อบนใบหน้า ก่อนในที่สุดศรของเอเดลจะมาถึง มันพุ่งโค้งตามลมเข้าทางข้างขมับของฮอรัส
ด้วยกะโหลกถูกสร้างจากโลหะที่แกร่งที่สุดในยุคสงคราม เขาไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่จะต้องหลบ แต่เลือกที่จะใช้มือคว้าศรไว้กลางอากาศแล้วทำการตอบโต้อสูรกายตรงหน้าเป็นครั้งแรกโดยการแทงศรใส่อกของมันอย่างแรง ทว่าหัวลูกดอกไม่คมพอจะทะลุผ่านผิวหนังหยาบด้านของปีศาจตนนี้ได้ มันหักพังลงไปแทบจะทันทีที่สัมผัสถูกร่าง แต่กลายเป็นว่าแรงของฮอรัสที่ส่งเข้าไปนั้นก็ยังมากพอจะทำให้กำปั้นของเขากลายเป็นอาวุธได้อยู่ดี
แรงอัดกระแทกขนาดมหาศาลถูกส่งเข้าไปกลางอกของอสูรกายไม่ต่างจากหอกของเทพเจ้า ถึงไม่ทะลุผ่านผิวหนัง แต่ก็อัดลึกจนยุบบุบเข้าไปเป็นรูปกำปั้นแล้วพาร่างปีศาจให้ปลิวออกไปกวาดโค่นต้นไม้ใหญ่บริเวณชายป่าตามแนวแรง ทิ้งไว้เพียงความตื่นตระหนกตกใจและสับสนเอาไว้ทั่วทั้งบริเวณ
“กะ เกิดอะไรขึ้น…” เอลีอาที่อยู่ห่างจากเหตุการณ์เมื่อครู่ไปไม่ถึงสองเมตร ล้มทรุดลงกับพื้นด้วยความตกใจกลัว แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแต่เธอก็ได้เห็นความมุ่งร้ายและอันตรายของปีศาจคลั่งตนนี้ที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาแล้ว
“ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ทำร้ายมนุษย์ เว้นแต่เป็นการปกป้องตนเอง... ฆ่าได้จนกว่าภัยคุกคามจะหมดไป” ฮอรัสเอ่ยเสียงเรียบไม่ใส่ใจระหว่างที่อวตารกระดูกจำนวนมากวิ่งกรูกันเข้ามา ราวกับว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของขั้นตอนที่ต้องทำ
ในความชุลมุน เป้าหมายอันดับหนึ่งของร่างอวตารไม่ใช่การเข้าปะทะ ทว่าเป็นการบดบังวิสัยและก่อกวนติดพันไม่ให้ฮอรัสรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือการแยกตัว เอลีอา ออกมาจากบริเวณ
ทว่าหุ่นกระดูกนั้นอ่อนแอเกินไปสำหรับฮอรัส หุ่นสงครามอย่างเขาถูกสร้างมาเพื่อรบกับกองทัพอสูรจำนวนมากอยู่แล้วตั้งแต่ต้น อีกทั้งการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจเป้าหมายซึ่งกันและกันเช่นนี้ยิ่งสร้างความเข้าใจผิดมากขึ้นไปอีก เพราะฮอรัสมองว่าการบุกเข้ามาของอวตารกระดูกเป็นภัยไม่ใช่แค่กับตัวเขาเองแต่ยังเป็นภัยกับ เอลีอา ด้วย
ร่างสูงสร้างจากวัสดุเทียมของหุ่นสงครามวาดวงแขนผ่าร่างอวตารกระดูกที่รุมล้อมติดพันอยู่รอบตัวจนแตกเป็นชิ้นพร้อมกันในทีเดียว ก่อนที่เขาจะคว้าจับหุ่นกระดูกตนหนึ่งที่กำลังจะเข้าถึงตัวเอลีอาเอาไว้ได้ แล้วเหวี่ยงมันกลับคืนไปหาร่างต้นซึ่งซ่อนตัวอยู่ในม่านลวงตา
จระเข้หนุ่มที่แม้จะมองทันการเคลื่อนไหวระดับปีศาจของอีกฝ่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหลบการโจมตีพ้น จึงยอมเสี่ยงวัดดวงยกแขนขึ้นตั้งการ์ดป้องกันพร้อมทั้งรีบยกเลิกร่างอวตารทีกำลังพุ่งเข้ามาทันที ทว่าไม่ทันเพราะกว่าที่อวตารนั้นจะหายไปก็หลังจากที่มันกระแทกเข้าใส่ร่างของเขาอย่างแรงจนท่อนแขนที่ยกขึ้นป้องกันนั้นบาดเจ็บรุนแรง เป็นแผลกินลึกถึงกระดูกซึ่งก็ปรากฏรอยร้าวเป็นอาการบาดเจ็บภายในอีกชั้นหนึ่ง
“ลุกขึ้นมาสิเจ้าโง่!” จิ้งจอกสาวฮารุตะโกนลั่นเสียงสั่นไปยังร่างของปีศาจคลั่งซึ่งยังนอนอยู่ใต้กองซุงในสภาพสาหัส พร้อมกันเอเดลเองก็พยายามใช้โพชั่นรักษาอาการบาดเจ็บของคร๊อกคัส เขากัดฟันพยายามเพ่งสมาธิควบคุมอวตารอีกครั้ง แม้จะรู้ตัวว่าการสู้ด้วยจำนวนหรือการดึงดูดความสนใจไม่มีวันใช้ได้ผลกับหุ่นสงครามที่ทรงพลังขนาดนี้แน่แต่เขาก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ขอเพียงแค่ซื้อเวลาระหว่างที่พันธนาการปีศาจขั้นต่อไปจะถูกปลดปล่อย
หุ่นกระดูกแม้จะมากมายเป็นกองทัพ แต่เมื่อมันอยู่ต่อหน้าฮอรัสก็ไม่ต่างอะไรกับกองทัพมดแมลงที่แห่กันเข้าไปในกองไฟ ฝ่ามือที่ปัดป่ายไปรอบตัวดูสะเปะสะปะแต่ความจริงแม่นยำ มันบทขยี้กะโหลกของอวตารตนแล้วตนเล่าจนเศษกระดูกกระจัดกระจายไปทั่ว เว้นแค่บริเวณที่เอลีอานั่งคุกเข่าปิดปากตัวเองไม่ให้กรีดร้องเท่านั้นที่ไม่มีเศษกระดูกกระเด็นไปโดนให้บาดเนื้อตัว
กระทั้งในที่สุดอวตารทั้งหมดก็ถูกทำลาย เหลือเพียงร่างต้นที่บัดนี้ทรุดลงคุกเข่าอย่างหมดสภาพ เขาใช้พลังเวทในร่างกายจนหมดสิ้นไม่เหลือเพื่อสร้างอวตารเหล่านั้นแต่กลับซื้อเวลาได้ไม่ถึงสิบวินาที
ทว่านั่นมากพอแล้วเมื่อกองซุงหักโค่นที่ทับร่างของปีศาจแห่งเทมเอาไว้เริ่มขยับ
“คราวนี้แค่ตบด้วยรักคงไม่พอแล้วนะ ท่านฮารุ...” คร๊อคคัสเอ่ยขึ้นในลำคอแหบแห้ง ส่ออารมณ์ขันไม่รู้เวลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนล้มลงหมดสติ
เอเดลที่เห็นว่ากลุ่มนักผจญระดับอัญมณีค่อยๆ หมดสภาพไปทีละคนเช่นนี้ก็เริ่มคุมสติให้อยู่กับตัวเองได้ยากเต็มที เพราะเอลฟ์สาวที่นั่งคุกเข่าหวาดกลัวจนร่ำไห้อยู่นั้นคือแม่ของเธอ ไม่มีลูกคนไหนที่จะทนรับรู้ความสิ้นหวังเช่นนี้ได้ง่ายๆ
แม้ว่าน้ำตาแห่งความหวาดกลัวที่ไหลออกมานั้นจะไม่ได้มาจากฮอรัสก็ตาม แต่มันก็ทำให้เอเดลขาดสติ ง้างคันธนูขึ้นยิงใส่ร่างของฮอรัสอย่างบ้าคลั่ง โดยที่ฮารุก็ไม่ห้ามไม่ทัน เพราะการกระทำเช่นนั้นไม่ต่างอะไรกับเปิดเผยตำแหน่งตัวแหน่งตัวเองกับปีศาจของจริงที่กำลังตื่นขึ้น
ไม่ต่างอะไรกับแมลงที่บินรบกวน ฮอรัสแค่ใช้มือปัดลูกศรหลายสิบที่พุ่งตรงเข้ามาออกไปอย่างง่ายดาย ก่อนมุ่งความสนใจไปยังเอเดลซึ่งตอนนี้ถือเป็นภัยคุกคามเดียวที่ยังเหลือยู่ในสายตาของหุ่นสงคราม และเมื่อปราศจากอวตารกระดูกที่คอยก่อกวนจนเขาละออกมาจากภารกิจปกป้อง เอรีอา ไม่ได้ ก็เท่ากับฮอรัสได้อิสระในการจัดการกับภัยคุกคามเต็มที่
เป็นขณะเดียวกับกันที่เอรีอาสังเกตเห็นลูกศรที่ถูกปัดลงบนพื้น เธอรู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องเข้าใจผิดครั้งใหญ่เกิดขึ้นแน่ เธอจำศรเหล่านี้ได้ว่ามันคือศรแบบที่ลูกสาวของเธอใช้ แม้เธอจะมองไม่เห็นว่าเอเดลอยู่ที่ไหนเพราะมนต์ลวงตาจิ้งจอก แต่เธอรู้ว่าฮอรัสรู้แน่ เพราะเขากำลังเดินตรงดิ่งไปอย่างไม่ลังเลทั้งยังกำมือแน่นบ่งบอกว่าเขาพร้อมที่จะฆ่าได้ทันท่ี
“ไม่ ไม่ไม่ไม่! หยุดเดี๋ยวนี้! อย่าทำนะฮอรัส!!” เอรีอา รีบตะโกนห้ามเสียงดังลั่นจนแม้แต่สองสาวเองก็ยังได้ยิน ถึงจะไม่ชัดเจนแต่มันก็ทำให้พวกเธอขมวดปมคิ้วเปลี่ยนความหวาดหวั่นเป็นความสับสนพร้อมกัน โดยเฉพาะเมื่อคำพูดนั้นทำให้หุ่นสงครามหยุดชะงัก หันกลับมายังเอลฟ์สาว
ทว่ายังไม่ทันให้เขาได้เอ่ยคำถามว่าทำไม ในเสี้ยวพริบตานั้นร่างของหุ่นสงครามก็ถูกกรงเล็บขนาดใหญ่ฟาดเข้าใส่อย่างแรงจนกระเด็นกระดอนไปตามแรงเหวี่ยง ก่อนที่เงาสีโลหิตจะพุ่งตามไปใช้ฝ่ามือคว้าศีรษะของฮอรัสกดจมลงไปในพื้นดิน
อสุรกายตนเดิมที่เคยถูกหมัดของฮอรัสบัดนี้ดูเปลี่ยนไป มัดกล้ามในร่างใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมจากที่ใหญ่จนเข้าขั้นวิปริตอยู่แล้ว ถึงขนาดทำให้ผิวหนังรองรับไม่ไหวปริแตกปล่อยเลือดให้ซึมไหลออกมาท่วมตัว ดูไม่ต่างจากภาพวาดสำหรับศึกษากายวิภาคกล้ามเนื้อที่ถูกบิดเบือนจนผิดสัดส่วนแล้วเทโลหิตลงไป
เป็นภาพสมบูรณ์แบบของปีศาจตนเดียวกันกับที่เปลี่ยนเทมให้กลายเป็นเพียงเมืองในตำราประวัติศาสตร์ และบัดนี้มันตื่นขึ้นอีกครั้งเพื่อเหตุเดียวคือท้ารบกับปีศาจอีกตน