บทที่ 5: ผีไร้ร่าง
บทที่ 5: ผีไร้ร่าง
เพียงค่ำคืนเดียวหัวเมืองแห่งนี้กลับเกิดเรื่องราวมากมาย ทั้งหญิงนางโลมตายปริศนา พรานหนึ่งคนถูกใส่ร้ายและสองจอมยุทธ์กำลังจะห้ำหั่นกัน
ชาวบ้านที่มุงดูต่างจับจ้องไม่วางตา เพราะหนึ่งในสองเป็นยอดมือปราบของที่นี่ แม้ตำแหน่งจะเป็นเพียงรองหัวหน้า แต่ใครต่างก็รู้ว่าโจวหม่าจงคือยอดฝีมือที่พิทักษ์ชาวบ้านในแถบนี้ เขาองอาจ ทระนงและคล่องแคล่วดุจหมาป่า ในขณะที่อีกหนึ่งเป็นจอมยุทธ์แปลกหน้า ดุดัน น่าเกรงขาม ลักษณะของคนผู้นี้เปรียบดังพยัคฆ์ที่พร้อมจะฆ่าเหยื่อตรงหน้าได้ทุกเมื่อ
สองคนต่างถืออาวุธไว้ในมือ หากใครเพลี่ยงพล้ำคงหมายถึงลมหายใจที่หลุดลอย ลมพัดผ่านหนาวเหน็บบาดผิวกายแต่ไม่มีใครกล้าขยับหรือส่งเสียง จวบจนแมวตัวหนึ่งวิ่งชนโต๊ะของร้านก๋วยเตี๋ยวจนชามล่วงหล่นพื้นแตกกระจาย
จอมยุทธ์แซ่ไป่พุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ เขาง้างดาบโถมฟาดใส่อย่างเต็มแรง หม่าจงตั้งดาบรับแรงกระแทก ทว่าหนักหน่วงเกินจะต้านไหว จนต้องถอยหลังไปสองสามก้าว ดาบในมือเขาสั่นสะท้าน พอมองไปตรงหน้าเห็นอีกฝ่ายแสยะยิ้มเหมือนจงใจเย้ยหยัน
หม่าจงขุ่นเคืองตวัดด้ามอาวุธเข้าหาตัวแล้วพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย ก่อนวาดดาบจากซ้ายไปขวา จอมยุทธ์ไป่เบี่ยงหลบแล้วงัดดาบในมือของตัวเองจากล่างขึ้นบน หม่าจงรีบกดดาบตัวเองรับคมแหลมของอีกฝ่าย สองคนต้านกำลังกันอยู่เช่นนั้น แต่จอมยุทธ์ไป่คล้ายจะเหนือกว่า ลูกน้องหลายคนของมือปราบจะเข้ามาช่วย
“อย่า!” หม่าจงตวาดอย่างทระนง
“ไม่เลว นับว่ามีศักดิ์ศรี” จอมยุทธ์ไป่กล่าว หม่าจงใช้จังหวะนั้นดึงแรงจากสองขาส่งกำลังมาที่สะโพกแล้วโถมตัวดันอีกฝ่าย
จอมยุทธ์ไป่ใช้อ่อนสยบแข็ง ก้าวถอยก่อนเอี่ยวตัวหลบ หม่าจงเสียหลักทั้งร่างโถมไปด้านหน้า เขาไม่รอช้ากระชากดาบขึ้นสูงแล้วฟันใส่ แต่มิคาดหม่าจงกระโดดหมุนตัว ใช้แรงเหวี่ยงสะบัดเท้าเตะเข้าที่ข้อมือของอีกฝ่าย จนดาบที่กำลังจะฟาดลงลอยขึ้นสูงอีกครั้ง อาศัยจังหวะเพลี่ยงพล้ำนี้ หม่าจงที่ยังลอยค้างกลางอากาศหมุนกลับมาแล้วแทงอาวุธใส่อกอีกฝ่าย
“ปักษาหวนคืน!” คนร่างใหญ่เอ่ยตระหนกมิคาดว่าศัตรูจะใช้ท่านี้เป็น
จอมยุทธ์ไป่แม้อยากหลบก็ไม่ทัน แม้อยากป้องกันก็ไม่สามารถ จึงใช้มืออีกข้างที่ว่างกำคมดาบที่พุ่งเข้ามาเพื่อหยุดการโจมตี หม่าจงยืนทรงตัวลงกับพื้น พยายามดึงอาวุธของตัวเองแต่มันยึดแน่นไม่เคลื่อนไหว อีกฝ่ายยิ้มอย่างมีชัยเตรียมลงดาบเพื่อเอาชนะ มิคาดเหตุการณ์กลับตาลปัตร
“ท่านพ่ออออ! อย่าทำท่านพ่อ” เสียงฮุ่ยจือดังลั่น เรียกความสนใจของผู้คน
จอมยุทธ์ไป่หันไปเห็นเฉาเกากำลังกระชากตัวของจิ่นสือออกจากลูกน้อย มันสั่งลูกน้องให้รีบพาคนที่ถูกกล่าวหากลับกองปราบ
“ไอ้สารเลวชั่วช้านัก!!” จอมยุทธ์ไป่สบถก่อนปล่อยดาบศัตรูแล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดสองจังหวะมาดักหน้าเฉาเกา
คล้ายจิ้งเหลนโดดน้ำร้อนลวก เฉาเกาลนลานถอยหลัง ผลักลูกน้องออกไปรับหน้า ความซวยที่มีผู้บังคับบัญชาเยี่ยงนี้ เพราะคนที่ถูกผลักออกมาถูกจอมยุทธ์ไป่ถีบกระเด็น เขาตรงเข้ากระชากตัวจิ่นสือออกจากมือของเฉาเกา ตวาดลั่น
“ชั่วชีวิตข้า เกลียดที่สุดคือคนเจ้าเล่ห์ ไร้ศีลธรรมและชั่วช้า! เจ้ามีครบทุกอย่าง ก็อย่าอยู่ให้รกโลกเลย!” คมดาบถูกง้างจนสุดแล้วฟาดลงมา ทว่าหม่าจงพุ่งเข้าไปใช้อาวุธของตัวเองรับไว้ แรงปะทะทำให้คมดาบที่ฟาดลงมาเกิดรอยบิ่นร้าว เฉาเกาลงไปคลานหนีหลบอยู่หลังหม่าจง
“ฆ่าเขาไม่ได้!”
“งั้นข้าจะฆ่าเจ้าแล้วคอยฆ่ามัน ส่งไปลงนรกให้หมดทั้งคู่!” จอมยุทธ์ไป่ขว้างดาบในมือทิ้งแล้วตั้งท่ารวมกำลังไว้ที่สองแขน
“เพลงหมัดสกุลจ้าว!” หม่าจงอุทานตกใจเพราะวิชานี้มีอีกชื่อว่าเพลงหมัดจอมราชันย์ คนที่มีสิทธิ์เรียนได้คือเหล่าเชื้อพระวงศ์
ทว่ายังไม่ทันที่จอมยุทธ์ไป่จะลงมือ จิ่นสือก็ส่งเสียงร้องดังขึ้นมาอีกครา
“เสี่ยวจือออออ ทำใจดีๆ ไว้ลูกพ่อ เสี่ยวจือ!” เด็กน้อยในอ้อมกอดบิดากระอักเลือดออกมา ท่าทางใกล้หมดสติเต็มที จอมยุทธ์ไป่รีบวิ่งเข้าไปดู เฉาเกาอาศัยจังหวะนี้ขว้างมีดสั้นทั้งหมดที่มีใส่คนทั้งสาม
จอมยุทธ์ไป่ปัดออกได้เกือบหมด ยกเว้นเล่มหนึ่งที่แทงเข้าท้องของจิ่นสือ เขาเอาตัวกันบังแทนลูกชาย
“จอมยุทธ์ไป่ ได้โปรดช่วยลูกข้าด้วย นี่คือเงินทั้งหมดที่ข้ามี ท่านกรุณาพาลูกข้าไปหาท่านหมอเหวินถังที่เมืองหัวอันด้วย”
“ข้าจะพาไปทั้งท่านน้าและลูก”
“ข้าไม่ไหวแล้ว อย่าให้ต้องเป็นภาระเลย โปรดช่วยลูกข้าด้วย” สิ้นประโยคจิ่นสือกระอักเลือดออกมา จอมยุทธ์แซ่ไป่ภายในใจเต็มไปด้วยโทสะและความแค้น
“ช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า พี่ชายพาเด็กน้อยไปเสียเถอะ” หม่าจงกล่าวอย่างจริงใจจึงเรียกเหตุผลจากอีกฝ่ายได้
“จับมะ...” เฉาเกาตวาดขึ้น แต่ไม่จบคำก็ถูกหม่าจงใช้ดาบในมือกระแทกหินที่อยู่บนพื้นพุ่งเข้าปากจนสำลัก
“ได้โปรด ส่วนคนทางนี้ข้ารับปากว่าจะดูแลให้เอง” มือปราบกล่าวยืนยัน จอมยุทธ์ไป่จึงยอมรามือ
เขาสกัดจุดเด็กน้อยเพื่อบรรเทาอาการป่วยก่อนจะอุ้มขึ้นแล้วอาศัยวิชาตัวเบากระโดดเพียงสองก้าวก็หายลับไปจากสายตาผู้คน หม่าจงสั่งให้ลูกน้องไปตามหมอมาดูแลคนเจ็บแล้วเดินไปหยิบอาวุธที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ มันเป็นดาบที่ถูกสลักขึ้นจากไม้ ฝีมือประณีตความคมไม่ต่างจากดาบทั่วไป แต่ความทนทานหาสู้ได้ไม่ หม่าจงอดคิดไม่ได้ว่าหากสู้กันด้วยอาวุธที่เสมอกัน ผลจะลงเอยเช่นไร
..........................................
ก่อนจะหมดคืนที่แสนวุ่นวาย หม่าซือเต้าเศรษฐีที่ผู้คนในหัวเมืองต่างเคารพ กลับถึงที่พำนักอย่างปลอดภัย ท่าทางของเขาอิดโรย ในความคิดมีแต่ความสับสน ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วยามที่ผ่านมาเป็นความจริง เฉินเจียวตายแล้วจริงหรือ? ใครเป็นคนทำ? ยิ่งคิดยิ่งโศกศัลย์แต่กระนั้นก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมาเพื่อยืนยันความรู้สึกในใจนี้
ทันทีที่ก้าวพ้นประตู บ่าวรับใช้ยืนเตรียมต้อนรับไว้อยู่แล้ว หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นเมื่อหม่าซือเต้าเดินผ่าน
“นายท่าน มีแขกมารอพบที่จวนกลางครับ” ซือเต้าคล้ายแปลกใจและอยากถามกลับว่าใครกัน แต่เขาเหนื่อยเกินจะเสวนาถามไถ่ ดึกขนาดนี้แล้ว ช่างไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย
“ไล่กลับไป ข้าไม่อยากพบใคร” บ่าวพยักหน้ารับคำสั่ง ทว่าเพียงเดินห่างจากเจ้านายแค่หนึ่งก้าว กลับเกิดประกายไฟเป็นร่างพยัคฆ์ปรากฏตรงหน้าคนทั้งคู่
ซือเต้าตะลึงดวงตาเบิกกว้าง ขณะที่บ่าวรับใช้หวาดผวาล้มลงไปนั่งกับพื้น
“ขอท่านหม่าโปรดอย่าเพิ่งขยับ” เจ้าของเสียงปรากฏกายขึ้นในชุดเสื้อสีขาวเป็นเกล็ดวาวคลุมทั้งหัว
คนปริศนาเดินเข้ามาใกล้ทั้งคู่ สองมือประกบกันอยู่ในท่าคล้ายพนม แต่นิ้วก้อยและนางของทั้งสองมือหุบลง ปากท่องคาถาที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจ เพียงครู่เดียวเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนขึ้นกลางความมืด ซือเต้ามองรอบกายอย่างระแวง บ่าวรับใช้ตัวสั่นกลัว ฉับพลันคนในชุดเสื้อคลุมขาวสะบัดแขนข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า เปลวไฟในร่างพยัคฆ์กระโจนสูงขึ้นราวกับบินได้ มันทะยานเข้าไปกัดกระชากบางสิ่งที่นายบ่าวมองไม่เห็น ก่อนที่ไฟนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุสลายหายไปในพริบตาพร้อมกับที่เสียงกรีดร้องนั่นหยุดลง
หม่าซือเต้าคิดสับสนด้วยความไม่เข้าใจ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คืนนี้มันเป็นคืนเฮงซวยอะไรกัน
“ปลอดภัยแล้วแต่ยังไม่พ้นเคราะห์” คนปริศนาเอ่ย
“มะ หมายความว่าไง แล้วเมื่อกี้ มะ มันคืออะไรกัน แล้วเจ้าเป็นใคร!!?”
“ขะ แขกที่มารอพบนายท่านครับ” บ่าวตอบแทนคนถูกถาม
คนปริศนาปลดผ้าที่คลุมศีรษะออกเผยให้เห็นเส้นผมตรงยาวสีดอกเลาและใบหน้าคมคาย แม้เส้นผมจะเป็นเช่นนั้นแต่มองอย่างถี่ถ้วนคาดว่าอายุไม่นานเกินยี่สิบปี เขามีดวงตากลมโต คิ้วเรียวเข้ม จมูกเป็นสันรับกับโครงหน้าและปากที่ได้รูป ผิวพรรณขาวซีดดูเผินๆ มีรูปลักษณ์คล้ายสตรี แต่แท้จริงเป็นบุรุษเต็มตัว
“ข้าแซ่ไป่ นามสั้นๆ ว่ายู่ เมื่อครู่ท่านหม่าถูกสิ่งชั่วร้ายบางอย่างตามมา ข้าจึงถือวิสาสะไล่ไป”
หลังแนะนำตัวหม่าซือเต้าเชิญแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้าไปคุยกันในจวน
“ไป่ยู่! หรือเจ้าคือคนที่ชาวบ้านล่ำลือกัน”
“หากหมายถึงเรื่องที่เดินทางร่วมกับเสือเพื่อปราบภูตผีวิญญาณ ข้ามิกล้ารับ ข้าเป็นเพียงคนเร่ร่อนที่เดินทางเพื่อตามหาคนผู้หนึ่งเท่านั้น จึงได้เดินทางมาพบท่านเพื่อขอคำชี้แนะ” ซือเต้าได้ฟังยิ่งฉงน ไป่ยู่จึงเฉลยความ
“ข้ากำลังตามหาซินแสกูเกอ ทราบว่าท่านเพิ่งได้พบกับเขาไม่นานมานี้ จึงอยากมาขอคำชี้แนะว่าตอนนี้ ท่านซินแสอยู่ที่ใด” ซือเต้าได้ฟังก็กระจ่างในประสงค์ แต่สิ่งที่กังวลกลับเป็นอีกเรื่องที่เมื่อครู่อีกฝ่ายพูดถึง
“เมื่อกี้เจ้า เอ่อ... ท่านไป่บอกข้าว่า ข้าถูกสิ่งชั่วร้ายตามมา ท่านหมายถึงสิ่งใด”
“วิญญาณอาฆาต” คำตอบทำซือเต้าหน้าซีด
“ท่านเห็น” เศรษฐีถาม อีกฝ่ายพยักหน้า “ทำไมถึงตามมา มันต้องการอะไรแล้วข้าต้องทำเช่นไร”
“ขอท่านหม่าโปรดสงบใจก่อน เรียนถามคืนนี้ท่านไปพบกับเรื่องราวที่มีคนตายใช่หรือไม่” ซือเต้านึกถึงเฉินเจียวแล้วพยักหน้า “เมื่อมีคนตาย เช่นนั้นจึงมีวิญญาณ ขอล่วงเกินถามอีกหนคนตายมีความแค้นเคืองหรือเป็นศัตรกับท่านใช่หรือไม่”
“ไม่ ข้ารักเฉินเจียว ดูแลนางเป็นอย่างดี ไม่มีทางที่นาง...” ซือเต้ากล่าวเพียงแค่นั้นก็หยุดลง ไป่ยู่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร
“ความรู้สึกของท่านหม่า ท่านอาจทราบดี แต่ความรู้สึกของอีกฝ่าย ท่านแน่ใจหรือว่าทราบดี”
“นางต้องการฆ่าข้าเช่นนั้นหรือ?”
“วิญญาณอาฆาตนั้น ส่วนใหญ่ต้องการให้ชดใช้ บ้างเป็นความแค้น บ้างเป็นความรัก แต่ทั้งหมดล้วนเป็นหนี้กรรมที่ทำร่วมกันมา แล้วแต่เรื่องราวนั้นว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น”
หม่าซือเต้าได้ฟังก็นิ่งเงียบไปนาน หลังขบคิดอยู่ภายในใจ เขากลับกระทำสิ่งหนึ่งที่มิอาจมีใครคาดถึง ซือเต้าลุกขึ้นจากเก้าอี้เจ้าบ้านที่นั่งอยู่เดินตรงไปหาไป่ยู่แล้วคุกเข่าลงพร้อมเอ่ยขอร้อง
“โปรดท่านไป่ช่วยกรุณา ข้าหม่าซือเต้าอับจนหนทาง ด้วยชื่อเสียงของท่านที่ผู้คนล่ำลือ ข้าเชื่อว่าท่านจะสามารถขจัดภัยร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวข้าได้” ไป่ยู่รีบเข้าไปพยุงเศรษฐี
“ลุกขึ้นเถิดท่านหม่า ท่านไม่ต้องทำขนาดนี้ข้าก็คิดไว้แล้วว่าจะช่วยในสิ่งที่ช่วยได้”
“ขอบคุณๆ”
“ขอเพียงสามประการ คือท่านต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ข้ารับรู้ สองทำตามที่ข้าแนะนำและสามบอกข้าว่าซินแสกูเกออยู่ที่ใด”
“ได้! ได้! ข้ารับปากท่าน” ซือเต้ารับคำอย่างยินดี
.............................................
ที่กองปราบร่างของจิ่นสือนอนบาดเจ็บไม่ได้สติอยู่บนเตียงในห้องรับรอง เขาได้รับการรักษาจากหมอที่หม่าจงให้ลูกน้องไปตามมา เฉาเกาไม่พอใจที่ไม่ขังจิ่นสือในคุก เพราะเกรงว่าหากอีกฝ่ายฟื้นจะหนีออกไป ซึ่งนั่นหมายถึงแพะที่เขาเตรียมไว้สังเวยบาปแทนหม่าซือเต้าจะหายไปและตัวเขาต้องชวดเงินก้อนโต
ทว่าหม่าจงยืนยันความต้องการเดิมว่าจะให้จิ่นสือพักในห้องรับรอง ทั้งยังกล่าวอย่างแค้นเคืองว่าหากเฉาเกาทำอะไรเกินเลยไปกว่านี้ เขาจะไม่ไหวหน้าใครอีกแล้ว เฉาเกาได้ยินเช่นนั้นก็รู้สติเข้าใจทันทีว่าไม่ควรดื้อรั้นขว้างทางน้ำเชี่ยว จึงยอมลดละ แต่ไม่ยอมเลิกรา เพราะหลังจากนั้นหัวหน้ามือปราบก็สั่งลูกน้องสองคนไปนั่งเฝ้าหน้าห้องดังกล่าวไม่ให้คาดสายตา
หม่าจงเฝ้ามองจิ่นสือที่นอนละเมอเพ้อด้วยพิษไข้ร้องเรียกหาลูกชาย ในใจรู้สึกอเนจอนาถ ในหัวมีหลายความคิด ทั้งเรื่องการกระทำของเฉาเกา ทั้งเรื่องการตายปริศนาของแม่นางเฉินและเรื่องของจอมยุทธ์แซ่ไป่
เขาคิดคำนึง ว่าจะได้เจอกับคนผู้นั้นอีกไหม...
................................................
เสียงถ่านไม้แตกลั่นทำให้สะเก็ดไฟกระเด็นออกมาจากกองเพลิง เหนือเตานั้นเป็นยาต้มในหม้อที่ส่งกลิ่นฉุนมีควันและไอร้อนลอยคลุ้งออกมา หมอเหวินถังเปิดฝาที่ปิดไว้ออกแล้วยกหม้อเทยาลงถ้วย ก่อนจะเดินถือเข้าไปในห้องที่ฮุ่ยจือนอนอยู่ ที่มุมหนึ่งในห้องนั้น จอมยุทธ์ไป่ยืนมองการรักษาอยู่เงียบๆ
หมอเหวินถังประคองร่างของฮุ่ยจือขึ้นนั่งแล้วคอยๆ ป้อนยาให้อย่างระวัง
“เขาจะปลอดภัยใช่ไหมท่านหมอ?” ชายในชุดดำถามขึ้น หมอถอนหายใจมีสีหน้าเป็นกังวล
“อาจจะ อาการของเขาแม้จะร้ายแรงแต่ก็ยังนับว่าพามารักษาได้ทันท่วงที ถ้าพ้นคืนนี้ไปได้และได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง เขาน่าจะปลอดภัย”
จอมยุทธ์ไป่วางถุงเงินของจิ่นสือให้กับหมอเหวินถัง
“หากเท่านี้ยังไม่พอ ข้าจะหามาให้อีก ขอเพียงรักษาชีวิตเขาได้ ข้าจะหามาให้มากกว่านี้เป็นร้อยเป็นพันเท่า”
“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาหรอก สิ่งสำคัญคือกำลังใจของเด็กน้อย” ไม่ทันขาดคำฮุ่ยจือก็ละเมอร้องเรียกหาบิดา
จอมยุทธ์ไป่ได้ฟังเช่นนั้นก็ตัดสินใจที่จะกลับไปช่วยจิ่นสืออีกครั้ง เขาออกเดินทางทันทีโดยฝากฮุ่ยจือให้หมอเหวินถังดูแล
.................................................
หนิงเฉิงอี้สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก ทั้งที่เป็นช่วงอากาศหนาวแต่นางกลับมีเหงื่อเต็มใบหน้าและแผ่นหลัง นางตบหน้าตัวเองจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บก่อนจะมองรอบห้องนอน ฝันร้าย... มันเป็นเพียงฝันร้าย เถ้าแก่เนี้ยของหอซือเซียนพร่ำบอกตัวเองด้วยใจพะวง ร่างของเฉินเจียวถูกยกไปไว้ที่กองปราบแล้ว
เพราะฉะนั้นที่นางเห็นเฉินเจียวมานั่งร้องไห้ต่อหน้าจึงไม่เป็นเรื่องจริง เฉิงอี้ถอนหายใจ ภายในรู้สึกหดหู่ แม้จะผ่านเรื่องร้ายเรื่องดีมาหลายสิบปี จนรู้ว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน แต่นางก็ไม่เคยคาดคิดว่าวันนี้จะต้องสูญเสียเฉินเจียวไปในลักษณะนี้ ที่ยิ่งไม่คาดคิดกว่าคือความคิดคำนึงที่ตนมีต่อคนตาย
เฉินเจียวมาอยู่ที่นี่ด้วยเจตนารมณ์ของตัวเอง นางเป็นคนเก่งและมีความสามารถในการเรียนรู้ ถึงภายนอกจะดูบอบบาง น่าทะนุถนอม ซ้ำยังเก่งเรื่องปรนนิบัติจนก้าวขึ้นมาเป็นคณิกาอันดับหนึ่งของที่นี่โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ทว่าภายในนั้นนางเป็นคนเก็บงำความรู้สึก หลายครั้งที่ตนเห็นว่าเฉินเจียวมีรอยยิ้มประดับริมฝีปากแต่แววตานั้นกลับทุกข์ระทม พอไต่ถามก็ตอบเพียงไม่มีอะไร จึงจนใจได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
สตรีที่นี่ล้วนแล้วแต่ช่างเอาใจผู้อื่น แต่พอลับหลังเหล่าชายที่มาหาความสำราญ พวกนางก็ล้วนเอาแต่ใจตนเองทั้งนั้น หลายครั้งเกิดเรื่องริษยา หลายคราจบลงด้วยการตบตี แต่ไม่ใช่เฉินเจียว กับเหล่าลูกค้าที่มาเที่ยวนางเอาใจเท่าไหร่ กับคนในหอซือเซียนนี้นางยิ่งใส่ใจมากกว่าเฉิงอี้คิดเท่านั้นน้ำตาก็พาลรินไหล
คล้ายกับลูกสาวในไส้ได้ตายจากไป ใครจะนึกว่าแม่เล้าของหอซือเซียนเช่นนางจะมีเยื่อใยถึงเพียงนี้
เสียงสะอื้นดังเบาๆ อยู่เช่นนั้น นานเท่านาน...
โศกเศร้าจนพอใจ เฉิงอี้จึงได้ซับน้ำตา นางลุกขึ้นเพื่อเดินไปที่อ่างใส่น้ำซึ่งวางอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง จะได้ล้างหน้าล้างตา ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน หากรุ่งเช้าเมื่อไหร่จะเดินทางไปวัดเพื่อทำบุญให้สบายใจ
เฉิงอี้วักน้ำในอ่างล้างใบหน้าครั้งแรก... ยังต้องเตรียมงานศพให้กับเฉินเจียวด้วย
นางวักน้ำอีกเป็นครั้งที่สอง... ไหนจะต้องดูแลน้องของเฉินเจียวอีก จริงสิ! เด็กแซ่เฉินนั่นหายไปไหนกัน?
คิดถึงเช่นนั้น แม่เล้าลืมตาขึ้นตั้งใจจะวักน้ำเป็นครั้งที่สามจึงได้เห็น ศีรษะของเฉินเจียวลอยอยู่ในอ่างใส่น้ำตรงหน้า ดวงตาของคนตายจ้องเขม็งมาที่นาง
เฉิงอี้ผวาถอยหลังล้มจนอ่างใบเล็กที่ใส่น้ำนั้นหล่นลงพื้น น้ำสาดกระจาย นางมองไปที่มันไม่พบสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ แต่แน่ใจอย่างแน่นอนว่าที่เห็นไม่ได้ตาฝาดไป เพราะแสงจันทร์ที่ลอดผ่านเข้ามาในห้องทำให้เห็น ว่าน้ำที่ใช้วักล้างหน้าเป็นโลหิตสีแดงฉาน
แม่เล้าตัวสั่นเกร็ง หวาดกลัวสุดชีวิต คิดจะวิ่งออกไปนอกห้องแต่แข้งขาไร้เรี่ยวแรง สักพักได้ยินเสียงคล้ายคนกำลังกินอะไรบางอย่าง นางหันมองทั่วห้องก่อนจะรู้สึกเจ็บที่ท้อง ความทรมานเพิ่มขึ้นทีละน้อยจึงเปิดเสื้อออกดูจึงได้พบ ว่าหัวของเฉินเจียวกำลังกัดกินลำไส้ของตัวนางอยู่
เฉิงอี้อยากหวีดร้อง แต่สิ่งที่ออกมาจากลำคอมีเพียงเลือดเท่านั้น นางพยายามจะดึงหัวของเฉินเจียวออกจากตัว แต่กลับถูกกัดมือกินนิ้วเข้าไป คล้ายความเจ็บปวดจะจางหายไปทีละน้อย พร้อมกับลมหายใจที่แผ่วลงอย่างช้าๆ