บทที่ 2: หอนางโลมซือเซียน
บทที่ 2: หอนางโลมซือเซียน
นภาดำมืด ดวงดาราอับแสง เมฆาหม่นหมองกลืนกินทุกสรรพสิ่ง เหลือเพียงบุหลัน(1) ลอยเด่นเดี่ยวดาย คล้ายมันอ้างว้าง โศกเศร้าอยู่ใต้ราตรี เสียงคนเคาะเวลาตีระฆังบอกยามสอง(2)
หลูจิวฝูเก็บร้านขายขนมเซาปิ่ง(3) เสร็จพอดีจึงยืนพักเช็ดเหงื่อ แม้จะมีสายลมเย็นพัดผ่านและคืนนี้อากาศก็ไม่ได้อบอ้าว แต่คนเจ้าเนื้อเช่นเขาพอออกแรงมากหน่อยก็พาลจะทำให้ร่างกายร้อนกว่าคนปกติ
เสียงพิณแผ่วพลิ้วดังแว่วออกมาจากหอนางโลมซือเซียน(4) ดึงความสนใจของจิวฝูได้ชั่วขณะ ชายหนุ่มมองตึกใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเบื้องหน้าเห็นชายเจ้าสำราญมากหน้าหลายตากำลังหัวเราะครื้นเครงอยู่ในนั้น หอซือเซียนยังคงเป็นหอซือเซียน ใครเข้าไปย่อมได้พบกับนางฟ้าแห่งความสุขกันทุกคน
ชั่วขณะนั้นไม่ไกลเกินจะมองเห็น คนสองคนนั่งหลบมุมอยู่ในความมืด ชายหนุ่มรู้จักทั้งสอง หนึ่งเป็นดรุณีนาม เย่วเล่อ ส่วนอีกหนึ่งแซ่เฉิน จิวฝูมองดูขนมเซาปิ่งที่เหลืออยู่สี่ชิ้นบนรถเข็นคิดในใจว่าจะเอาไปให้เด็กทั้งสองก็พอดีมีสตรีนางหนึ่งวิ่งออกจากหอซือเซียนตรงมาหา เขารู้ว่าทำไมจึงรีบหยิบผ้าคลุมขนมสี่ชิ้นนั้นให้ลับสายตา
“อาฝู เอาเซาปิ่งสี่ชิ้น!” สตรีนางนั้นน้ำเสียงกระชาก คิ้วขมวดแน่น แม้จะแต่งกายสวยงาม แต่แสดงให้เห็นชัดว่าอยู่ในสภาวะขุ่นมัว
จิวฝูคิดหากสตรีตรงหน้าจะเป็นนางฟ้าจำแลงกายมาจริงๆ นางฟ้าก็ไม่ควรมีอารมณ์ขุ่นเคืองเช่นนี้
“เร็วสิ! มัวแต่เงอะๆ งะๆ อยู่ได้ ข้ารีบนะ!”
“ขอโทษด้วยนะซื่อเหนียง เซาปิ่งหมดแล้ว” จิวฝูตอบไป พยายามยิ้มกลบเกลื่อน แต่สายตาหลุกหลิกมองสตรีตรงหน้าสลับกับรถเข็นของตัวเอง กระทั่งตัวเขายังรู้ว่าเป็นการโกหกที่ไม่แนบเนียนเลยสักนิด
ซื่อเหนียงเขม็งมองอยู่เพียงพักก็ถอนหายใจแล้วยิ้มให้ก่อนเดินจากไป จิวฝูลอบถอนหายใจแม้จะคิดอยู่บ้างว่ารอยยิ้มนั้นแปลกพิกล แต่ก็รู้สึกคล้ายตัวเองได้รับความสุขจากนางฟ้า ไม่ใช่คำด่าทอจากนางอย่างที่คาดเดาไว้
จิวฝูเข็นรถขายของตรงไปหาดรุณีเย่วเล่อกับเด็กแซ่เฉินก่อนจะยื่นเซาปิ่งสี่ชิ้นที่เก็บซ่อนไว้ให้ สองคนมองหน้ากันสลับไปมาแล้วมองหน้าเขา
“เอาไปเถอะ กว่าพี่สาวจะออกมาก็อีกนานมิใช่หรือ” เย่วเล่อรับเซาปิ่ง เด็กแซ่เฉินกล่าว
“ขอบคุณครับเถ้าแก่” จิวฝูยิ้มให้ ทั่วหล้าดูถูกเขาว่าเป็นเพียงคนขายเซาปิ่งหน้าหอนางโลม ศักดิ์ศรีน้อยนิดยิ่งกล่าวบ่าวรับใช้ในหอนั้น แต่เด็กคนนี้เรียกเขาเถ้าแก่ทุกครั้งที่พบเจอ เป็นความสุขเล็กๆ อย่างหนึ่งในใจชายหนุ่ม
ทว่าเพียงเข็นรถห่างมาได้ไม่ไกล ซื่อเหนียงก็เดินตรงไปหาเด็กทั้งสองก่อนกระชากถุงใส่เซาปิ่งออกจากมือ จิวฝูเห็นทุกการกระทำ ชั่ววูบหนึ่งเขาเกือบจะถลันเข้าห้าม แต่เมื่อซื่อเหนียงหันมาจ้องหน้า ความกล้านั้นก็สลายไป เขาเข้าใจความหมายของรอยยิ้มพิกลนั้นแล้วจึงทำได้แค่มองดู
ซื่อเหนียงเดินจากไป เย่วเล่อสะอื้น เด็กแซ่เฉินปลอบใจ จิวฝูมองทั้งคู่แล้วนึกสงสาร แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเข็นรถจากมา เขาอยู่บนถนนเส้นนี้มานานพอที่จะรู้ว่าทุกชีวิตต้องดูแลตัวเอง
ซื่อเหนียงกลับเข้าไปในหอซือเซียน ในใจนึกขันที่ได้เห็นใบหน้าเล่อล่าของคนขายเซาปิ่ง มันคงคิดว่านางดูไม่ออกว่ามันโกหก ทั้งที่แสดงชัดขนาดนั้นว่าพูดไม่จริง ไอ้เด็กสองคนนั่นอีก ต้องมานั่งรอพี่สาวที่ทำงานอยู่ในหอนี้ทุกคืน น่ารำคาญเห็นแล้วเกะกะลูกตา ที่รู้สึกเช่นนั้นเป็นเพราะซื่อเหนียงเกลียดชังพี่สาวของทั้งสอง
สตรีนามซื่อเหนียง ปีนี้มีอายุครบยี่สิบเจ็ด นางอยู่ที่นี้มาร่วมสิบปี แม้จะไม่ใช่คนสวยแต่ก็มีเสน่ห์อื่นที่ทำให้ลูกค้าหลงใหล ครั้งหนึ่งเกือบได้ขึ้นเป็นคณิกาอันดับหนึ่งของหอซือเซียน แต่เมื่อเฉินเจียวพี่สาวของเด็กแซ่เฉินกับเย่วหลานพี่สาวของเย่วเล่อเข้ามาที่นี่ อันดับหนึ่งนั่นก็กลายเป็นเพียงหนึ่งความฝันในชั่ววูบที่หลับตา
นอกจากไม่มีทางเป็นจริง ตัวนางยังถูกลดบทบาทในการรับแขกลงเพราะอายุที่มากขึ้น เรื่องต้องเดินไปซื้อขนมเซาปิ่งยังถูกให้กระทำราวกับเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ในหอมีบ่าวรับใช้มากมาย หากต่อไปจะถูกใช้ให้ไปขัดส้วม นางก็ไม่แปลกใจ แต่จะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
ยิ่งคิดยิ่งแค้น นี่ยังไม่รวมตัวการอย่างหม่าซือเต้าอีกคนที่เป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้นางตกต่ำลง นางสาบานในใจไว้หากมีโอกาสเมื่อไหร่ จะต้องล้างแค้นคนพวกนี้ให้ได้
หอนางโลมซือเซียนแม้ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ทั้งยังตั้งอยู่ในที่ห่างไกลอย่างหัวเมืองชนบท แต่ก็ดูดีไม่ต่างกับบรรดาหอนางโลมทั้งหลายในเมือง ต้องยกความดีนี้ให้เถ้าแก่เนี้ยหนิงเฉิงอี้ ซึ่งเป็นแม่เล้าของที่นี่ที่จัดการทุกอย่างได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซ้ำยังมีสายตาแหลมคมในการเลือกเด็กสาวที่จะเข้ามาทำงาน อีกทั้งนางยังพลิกวิกฤตจากสถานที่ห่างไกลใช้เป็นโอกาสเพราะดึงลูกค้าจากเหล่าผู้คุ้มกันสินค้าและนักเดินทางมากมายที่ต้องผ่านถนนเส้นนี้ สร้างความคึกคักให้กับหัวเมืองชนบทจนการค้าอื่นๆ พลอยรุ่งเรืองไปด้วย
หนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอีกคนของหอนี้ คือเศรษฐีหม่าซือเต้าที่ให้การสนับสนุนด้านการเงิน เขาเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยมหาศาล มีเงินขนาดที่ว่าสามารถซื้อเมืองๆ นี้เป็นของตัวเองได้เลย แต่ถึงแม้จะไม่ต้องทำถึงเช่นนั้น เขาก็คล้ายเป็นเจ้าของเมืองนี้ไปแล้ว เพราะทุกครั้งที่เกิดเรื่องเกิดปัญหา ชาวบ้านต่างเลือกจะมาพึ่งพาเขามากกว่าเจ้าเมืองที่ทำงานอยู่ใต้ระบบราชการ ก็ขนาดขุนนางในวังบางคนยังเกรงใจ นับประสาอะไรกับเจ้าเมืองชนบทที่จะมาเทียบเขาได้ แม้ที่อื่นหม่าซือเต้าจะไม่มีอำนาจมากมาย แต่ที่หัวเมืองนี้เขาก็มีอิทธิพลไม่น้อย
ยามนี้หม่าซือเต้านั่งร่ำสุราเสพเสียงพิณดูอิสตรีทั้งหลายร่ายรำอยู่ชั้นบนในห้องส่วนตัวของหอซือเซียน ถึงจะมีอายุเกือบหกสิบปีแต่รูปลักษณ์และสุขภาพยังอ่อนเยาว์ราวกับคนที่เพิ่งมีอายุต้นสี่สิบเท่านั้นซื่อเหนียงเปิดประตูเข้ามาในห้องถือจานใส่เซาปิ่งสี่ชิ้นอย่างยิ้มแย้ม
“เถ้าแก่หม่า เซาปิ่งที่ท่านเรียกหาค่ะ” นางพูดพร้อมยื่นจานขนมให้ หม่าซือเต้าหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง มิคาดคิดว่าเขาไม่กินกลับขว้างมันใส่ซื่อเหนียงอย่างดูแคลน
“ซื่อเหนียงสมแล้วที่เป็นซื่อเหนียง เจ้านี่นะมันโง่ดักดานยิ่งนัก เซาปิ่งเย็นชืดขนาดนี้ใครมันจะไปกินลง” เสียงนั้นต้นคำฟังราบเรียบ ทว่าปลายประโยคกลับตวาดลั่น คนพูดหน้าแดงก่ำใช้มือที่เลอะน้ำมันของเซาปิ่งบีบแก้มของซื่อเหนียง ท่าทางของเขาแสดงชัดว่าเมามาย นางตกใจน้ำตาคลอ สตรีที่ร่ายรำอยู่ต่างผวาจนหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงดนตรีเท่านั้นที่ยังบรรเลง
“ขะ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ” ซื่อเหนียงเสียงสั่นได้แต่พูดพร่ำเพียงคำเดียว
หม่าซือเต้าแสยะยิ้ม ก่อนที่จะมีเหตุการณ์บานปลายไปกว่านั้น เสียงสายพิณขาดดังขึ้น เสียงดนตรีพลันหยุดบรรเลง เฉินเจียวผู้บรรเลงเพลงพิณอุทานเบาแล้วกุมมือตัวเองราวกับกำลังเจ็บปวด หม่าซือเต้าเห็นดังนั้นจึงผละจากซื่อเหนียงแล้วเดินไปหาเฉินเจียวด้วยความห่วงใย
“เสี่ยวเจียวของข้า เป็นอะไรมากไหม” น้ำเสียงเศรษฐีหม่าอ่อนโยนผิดกันเป็นคนละคนกับเมื่อครู่นี้ เฉินเจียวยื่นมือให้เขาดู ปลายนิ้วหนึ่งมีเลือดซึมออกมาจากรอยบาด ซือเต้าใช้เท้าถีบพิณที่ตั้งอยู่อย่างโมโหแล้วเหยียบซ้ำอยู่อย่างนั้น
“ไอ้พิณเฮงซวย!! บังอาจทำร้ายคนรักของข้า ไม่ต้องห่วงนะเสี่ยวเจียว รุ่งเช้าเมื่อไหร่ข้าจะให้คนหาพิณที่ดีกว่านี้ร้อยเท่ามาให้เจ้า ไอ้พิณเฮงซวย!!”
เฉินเจียวส่งสัญญาณให้ทุกคนออกไปจากห้อง ทุกคนรีบทำตาม เย่วหลานรั้งท้ายสุดเพราะช่วยประคองซื่อเหนียงออกไป ซือเต้าหยุดพักเพราะรู้สึกเหนื่อย ท่าทางของเขาสงบลงหลังได้ระบายอารมณ์ เฉินเจียวประคองเขานั่ง
“อย่าอารมณ์เสียไปเลยนะคะ ท่านพี่มาเพื่อหาความสุขสำราญใจ อย่าให้เรื่องของข้าทำให้ต้องขุ่นมัว แผลนี้เสี่ยวเจียวสมควรได้รับแล้ว เพราะฝีมือบรรเลงที่ไม่เอาไหน” นางเอ่ยขึ้นขณะซับเหงื่อให้กับเขา
ซือเต้ามองใบหน้านั้นรู้สึกหัวใจเต้นแรง
“หากเสียงสวรรค์ที่เจ้าสรรค์สร้างนับว่าไม่เอาไหน โลกนี้คงไม่มีนักดนตรีมากฝีมืออื่นใดอีก ใครว่าฝีมือบรรเลงพิณของเจ้า ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมดเลย” เขากุมมือนางแล้วใช้ริมฝีปากดูดเลือดที่ไหลหยด เฉินเจียวสบตาก่อนจะเอียงซบลงบนบ่าของซือเต้า เพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้เขาเห็นความระทมขมขื่นที่สะท้อนออกมาจากดวงตา เศรษฐีใหญ่เลื่อนมือลูบไล้สัมผัสกายนั่นด้วยปราถนา
....................................................
นับเป็นเวลาร่วมเดือนแล้วที่หนานจิ่นสือไม่ได้เดินทางมาที่หัวเมืองนี้เพราะหลายสาเหตุ ทั้งอาการป่วยของลูก ค่าใช้จ่ายที่มากโข รวมทั้งการที่เขาล่าสัตว์ไม่ได้ แต่หลังจากที่ได้หมีสีน้ำตาลเมื่อวันก่อนและสะสางเรื่องที่ซุนเถาฆ่าฮูหยินของตัวเอง เขาจึงมีโอกาสเดินทางมาพร้อมลูกชายเพื่อนำซากหมีมาขายจะได้นำเงินไปรักษาลูก คะเนจากร่างของหมี เขาเชื่อว่าพ่อครัวของหอนางโลมซือเซียนน่าจะให้ราคาถึงสามสิบตำลึง พอสำหรับการรักษาฮุ่ยจือลูกชายของตนจากอาการป่วยแน่นอน
แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องนั้น ขอเล่าถึงต้นเหตุและบทสรุปของซุนเถา ชายผู้ฆ่าฮูหยินของตัวเองก่อนสักเล็กน้อย และเพื่อไม่ให้เสียเวลาจึงขอเข้าประเด็นในเหตุจูงใจที่ทำให้ซุนเถาตัดสินใจกระทำการ
เหตุที่เกิดมีสามข้อ หนึ่งเพราะไม่เคยรัก ซ้ำยังมองเป็นภาระและสามสำคัญสุดคือซุนเถาเป็นชู้กับน้องสาวของฮูหยินตนเอง
เดิมทีฮูหยินแซ่ซุนได้แต่งงานกับคนที่ภายหลังจะกลายมาเป็นคนที่ฆ่าตน เพราะการจัดหาของผู้ใหญ่ทั้งสองบ้าน ซุนเถาในตอนนั้นบ้านมีฐานะ มารดาเลี้ยงดูตามใจกลายเป็นคนทำอะไรจับจด เมื่อเติบใหญ่ บิดาเห็นดังนั้นก็คาดว่าปล่อยไว้ต้องแย่แน่ๆ จนเริ่มห่วงกิจการที่จะให้สืบทอด จึงตัดสินใจหาภรรยาให้ บิดายึดถือข้อคิดที่ว่า ผู้นำที่จะประสบความสำเร็จต้องมีผู้ตามที่ดี จึงให้มารดาของซุนเถาเลือกหาคนที่คิดว่าเหมาะสม
ฮูหยินแซ่ซุนนั้นมีอายุมากกว่าซุนเถาถึงห้าปี ซ้ำยังไม่แข็งแรงเจ็บป่วยตั้งแต่เด็กจึงกลายเป็นคนไม่มีสังคม ชอบเก็บตัว นิ่งเงียบไม่พูดจาหรือออกความเห็น แต่เพราะฐานะทางบ้านดีรวมกับนิสัยดังกล่าวทำให้ดูมีความสุขุมแบบผู้ใหญ่ พอมารดาของซุนเถาเห็นนางเข้าก็เข้าใจว่าคนเช่นนี้หัวอ่อนอบรมง่าย น่าจะเป็นกำลังช่วยบุตรชายตนดูแลกิจการได้แน่นอน
หากเพียงแต่มารดาของซุนเถาจะไม่คำนึงถึงเรื่องเงินเป็นอันดับหนึ่งก็คงได้เห็นความจริงในข้อต่างๆ ที่ตนคิด ว่าแท้จริงฮูนหยินแซ่ซุนเพราะฐานะดีและเจ็บป่วยบ่อยทำให้บิดามารดาของนางคอยประคบประหงมดูแลอย่างใกล้ชิด ขนาดที่ว่าจะอาบน้ำยังมีบ่าวรับใช้ถูตัวให้ เหตุนี้จึงทำให้นางทำอะไรไม่เป็นนอกจากร้องบอกว่าอยากได้สิ่งใด
แม้นิสัยส่วนตัวจะไม่ถึงขนาดเอาแต่ใจ แต่นานวันเข้าบิดามารดาของนางก็เริ่มหนักใจ จะสอนให้เริ่มทำอะไรก็ร้องบอกว่าไม่ได้ไม่ไหว จะโทษใครได้ในเมื่อทั้งสองเลี้ยงดูนางมาเช่นนี้ ครั้นเมื่อมีคนตาถั่วอยากได้นางไปดูแล ทั้งสองจึงรีบยกลูกสาวให้แต่โดยดี และเมื่อคนจับจดกับคนที่ทำอะไรไม่เป็นรับสืบทอดกิจการ หายนะก็เกิดขึ้น ไม่ถึงเจ็ดปีการค้าของสกุลซุนก็ล่มสลาย หากแต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับจบเร็วกว่านั้นไปนานแล้ว เพียงแต่ต้องฝืนทนกันอยู่เพราะความเชื่อฝังหัวเรื่องชีวิตคู่
ยิ่งเมื่อบิดามารดาของทั้งคู่มาตายจากในคืนเกิดอาเพศครั้งใหญ่ เงินทองที่มีอยู่ทำให้ซุนเถาตัดสินใจอพยพมาใช้ชีวิตอยู่นอกเมือง โดยได้รับน้องสาวของฮูหยินมาอยู่ด้วยเพราะถือเป็นคนในครอบครัว เขาและฮูหยินใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ หากแต่น้องสาวของฮูหยินกลับเป็นคนฟุ่มเฟือยติดนิสัยคุณหนู จนเมื่อเงินก้อนสุดท้ายหมด ซุนเถาจึงไปเป็นคนหาของป่าประทังชีวิตครอบครัว ใครจะรู้ได้ว่าภายหลังความอัดอั้นในชีวิตคู่และการผิดพลาดเกินเลยกับน้องสาวภรรยาเพียงครั้งเดียวจะส่งผลให้เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้
เมื่อหนานจิ่นสือกับคนปริศนาช่วยกันขุดศพฮูหยินแซ่ซุนขึ้นมา เขาถูกคนปริศนาชี้แนะโดยไม่ออกตัวต่อหน้าผู้คนให้ไปเฉลยความจริงของคดี ตอนนั้นซุนเถาไม่หัวเราะไม่ร้องไห้เพียงยอมรับว่าทำจริงคล้ายมีสีหน้าโล่งในใจรอรับโทษที่ได้กระทำ ส่วนน้องสาวของฮูหยินเพราะมีส่วนยุยงให้ซุนเถากระทำการจึงนับรวมเป็นผู้ส่วนรู้ร่วมคิดต้องโทษไปตามกัน
ชาวบ้านหลายคนที่รู้เรื่องก็อดอนาถและแปลกประหลาดใจกันไม่ได้ แต่คงไม่เท่ากับที่จิ่นสือรู้สึก เพราะอยู่ๆ ต้องมารับหน้าที่เฉลยความจริงทั้งที่ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็ดีแล้วเพราะเขารู้สึกคล้ายซุนเถาได้รับการปลดปล่อยจากความผิดในใจ
“ส่งข้าที่นี่เถอะพี่ชาย” คนปริศนาเอ่ยขึ้นเมื่อเกวียนรถม้าที่แบกซากหมีสีน้ำตาลมาถึงทางเข้าหัวเมือง
“จะไปแล้วเหรอครับ” ฮุ่ยจือพูดขึ้นอย่างเสียดาย เพราะระหว่างที่นั่งมาบนเกวียนด้วยกัน คนปริศนาแสดงอาคมต่างให้เด็กน้อยดูจนชอบใจ คนถูกถามพยักหน้า
“งั้นขอให้ผู้มีคุณโชคดี หวังว่าจะได้เจอคนที่ตามหานะแล้วก็หวังว่าจะได้พบกันอีก” จิ่นสือกล่าวอย่างนั้นทั้งที่ในใจคิดว่าไม่พบกันอาจจะดีกว่า คนปริศนาในชุดเสื้อคลุมสีขาวลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ แล้วยิ้มให้พ่อลูกคล้ายเป็นการสั่งลา
เด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งมากับเพื่อนและเพราะไม่ระวังจึงชนเข้ากับคนปริศนาในชุดเสื้อคลุมสีขาว ร่างน้อยเกือบเซล้มแต่อีกฝ่ายคว้าแขนประคองไว้ได้ทัน
"เป็นอะไรไหม?" เขาถาม เด็กน้อยส่ายหัวแทนคำตอบ จนเสียงเพื่อนเรียกดังขึ้น
"นี่มัวทำอะไรอยู่เร็วๆ เข้า"
"ขะ ขอโทษ นี่เย่วเล่อรอข้าด้วย" เด็กน้อยกล่าว ประโยคหลังหันไปตะโกนบอกเพื่อนที่วิ่งไปไกลแล้ว คนปริศนามองตามแล้วยิ้ม ก่อoจะเดินไปตามทางของตน
จิ่นสือโล่งใจหันไปหยอกล้อคุยเล่นกับลูกแล้วเดินทางต่อ เพียงสักพักเกวียนเทียมม้าล้อหลุดส่งผลให้ต้องหยุดการเดินทาง จิ่นสือพยายามยกแต่ไม่เป็นผลเพราะซากหมีตัวใหญ่ทับอยู่บนเกวียนทำให้ยิ่งหนักมากกว่าเดิม ครั้นจะวานให้คนช่วยแต่ชาวเมืองต่างเดินผ่านไม่สนใจ ฮุ่ยจือสีหน้าเริ่มเป็นกังวลแทนบิดา
ระหว่างที่กำลังจนตรอก มือของใครคนหนึ่งก็ยกเกวียนล้อหลุดที่มีซากหมีนอนอยู่ขึ้นสูงเหนือพื้นได้ราวกับกำลังหยิบปุยนุ่น จิ่นสือมองตะลึงค้างจนชายร่างใหญ่ในชุดสีดำพูดขึ้น
“ท่านน้ารีบซ่อมเกวียนเถอะ” จิ่นสือจึงได้สติและทำตาม เพียงไม่นานเกวียนก็ถูกต่อล้อเข้าไปจนได้ดั่งเดิม
“ขอบคุณท่านจอมยุทธ ไม่ทราบว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงใด”
“ข้าแซ่ไป่” ชายในชุดดำตอบสายตามองทั่วบริเวณ จิ่นสือได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักชั่วครู่หนึ่ง
“ไม่ทราบว่าท่านจอมยุทธ์กำลังมองหาสิ่งใด”
“ข้ากำลังตามหาคน ท่านเคยเห็น... ช่างเถอะ ข้าขอตัว” กล่าวจบคนแซ่ไป่ก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เป็นอีกครั้งที่จิ่นสือนึกถึงข่าวลือของคนชื่อไป่ยู่...
เชิงอรรถ
บุหลัน(1) แปลว่าดวงจันทร์
ยามสอง(2) คือช่วงเวลาตั้งแต่สามทุ่มจนถึงเที่ยงคืน
เซาปิ่ง(3) เป็นขนมเปี๊ยะทอดหรือขนมแป้งทอด
ซือเซียน(4) แปลว่า นางฟ้าแห่งความสุข