บทที่ 16 กระจกเงามาร
บทที่ 16 กระจกเงามาร
มีลาร์ หนึ่งในสี่บุคคลที่เก่งกาจที่สุดแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์
สมญานาม ‘กระจก’
ทั้งชื่อ ประโยคบรรยายสรรพคุณฝีมือและสมญานาม ล้วนแล้วแต่ทำให้สีหน้าของสไปค์บิดเบี้ยวผิดรูปมากยิ่งขึ้น อารมณ์เหมือนกำลังคิดว่าโลกใบนี้มันยังมีคนที่หลงตัวเองถึงขนาดพูดโพล่ง ๆ ออกมาว่าตนเก่งกาจที่สุดอยู่อีกเหรอยังไงยังงั้น แต่ก็เหมือนว่ามีลาร์จะเดาทางออกจึงพูดดักขึ้นทันที
“เคยได้ยินคำว่า กระจก บุปผา จันทรา วารี มั้ยล่ะ” มีลาร์พูดพร้อมกับเอามือลูบบานกระจกใสที่ไม่มีแม้กระทั่งคราบฝุ่นเล็ก ๆ บ่งบอกถึงการดูแลรักษาอย่างดี
สไปค์ทำท่านึกอยู่นานก่อนจะเอามือขวาทุบไปที่มือซ้ายซึ่งแบรออยู่ก่อนแล้ว
“เหมือนจะเคยได้ยินเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าเป็นหน่วยรบที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในจักรวรรดิ”
“ไม่แค่ชื่อเสียงหรอก ฝีมือด้วย”
“ชื่อเสียงก็พอ เจ้าอย่าหลงตัวเองให้มันมากนักจะได้มั้ย” สไปค์ขัดคอมีลาร์อีกครั้ง
“ก็ได้ ๆ เจ้านี่ช่างเป็นเด็กที่ไม่น่ารักเอาซะเลยนะ” มีลาร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก “เอาล่ะ ไหน ๆ ก็รู้ว่าข้าเป็นใครไปแล้ว สนใจจะเข้าร่วมหน่วยกระจกบ้างมั้ยล่ะ”
“ฝันไปเถอะ ข้าไม่มีรสนิยมชอบส่องกระจกนี่หว่า” สไปค์พูดตัดบททันที ทำเอามีลาร์รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาในใจอย่างกะทันหัน “ว่าแต่ ก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้น ภาพที่ข้าเห็นมันคืออะไร ช่วยบอกหน่อยได้มั้ย”
คราวนี้เป็นคำถามที่ฟังดูจริงจังมากขึ้น สไปค์ตีหน้าเครียดจ้องไปยังแววตาสีหยกของมีลาร์ บุรุษผู้ได้รับสมญานามว่ากระจกเผยรอยยิ้มเจือจางออกมาก่อนจะหลบตามองไปทางอื่น
“เจ้าไม่อยากรู้เรื่องนี้หรอก”
“ก็เพราะอยากรู้ถึงได้ถามไง”
“แม้ว่ามันอาจจะทำให้เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่องั้นสิ?”
“......”
คราวนี้เป็นฝ่ายสไปค์ที่นึกคำพูดตอบกลับไม่ออก
“กระจกของข้าสามารถสะท้อนให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของสิ่งที่ส่องได้ และด้วยพลังของข้ายังทำให้สิ่งมีชีวิตที่ส่องเห็นเงาของตัวเองในกระจกได้มองเห็นอะไรบางอย่างที่สำคัญและอยู่ ณ เบื้องลึกของห้วงภวังค์แห่งจิตใจ ซึ่งไม่มีวิธีธรรมดาที่ไหนจะทำให้มองเห็นสิ่งนั้นได้ ถ้าหากไม่ใช้กลไกของความฝันเข้ามาแทรก” มีลาร์อธิบายอย่างมีหลักการ มือก็ขยับไปมาวาดเป็นรูปทรงอะไรก็ไม่รู้
“สิ่งที่เจ้ามองเห็นก็คืออะไรบางอย่างในห้วงลึกของจิตใจเจ้า ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่ถ้าให้เดาล่ะก็ มันคงจะเป็น...” พอพูดถึงจุดนี้มีลาร์กลับหยุดเสียงลงกะทันหัน สีหน้าบ่งบอกความลังเลว่าควรจะพูดดีหรือเปล่า เมื่อเห็นแบบนั้นสไปค์จึงส่งเสียงเรียกร้องให้เขาพูดออกมา
เขาเดินออกจากกระจกเงาของตัวเองก่อนจะมาหยุดอยู่เบื้องหน้าสไปค์ที่ในตอนนี้ตีหน้าเครียดเหลือเกิน
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องราวประวัติศาสตร์สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับมารเมื่อช่วงยุคแรก ๆ ไหม?”
แล้วเรื่องราวในประวัติศาสตร์ก็ถูกเล่าออกมา...
นี่เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว...
ในยุคสมัยก่อนที่ประวัติศาสตร์จะถูกปูพื้นขึ้นมาใหม่ ช่วงเวลาเมื่อพันกว่าปีก่อน ยุคที่โลกยังคงเป็นสีฟ้าครามสดใสและมีขนาดที่เล็กกว่าโลกในปัจจุบัน ยุคที่สิ่งมีชีวิตมายายังไม่ปรากฏออกมาให้ใครต่อใครได้เห็น และเป็นยุคที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก
ผลกระทบของการรุกรานจากเผ่ามาร และการที่โลกคู่ขนานทั้งสองใบซ้อนผสานเข้าด้วยกันทำให้โลกมนุษย์กับโลกมายากลายเป็นหนึ่งเดียวและขยายขนาดใหญ่โตขึ้น สิ่งมีชีวิตมายามากมายปรากฏกายต่อสายตามนุษย์เหมือนเป็นเรื่องปกติ มนุษย์รู้จักพลังพิเศษที่ตื่นขึ้นมาภายในร่างกาย นั่นคือ ‘ปราณ’
ซีเสี่ยวหลง คือปฐมบุรุษคนแรกที่ได้ครอบครองอำนาจพลังแห่งปราณ เขาใช้พลังนั้นก่อร่างสร้างจักรวรรดิซีขึ้นและตั้งตนเป็นจักรพรรดิคนแรกในประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่ เขาคือผู้สร้างจุดยืนให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์บนโลกที่เต็มไปด้วยการรุกรานของเหล่ามาร ข่าวลือเรื่องปฐมบุรุษแผ่กระจายออกไปทั่วพื้นทวีป สร้างความปั่นป่วนให้กับกองทัพมารเป็นอย่างมาก
กระทั่งราชันย์มาร อัชลี่ย์ ตัดสินใจยกทัพมารออกมาด้วยตนเอง และเข้าเผชิญหน้ากับซีเสี่ยวหลงท่ามกลางสมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังของตึกรกร้างมากมาย ผลกระทบของสงครามครั้งนั้นทำให้ฝ่ายมนุษย์ต้องล้มตายไปมากกว่าครึ่ง แต่ขณะเดียวกันเหล่ามารก็ถูกฆ่าล้างไปในจำนวนที่มากพอกัน จักรพรรดิซีเสี่ยวหลงทุ่มพลังที่มีทั้งหมดหมายจะกำจัดราชันย์มารอัชลี่ย์ลงให้จงได้
ผลลัพธ์สุดท้ายคือทำได้แค่ขับไล่อัชลี่ย์ให้หนีไปพร้อมกับความปราชัยต่อสงคราม...ชัยชนะของเผ่าพันธุ์มนุษย์ครั้งนี้นำมาซึ่งประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น จนกระทั่งกาลเวลาผ่านเลยมาจนถึงปัจจุบัน อัชลี่ย์ก็ยังไม่เคยได้ปรากฏตัวออกมาอีกเลยนับตั้งแต่นั้น...
“ทีนี้คำถามมีอยู่ว่า” มีลาร์พูดออกมาหลังจากเล่าเรื่องประวัติศาสตร์จบ “ภาพที่เจ้ามองเห็นในห้วงแห่งจิตใจมันเป็นภาพของสงครามเมื่อพันปีก่อนไปได้ยังไง?”
แท้ที่จริงแล้วมีลาร์เองก็สงสัยในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพราะตั้งแต่เกิดมานี่นับเป็นครั้งแรกที่กระจกของเขาส่องเห็นอะไรที่แปลกประหลาดแบบนี้ และแน่นอนว่าสไปค์เองก็ต้องส่ายหน้าเพราะไม่รู้คำตอบเช่นกัน
“ข้าเคยฝันเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เมื่อเจ็ดปีก่อนเหมือนกัน ข้าเองก็ไม่เข้าใจนักหรอก แต่ตอนนั้นข้าเองเหมือนจะได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้นในความฝันด้วย”
“เสียงเหรอ?” มีลาร์เอียงคอถาม
“ใช่ เสียงนั้นพูดขึ้นว่า ‘สักวันหนึ่งข้าจะกลับมา...’ แล้วหลังจากนั้นข้าก็สะดุ้งตื่นขึ้น” สไปค์นึกย้อนไปยังช่วงเวลาเมื่อตอนนั้น น่าแปลกที่เขายังคงจดจำรายละเอียดของความฝันได้แม้จะผ่านเลยมานานถึงเจ็ดปี มีลาร์นิ่งไปสักพักเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่ เขาเอามือลูบปลายคางของตนเองเหมือนกำลังเรียงลำดับเรื่องราวต่าง ๆ นานาที่เกิดขึ้น
“บางทีเสียงนั้นอาจจะเป็นเสียงของราชันย์มารอัชลี่ย์ก็ได้นะ” หลังจากนั้นก็พ่นคำพูดที่คาดไม่ถึงออกมา
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แล้วทำไมข้าถึงได้ยินเสียงของราชันย์มารอัชลี่ย์ได้ล่ะ?”
“เรื่องนั้นข้าเองก็ตอบไม่ได้หรอก เป็นข้ามากกว่าที่อยากถามเรื่องนั้น” มีลาร์ส่ายหน้าเบา ๆ เหมือนกำลังไล่ความคิดฟุ้งซ่านบางอย่างออกไป “ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อความคิดที่ว่าเจ้าอาจจะมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับเรื่องนี้หรอก”
ทั้งคู่ต่างสัมผัสได้ว่าแม้จะถกเรื่องนี้กันต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา เพราะยังไงก็คงหาคำตอบไม่ได้เหมือนเดิม สไปค์เดินออกไปยืนที่ริมหน้าต่างซึ่งในตอนนี้ไม่มีกำแพงหนาสีเทาขวางกั้นอีกต่อไปแล้ว แววตาของชายหนุ่มจับจ้องไปยังที่ที่ไกลแสนไกล แล้วในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเริ่มต้นคำถามใหม่ขึ้นมา
“ข้าจะทำยังไงดีต่อจากนี้”
“เจ้าหมายถึง?” มีลาร์ถามกลับทันที
“ทุกคนตีตราว่าข้าคือเผ่ามาร ข้าไม่มีที่ให้กลับไปอีกแล้ว” แววตาของสไปค์แลดูเลื่อนลอยและแฝงแววความเศร้าเจือปนอยู่ลึก ๆ แม้จะมองดูเหมือนเป็นสีหน้าที่เรียบเฉยปกติ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าคน ๆ นี้เก็บงำความรู้สึกโดดเดี่ยวไว้มากมายแค่ไหน
ตั้งแต่เด็กก็ถูกทอดทิ้งให้อยู่ลำพัง กลายเป็นเด็กประหลาดจนกระทั่งโตขึ้นก็ยังโดนตีตราหาว่าเป็นเผ่ามารที่เป็นอริศัตรูของมนุษย์ทั้งปวง ที่ยืนในสังคมมนุษย์ของเขาเริ่มหายไปทีละส่วนจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา มีลาร์ทำหน้าเหมือนเข้าใจความรู้สึกของเด็กหนุ่มตรงหน้า เขารู้ดีว่าความเศร้าในความโดดเดี่ยวนี้ไม่ต่างไปจากยืนอยู่บนภูเขาน้ำแข็งที่ไม่มีอะไรเลยนอกเสียจากความเหน็บหนาว
“สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือทวงคืนสิทธิในการดำรงชีวิตของเจ้ากลับมา” มีลาร์พูดขึ้นพลางเอามือตบไหล่สไปค์เบา ๆ
“ท่านพูดเหมือนมันทำง่าย แต่รู้หรือไม่ หากผู้คนได้ปักใจเชื่อในบางสิ่งไปแล้ว ก็ยากที่จะแก้ไขอคตินั้นให้หายไป”
“เจ้าดูนี่” มีลาร์ชี้นิ้วไปยังกระจกที่ตั้งอยู่กับพื้นบานนั้น “นั่นคือกระจกเงามารมีพลังอำนาจลึกลับที่ทำให้ทุกสิ่งที่สะท้อนในกระจกถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา”
ตอนแรกก็ไม่เข้าใจสิ่งที่มีลาร์ต้องการจะบอก แต่พอเวลาผ่านไปสักพักสีหน้าของสไปค์ก็เปลี่ยนไปเหมือนพึ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ มีลาร์เผยรอยยิ้มออกมา
“ข้าต้องใช้กระจกเงามารส่องใส่ฟาร์เชนเพื่อเปิดโปงตัวจริงของมัน!”
“ถูกต้อง หัวไวดีนี่นา”
“แต่กระจกบานใหญ่ขนาดนั้นขนย้ายลำบากชะมัด” เป็นจริงดังว่า เมื่อมองดูไซส์กระจกแล้วกลับทำให้รู้สึกหนักใจยิ่งกว่าว่าจะทำสำเร็จได้ง่าย ๆ หรือเปล่า มีลาร์พ่นลมหายใจออกมาพลางส่ายหน้าเบา ๆ เขาตั้งฉากฝ่ามือไปที่กระจกเงามารก่อนที่อภินิหารจะบังเกิดขึ้น กระจกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากลับแปรสภาพกลายเป็นกระจกกลมบานเล็กไปอย่างง่ายดาย
“ทีนี้จะยังมีข้ออ้างอะไรอีกมั้ย”
“ไม่มีก็ได้” สไปค์เอามือเกาหัวด้วยความรู้สึกอึ้งทึ่งก่อนจะพูดต่อไป “งั้นท่านก็ปล่อยข้าไปจากที่นี่ ข้าจะไปเปิดโปงตัวจริงของมันวันนี้แหละ”
“เจ้ามีสมองคิดหรือเปล่าเจ้าหนู? ใครกันมันจะยอมให้เจ้าเข้าไปถึงตัวได้ง่าย ๆ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าตำหนักด้วยแล้ว”
“ถ้างั้นข้าควรทำยังไง” สไปค์เริ่มหงุดหงิด ความคิดหลายอย่างของเขาถูกชายคนนี้ขัดคอไปเสียหมด
“อีกไม่เกินสามสัปดาห์หลังจากนี้จะมีการจัดงานประลองยุทธ์ขึ้นภายในรั้วสถาบัน ผู้ชนะจะมีสิทธิ์ได้ท้าดวลกับเจ้าตำหนักคนใดก็ได้หนึ่งคนเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักมาไว้ในครอบครอง นั่นเป็นโอกาสเหมาะที่สุดที่จะใช้กระจกเงามาร เพราะมีนักเรียนมากมายมาร่วมชมงานประลองในครั้งนั้น” มีลาร์อธิบายรายละเอียดแผนการให้สไปค์ฟังพร้อมขยับไม้ขยับมือเพื่อประกอบกับคำพูดทีละท่อน
“ท่านจะบ้ารึไง จะให้ข้าอยู่ที่นี่ตั้งสามสัปดาห์โดยที่ไม่รู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นยังไงเนี่ยนะ ทุกคนคงคิดว่าข้าตายไปแล้ว” สไปค์เอ่ยอย่างหัวเสียอีกครั้ง แม้สรรพนามที่ใช้เรียกมีลาร์จะเริ่มแสดงออกถึงความเคารพกันมากขึ้น แต่ด้วยลักษณะน้ำเสียงก็ยังคงห่างไกลจากความเคารพมากอยู่ดี
“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าบอกลูกศิษย์ข้าให้จัดการบอกเรื่องของเจ้ากับเพื่อน ๆ เรียบร้อยแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้สไปค์ประหลาดใจ
“ลูกศิษย์ของท่าน?”
“ใช่ เขาชื่อซิลเฟร์ เป็นเจ้าตำหนักวา--”
“ว่า-ไง-นะ! เจ้าหมอนั่นเป็นลูกศิษย์ของท่านหรอกเรอะ!”
ท่าทีแตกตื่นของสไปค์ทำให้มีลาร์รู้สึกตกใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังควบคุมสติตอบกลับไปได้เช่นเดิม
“เอ่อ...ใช่ เจ้ารู้จักซิลเฟร์ด้วย? หมอนั่นน่ะเป็นลูกศิษย์ที่ฝีมือดีที่สุดของข้าเลย แม้จะหัวแข็งดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่ก็เป็นคนดีนะ” มีลาร์เอามือกอดอกเหมือนกำลังภาคภูมิใจที่ได้พูดถึงลูกศิษย์ของตน “ตอนนี้ก็รุดหน้าเป็นถึงเจ้าตำหนักวายุ สุดยอดเลยมั้ยล่ะ ตำแหน่งนั้นน่ะใครอยากเป็นก็ได้เป็นซะที่ไหน”
“......” พอเกิดอาการหมดคำพูดขึ้นมาก็ทำเอาบรรยากาศนิ่งเงียบไปอีกครั้ง
“ดังนั้นเรื่องของเจ้าก็ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ข้าฝากฝังซิลเฟร์ให้จัดการแทนไปแล้ว ดังนั้นในระหว่างสามสัปดาห์ที่อยู่ที่นี่เจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อต่อกรกับมารตนนั้นให้ได้”
“เดี๋ยวสิ นี่หมายถึงว่าข้าต้องฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านงั้นเรอะ?” สถานการณ์ต่าง ๆ ดูจะหมุนเร็วเกินไปจนต้องถามย้ำเพื่อความเข้าใจตรงกัน มีลาร์พยักหน้าเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ราวกับจะบอกว่านี่มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วน่ะสิ
“ได้เป็นศิษย์ของข้าน่ะ ไม่ใช่ว่าใครอยากเป็นก็เป็นได้หรอกนะ เจ้าหนู”
“ถามข้าสักคำสิเว้ยว่าข้าอยากเป็นศิษย์ของท่านหรือยัง”
“ระดับฝีมือของเจ้าตอนนี้สูงส่งแต่ก็ยังไม่เพียงพอจะเอาชนะเจ้าตำหนักได้หรอกนะ หากไม่ฝึกฝนอย่างถูกวิธีเจ้าจะไม่มีวันบรรลุระดับขั้นโคจรลิขิตได้แน่ และตราบใดที่ยังไม่บรรลุก็อย่าหวังเลยว่าจะเอาชนะศัตรูระดับเจ้าตำหนักได้” พอเจอคำพูดอย่างเป็นทางการเข้าก็ทำเอาสไปค์รู้สึกจนแต้มขึ้นมา
“แล้วท่านจะฝึกข้ายังไง ในเมื่อปราณของข้าไม่ใช่ปราณที่ท่านรู้จัก” สไปค์ถามออกไป เพราะแต่ไหนแต่ไรมาด้วยความที่ปราณของเขาคือปราณไร้ลักษณ์ ทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถฝึกฝนหรือถ่ายทอดวิชาให้กับสไปค์ได้ แต่ไรมาเขาต้องฝึกฝนอยู่เพียงลำพังมาเสมอ ดังนั้นคำถามนี้จึงเป็นคำถามที่สำคัญเพราะเป็นตัวกำหนดว่ามีลาร์จะทำอย่างไรต่อ
“ข้ามีวิธีฝึกฝนของข้า เจ้าแค่พยักหน้ารับข้อเสนอนี้แล้วตั้งใจฝึกฝนก็พอ” แต่ทว่าคำพูดของมีลาร์กลับเป็นคำพูดกำกวมจนชวนให้รู้สึกว่าน่าจะเชื่อใจดีหรือเปล่า
สไปค์นิ่งคิดไปสักพัก...
ก็ไม่รู้จะทำยังไงอยู่แล้วนี่
“ก็ได้...ฝากตัวด้วย” น้ำเสียงที่แข็งกระด้างสร้างความไม่พอใจให้กับมีลาร์
“เป็นศิษย์อาจารย์ต้องมีความนอบน้อมในคำพูดมากกว่านี้ เอาใหม่ซิ เรียกข้าว่าอาจารย์”
“...”
“เร็วสิ เราต้องรีบตั้งโปรแกรมฝึกฝนกันนะ”
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับท่านอาจารย์!” สไปค์กัดฟันพูด
“ดีมาก งั้นเรามาเริ่มขั้นตอนต่อไปกันเลย” เมื่อแกล้งเด็กหนุ่มตรงหน้าเสร็จสรรพ มีลาร์ก็พูดตัดบทพร้อมด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ที่มองแล้วดูน่าหมั่นไส้เสียเหลือเกิน
อีกด้านหนึ่ง สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความมืดมัว แสงจากโคมไฟเล็ก ๆ มีไม่เพียงพอจะทำให้พื้นที่แห่งนี้ส่องสว่างขึ้นมาได้ บรรยากาศยิ่งดูวังเวงมากขึ้นไปอีก แต่ทว่าท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้กลับเป็นที่ชื่นชอบของบุคคลผู้หนึ่งซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กึ่งกลางห้องนั้น
มันคือร่างของหญิงสาวผู้มีสีผิวกลืนไปกับความมืด ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิทในท่านั่งทำสมาธิ รอบกายเธอมีออร่าปราณสีเทาเข้มแผ่กระจายออกมารอบ ๆ เรือนผมสีบลอนด์ทองสยายชี้ขึ้นไปด้านบนราวกับถูกลมพัดโหมมาจากด้านล่าง ทันใดนั้นเปลือกตาของเธอก็เผยอออกเผยให้เห็นสีอำพันส่องประกายออกมาจากภายในเปลือกตา
“ตัวอ่อนมารของข้าโดนกำจัดไปหมด ยัยแม่มดนั่น!” ผู้กล่าวออกเสียงเพียงลำพังในที่นี้คือฟาร์เชน เจ้าตำหนักอัคคีที่ตัวตนแท้จริงคือเผ่ามารซึ่งแฝงตัวมาปะปนกับเหล่ามนุษย์
น้ำเสียงของเธอแฝงอารมณ์เคียดแค้นชิงชังอย่างถึงที่สุด เดิมทีเธอตั้งใจจับนักเรียนหลายคนมาเพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นสมุนมารของเธอ แต่ในตอนที่แผนการกำลังไปได้สวยดักแด้ของเธอก็ถูกพบและทำลายด้วยฝีมือของนักเรียนชายคนที่เธอป้ายสีความผิดให้ แต่ไม่เป็นไร...อย่างน้อยต่อให้ดักแด้โดนทำลายแต่เมล็ดพันธุ์แห่งเผ่ามารก็แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของนักเรียนพวกนั้นแล้ว
ที่ไหนได้ พอเมล็ดพันธุ์แห่งมารเติบโตขึ้นเพื่อควบคุมร่างกายของนักเรียนเหล่านั้น ไม่ทันไรก็โดนเวทประหลาด ๆ ของเด็กผู้หญิงหนึ่งในคนที่เธอจับตัวมาทำลายไปเสียหมด ความโกรธเกรี้ยวของเธอในตอนนี้ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เธอมีความคิดหนึ่งเดียวในใจคือต้องแก้แค้น
กำจัดสไปค์ตัวปัญหาได้แล้ว ที่เหลือก็คือยัยแม่มดตัวกระจ้อยนั่น!
ฟาร์เชนแอบส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ภายในความมืดมิดของห้องโถงแห่งนี้ มีเพียงเสียงหยดน้ำจากที่ไหนสักแห่งหยดกระทบพื้นเป็นจังหวะช้า ๆ สีหน้าของเธอถูกกลบกลืนด้วยความมืดจนไม่อาจมองเห็นภาพความน่ากลัวที่เธอแสดงออกมาได้อีก...
แล้วในที่สุดเวลาสามสัปดาห์ก็ผ่านพ้นไป...