บทที่ 1: คนปริศนาในเสื้อคลุมสีขาว
บทนำ
อากาศเย็นชื้นทำให้หลี่ถงกวางรู้สึกหนาวเหน็บจนต้องกระชับผ้าข้างกายขึ้นมาห่มคลุมตัว เสียงของเสี่ยวโก่ว สุนัขที่เลี้ยงไว้เห่าดังสลับกับเสียงฝนตกกระทบดิน ชายสูงวัยปรือตาขึ้นทั้งที่เพิ่งงีบหลับไปเพียงไม่นาน
“เห่าอะไรของมันนักหนา” ถงกวางบ่นระอา ใจอยากลุกไปดูในทันที แต่อาการปวดไขข้อในวัยห้าสิบกลับไม่เอื้ออำนวย
เขานอนอยู่อย่างนั้นสักพักหวังให้เสี่ยวโก่วหยุดเห่าไปเอง ทว่ากลายเป็นหมูที่เลี้ยงอยู่ในคอกด้านหลังบ้านกลับส่งเสียงดังผสานขึ้นมาแทน ถงกวางถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นจุดตะเกียงแล้วเดินออกไปดู
แรกเริ่มเดิมทีถงกวางเป็นชาวนาอยู่ที่มณฑลเหอเป่ย์(1) เพราะสภาพอากาศไม่ดีนานหลายสิบปีทำให้จำต้องอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่แถวชายทะเลในกว่างตง(2) แล้วหันมาทำอาชีพประมงแทน แม้จะยากลำบากทว่าไม่เกินกว่าความสามารถที่จะทำ เพราะมีคู่ชีวิตคอยช่วยเหลือไม่นานทุกอย่างก็ดีขึ้น เขารู้สึกว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดตั้งแต่มีลมหายใจ
แต่ชีวิตหนีไม่พ้นการพรากจาก ครั้นเมื่อเวลาผ่านเธอจากไปด้วยโรคภัย ถงกวางรู้สึกโดดเดี่ยวเลยเริ่มหันกลับมาเลี้ยงหมูอีกครั้งอย่างที่ฮูหยิน(3)เคยเลี้ยงสมัยเป็นชาวนาเพื่อรำลึกและคลายความโศกเศร้าในใจ จึงไม่แปลกที่เขาจะห่วงพวกมันมากกว่าสิ่งใด
ฟ้ามืดพื้นเปียกลื่น ชายสูงวัยคลำทางไปอย่างระวัง นึกในใจว่าวันนี้เหมือนตะเกียงจะหมดเชื้อจึงไม่สว่างอย่างทุกที ระหว่างสงสัย อยู่ๆ พวกหมูและเสี่ยวโก่วพลันหยุดส่งเสียงร้อง
ถงกวางสังหรณ์ใจจึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เมื่อถึงที่หมายสิ่งที่เห็นทำให้เขาตระหนก หมูสี่ตัวโตเต็มวัยที่เลี้ยงไว้นอนแน่นิ่งอยู่บนกองโคลน ลิ้นห้อยจุกปาก ดวงตาทะลักหลุดออกจากเบ้า ทุกตัวมีเลือดออกทุกทวาร เขาถลันเขาไปดู ในคอกเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า
ถึงตอนนี้ถงกวางที่งัวเงียพลันมีสติตื่นขึ้นเต็มตัว เขาเพิ่งคิดได้ ว่าตัวเองหลับไปเพียงไม่นานในยามเที่ยงวันทำไมตอนนี้ท้องฟ้าถึงได้มืดสนิทราวเที่ยงคืน ชายสูงวัยหันตะเกียงส่องไฟไปรอบๆ จึงได้รู้เรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่า
ท้องฟ้าในยามนี้ไม่เพียงดำมืดราวกับหลุมลึกไร้ก้น ฝนที่ตกลงมายังกลับกลายเป็นเลือดสีแดงฉาน ลมแรงโหมกระหน่ำ ถงกวางมองออกไปจึงได้เห็นว่าทะเลเบื้องหน้ามีซากมัจฉาลอยเป็นศพเต็มผิวน้ำ
ชายสูงวัยเพิ่งเคยพบเห็นเรื่องวิปลาสเฉกเช่นนี้เป็นหนแรก หรือนี่จะเป็นความฝัน... หรือนี่เขายังคงหลับอยู่...
ระหว่างสับสนเกิดประกายไฟสว่างฟาดผ่านทั่วท้องฟ้าก่อนที่จะมีเสียงดังลั่นตามมา ถงกวางสะดุ้งสุดตัวล้มลงไปนั่งกับพื้น ตะเกียงหลุดกระเด็นออกจากมือ สองตาปิดแน่นส่งเสียงร้องผวา สองมือเหี่ยวย่นยกขึ้นปิดหูอย่างตระหนก
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งทุกอย่างคล้ายคืนสู่สภาพเดิม ท้องฟ้าที่ดำมืดกลับกลายเป็นสีเทาด้วยเมฆครึ้มที่บดบัง ฝนเลือดหยุดโปรยปราย สายลมหยุดพัดผ่าน ทว่ากลิ่นเน่าเหม็น ซากมัจฉา แอ่งเลือดขังตามพื้นและศพหมูของถงกวางยังอยู่ มันย้ำชัดว่าเขาไม่ได้ฝันไป
“เสี่ยวโก่ว! อยู่ที่ไหน? เสี่ยวโก่ว! ได้ยินไหม?” อยู่ๆ ชายสูงวัยก็ส่งเสียงร้องเรียก คงเพราะเจอเหตุไม่ปกติเขาจึงทำตัวไม่ปกติ น้ำเสียงสั่นเครือนั้นเป็นสิ่งยืนยัน ทว่าไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมา ถงกวางร้องเรียกจนถึงหน้าบ้าน
ไม่ไกลเกินสุดสายตา ชายสูงวัยเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ เขาเดินเข้าไปหา นึกดีใจที่ได้พบผู้คน หวังจะได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ายังก้าวเข้าไปไม่ถึงตัว ก็เห็นชัดว่าคนๆ นั้นคือย่งหลาน น้องสาวของย่งชาง เพื่อนบ้านที่อยู่ไม่ไกลกัน
ถงกวางรีบวิ่งเข้าไปในบ้านย่งชางที่อยู่ใกล้ทันที ความหวาดกลัวในใจยิ่งทบทวี เพราะย่งหลานเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปีกลาย
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ถงกวางตัวสั่นนั่งคุดคู้อยู่ตรงหลังประตูบ้านของเพื่อน สักพักได้ยินเสียงบางอย่างจึงรีบหันไปดูอย่างระแวง เห็นย่งชางนั่งมองมาจากด้านใน
“อาชาง! มะ เมื่อกี้ข้าเห็นย่งหลาน!” ถงกวางลนลานลุกวิ่งเข้าไปหา
ในความมืดของบ้าน ถงกวางเข้าไปดึงตัวย่งชางหวังลากไปดูเรื่องสยองเพื่อให้รู้ว่าตนพูดจริง แต่ทันทีที่มือของเขาจับที่แขนเพื่อน เนื้อหนังของอีกฝ่ายกลับแห้งกรอบแหลกคามือ ชายสูงวัยดวงตาเบิกกว้าง จะอ้าปากร้องก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
สักพักเกิดเสียงเดียวกันกับที่ได้ยินก่อนหน้านี้จากด้านบน จึงแหงนหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณ สายตาแก่ชราปรับรับความมืดจนได้เห็น ว่าที่อยู่บนนั้นคือหญิงสาวสวยไม่คุ้นหน้ากำลังยิ้มหวานละมุน ท่อนบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างมีขาเป็นแมงมุม ห้อยหัวจ้องมองมาที่ถงกวาง
ชายสูงวัยรีบก้าวถอยหลัง แต่เพราะมือที่ติดใยเหนียวจากซากร่างของย่งชางทำให้เขาล้มลง พริบตานั้นหนึ่งในแปดขาตวัดทิ่มแทงเข้าหาอย่างรวดเร็ว เขายกมือกั้นสองตาหลับแน่น จังหวะนั้นเสี่ยวโก่วโผล่มาจากไหนไม่รู้กระโดดโถมตัวเข้ามาช่วยนายรัก
ขาแมงมุมเฉียดร่างไปนิดเดียว ปีศาจสาวส่งเสียงกรีดร้องด้วยโทสะแล้วง้างขาที่เหลือเตรียมซ้ำ ชายสูงวัยตระหนกจนไม่อาจขยับตัว เสี่ยวโก่วเห่าคำรามจนเขาได้สติ
ชายสูงวัยวิ่งหนีออกมาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องไปที่ไหน เขาไม่กล้าจะหันกลับไปมองว่ามีตัวอะไรตามมาไหม คิดเพียงแต่ต้องวิ่งจนสุดกำลัง ราวกับลืมไปแล้วว่าตัวเองอายุเท่าไหร่ ในหูอื้ออึงคล้ายได้ยินเสียงแหวกอากาศ สักพักร่างของถงกวางก็ล้มลง
ชายสูงวัยพยายามจะลุกขึ้น แต่ทำไม่ได้ เพราะบัดนี้ท่อนล่างของเขาได้ขาดหายไปเรียบร้อยแล้ว เลือดมากมายทะลักออกมาปนกับโลหิตที่นองพื้น เขารู้สึกแสบร้อนที่แผล เสี่ยวโก่วส่งเสียงร้องอยู่ข้างตัวคล้ายต้องการให้เจ้านายลุกขึ้น
สายตาเลือนรางมองเห็นตะขาบตัวใหญ่กว่ามังกรในจินตนาการ เขี้ยวของมันเต็มไปด้วยเลือด ขานับร้อยที่ขยับไปมาอย่างรวดเร็วทำให้ลวดลายตามตัวของมันคล้ายเปลวเพลิงสีแดงฉานที่กำลังแผดเผาทุกสิ่ง ก่อนที่มันจะพุ่งเข้ามากระชากลมหายใจสุดท้ายของเขาจนดับสิ้น ถงกวางคิดในใจ
‘เกิดอะไรขึ้นบนแผ่นดินนี้กันแน่...’
เชิงอรรถ
มณฑลเหอเป่ย์(1) อยู่ระหว่างที่ราบสูงมองโกเลียในและที่ราบภาคเหนือของประเทศจีน
กว่างตง(2) หรือมณฑลกวางตุ้ง อยู่ตอนใต้สุดของประเทศจีนติดกับทะเลจีนใต้
ฮูหยิน(3) หมายถึง ภรรยา
บทที่ 1: คนปริศนาในเสื้อคลุมสีขาว
ซุนเถาเล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครในหมู่บ้านฟังมาตลอด ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร เขาเจอกับมันขณะที่เข้าไปเก็บผักป่าในภูเขาทางทิศเหนือ มันเป็นหมีที่มีขนสีน้ำตาล ตัวใหญ่พอๆ กับต้นสนอายุเกือบร้อยปี มีดวงตาดำมืดเหมือนหลุมลึกไร้ก้น ยิ่งเมื่อยืนด้วยสองขา มันแทบจะสูงเสียดฟ้าจนตัวเขาเล็กราวกับมด
ตอนนั้นซุนเถากำลังปีนขึ้นไปเก็บดอกกุ้ยฮวา(1) ตามที่ฮูหยินต้องการ นางบอกทิศทางอยู่เบื้องล่างเพื่อให้ได้ดอกที่ปรารถนา ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไปในเวลานั้น เขารู้สึกเหมือนว่าแท้จริงฮูหยินคล้ายอยากแกล้งตนมากกว่า เพราะนางบอกให้เด็ดดอกซ้ายทีขวาทีอย่างยากลำบาก พอเห็นเขาเงอะงะอยู่บนนั้นก็หัวเราะชอบใจจนต้องขมวดคิ้วหันไปมอง
มีน้ำตาทุกคราเมื่อพูดถึงตรงนี้ ก่อนที่คำเดิมๆ จะถูกเล่าย้ำคล้ายเป็นความผิดของตน ตอนนั้นพอซุนเถาหันไปจึงได้เห็น ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มันโผล่มาอยู่ข้างตัวนาง เขาพยายามจะร้องเตือนแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แค่มันตะปบขาหน้าลงมาเพียงครั้งเดียว หัวของนางก็... ขาดกระเด็นจนสิ้นใจตายในทันที
ซุนเถาหวาดกลัว เขายอมรับกับทุกคนเช่นนั้น แม้จะรักฮูหยินยิ่งกว่าชีวิตแต่เวลานั้นเขาไม่กล้ากระทั่งจะหายใจ ได้แต่มองมันคาบร่างของนางไป โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากอุ้มส่วนหัวที่เหลือกลับมาทำพิธี เขาว่า มันเป็นเดรัจฉานที่มาจากนรกโดยแท้ เป็นเคราะห์ร้ายของฮูหยินตนจริงๆ
หลังเกิดอาเพศครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อน หลังฝนตกลงมาเป็นเลือด หลังพวกสัตว์ตายอย่างไร้สาเหตุ ทุกอย่างบนแผ่นดินนี้ก็ไม่เหมือนเดิมอีก มีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นโดยที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ บางครั้งมีคนเห็นวิญญาณ บางคราคนที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาอีกหน
ปีศาจ คำสาป อาถรรพ์ เหล่าอสูร สิ่งชั่วร้ายต่างๆ มากมายถูกพบเจอทั้งที่ไม่น่าจะมีอยู่จริง
เพราะฉะนั้นเรื่องหมีสีน้ำตาลที่พรากชีวิตฮูหยินของซุนเถาไป จึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยแม้แต่น้อย กลับกันมันยังอยู่ในขอบข่ายที่ทำให้หนานจิ่นสือรู้สึกว่าป่าในภูเขาทางทิศเหนือยังคงเป็นแบบเดิมที่เขาเคยรู้จัก ถึงมันจะน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจนไม่สามารถเข้าใจได้อย่างที่อื่นๆ เป็น
ตอนนี้จิ่นสือกำลังอยู่ที่นี่ ในป่าของภูเขาทิศเหนือ ที่ที่ซุนเถาเล่าให้ใครต่อใครฟังจนทุกคนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ เขามาเพื่อฆ่าหมีตัวนั้น ไม่ใช่การล้างแค้นให้คนตาย ไม่ได้ทำด้วยอยากขจัดภัยร้ายให้กับใคร แต่จิ่นสือจำต้องทำเพราะกำลังจนตรอก
จิ่นสือเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันกับซุนเถา เขาเป็นพรานล่าสัตว์ หลังเกิดเหตุอาเพศครั้งใหญ่อาชีพนี้ก็หากินยากลำบากขึ้นกว่าเดิม สัตว์ป่าจำนวนไม่น้อยหายไปเพราะตายอย่างไร้สาเหตุในตอนเกิดเรื่อง ที่เหลืออยู่ก็ถูกพวกปีศาจหรืออสูรจับกินเป็นอาหาร
การเข้าป่าแต่ละครั้งไม่ใช่แค่การสูญเปล่าอีกต่อไป แต่มันอาจหมายถึงการเสียชีวิตเพราะถูกสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นล่าเป็นอาหารเสียเอง
ครอบครัวของจิ่นสือเคยมีกันสามคน แต่หลังฮูหยินตายไป เขาจึงเหลือเพียงลูกชายวัยเก้าปีคนเดียวเท่านั้น หนานฮุ่ยจือ เป็นเด็กดี ฉลาดมีไหวพริบสมกับชื่อ ทว่าสุขภาพไม่แข็งแรงเพราะเป็นโรคปอดตั้งแต่เกิด ยิ่งเมื่อไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องเพราะค่าใช้จ่ายสูง ฮุ่ยจือก็ยิ่งอ่อนแอลงทุกวัน สองวันก่อนเด็กชายถึงกับไอออกมาเป็นโลหิต
จิ่นสือเห็นดังนั้นจึงคิดว่าคงปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว หากเขาไม่สามารถหาเงินมารักษาลูกชาย ก็ปล่อยให้คนเป็นพ่อตายไปเสียก่อนยังจะดีกว่า ด้วยเหตุเช่นนี้เรื่องเล่าของซุนเถาที่เข้าหูอยู่บ่อยครั้งจึงทำให้จิ่นสือตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ต้องฆ่าหมีตัวนั้นเพื่อนำไปขายในเมือง หากทำไม่สำเร็จ อย่างมากเขาก็แค่ไปรอพบลูกชายในปรโลกก่อนเท่านั้น
หลังฝากป้าเนี่ย เพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกันให้ช่วยดูแลฮุ่ยจือ จิ่นสือก็ออกเดินทางเข้าป่าตั้งแต่ยามเหม่า(2) ของเมื่อวาน และคงเพราะสวรรค์เห็นใจ เขาจึงสามารถล่าลูกกวางได้ตัวหนึ่งก่อนค่ำ แม้จะรู้ว่ากวางตัวนี้ยังอายุน้อยเกิน แต่ก็สุดวิสัยที่จะปล่อยไป จิ่นสือชำแหละเนื้อบางส่วนออกเพื่อใช้เป็นเสบียง ส่วนที่เหลือก็ปล่อยทิ้งไว้เป็นเหยื่อล่อโดยที่ตัวเองขึ้นไปเร้นกายในตำแหน่งที่เหมาะบนต้นไม้
ข้ามคืนมาแล้วยังไร้วี่แววของหมีสีน้ำตาลที่ซุนเถาเล่าให้ฟัง ตอนนี้เป็นยามอิ่ว(3) เขาอดหลับฝืนไม่นอน นั่งเฝ้ากับดักท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ในตอนที่ความอ่อนล้าถาโถม ชั่วเสี้ยวหนึ่งในความคิดเขารู้สึกอยากยอมแพ้และตัดใจ ในบางส่วนที่สับสนเขานึกทบทวนไปว่า บางทีหมีตัวนั้นอาจตายไปแล้วเพราะหาอาหารไม่ได้ หรือไม่ก็ถูกพวกปีศาจจับกินไป ในเมื่อเรื่องที่ซุนเถาเล่ามานั้น มันเกิดขึ้นมาร่วมครึ่งปีแล้ว หมีตัวนั้นอาจไม่อยู่บนแผ่นดินนี้แล้วก็ได้
ท้องฟ้าเริ่มสิ้นแสงลงไปทีละน้อย จิ่นสือตัดสินใจยอมล้มเลิกความตั้งใจไปแล้วถึงสามครั้ง เขาคิด ว่าหากกลับตอนนี้นอกจากเนื้อกวางที่มีพอประทังชีวิต เขายังมีลมหายใจกลับไปหาฮุ่ยจือ แต่เมื่อคิดถึงลูกชาย ภาพความเจ็บป่วยก็ทำให้เขาฝืนนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ทนรอสิ่งที่ตัวเองไม่รู้และไม่แน่ใจด้วยความหวังอันน้อยนิดต่อไป
จวบจนขอบฟ้ามืดสนิท จิ่นสือที่ทนฝืนสังขารไม่ไหว เผลอสัปหงกส่งผลให้พลัดตกลงมาจากต้นไม้ ร่างของเขาหงายหลังลงมา แม้ไม่ได้รับบาดเจ็บหนักหนาเพราะมีหิมะรองรับ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะลุกขึ้นในทันที
ละอองน้ำแข็งหยุดตกแล้วแต่พื้นรอบบริเวณยังมีเกล็ดความเย็นที่เร่ิมจะแข็งตัว สติที่อ่อนล้าแจ่มชัดขึ้นช่วงวูบหนึ่งเพราะตระหนกและเจ็บปวด จิ่นสือพยายามจะลุกขึ้นเพราะประสบการณ์ทั้งชีวิตสอนให้รู้ว่าการนอนกลางป่าโดยไม่จุดไฟหรือไม่อยู่บนที่สูง จะทำให้โอกาสรอดชีวิตมีไม่มาก ไม่ต้องพูดถึงสภาพอากาศ แค่ทุกวันนี้ในภูเขามีสิ่งชั่วร้ายที่น่ากลัวกว่าเหล่าสัตว์ป่าซ่อนเร้นอยู่ การอยู่ข้ามคืนในความมืดยิ่งไม่ควรทำ
ฉับพลันเกิดเสียงย่ำเท้าลงบนผิวหิมะ มันดังชัดจนจิ่นสือรีบลุกขึ้นมาระวังตัวในทันที เขามองรอบกาย เสียงเมื่อครู่ดังมาจากทางซ้ายมือแต่บัดนี้ไม่มีสิ่งใดอยู่ตรงนั้นแล้ว ทว่ามันยังไม่ไปไหน เขารู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณจากการเป็นนักล่ามาทั้งชีวิต ว่าอีกฝ่ายกำลังรอเวลาเพื่อฆ่าเช่นกัน
ในความมืด กลางความเงียบและอากาศที่เย็นเยียบ จิ่นสือเลื่อนมือสั่นเทาควานหาอาวุธประจำกาย คันธนูกับลูกศรที่ป้ายยาพิษประจำตระกูล
ไม่มี!!
มือสองข้างเหวี่ยงซ้ายป่ายขวาไม่พบสิ่งที่ต้องการ จิ่นสือเริ่มลนลานแต่ไม่สามารถละสายตามองหาได้ การจับจ้องเป็นหนึ่งวิธีที่ผู้ล่าต้องคำนึง หากคลาดสายตาเมื่อไหร่เท่ากับเปิดโอกาสเพลี่ยงพล้ำให้กับศัตรู ถึงอย่างนั้นเหมือนความหวาดหวั่นในใจจะมีมากเกินจนไม่สามารถเก็บซ่อนไว้ได้ อีกฝ่ายก็คล้ายรับรู้กลิ่นความกลัวที่ลอยคลุ้งอยู่รอบตัว
ท่ามกลางความมืดของรัตติกาล ปรากฏดวงตาหนึ่งคู่สะท้อนแสงวาววับราวกับอัญมณีล้ำค่า เสียงขู่ของสัตว์ร้ายดังแผ่วแต่ชัดเจน ร่างใหญ่โตของหมีสีน้ำตาลคอยๆ เยื้องย่างออกมาให้จิ่นสือได้เห็นถนัดตา
มันไม่ได้สูงเท่าต้นสนอายุเกือบร้อยปีอย่างที่ซุนเถากล่าวอ้าง แต่มันก็ยังตัวใหญ่เกินกว่าที่จะรับมือได้ จิ่นสือเหงื่อตกทั้งที่อากาศหนาวจัด มันขยับเข้าใกล้ทีละนิดจนอยู่ในระยะประชิด
พริบตานั้นหวาดกลัวกัดกินใจเกินกว่าจะคุมสติไว้ได้ จิ่นสือหันมองหาอาวุธทั้งที่ไม่ควรทำ หมีสีน้ำตาลยกร่างยืนสองขาแล้วคำรามเสียงดังลั่น ความตระหนกบวกร่างกายที่อ่อนล้าทำสองขาอ่อนแรงจนทรุดไปนั่งที่พื้น มันยกแขนขึ้นสูงเตรียมตะปบลงมา เขาหลับตาแน่นในใจคิดถึงแต่ลูกชาย
อยู่ๆ พลันเกิดประกายไฟรูปร่างคล้ายพยัคฆ์จากในความมืด พุ่งตรงเข้าใส่หมีตัวนั้น มันร้องลั่นโหยหวนก่อนผงะหงายไปยืนด้วยสี่ขาแบบเดิม จิ่นสือได้โอกาสถดร่างถอยหลังเพื่อหนี เหมือนสวรรค์จะเป็นใจ มือข้างหนึ่งของเขาไปโดนคันธนูกับลูกศรที่หล่นหาย จึงรีบคว้าหยิบขึ้นมาและเล็งใส่จุดตายของอีกฝ่ายทันที
ใต้ไหล่ด้านขวาใกล้กับสะบักเป็นตำแหน่งของหัวใจหมี เขาง้างคันธนูจนสุดแล้วปล่อยออกไป เพราะการโจมตีด้วยไฟปริศนาเมื่อครู่ทำให้มันไม่ทันตั้งตัว พริบตานั้นหัวลูกศรโลหะที่อาบยาพิษไว้ก็เสียบแทงเข้าไปในเนื้อ หมีสีน้ำตาลยกร่างขึ้นข่มขวัญศัตรูอีกครั้งคล้ายเป็นแรงเฮือกสุดท้ายก่อนจะล้มลงแน่นิ่งและสิ้นใจ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มากเกินกว่าที่จิ่นสือจะเข้าใจ เขานั่งอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งก้านธูป(4) กว่าจะรวบรวมกำลังลุกขึ้นไปดูซากหมีที่นอนอยู่ได้ ตอนนี้สติของเขาแจ่มชัดกว่าที่เคย ราวกับคนที่นอนหลับเต็มอิ่มมาทั้งวัน
จิ่นสือจ้องมองผลงานของตัวเองแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง อยู่ๆ น้ำตาแห่งความยินดีก็ไหลอาบแก้ม เขาตื้นตัน เขาเหนื่อยล้า เขาโล่งใจ เขายังไม่ตาย มีความรู้สึกหลากหลายเกิดขึ้นพร้อมกันในคราเดียว แต่ไม่มีเวลามากพอให้สนใจ พิษที่ใช้ฆ่ามีฤทธิ์แรงอยู่ไม่น้อย หากปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้แทรกซึมจนเนื้อใช้ไม่ได้ ต้องรีบควานเอาส่วนที่โดนพิษออก
จิ่นสือควักชุดไฟออกมาแล้วจุดไฟเพื่อให้ความสว่าง เมื่อมีแสงขึ้นรอบกายทำให้เขาได้เห็นว่าตนไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
เบื้องหน้าไม่ห่างจากซากของหมีสีน้ำตาลที่นอนตาย มีร่างสูงใหญ่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับจิ่นสือ มันเปลือยเปล่ายืนนิ่งด้วยสองขา บนสองแขนมีขนรกรุงรังไล่ไปทั่วทั้งแผงอกหนา มือข้างหนึ่งถือไม้ข่อนใหญ่ขนาดเท่ากับลำตัวของจิ่นสือ ส่วนมืออีกข้างถือศีรษะของมนุษย์มีหยดเลือดไหลอยู่ราวกับเพิ่งถูกกระชากออกมาจากร่าง จิ่นสือแหงนหน้าขึ้นมองจึงได้เห็นว่าร่างประหลาดใหญ่โตเท่ายักษ์มีส่วนหัวเป็นหมูป่า มันจ้องมองกลับมา ดวงตาคู่นั้นเหมือนสัตว์นรกจากอเวจียิ่งกว่าเดรัจฉานที่เพิ่งตายไป
จิ่นสือตั้งสติไม่ทันว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร ปีศาจที่ผู้คนเล่าลือกันเช่นนั้นหรือ ระหว่างที่กำลังหาคำตอบ ปีศาจหมูป่ายกมือข้างที่ถือศีรษะคนขึ้นแล้วกัดเคี้ยวกินซีกซ้ายของศีรษะนั้น มันสมองและกลิ่นคาวเลือดไหลทะลักออกมา จิ่นสือถึงได้เข้าใจว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับอะไร
ความกลัวและสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่เขา แต่ก่อนที่จะได้ทันร้องลั่นเพื่อระบายความหวาดหวั่น มีเสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของจิ่นสือเสียก่อน
“อย่าขยับ!” สิ้นคำ เกิดประกายไฟขึ้นอีกครั้ง
แต่ครานี้มีรูปร่างดั่งมังกรพุ่งตรงเข้าใส่ปีศาจตนนั้น มันดิ้นรนร้องโหยหวน ก่อนที่จะถูกไฟห่อหุ้มกลืนกินร่างจนแหลกสลายไปในช่วงพริบตา จิ่นสือมองภาพทุกอย่างไม่เชื่อสายตาจนเผลอก้าวถอยหลังไปชนกับคนที่ช่วยชีวิตตนซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง เขาผวาแล้วหันกลับไปมอง เห็นคนปริศนาเร้นร่างอยู่ใต้ผ้าคลุมสีขาวที่มีลักษณะเป็นเกล็ดวาว
"เมื่อกี้! มัน! ทะ ทำไม!"
"ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว" อีกฝ่ายตอบ
จิ่นสือพยักหน้ารับรู้ทั้งที่ยังสับสนและมีหลายคำถามในใจ ทว่ายังไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ คนปริศนากลับยืนซวนเซจวนจะล้มมิล้มเหล่ทำให้ต้องรีบเข้าประคองและใกล้พอที่จะได้ยินเสียงท้องร้องของอีกฝ่ายดังขึ้น
"พี่ชายพอจะมีอะไรให้กินไหม ข้าหิวจนจะหมดแรงแล้ว" สิ้นคำถาม คนที่เพิ่งผ่านวิกฤตมาหยกๆ พลันหัวเราะออกมาได้อีกครั้ง อย่างน้อยจิ่นสือก็คลายระแวงและรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นเพียงคนธรรมดาที่รู้จักหิว
ไฟกองใหญ่ถูกจุดขึ้นเพื่อย่างเนื้อกวางที่มีอยู่ คนปริศนานั่งกินเนื้อกวางสุกที่จิ่นสือยื่นให้ด้วยท่าทางหิวโหย แม้จะเป็นเวลากินอาหาร แต่คนปริศนาก็ยังไม่เอาเสื้อคลุมที่ปิดกระทั่งศีรษะลง จนทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าได้
จิ่นสือเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายรวมกับความสามารถก่อนหน้านั้น ก็ทำให้นึกถึงข่าวลือเรื่องหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เป็นข่าวลือของคนผู้หนึ่ง แซ่คือไป่ นามสั้นๆ ว่ายู่ เป็นใคร มาจากไหนไม่เปิดเผย อายุเท่าไหร่ โฉมหน้าเช่นไร ไม่แน่ชัด แต่ที่ผู้คนพูดถึงนามนี้เพราะ ไป่ยู่คือจอมเวทย์ที่ใช้อาคมปราบสิ่งชั่วร้าย มีคนกล่าวว่าเขาเดินทางไปทุกที่โดยการขี่เสือ บ้างก็ว่าเขาเป็นคนประหลาดชอบอ้างว่าติดต่อสื่อสารกับคนตายได้ ทั้งที่ยืนพูดเพียงลำพัง ที่หนักไปกว่านั้นคือบางคนว่า เขานั่นแหละเป็นมารร้าย!
หรือจะเป็นคนๆ นี้ จิ่นสือคิดและไม่รอให้คำตอบวิ่งมาหา จึงตั้งคำถามทันทีที่คนปริศนากินเนื้อที่ยื่นให้จนเสร็จ
"รบกวนถามผู้มีคุณ ไม่ทราบว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรแล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?"
"ข้าเป็นแค่คนหลงทาง ไม่ได้มีนามน่าจดจำ อีกอย่างคือพี่ชายกล่าวเกินไปแล้ว ผู้มีคงมีคุณที่ไหนกัน ข้าแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ เป็นข้าต่างหากที่ควรนับพี่ชายเป็นผู้มีคุณ ไม่งั้นคงได้นอนอดตายอยู่ในป่านี้ไปแล้ว"
"อย่าได้เกรงใจๆ"
"พี่ชายเข้ามาในป่านี้ทำไมเหรอ" คนปริศนาถามกลับจนจิ่นสือที่ยังมีคำถามอีกมากคาใจ ต้องย้อนความเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่อาการป่วยของบุตรชายไปจนถึงเรื่องซุนเถาและฮูหยิน
หลังฟังเรื่องราวทั้งหมด คนปริศนายิ้มน้อยๆ พร้อมถอนหายใจ
"ร้ายกาจยิ่งนัก"
"ผู้มีคุณคงหมายถึงหมีตัวนี้" จิ่นสือเอ่ย แต่คนปริศนากลับส่ายศีรษะแทนคำตอบ
"หาเป็นเช่นนั้นไม่ ข้าหมายถึงคนแซ่ซุนที่พี่ชายกล่าวถึง"
"เช่นไรถึงว่าร้ายกาจยิ่งนัก"
"เรียนถามพี่ชาย คนแซ่ซุน ทำมาหากินอะไร"
"เป็นคนเก็บของป่า บ้างเอาไปขายบ้างเอาไปแลกอาหาร"
"พี่ชายว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อนใช่หรือไม่" จิ่นสือพยักหน้าแทนคำตอบ "เช่นนั้นพี่ชายควรรู้ ข้อแรกดอกกุ้ยฮวาไม่ออกดอกในช่วงเวลานั้น แล้วจะมาเก็บได้เช่นไร" สิ้นการตั้งข้อสงสัย จิ่นสือถึงเพิ่งเห็นความขัดแย้งในเรื่องที่ได้ฟังมาจากซุนเถา
"เรียนถามพี่ชายอีกหน คนแซ่ซุนกล่าวว่า หมีตัวใหญ่เท่าต้นสนอายุเกือบร้อยปี ยืนสองขาสูงเสียดฟ้าเช่นนั้นหรือไม่"
"กล่าวเช่นนั้น แต่ข้อนี้อาจอธิบายได้ ซุนเถายามนั้นกำลังตกใจจึงสับสน เพราะเราสองก็เห็นอยู่ว่าหมีตัวนี้แม้ใหญ่โตจริงแต่ไม่มีรูปร่างเท่าที่กล่าว ทว่าก็ใช่ว่าจะมองเป็นเช่นนั้นไม่ได้ ข้าเองยามเป็นตายเมื่อครู่ยังหวาดกลัวจนเห็นว่ามันสูงเสียดฟ้าเช่นนั้นจริง"
"มิได้ๆ ประเด็นนั้นข้าเข้าใจ แต่สิ่งที่พี่ชายมองข้ามไปคือคนแซ่ซุนกล่าวอ้างว่ายามนั้นเขาอยู่บนต้นกุ้ยฮวา คนอยู่สูง หมีอยู่ล่าง ต่อให้หมีจะตัวใหญ่กว่านี้อีก จากมุมสูงเช่นนั้นก็มิอาจมองสิ่งที่อยู่เบื้องล่างใหญ่โตได้จริงหรือไม่"
จิ่นสือคิดตามและเห็นจริง เขาเข้าใจและไม่เข้าใจพร้อมกันในเวลาเดียว กล่าวคือ เข้าใจในข้อแถลงไขที่คนปริศนาชี้แนะ และที่ไม่เข้าใจคือซุนเถาจะโกหกเพื่อสิ่งใด หรือว่า!!?
"ถูกอย่างที่พี่ชายสงสัยแล้ว" คนปริศนาพูดขึ้นคล้ายอ่านใจจิ่นสือได้
"ตะ แต่ ทะ ทำไม"
"ที่คนแซ่ซุนโกหกเพราะไม่ต้องการให้คนเข้าใกล้ป่าแห่งนี้ ที่ไม่ต้องการให้เข้าใกล้เช่นนั้นก็เพราะเขาซ่อนบางอย่างไว้ที่นี่"
"อะไร?!"
"ศพไร้หัวและความจริงที่เขาฆ่าฮูหยินของตัวเอง"
"เหลวไหล! ซุนเถารักฮูหยินของเขามาก ไม่มีทางที่เขาจะ... ท่านไม่รู้จักซุนเถาด้วยซ้ำ แค่ฟังจากข้าเล่าจะมาพูดซี้ซั้วแบบนี้ ข้าไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด"
"พี่ชายกล่าวถูกแล้ว ข้าน้อยมิได้รู้จักคนแซ่ซุน แต่เรื่องที่เขามือสังหารฮูหยินตัวเองนั้น ข้าแน่ใจ"
"เหตุใด!?"
"เพราะฮูหยินแซ่ซุนเพิ่งเล่าให้ข้าฟังเมื่อครู่นี้" สิ้นคำตอบ ลมหนาวพัดไหววูบเข้ามา จิ่นสือรู้สึกคล้ายมีใครบางคนยืนอยู่ด้านหลังตัวเอง เขาหันไปดูแต่ไม่พบผู้ใด คนปริศนาพลันลุกขึ้นยืน
"จะไปไหน?"
"พิสูจน์ความจริง หากฮูหยินตายเพราะหมี เราคงไม่พบเศษศพหรือกระทั่งกระดูกที่เหลือ แต่หากเราไปขุดพบศพของนางที่หายเจอ ก็เท่ากับนางถูกฆ่าตายจริงโดยคนแซ่ซุนถูกหรือไม่"
"ตะ แต่ป่าเขากว้างใหญ่"
"พี่ชายไม่ต้องกังวล ฮูหยินซุนจะนำทางไปเอง แต่คงต้องขอแรงพี่ชาย เพราะข้าไม่มีกำลังพอที่จะขุดนางขึ้นมา" จิ่นสือรู้สึกประหลาด คนผู้นี้หากไม่ใช่มีคุณช่วยเหลือชีวิต เขาคงไม่ทนฟังเรื่องเหลวไหล แต่เพราะเป็นคนที่ช่วยไว้ การทำเหมือนคุยกับวิญญาณได้จึงยิ่งดูพิกลนัก
จิ่นสือนึกถึงข่าวลือของจอมเวทย์ที่ชื่อไป่ยู่
"ผู้มีคุณ ท่านเป็นใครกันแน่?"
ริมฝีปากบางใต้เสื้อคลุมที่ปิดบังใบหน้ายิ้มให้ก่อนตอบ
"ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา ที่มีนามไม่น่าสนใจ"
จิ่นสือไม่ซักไซ้อีก เพราะเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการเปิดเผย ทว่าตอนนี้จิ่นสือยังไม่อาจทราบ ว่าอีกไม่นานจะต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องราวที่แปลกพิสดารยิ่งกว่าที่เจอในคืนนี้ เหตุการณ์นั้นจะเกี่ยวข้องกับคนปริศนาใต้เสื้อคลุมสีขาวตรงหน้า และจะเกี่ยวข้องกับคนแซ่ไป่ที่ถูกเล่าลือ
แต่นั่นจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองขุดเจอศพของฮูหยินซุนพร้อมได้รู้ว่าซุนเถาเป็นคนฆ่าจริงๆ
เชิงอรรถ
ดอกกุ้ยฮวา(1) มีอีกชื่อว่า ดอกหอมหมื่นลี้ ออกดอกช่วงย่างหน้าหนาว ชอบอากาศเย็น หากมีมากจะส่งกลิ่นหอมตามชื่อ นับเป็นหนึ่งในสิบห้าดอกไม้มงคลของจีน
ยามเหม่า(2) คือเวลา 5.00 น. – 6.59 น.
ยามอิ่ว(3) คือเวลา 17.00 น. – 18.59 น.
หนึ่งก้านธูป(4) เท่ากับ 15 นาที