ตอนที่ 5 แผนการแก้เผ็ด
ตอนที่ 5 แผนการแก้เผ็ด
คฤหาสน์หลังเล็กกระจิ๊ดริดกับเตียงไม้แกะสลักไซซ์กระจ้อยร่อย ในห้องมีข้าวของเครื่องใช้กระจุ๊กระจิ๊กของหญิงสาวอย่างครบครัน เสียงคนคุยกันเจ๊าะแจ๊ะราวกับนกกระจิบร้องจิ๊บ ๆ แว่วเข้ามาไม่ขาดสาย กลิ่นธูปอ่อน ๆ กระจายไปทั่ว ตรงปลายเตียงมีดอกไม้มากมายหลากสีกระจุกอยู่
ลินจิลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างลำบากลำบน เพ่งไปที่บานประตูไม้แกะสลักเป็นเวลานาน ก่อนจะลุกขึ้นนั่งพร้อมกับความรู้สึกตกอกตกใจเหมือนอยู่ในฝันร้าย เหงื่อผุดพรายไปทั่วร่าง พอมองรอบห้องที่ตกแต่งแบบจีนโบราณก็เห็นกระถางธูปตั้งอยู่ใกล้เตียง
ข้างกระถางธูปมีกล้วยหอม แครอท แตงกวา มะเขือยาว และดอกไม้ เหมือนของเส้นไหว้ ดูไปดูมาก็เหมือนพิธีงานศพ
…ของพวกนี้มันอะไรกัน
ฟื้นขึ้นมาก็พบกับเรื่องเลวร้าย หรือว่าเขาจะตายไปแล้วจริง ๆ ส่วนของกินพวกนี้อาจจะมาจากญาติพี่น้องที่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้
…ทำไมมีแต่ของที่เป็นแท่ง ๆ เนี่ย
ลินจิสงสัยพลางโน้มตัวไปเด็ดกล้วยหอมบนถาดเส้นไหว้มาหนึ่งลูก จากนั้นก็ดม ๆ ก่อนปอกเปลือกกัดกินอย่างหิวกระหาย รู้สึกถึงไฟเบอร์และคาร์โบไฮเดรตที่ตกสู่กระเพาะอาหารและซึมเข้าร่างกาย
…นี่ไม่ใช่ความฝัน หรือว่าจะถูกลักพาตัว
“อ๊าย!”
ลินจิรีบถกคอเสื้อก้มมองสำรวจร่างกาย แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ แถมเสื้อผ้าที่ใส่ก็ยังเป็นชุดเดิม ที่น่าแปลกใจคือมีกระเป๋าเป้ของเขาอยู่ที่นี่ด้วย
ก่อนหน้านี้ลินจิจำได้ว่าตนต่อสู้กับปีศาจ เมื่อชนะก็ได้พบกับเจ้าชาย แต่โชคร้ายที่เจ้าชายได้กลายเป็นปีศาจเสียเอง จากนั้นร่างอันบอบบางของเขาก็ถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวบนกองดินกองทรายเพียงลำพัง และแล้วเจ้าชายก็เดินจากไป ไม่แม้แต่จะปรายตามอง …ลินจิจินตนาการว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงผู้เลอโฉม ส่วนชุนก็เป็นเจ้าชายรูปหล่อที่เกิดมาเพื่อจุมพิตตนเพียงคนเดียว
...อั๊ย อั๊ย ถึงมันจะจบแบบแบดเอนด์ก็เถอะ
สิ้นสุดการมะโนลินจิก็ส่องดูข้อมูลสถานที่
< [หยั่งรู้ LV3] เริ่มทำงาน >
[ตำหนักโมโมะ]
…อ้าว ที่นี่เองหรอกเหรอ
เมื่อรู้ว่าถึงที่หมายแล้วลินจิก็โล่งใจ พอสองเท้าเหยียบลงพื้น เขาก็ได้ยินเสียงของชุนแว่วมาจากด้านนอก
“อย่าเอาข้าไปเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าอัญเชิญตนนั้นเลย แค่ปราบปีศาจลำพังข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย มีเทพหนุ่มน้อยคอยติดตามดูกุ๊กกิ๊กจะตายไป แถมยังเป็นเทพเจ้าสร้างโลกด้วย เจ้าน่าจะดีใจนะ”
“ข้าไม่ต้องการ”
น้ำเสียงหญิงสาวนุ่มละมุน เอ่ยตอบเสียงโหวกเหวกโวยวายของชุน ให้ความรู้สึกไม่เข้ากันอย่างสิ้นเชิง
“แหม ปากบอกว่าไม่อยากเกี่ยวข้อง แต่พี่ชุนก็ดูเป็นห่วงเป็นใยเทพตนนั้นนะคะ เล่นอุ้มเขาด้วยท่าสาวน้อยเข้ามาในตำหนักเชียว”
เสียงเล็ก ๆ ของหญิงสาวอีกคนกล่าว ต่างจากเสียงนุ่มละมุนเมื่อครู่นี้ จากนั้นพวกสาว ๆ ก็หัวเราะประสานเสียงกันอย่างครื้นเครง
ลินจิฟังบทสนทนาด้านนอกจนหน้าเขียว ถ้าชุนไม่อยากยุ่งกับเขาจริง ๆ ทำไมไม่ทิ้งเขาไว้ที่หมู่บ้าน แม้จะรู้สึกซาบซึ้งใจที่ชุนช่วยเหลือตนไว้ แต่พอได้ยินคำพูดแบบนั้นลินจิก็รู้สึกอารมณ์เสียอย่างบอกไม่ถูก
…ใช่ว่าเราจะอยากอยู่ที่นี่สักหน่อย
จังหวะนั้นเองท้องก็ร้องโครกครากขึ้นมา ตั้งแต่หลุดมาอยู่ที่นี่ลินจิก็เพิ่งจะได้กินแค่กล้วยหอมนี่แหละ ก่อนหน้านี้เขาใช้พลังงานไปเสียเยอะ ทั้งต่อสู้กับปีศาจ ทั้งเดินทางไกล …โอ๊ย นึกแล้วเพลีย
พอคิดมาถึงตรงนี้ความหิวโหยอันยากจะทนทานก็โถมเข้าใส่ ลินจิลุกขึ้นหยิบกล้วยหอมทั้งหวีมาตั้งบนตัก จากนั้นก็ปอกเปลือกยัดเข้าปากอย่างตะกละตะกลาม เคี้ยวตุ้ย ๆ จนแก้มป่องเหมือนกระรอกอมถั่ว ส่วนเปลือกกล้วยก็ทิ้งลงในถาดเส้นไหว้อย่างไร้อารยธรรม
เมื่อเสียงลูกบิดดังขึ้นลินจิก็สะดุ้งโหยง เขารีบซุกกล้วยทั้งหวีไว้ใต้ผ้าห่ม กระโดดกลับขึ้นเตียงทำทีแกล้งหลับ ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาเบามาก เบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ลินจิก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังใกล้เข้ามาช้า ๆ กระทั่งได้กลิ่นป่าเขาโชยเข้าจมูก เดาว่าน่าจะเป็นชุน
“เจ้าหนู ตื่นแล้วหรือ”
ชุนยืนอยู่ข้างเตียง ก้มลงสำรวจเทพเจ้าอัญเชิญของตน พอเห็นถาดเส้นไหว้ที่เต็มไปด้วยเปลือกกล้วยทับถมเขาก็ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจ …ไม่คิดเลยว่าจะสกปรกโสมมได้ถึงเพียงนี้
“ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
...คุยเค็ยอะไรกัน ขอนอนต่อให้สบายใจหน่อยเถอะ
ลินจิแกล้งหลับแสร้งทำงัวเงีย ยกแขนสะบัดมือประมาณว่า ‘ไปให้พ้น’ จากนั้นก็เคี้ยวปากดังแจ๊บ ๆ
“เฮ้ย! เจ้าหนู! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าแกล้งหลับ”
สิ้นสุดเสียงตะเบ็งก็เกิดเสียงโลหะเสียดสีกัน ลินจิเสียวสันหลังวาบ เขารีบสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง สองมือกุมผ้าห่มแนบอกไว้แน่น …เหวอ
“อะไรกัน ผมหลับอยู่นะครับ เสียมารยาทจัง”
“หืม?”
ชุนเลิกคิ้ว เปล่งเสียงสูงในคอ พลางค่อย ๆ ดึงดาบออกจากฝัก ใบดาบแวววับสะท้อนแสงเข้าตาลินจิ
“ในเมื่อข้าไม่สามารถหาวิธีส่งเจ้ากลับสวรรค์ได้ แบบนี้คงต้อง…”
“อ๊าก! ไม่เอา น่ากลัว”
ลินจิยกสองมือป้องหัวอัตโนมัติ …คราวนี้โดนฟันแน่!! สัญชาตญาณของลินจิร้องเตือน ขืนอยู่กับคนแบบนี้ ชีวิตของเขาคงต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างไม่จบไม่สิ้นแน่
ทันใดนั้นประตูก็เปิดโพล่งพร้อมกับเสียงร้องของหญิงสาว
“ว๊ายกรี๊ด ไม่ได้นะ ทำแบบนั้นกับเทพเจ้าไม่ได้นะ!”
เมื่อลินจิหรี่ตามองก็เห็นสองสาวเดินเข้ามาในห้อง พวกเธอมีผิวขาวเนียน คนแรกสวมกิโมโนสีฟ้า มัดรวบผมไว้ด้านหลัง ส่วนคนที่ตามหลัง ใส่เดรสสีดำปล่อยผมสยาย มองผ่าน ๆ คนที่สวมกิโมโนน่าจะเด็กกว่า อายุไม่น่าเกินสิบแปดปี ส่วนคนที่สวมเดรสดำประมาณยี่สิบปลาย ๆ
“ท่านเทพเจ้า ฟื้นแล้วเหรอ ในตำราล้าน ๆ ปีบอกว่าท่านชอบของที่เป็นแท่งยาว ๆ ข้าเลยหามาเส้นไหว้”
“ท่านเทพ อุ๊ย! ใช่เทพแห่งการสร้างโลกจริง ๆ ด้วย หน้าเหมือนรูปปั้นที่ชาวบ้านสักการบูชาเปี๊ยบเลย ให้พรข้าทีสิ”
“…”
หญิงสาวสองคนกรี๊ดกร๊าดอย่างกับเจอออปป้าเกาหลี พวกเธอก้าวเท้าถี่ดังเตาะแตะเข้าหาลินจิ ก่อนจะนั่งประกบซ้ายขวาบนเตียง
คนที่สวมกิโมโนฟ้านั่งอยู่ด้านซ้าย คนสวมเดรสสีดำปล่อยผมสยายนั่งอยู่ด้านขวา เมื่อชุนเห็นแบบนั้นก็เดาะลิ้นดัง “จิ๊” แล้วเก็บดาบ
…เกือบไปแล้ว
ลินจิพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ข้าชื่อโมโมะ เป็นอาจารย์ของชุน” สาวเดรสดำกล่าว
“ข้าชื่อยูมิ เป็นน้องสาวของคู่มั่นพี่ชุนคะ”
…คนใส่เดรสดำเป็นอาจารย์หรอกหรือ ยังดูสาวอยู่เลย
…ส่วนอีกคนก็คือน้องสาวของ…
…คู่มั่น?
จิตใจของลินจิถูกบดขยี้อย่างฉับพลัน เขารู้สึกช็อกที่รู้ว่าชุนมีคู่มั่นแล้ว
แม้ลินจิจะไม่ชอบพฤติกรรมก้าวร้าวของชุน แต่ในกรณีที่ตนไม่สามารถกลับโลกได้ เขาก็อยากจะมีความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะได้หนุ่มหล่อมาปรนนิบัติ ไม่ถึงขั้นต้องคบหากัน แค่เดินฉุยฉายผ่านไปผ่านมาก็ดีต่อใจแล้ว
“พวกเจ้าถอยไป”
“ว๊าย! ไม่ได้นะคะ”
“อ๊าย! ใจเย็นก่อน”
ขณะที่ชุนทำท่าจะชักดาบอีกครั้ง โมโมะและยูมิก็กางแขนเข้าปราม
“ทำแบบนี้กับเทพเจ้าเดี๋ยวก็ตกนรกหมกไหม้หรอกครับ”
“หน็อย... ตกนรกข้าก็ยอม”
ชุนพูดกัดฟัน แววตาคมปราบ เส้นเลือดบนขมับปูดโปน
พอมีคนช่วยปกป้องลินจิก็ได้ทีขี่แพะไล่ ความรู้สึกช็อกเมื่อครู่นี้หายไปทันควัน ขณะนั้นชุนก็เก็บดาบ
ถ้าสามารถเปลี่ยนสุภาษิตในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ ลินจิก็อยากจะเปลี่ยนคำว่า ‘ขี่แพะไล่’ เป็นขี่อะไรที่ใหญ่กว่านี้ อย่างเช่น วาฬเพชฌฆาต หรือไม่ก็ช้างแมมมอธ
“ท่านเทพเจ้า ต้องขอโทษแทนศิษย์ของข้าด้วย เขาคงเสียสติไปแล้ว คฤหาสน์คู่มั่นของเขาเพิ่งถูกไฟเผา ซ้ำร้ายยังไม่พบศพ แต่เธออาจจะยังมีชีวิตอยู่”
“ข้าไม่ได้เสียสติสักหน่อย”
พอโมโมะพูด ชุนก็พ่นลมออกจากจมูกเหมือนวัวกระทิง
“สงสัยคงคิดถึงพี่สาวของข้าจนหน้ามืดตามัว อย่าถือสาพี่ชุนเลยนะคะท่านเทพ”
“อย่างนั้นหรือครับ”
พอรู้ว่าเกิดเรื่องเลวร้ายกับชุน ลินจิก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมาทันที
“ค่ะ ตอนที่เกิดเพลิงไหม้ข้าก็อยู่ในเหตุการณ์ แต่พี่สาวของข้ากลับขับไล่ไสส่งข้าให้มาลี้ภัยดักดานอยู่กับยัยป้านี่ หลังจากนั้นเธอก็กลับเข้าไปในคฤหาสน์ แล้วหายสาบสูญแม้แต่ศพก็ไม่มี”
“หา… อะไรนะ หล่อนเรียกใครว่าป้าย่ะ”
“หรือจะให้เรียกว่ายายคะ”
“ยัยนี่!”
“เอ่อ…”
ท่ามกลางจิตสังหารที่โพยพุ่งของสองสาว ลินจิไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอย่างไรดี คราวนี้เขามองชุนเพื่อขอความช่วยเหลือ พลางคิดว่า …หนวกหูชะมัด
ชุนเบะปากโค้งคว่ำเป็นหลั่งเต่า โกรธหน้าตูม บอกว่าช่วยไม่ได้ ลินจิเลยยิ้มเจื่อนหัวเราะแหะ ๆ ให้สองสาวที่กำลังโต้เถียงกันเสียงดัง ถึงจะคิดว่าเสียงหัวเราะนั้นจะไม่ช่วยให้สองคนนี้หยุดทะเลาะกันก็ตามที
“พอกันได้แล้วทั้งสองคน!”
จังหวะที่ชุนตะโกนเพราะหมดความอดทน ยูริและโมโมะก็หันขวับมามอง ก่อนจะสะบัดหน้าเชอะใส่
พวกเธอถอนหายใจเสียงดังแล้วเดินตึงตังออกจากห้องไป
พอสองคนนั้นไม่อยู่ ความเงียบก็ปกคลุมลงมา
วันนี้ชีวิตของลินจิย่ำแย่ตั้งแต่ลืมตาตื่น ดันคิดว่าตัวเองได้ตายไปแล้วจริง ๆ พอเริ่มผ่อนคลายกับกล้วยหอมได้ไม่นาน ชุนก็ตามมาล้างผลาญถึงที่นอน แถมยังมีสองสาวท่าทางจุกจิกจู้จี้มากวนประสาท ซ้ำร้ายยังต้องมารู้ว่าชุนมีคู่มั่นอีก ลินจิอยากจะหนีไปให้พ้น ๆ แล้วออกไปผจัญภัยส่องดูหนุ่มหล่อเป็นอาหารตาเยียวยาจิตใจ แต่โลกนี้ก็อันตรายเกินไป ช่างเป็นหนึ่งวันที่ถูกสาปโดยแท้
หลังจากที่ตระหนักได้ถึงจิตใจที่ถูกบั่นทอน ชุนก็เดินเข้ามาใกล้
…หวาย คราวนี้อะไรอีกเนี่ย
พฤติกรรมของชุนทำให้เขาหวาดระแวงไปเองเสียแล้ว ลินจิรีบหลับตาเอามือปิดหน้า
“เอ๊ะ”
ผิดคาด จู่ ๆ ฟูกก็ยุบตัวลง ตามด้วยเสียงพ่นลมหายใจอย่างรุนแรง ลินจิอุทานพลางแอบดูผ่านช่องนิ้ว ก่อนจะเอามือลง จากนั้นชุนก็เล่าบางอย่างด้วยสีหน้าจริงจัง
“เมื่อสองวันก่อนซึ่งเป็นวันที่เจ้าปรากฏตัวมีเหตุวุ่นวายขึ้นมากมาย”
เขาหันไปมองหน้าลินจิแล้วเล่าต่อ…
“‘ตำราต้องห้าม’ ในคลังวิชาของโมโมะถูกขโมยไป ปีศาจออกอาละวาด คฤหาสน์คู่มั่นของข้าเกิดไฟไหม้ และ ’ยู’ คู่มั่นของข้าได้หายตัวไป ถึงตอนนี้โมโมะจะส่งลูกชายไปสืบเบาะแส แต่ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะได้เรื่องหรือเปล่า”
“พูดเหมือนผมเป็นต้นเหตุเลยนะครับ”
“เจ้าหนู! ข้าแค่เล่าให้ฟัง ว่ามันกลายเป็นเรื่องขึ้นมาซะแล้ว เมื่อเทพผู้สร้างโลกอย่างเจ้าปรากฏตัว พวกปีศาจที่จ้องจะเอาพลังของเจ้าต้องเพิ่มขึ้นอีกเป็นแน่”
“อึ๋ย! เหมือนตอนนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่แค่ปีศาจหรอกนะ แต่รวมถึงพวกมนุษย์ที่มีใจบาปหยาบช้าด้วย ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเทพเพี้ยน ๆ อย่างเจ้ามีดีตรงไหนกัน”
ได้ยินแบบนั้นลินจิก็งอนทำแก้มป่อง …หน็อย มาว่าเขาไม่มีดีงั้นเหรอ
“ตราบใดที่เจ้ายังไม่กลับสวรรค์ ข้าก็ไม่สามารถอัญเชิญเทพเจ้าตนอื่นได้”
…หนึ่งคำก็อัญเชิญเทพเจ้าตนอื่น สองคำก็อัญเชิญเทพเจ้าตนอื่น
ลินจิเริ่มจะหมดความอดทน ถึงชุนจะไม่พูดตรง ๆ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความไม่ยินดีต้อนรับ
ขณะนั้นความคิดแผลง ๆ ก็ผุดเข้ามาในหัวของลินจิ
…พูดกับเราแบบนี้ ต้องแก้เผ็ด
“ผมพอจะมีวิธีช่วยอยู่นะครับ แบบนั้นผมอาจจะกลับสวรรค์ได้”
ชุนขมวดคิ้วมองลินจิอย่างแปลกใจ
“มันเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า ‘คอสเพลย์’ มานี่สิเดี๋ยวผมจะบอกให้ฟัง”
ลินจิพูดพลางกวักมือเรียกชุน ส่วนชุนก็กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย ก่อนจะตัดสินใจยื่นหูเข้าไปฟ้ง เมื่อฟังจบเขาก็แสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
“จริงหรือโกหก”
“แหม ผมก็อยากกลับสวรรค์เหมือนกันนะ อยู่ที่นี่ลำบากตรากตรำจะตายไป”
“ไม่ได้หรอก เรื่องแบบนั้นทำไม่ได้หรอก”
ชุนปฏิเสธส่ายหน้าช้า ๆ แล้วใช้มือกุมขมับ ส่วนลินจิก็เก็บอาการดี๊ด๊าตื่นเต้นอยู่ในใจ
“หรือจะให้ผมอยู่ที่นี่ต่อไปดีน้า ยังไงซะก็ช่วยทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”
เมื่อชุนได้ยินที่ลินจิพูด เขาก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด หรือจะตกลงดี ลินจิบอกว่า ในการประกอบพิธีกรรม ชุนจำเป็นต้องนำเสื้อผ้าของสตรีมาใส่ จากนั้นก็ต้องตกแต่งใบหน้าด้วยของใช้สตรีด้วยน้ำมือของเทพเจ้า
ไม่ได้เด็ดขาด!
จังหวะนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงเล็ก ๆ ของยูมิ
“เตรียมอาหารเรียบร้อยแล้วค่า…”
“ข้ากำลังทำธุระสำคัญอยู่ อย่าเพิ่งมารบกวน”
“ว๊าย! โทษทีค่า ข้าไม่ได้ตั้งใจ ทำธุระเสร็จกันเมื่อไหร่ก็ออกมากินนะคะ”
ชุนไล่ยูมิด้วยเสียงดุร้าย แต่เหมือนฝั่งนั้นจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ซ้ำร้ายยังเข้าใจผิด
ทันใดนั้นภายในห้องเงียบสงัด ชุนลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างอย่างมิดชิด ตรวจดูทุกซอกทุกมุม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบดู จากนั้นก็เอ่ยด้วยความขุ่นเคืองว่า “เริ่มได้หรือยัง”
…หึหึ ลินจิหัวเราะอย่างชั่วช้าในใจ