ตอนที่ 5: เดินทางเข้าสู่ทะเลทราย
ตอนที่ 5: เดินทางเข้าสู่ทะเลทราย
อากาศร้อนที่ลอยตัวขึ้นจากบนพื้นใต้เท้า ทำให้เฮเซคียาห์น้ำตาไหลเป็นพักๆ ด้วยความแสบตา เขาดึงชายเสื้อขึ้นเพื่อเช็ดทั้งเหงื่อและน้ำตาเค็มๆ ที่ไหลย้อยรวมกันอยู่บนข้างแก้ม พลางค่อยๆ เดินต่อไปสู่ความเวิ้งว้าง รองเท้าทำจากหนังสัตว์ที่บุด้านในไว้นุ่มและระบายอากาศเป็นอย่างดี ช่วยให้เท้าทั้งสองข้างของเขาเดินต่อไปได้โดยเขาไม่มีความย่อท้อต่อความร้อนระอุของทะเลทราย
เมื่อเฮเซคียาห์เดินทางเข้าสู่ทะเลทราย เขาระลึกถึงตัวมูนนี่ ทั้งผ้าคลุมที่มูนนี่มอบแก่เขา และรองเท้า เป็นสิ่งที่เขาจะขาดเสียไม่ได้ในการเดินทาง พวกมันสามารถกันความร้อนที่สูงถึง 65 องศาเซลเซียสของทะเลทรายในยามกลางวันร่วมกับกันความหนาวเหน็บที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาในเวลากลางคืน
“คำเตือน: หยุดก่อน มีบางอย่างกำลังมาทางนี้” บรอธเคลื่อนกายมาหยุดเขาโดยลอยตัวมาประชิดกับหน้าผากของเฮเซคียาห์อย่างกะทันหัน
เฮเซคียาห์หยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด
ในทะเลทราย เขาต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
ในช่วงสงครามระหว่างมนุษย์และมัสติน สารเคมีอันตรายและอาวุธที่แผ่กัมมันตภาพรังสีถูกใช้อย่างแพร่หลายไร้ความยั้งคิดโดยมนุษย์ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือพื้นที่ทะเลทรายใหม่ๆ หลายแห่ง ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านั้นพากันวิวัฒนาการสายพันธุ์ของตัวเองเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป บางชนิดก็วิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดดเพื่อให้พ้นจากการสูญพันธุ์อย่างกะทันหัน
ก่อนหน้านี้เฮเซคียาห์ได้เจอฝูงมดตัวสูงเท่าระดับสะโพกของเขา และทำตามที่บรอธแนะนำคืออยู่นิ่งๆ
มดพวกนั้นไม่แสดงท่าทางคุกคามเขา เพราะตาบอด และเขาไม่ได้อยู่ในเส้นทางเดินของพวกมัน
“มันใกล้มาก”
“แล้วอยู่ไหนละบรอธ ฉันไม่เห็นอะไรสักอย่าง”
“คว้าฉันเอาไว้แล้วกำให้แน่นที่สุด” บรอธยิงคำพูดสู่สมองของเฮเซคียาห์โดยตรง
เขาไม่ตั้งคำถามแต่ทำตามที่บรอธบอก บรอธพาร่างกายของเขาลอยขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเหวี่ยงเขาให้พุ่งไปข้างหน้า ในจังหวะเดียวกับที่บรอธออกแรงเหวี่ยง เฮเซคียาห์ชาแปลบที่มือของเขา สาเหตุเพราะบรอธเพิ่งปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่เขา เขาปล่อยมือออกจากการจับบรอธกุมไว้แน่นอย่างกะทันหัน ปลายนิ้วชาไปหมด ขณะเดียวกันเขาไม่มีเสียงร้องสำหรับเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นนี้เพราะร่างกายทั้งหมดชาไปพร้อมกัน
ตุ้บ!
เฮเซคียาห์หล่นลงบนบางสิ่งที่ไม่ใช่พื้นทราย กระเป๋าสัมภาระใบเล็กกระเด็นหายไปอีกทาง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางส่วนหัวของสิ่งมีชีวิตที่เขากำลังอยู่บนหลังของมัน มันเชิดศีรษะขึ้นสูง ปากชี้สู่ท้องฟ้า คำรามเสียงก้องจนเฮเซคียาห์เจ็บแก้วหู
มันคือเต่าทะเลทราย
เต่าขนาดมหึมา มันเคลื่อนที่เงียบๆ และช้าๆ ใต้ผืนทราย แต่เร็วมากเมื่อขึ้นมาอยู่บนพื้น
มันไม่กินผัก กินแต่เนื้อเท่านั้น
“โทษที ถ้าบอกให้ปล่อย ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายมนุษย์จะไม่เร็วพอ เดี๋ยวลงไม่ตรงเป้า” บรอธเคลื่อนมาอยู่ใกล้
เฮเซคียาห์สะบัดมือของเขาให้หายชา
เต่าทะเลทรายเอี้ยวหัวมาด้านข้าง และเปลือกตาที่ปิดอยู่ก็เปิดออก มันคำรามเสียงก้องอย่างเกรี้ยวกราด
“เอาเพนดูลัมกระแทกเสียบกับกระดองเต่า” บรอธสื่อสารกับเฮเซคียาห์
ก่อนออกมาจากป่า เฮเซคียาห์ทำตามที่บรอธแนะนำคือฝนบางด้านของเพนดูลัมและตัวสายสร้อยซึ่งแข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับโลหะอื่นๆ กับหินแปรที่หาได้ เพื่อให้คมของพวกมันทื่อลง แล้วเขาก็แขวนเพนดูลัมไว้ที่คอ
กี๊ซ...ซ...ซ
เต่าทะเลทรายร้องลั่นอย่างไม่พอใจ มันวิ่งด้วยความเร็วที่ว่องไวจนกวางยังเทียบไม่ติด
ตัวของเฮเซคียาห์แทบจะปลิวหล่นจากหลังของมันหลายหน
เขากัดฟันแน่นจับสายสร้อยของเพนดูลัมที่แม้จะทื่อลงแต่พอต้องมากำเอาไว้แน่นก็ยังบาดเข้าเนื้อเขาจนเลือดไหลโกรก
“มึนไหม จับไว้ก่อน อย่าปล่อยเด็ดขาด” บรอธเคลื่อนที่ทันความเร็วของเต่าทะเลทราย
เฮเซคียาห์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นใจ แล้วก็หายใจอีกครั้งเมื่อทนกลั้นใจต่อไม่ไหว การสูดหายใจแล้วกลั้นใจทำให้เขาไม่อาเจียนออกมา
เต่าทะเลทรายนิ่งไป
“แนะนำ: ยกฮู้ดขึ้นคลุมหัว แล้วเอาชายผ้าคลุมมาปิดปากปิดจมูก”
ฮูม...ม...ม
เต่าทะเลทรายอ้าปากแล้วหายใจเสียงดัง แล้วมันก็ค่อยๆ ขุดทรายอย่างรวดเร็วและฝังตัวมันเข้าไปในทราย เฮเซคียาห์หลับตาลงเมื่อเห็นว่าทรายกำลังจะสุมทับตัวเขา เต่าทะเลทรายเริ่มดำลงลึกไปตามทางที่มันขุด
เฮเซคียาห์รู้สึกถึงน้ำหนักของทรายบนร่างของเขาที่หนักขึ้นเรื่อยๆ
“อดทนไว้” บรอธสนทนากับเฮเซคียาห์ คงรับรู้ได้ว่าเขากำลังร้อนใจ
เฮเซคียาห์กัดฟันแน่นขณะถูกลากไปเรื่อยๆ ภายใต้พื้นทราย น้ำหนักของทรายที่ทับเขาไว้ทำให้เขาขยับตัวไม่ได้และหายใจลำบาก พร้อมทั้งยังเจ็บไปทั่วกายที่เสียดสีกับทรายซึ่งยิ่งลึกก็ยิ่งอัดตัวแน่น
จู่ๆ เต่าทะเลทรายก็หยุดนิ่ง
เฮเซคียาห์รู้สึกว่าใต้ร่างของเขาร้อนผ่าว ความร้อนมาจากกระดองของเต่าทะเลทรายนั่นเอง เขาฉุกใจคิดถึงสิ่งที่เคยรู้มาเมื่อนานมาแล้ว เต่าทะเลทรายนั้นดูดกลืนทรายเข้าไปเรื่อยๆ ขณะที่แหวกว่ายอยู่ในทราย และมันมีกลไกการพ่นทรายออกมาทุกช่วงระหว่างอยู่ใต้พื้นทราย
“ดึงเพนดูลัมออกจากกระดองของมัน และเตรียมพร้อมเข้าสู่การเอาชีวิตรอดใน 10...9...8...”
บรอธนับวินาทีถอยหลัง เฮเซคียาห์ได้เพนดูลัมมาไว้ในมืออย่างทุลักทุเล
เมื่อเลข 0 ดังขึ้นในหัว เฮเซคียาห์รู้สึกได้ว่ากระดองเต่าใต้ตัวร้อนฉ่า ร่างกายส่วนที่พ้นไปจากผ้าคลุมถูกความร้อนสูงทำให้เนื้อสุก ปากของเฮเซคียาห์ส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดขณะที่มือข้างหนึ่งก็กดแนบผ้าคลุมกับหน้าแน่น เสียงร้องของเขาจึงฟังแล้วอู้อี้ และทันใดนั้นเอง เฮเซคียาห์รู้สึกถึงแรงดันมหาศาลจากกระดองเต่าอัดเข้ากับตัวเขาอย่างแรง แรงดันดังกล่าวเกิดจากทรายจำนวนมากที่ทะลักออกมาตามร่องเล็กๆ ของกระดอง
เฮเซคียาห์นึกถึงปลาวาฬเวลาพ่นน้ำออกมาจากกลางหลัง แต่นี่เป็นเต่าพ่นทราย ร่างกายของเขาลอยขึ้นจากใต้ทราย ขึ้นสู่ผิวทรายและลอยในอากาศ
ร่างกายของเฮเซคียาห์อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่สว่างจ้า และนั่นเป็นผลดีต่อเขา
อาการปวดแสบปวดร้อนเพราะเนื้อสุกหายเป็นปลิดทิ้ง เฮเซคียาห์รักษาตัวเองอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้คงอยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของบรอธด้วย
ก้มลงมองใต้ร่าง เฮเซคียาห์เห็นเต่าทะเลทรายทะลึ่งตัวขึ้นมาจากทรายพร้อมกับอ้าปากกว้าง มันคงคาดหวังเต็มที่จะได้งาบเขาเข้าปาก
“ไปตายซะ ไอ้เต่านรก” เฮเซคียาห์ตะโกน
เขาหมุนกายกลางอากาศและตวัดเท้าออกไป เตะเข้าตรงจมูกของเต่าทะเลทรายอย่างแรง และกดเท้าให้แรงเตะส่งตัวของเขาให้ลอยต่อไปด้านข้าง พ้นจากรัศมีปากของเต่าทะเลทรายไปอย่างหวุดหวิด ร่างของเฮเซคียาห์หมุนราวกับลูกข่างเพื่อให้แรงส่งตัวเพิ่มสูง ก่อนจะขยับกายเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อลงสู่พื้นอย่างงดงาม
เต่าทะเลทรายส่งเสียงอย่างหงุดหงิด และด้วยนิสัยของมัน มันจะไม่ปล่อยให้เหยื่อรอดไปได้
มันหันมาหาเขา พุ่งเข้ามาราวี
“มนุษย์ไม่สามารถฆ่ามันได้” ข้อมูลจากบรอธทำให้เฮเซคียาห์ชะงัก
“แค่เอาชีวิตรอดให้ได้สินะ” เฮเซคียาห์หมุนกายกลับหลังทันควัน เขาวิ่งสุดแรงทะยานไปข้างหน้า โกยแนบโดยไม่มีความลังเลหันกลับไปดูเต่าทะเลทราย เพราะแรงสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนที่ของมันก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันกับเขาว่ามันยังตามมาไม่เลิก
“โว้ย!” เขาตะโกนลั่น ร่างกายของมนุษย์เริ่มถึงขีดจำกัด
“จับฉันไว้” บรอธกระแทกเข้าที่สีข้างของเขา เพื่อให้เขาหันไปสนใจ
“มา!” เฮเซคียาห์คว้าบรอธไว้ในมือ
บรอธกระชากตัวพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง เท้าของเฮเซคียาห์ลากระกับพื้นทำเอาทรายฟุ้งเป็นทาง ก่อนที่ร่างของเขาจะลอยขึ้นฟ้าไปได้ เฉียดการโดนงับจากเต่าทะเลทรายไปหวุดหวิด
“ยืนยัน: พบผู้ใช้เศวตศาสตรา ระบุตัวตนผู้ใช้เศวตศาสตรา มูนนี่ เมนสัน” เสียงของบรอธลอดเข้ามาในหัวของเฮเซคียาห์
“ห๊า?” เฮเซคียาห์คาดไม่ถึง
แล้วเขาก็ร้องเหวอออกมาเมื่อบรอธที่พุ่งด้วยความเร็วสูงกลับหยุดค้าง และในฉับพลันมันปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่มือเขาที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างของเฮเซคียาห์หลุดจากการกุมมันไว้ พุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วเทียบเท่ากับความเร็วเคลื่อนที่ของบรอธก่อนหน้านี้
เสียงตุบตับโครมๆ ยังดังจากพื้นเบื้องล่าง เต่าทะเลทรายยังคงไล่ตามหลังมาอย่างไม่ต้องสงสัย
เบื้องหน้า เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์แว่วมา เฮเซคียาห์ซึ่งร่างค่อยๆ ร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วงไปยังพื้นทรายเบื้องล่าง พลิกกายของเขาคว่ำลง เขาก้มหน้ามองพื้นทราย แลเห็นพาหนะที่วิ่งเร็วเสียจนตาแทบจับภาพให้เห็นเป็นรูปร่างไม่ได้กำลังตรงมา
“ไบค์ นี่มันโชค...”
คำพูดติดขัด เพราะ...
ตามติดพาหนะที่วิ่งด้วยความเร็วสูงซึ่งเขาคาดว่าเป็นของมูนนี่ แมงป่องทะเลทรายตัวใหญ่ขนาดเท่าตึกสามชั้นวิ่งตามมา มันวิ่งไม่เร็วเท่าไบค์ แต่ก็ไล่หลังมาเรื่อยๆ ชนิดที่ถ้าไบค์หยุดจอดหรือลดความเร็วอีกหน่อย มันต้องตามทันอย่างแน่นอน
ฝุ่นคลุ้งตลบรอบกายและด้านหลังของแม่งป่องทะเลทรายยักษ์ตัวนั้น
หางตาของเฮเซคียาห์เห็นบรอธพุ่งตัวลงต่ำไปหาไบค์ที่วิ่งด้วยความเร็วสูง
เขาเห็นภาพสิ่งที่ควรทำในหัว
เมื่อมูนนี่พาไบค์มาถึงจุดที่เฮเซคียาห์อยู่ เฮเซคียาห์ลอยตัวอยู่เหนือศีรษะของมูนนี่เพียงเล็กน้อย เขารีบยื่นสองมือออกมาคว้าเข้ากับคอของมูนนี่
มูนนี่วิ่งต่อไปข้างหน้าโดยไม่ชะลอความเร็วไบค์ของเขาลงแม้แต่นิดเดียว
เบื้องหน้าของทั้งคู่ เจ้าเต่าอ้าปากออกเตรียมงับเต็มที่
มูนนี่บิดรถของเขาออกนอกวิถีทางตรง
เฮเซคียาห์รับรู้ถึงพื้นทรายที่ถากขากางเกงของเขาขณะที่ไบค์เอียงจนเกือบล้ม แล้วก็โล่งใจไป เพราะมูนนี่ทรงตัว นำไบค์กลับมาวิ่งในองศาปกติ และพุ่งทะยานต่อไปยังความเวิ้งว้างข้างหน้า
โครม! เสียงปะทะกันของสัตว์ร้ายทั้งสองดังขึ้นเบื้องหลัง
เฮเซคียาห์หันกลับไปมอง
เขาเห็นเต่าทะเลทรายพยายามงับส่วนหัวของแมงป่องทะเลทราย แต่แมงป่องทะเลทรายที่เกรี้ยวกราดพยายามสกัดมันเอาไว้ด้วยก้ามทั้งสอง และเฮเซคียาห์ต้องตกใจเมื่อได้เห็นภาพแมงป่องทะเลทรายบิดหัวของเต่าทะเลทรายให้หมุนอย่างผิดรูป
“เดี๋ยวมันคงเลาะกระดองแล้วพะวงกับการกินเต่านั่น” มูนนี่พึมพำ “ตกลงนายช่วยฉัน หรือฉันช่วยนายก็ไม่รู้”
“สรุป: ฉันช่วยพวกนายทั้งคู่”
“บรอธ นายรู้จริงๆ เหรอว่า มูนนี่กำลังมาทางนี้”
เฮเซคียาห์สงสัยความสามารถของบรอธ
“ฉันตรวจสอบข้อมูลของเขาได้ แต่ตอนแรกเขาอยู่ไกลมาก ดีนะที่เขามาทางนี้จริงๆ ไม่งั้นก็ต้องรอนายไปอยู่ในท้องมันก่อนถึงจะฆ่าเจ้าเต่านั่นได้”
เฮเซคียาห์กลั้นใจ กังวลว่ามูนนี่จะซักไซ้บรอธต่อ
แต่มูนนี่หันไปพะวงกับการขับขี่ไบค์ เป็นไปได้ว่าอาจไม่ได้ยินเสียงของบรอธก็เป็นไปได้ เสียงไบค์อาจจะดังกลบเสียงพูดของบรอธ หรือบรอธอาจจะส่งเสียงเข้ามาสู่หัวของเฮเซคียาห์โดยตรงเป็นการสื่อสารกับเขาเพียงคนเดียว
เฮเซคียาห์ถอนหายใจอย่างโล่งจมูก สูดอากาศบริสุทธิ์ยามหัวค่ำภายในโอเอซิสที่สวยงาม เขาเอี้ยวกายไปมองมูนนี่ที่เปลี่ยนสภาพเศวตศาสตราสุดเจ๋งซึ่งแปลงร่างเป็นพาหนะได้ กลับสู่สภาพกล่องสีเหลี่ยมสีขาวขนาดเหมาะมือ
“นายกำลังคิดอยู่ใช่ไหมว่าฉันจะทำอะไรให้นายกิน” มูนนี่เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง รู้ทันเขา
“นายทำอาหารอร่อย ฉันจะไม่ตั้งตารอได้ยังไง”
“โอเค ไหนๆ ก็ปากหวาน ฉันจะทำอะไรให้นายกิน” มูนนี่ชอบให้ชมฝีมือการทำอาหารของเขา เขาไม่รอช้าเตรียมอุปกรณ์ทำอาหาร พร้อมทั้งดึงเอาทั้งเนื้อสดและวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารอื่นๆ ออกมาพร้อมกัน ไม่นานเฮเซคียาห์ก็พบว่าตรงหน้ามีอาหารรสโอชาที่ทำจากสารพัดเนื้อสัตว์วางอยู่
“ไม่ค่อยมีผักนะ ผักแถวนี้ก็กินไม่ได้ ส่วนใหญ่มีพิษ”
“บรอธบอกฉันเหมือนกันว่าเราจะลำบากสักหน่อยเรื่องของกิน ถ้าจะกินอะไรสักอย่างต้องรอกลางคืน สัตว์ตอนกลางคืนเอามากินได้”
“นายตั้งชื่อมันว่าบรอธ มาจากคำว่าบราเธอร์สินะ”
“เดาเก่ง”
“เปล่า? มันบอกฉัน” มูนนี่เคาะนิ้วบนขมับของเขา แล้วกางนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ออก กระดกนิ้วชี้ไปยังบรอธ “มันเห่อน่าดูเลยนะ ได้ชื่อมาเนี่ย”
“ห๊ะ!” เฮเซคียาห์กระตุกตาขวา เหลียวไปมองเศวตศาสตราของเขาที่รีรออยู่ด้านข้างของธารน้ำใกล้ๆ แล้วเขาก็เห็นมันค่อยๆ พาตัวเองจมลงไป
“ว่าแต่ ตอนแรกนายยืนยันนักหนาจะไม่ตามฉันมา ดูไม่อยากมาทะเลทรายด้วย อะไรทำให้อยู่ๆ เปลี่ยนใจ” มูนนี่ดึงชีสก้อนออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขาแล้วกัดเข้าไปคำเล็กโดยไม่สนใจว่ากำลังรับประทานทรายที่เปื้อนกับก้อนชีสนั้นเข้าไปด้วย
“บรอธบอกกับฉันว่า มีคนที่ช่วยให้ฉันกลับเข้าไปในเมืองหลวงได้”
“หืม?” มูนนี่ค้างชีสก้อนไว้ในปาก สายตามองที่เฮเซคียาห์อย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินกับหู แล้วเขาก็กัดชีสเข้าไปอีกนิด “นายรู้ไหม ผู้ใช้เศวตศาสตรากี่คนถึงจะบุกเข้าไปถึงกำแพงเมืองหลวงของพวกมัสตินได้”
“สามสิบคนเป็นอย่างต่ำ และไม่ต่ำกว่า 20 คน ต้องเป็นผู้ใช้เศวตศาสตราประเภทอาวุธ”
“ฉันเคยได้ยินมาว่า ขนาดคนเป็นร้อยยังตายหมดโดยไม่ได้เข้าเมืองด้วยซ้ำ”
“อ้อ! ไม่ทุกครั้งหรอก” เฮเซคียาห์ส่ายหน้า เขาอ่านรายงานทุกฉบับที่พวกบรรณารักษ์เก็บรักษาไว้และรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกองกำลังของมนุษย์ในอดีต การพยายามเข้าก่อกวนหรือทำลายเผ่าพันธุ์มัสตินในเมืองหลวงของพวกเขา
“คนที่นายจะไปพบ เขาครอบครองสุดยอดเศวตศาสตราหรือยังไง”
“บรอธเคยให้ฉันเห็นภาพ เขาไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นไม่มีทางจะเป็นผู้ใช้เศวตศาสตราได้”
“พวกต่างดาวอย่างนั้นเหรอ พวกนั้นไม่มีทางช่วยเราแน่” มูนนี่ส่ายหน้า และกัดชีสเข้าปากคำโตขึ้น ก้อนชีสในมือของเขาตอนนี้เหลือเพียงขนาดเท่าหัวแม่โป้ง
“ฉันคิดว่าคนที่ฉันเห็นในนิมิตจากบรอธเป็นมนุษย์กลายพันธุ์” เฮเซคียาห์บรรยายลักษณะของคนที่เขาเห็นให้มูนนี่ฟัง มูนนี่เอามือข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือก้อนชีสไว้เกาที่ซอกคอของเขาอยู่ตลอดเวลา แล้วพอเฮเซคียาห์หมดคำพูด มูนนี่ก็หยุดเกาซอกคอแล้วหันไปอีกด้าน โยนชีสไปในความมืด
เฮเซคียาห์ได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวในความมืดนั้น
“ผู้คุ้มครองโอเอซิส ถ้านายให้บางอย่างกับมัน นายก็พักที่นี่ได้” มูนนี่มองไปที่ความมืด
“ตัวอะไร”
“หนอนน่ะ เป็นหนอนที่จะออกมาหาอะไรกินตอนกลางคืน” มูนนี่คว้าเนื้อแห้งที่วางอยู่ตรงหน้าเฮเซคียาห์มาฉีกแล้วเอาเข้าปาก “แต่นายไม่ต้องให้เยอะนะ ให้เยอะแล้วมันกินไม่หมด”
“ถ้านายไม่ให้อะไรบางอย่างกับมัน จะเกิดอะไรขึ้น”
“มันก็จะกัดอะไรบางอย่างบนตัวของนายแหว่ง นายจะเห็นตอนตื่น อาจจะเห็นนิ้วเท้าสักนิ้ว หรือหูสักข้าง แต่ตอนมันกัด นายไม่รู้สึกตัวหรอก”
“ฟังดูอันตรายนะ”
“เชื่อฉัน มันกินนิดเดียวก็อิ่ม” มูนนี่ยิ้มให้กับเฮเซคียาห์
เฮเซคียาห์อยากเห็นหน้าหนอนที่มูนนี่ว่า
“อย่าเอาไฟไปส่องมันนะ มันออกหากินตอนกลางคืนเท่านั้น และน่าแปลกที่ถ้าเราเอาไฟไปส่องมัน มันจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว และถ้าอาหารที่นายเอามาไม่พอละก็ มันก็จะกินเรา แล้วก็กินกันเองจนกระทั่งเหลือตัวสุดท้าย” มูนนี่เล่าเรื่องสยองด้วยรอยยิ้ม “คือฉันเคยนะ ถูกปล้นจากคนเป็นสิบเลย พวกบ้าน่ะ ก็เลยโยนไฟไปในความมืด ตรงที่รู้ว่ามีมันอยู่ก่อนจะเผ่นป่าราบออกไปพร้อมกับวีวี่ อ้อ! ฉันหมายถึงเศวตศาสตราของฉันน่ะ ตอนนั้นพอฉันกลับมาที่นี่ตอนเช้าเห็นแต่กองกระดูกเหลืออยู่”
“โอเค” เฮเซคียาห์หัวเราะไม่ออก
“อืม...” มูนนี่หยิบเอาเนื้อแห้งไป และไม่ฉีกออกเป็นชิ้นเล็กเข้าปากด้วยมือ แต่ฉีกกัดชิ้นเนื้อด้วยฟันเพื่อแบ่งเข้าปากไปเป็นคำเล็ก คงเข้าใจว่าเฮเซคียาห์ไม่สนเนื้อก้อนนั้นเพราะเฮเซคียาห์ไม่หยิบเนื้อก้อนนั้นขึ้นมารับประทานบ้างเลย “ฉันเคยเห็นมนุษย์กลายพันธุ์แบบที่นายว่าหนหนึ่งนะ เขาเคยช่วยฉันเอาไว้ตอนที่ฉันตามหาใบโคลเวอร์สีรุ้งเจ็ดแฉก”
“นั่นมันยาเสพติด นายเสพยาด้วยเหรอ” เฮเซคียาห์เคยทราบมาว่า โคลเวอร์สีรุ้งทำให้นอนหลับแล้วฝันได้ตามใจปรารถนาในระยะเวลา 7 วัน แต่ถ้าคนที่ต้องการฝันเกิดถูกปลุกขึ้นมาก่อน พวกเขาจะเต้นรำไม่หยุดจนกว่าแฉกสุดท้ายของโคลเวอร์สีรุ้งจะร่วงโรย
“ไม่ๆ” มูนนี่ส่ายหน้า “คือฉันบอกนายแล้วว่าฉันผจญภัยไปทั่ว ขายของ แต่จริงๆ แล้ว ฉันเป็นซีคเกอร์”
“อาชีพรับจ้างหาของน่ะเหรอ”
เฮเซคียาห์รู้จักอาชีพดังกล่าว มนุษย์ที่ทำอาชีพนี้พร้อมจะขโมยทุกอย่างจากทุกสิ่งในทุกหนทุกแห่งตามสั่ง
“ตอนแรกฉันว่าจะไม่บอกนายนะ ค่าหัวฉันสูงอยู่” มูนนี่เลียริมฝีปากแห้งๆ ของเขา และหันไปล้วงมือเข้าไปหยิบขวดน้ำในเป้ใส่สัมภาระ
“โอเค ฉันไม่ขายนายแน่” เฮเซคียาห์จ้องตาอีกฝ่าย “แต่นายพาฉันไปหามนุษย์กลายพันธุ์คนนั้นได้ไหม บรอธเองยังบอกพิกัดของเขาไม่ได้ ดูเหมือนเขาจะเคลื่อนที่ไปทั่วด้วยความเร็วเหนือธรรมชาติ ฉันรู้แค่ว่าเขาอยู่ในป่าอีกฟากหนึ่งของทะเลทราย”
“ใช่ เขาเร็วมาก” มูนนี่พยักหน้า แล้วยกมือขึ้นเกาซอกคอของเขา
เฮเซคียาห์เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี
“การช่วยของฉันมันไม่ฟรีนะ” มูนนี่เอียงคอมองเฮเซคียาห์ “นายต้องช่วยฉันขโมยบางอย่างมาก่อน”
“ขโมยอะไร จากใคร”
“ไข่น่ะ ไข่แมงป่องทะเลทราย” มูนนี่เบนหน้าไปมองบรอธ “ฉันรู้ว่านายจะช่วยฉันได้”
เฮเซคียาห์ครุ่นคิดอยู่อึดใจ แล้วเขาก็พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
“โอเค ฉันช่วย”
“ต้องอย่างนั้นสิเพื่อนยาก” มูนนี่หัวเราะร่า ตบไม้ตบมืออย่างชอบใจ แล้วเขาก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ดึงเศวตศาสตราของเขาแล้วเปลี่ยนรูปแบบของมันเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของชาวมัสติน
วีวี่เปิดเพลงในจังหวะดนตรีร็อค พร้อมกับเล่นแสงสีตระการตา เฮเซคียาห์นั่งมองมูนนี่ลุกขึ้น ในมือถือของมูนนี่มีขวดสีเงิน ในขวดน่าจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
มูนนี่มีท่าทีมึนๆ เขาออกลีลาท่าเต้น ปากตะโกนร่ำเพลง พลางกระดกขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยกซดเป็นระยะ
บรอธบินไปมารอบๆ มูนนี่ ขยับให้เข้ากับจังหวะเพลง มันเองก็ดูเหมือนครื้นเครง สนุกสนานกับดนตรีไปด้วยกัน