ตอนที่ 4: ดื้อแพ่ง จนได้เรื่อง
ตอนที่ 4: ดื้อแพ่ง จนได้เรื่อง
เสียงสวบสาบดังมาจากในแนวป่าขณะที่เฮเซคียาห์ไกลถึงพื้นที่เป้าหมาย มันทำให้เขาไหวตัวอย่างระแวดระวัง
“นั่นใคร?”
มนุษย์คนหนึ่งก้าวเข้ามาในรัศมีการมองเห็น
“แกเป็นตัวอะไร!?” อีกฝ่ายดูแปลกใจกับการได้เจอเฮเซคียาห์ในป่า
ในมือของมนุษย์แปลกหน้ามีมีดอยู่ด้วย เฮเซคียาห์พยายามมองหน้าอีกฝ่าย แต่เขาไม่สามารถเห็นทั้งใบหน้าของอีกฝ่ายได้เต็มๆ เห็นแต่เพียงดวงตาสีน้ำตาลแก่ เพราะฮู้ดสีดำของเสื้อคลุมตัวนอกปิดผมของมนุษย์แปลกหน้าไว้ อีกทั้งมนุษย์คนนี้ยังมาแปลก ผูกผ้าลินินมีลายพิมพ์รูปฟันมนุษย์เรียงตัวกันทับปิดใบหน้าช่วงล่าง
“นายไม่ใช่มนุษย์” มนุษย์ที่เผชิญหน้า ตัดสินเฮเซคียาห์จากรูปร่างภายนอก
ความสว่างของผิวกายของเฮเซคียาห์ซีดจางลงไปบ้าง แต่สีผมและสีตาของเขา รวมถึงลักษณะบางอย่างของเขายังโดดเด่นผิดแผกจากมนุษย์ทั่วไป
ในเสี้ยววินาที ร่างใหญ่ของมนุษย์พุ่งเข้าหาเฮเซคียาห์ด้วยท่าทีชำนาญการต่อสู้
เฮเซคียาห์ประมวลภาษาที่อีกฝ่ายใช้ เขารอบรู้ทุกภาษาในโลก
“อย่า!”
เขาร้องออกมาโดยใช้ภาษาซึ่งคาดว่าเป็นภาษาเดียวกัน พลางรีบคว้าแขนข้างหนึ่งของอีกฝ่ายเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว คมมีดในมือด้านหนึ่งของมนุษย์สะท้อนแสง มืออีกข้างของเขาเคลื่อนไหวไปพร้อมกัน เป้าหมายของมือที่ว่าง ดูเหมือนจะเป็นที่คอของเฮเซคียาห์ แต่เฮเซคียาห์รีบใช้อีกมือ คว้าจับแขนนั้นของอีกฝ่ายไว้เช่นกัน
เสียงฮึดฮัดของอีกฝ่ายดังให้ได้ยินเป็นช่วงๆ ขณะยืนปล้ำสู้กัน
ขาของคนเปิดฉากการต่อสู้ ซัดเข้าที่น่องของเฮเซคียาห์ ทำให้เขาเซและหงายหลัง
ร่างเปลือยเปล่าของเฮเซคียาห์ล้มลง มีคนแปลกหน้าคร่อมอยู่ด้านบน พร้อมกับมีดอยู่ในตำแหน่งที่หากกดลงมา มันคงปักเข้าคอไม่ก็ช่วงบ่าของเฮเซคียาห์
“มัสติน แกต้องตาย!!!”
เฮเซคียาห์เบิกตากว้าง อีกฝ่ายใช้เข่ากระแทกลงมาบนชายโครงของเขา เขาเจ็บจุกไปถึงลิ้นปี่
“ไม่!” เขาโวย “ปล่อยฉัน”
คมมีดลดลงมาต่ำอีก ปลายแหลมของมีดสะกิดใต้คอของเฮเซคียาห์ ทำให้เขาแสบๆ คันๆ บนผิว
“ปล่อย!” เฮเซคียาห์ออกแรงดิ้น เขานึกถึงพลังที่ตัวเองเคยมีผ่านการเป็นชาวมัสตินที่เชื่อมต่อกับไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิด พลังจิตที่ทำให้ควบคุมธาตุต่างๆ รอบตัว อาทิ ดิน น้ำ ลม หรือ ไฟ ถ้ายังใช้พลังธาตุพวกนั้นได้อยู่ พลังคงช่วยให้เขาสลัดมนุษย์ที่ปองชีวิตของเขาออกไปง่ายๆ ในพริบตา
พอไม่ได้เชื่อมต่อกับไลฟ์ควอตซ์ เขามันน่าสมเพช ถูกมนุษย์คนหนึ่งกดกับพื้นและจนมุม
เคร้ง!!!
เสียงเหมือนโลหะกระทบกัน คนที่คร่อมตัวเฮเซคียาห์อยู่คำราม ผวาถอยออกห่างร่างของเขา และกระโดดออกไปยืนตั้งหลัก มีดที่สะกิดผิวของเฮเซคียาห์อยู่เมื่อครู่ กระเด็นไปตกอยู่บนพื้นไกลออกไป แต่เจ้าของมีดไม่ได้มีมีดเล่มเดียว เขาดึงมีดออกจากทางด้านหลัง แล้วถือกวัดแกว่งตั้งท่าข่มขู่
“ระงับข้อขัดแย้ง: มนุษย์ อย่าต่อสู้กันเอง”
เฮเซคียาห์กะพริบตาปริบๆ ปากเผยอค้าง มองเศวตศาสตราของเขา หลังมันเอาตัวของมันปกป้องเขาด้วยการกระแทกอย่างแรงกับมีดและนิ้วของมนุษย์ที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาเมื่อครู่ ประกายของกระแสไฟฟ้าปะทุขึ้นมาบนตัวของมันด้วย เมื่อครู่อาจจะมีการใช้ไฟฟ้าช็อตอีกฝ่าย
“เศวตศาสตราเหรอ”
ผู้ปองร้ายนิ่ง แล้วค่อยๆ ลดมือที่ถือมีดไว้ข้างตัว ยืดกายขึ้นยืนเต็มเท้า
เขาส่งมือถือมีดล้วงไปทางด้านหลัง เก็บมีด
เฮเซคียาห์รวบรวมกำลังยืนขึ้น ตามองอีกฝ่ายที่ขยับไปเก็บมีดอีกเล่มที่ตกพื้นไม่วางตา
“ฉันชื่อมูนนี่ เมสัน” มนุษย์จ้องหน้าเฮเซคียาห์ แล้วกวาดตาสำรวจเขา ศีรษะจรดปลายเท้า
เฮเซคียาห์ลุก มองอีกฝ่าย สีหน้าถมึงทึง
“เศวตศาสตราของนายแปลกดีนะ ทำไม...” มูนนี่นิ่งไปอึดใจ แล้วพูดต่อให้จบประโยค “ทำไมมันถึงพูดได้ล่ะ”
เฮเซคียาห์ปัดไปตามเนื้อตัว ไม่มองหน้าอีกฝ่าย
ตอนแรกก็ต้องมาตัวติดกับเศวตศาสตรา ตอนนี้ต้องมาคุยกับมนุษย์ ดูท่าทีแล้วอีกฝ่ายคงเหมาว่าเขาเป็นมนุษย์เหมือนกันไปแล้วด้วย ชีวิตเขาตกต่ำลงขนาดนี้ได้อย่างไร
“ฉันไม่เคยเห็นเศวตศาสตราที่พูดได้” มูนนี่มองไปทางเศวตศาสตราของเฮเซคียาห์ หรี่ตามอง “หรือว่ามันเกิดจากการที่นายออกคำสั่งเอาไว้ กรณีที่ถูกมนุษย์โจมตีเพราะคิดว่านายเป็นชาวมัสติน นายดูคล้ายคลึงกับพวกเขามากๆ”
เฮเซคียาห์หัวเราะเบาๆ อย่างขมขื่น
เศวตศาสตราของเฮเซคียาห์สอดขึ้น
“โต้เถียง: ฉันพูดของฉันเองได้”
“โอ้! โต้ตอบได้ด้วย เจ๋งไปเลย” มูนนี่แสดงท่าทีตื่นเต้น
“นายอยากเอาไปใช้เองไหมละ” เฮเซคียาห์ประชด
“ขอบคุณ แต่ฉันกลัวว่าเงื่อนไขในการซิงโครไนซ์จะโหดเอาเรื่องอยู่”
มูนนี่ดึงผ้าลินินที่เขาผูกปิดหน้าช่วงล่างออก เผยให้เฮเซคียาห์เห็นใบหน้าที่แท้จริง ทั้งคู่อาจมีส่วนสูงที่ใกล้เคียงกัน แต่ดูมีช่วงวัยห่างกัน
ถ้าคนอื่นพิจารณาพวกเขาจากภายนอก มูนนี่ดูแก่กว่าเฮเซคียาห์ ผิวกร้านแดด สันจมูกของมูนนี่ตั้งเชิดขึ้นรับใบหน้าที่คมดุ ขณะที่มุมริมฝีปากของมูนนี่หยักลงเล็กน้อย มาดของมูนนี่ดูคล้ายอันธพาลวัยรุ่นกวนเมืองที่ชอบกีฬาแข่งรถ
มูนนี่ดึงฮู้ดของเขาลง ผมสั้นย้อมเป็นสีแดงเข้มของเขาชี้โด่ชี้เด่
เฮเซคียาห์หันหลังให้มูนนี่ เขาคิดว่าถึงเวลาต้องแยกทางกันแล้ว
“เฮ้! นายจะไปทั้งโทงๆ แบบนั้นเหรอ” มูนนี่โยนบางอย่างใส่แผ่นหลังของเฮเซคียาห์
เฮเซคียาห์หลบวูบ เขานึกว่าโดนขว้างมีด ก้อนหินหรืออาวุธอื่นใส่
แต่พอเหลียวมองดูบนพื้นก็พบว่าสิ่งที่มูนนี่โยนใส่เขา คือเสื้อคลุมที่มูนนี่สวมใส่อยู่ก่อน
“หลบไวดี” มูนนี่ยิ้มอย่างขี้เล่น พอไม่มีผ้าคลุมอยู่แล้ว เฮเซคียาห์ได้เห็นว่ามูนนี่สวมใส่เสื้อยืดแขนกุดคอวีที่คว้านลงไปจนเห็นกล้ามเนื้ออกที่แน่นเป็นมัดของเขา และกางเกงยีนส์สีเข้ม
“นายอายุเท่าไร มาทำอะไรอยู่ในป่านี้คนเดียว น้องชาย”
“อย่ามาเรียก อย่ามาใช้น้ำเสียงหรือแววตา เหมือนฉันเด็กกว่านาย” เฮเซคียาห์ตาขวาง
เขาคิดว่ามนุษย์ตรงหน้าน่าจะอยู่ในวัยยี่สิบตอนต้น
“อ้าว แล้วนายอายุเท่าไร ดูยังไงก็เด็กกว่าฉัน” มูนนี่ยิ้มๆ ดูเหมือนอยากผูกมิตรด้วย “ฉันยี่สิบแล้ว”
“ฉันก็ยี่สิบ” เฮเซคียาห์โกหกเรื่องอายุ โดยเลือกตัวเลขที่เท่ากับอีกฝ่าย อีกฝ่ายจะได้ไม่รู้สึกเอ็นดู และให้บทสนทนาจบลงไปง่ายๆ ไม่ยืดเยื้อ
“Caravan Style”
มูนนี่เปิดปากพูดกับบางสิ่งที่เขาเพิ่งล้วงออกมาจากในกระเป๋ากางเกง
เฮเซคียาห์ยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า หินเล็กๆ สีขาวเท่าเม็ดถั่วเปล่งแสง แล้วจู่ๆ ด้านหน้าของพวกเขาก็ปรากฏรถตู้คันใหญ่มโหฬารเต็มพื้นที่ รถตู้คันใหญ่นี้จัดประเภทเข้าเป็นรถบ้านสุดหรู
“นายเป็นผู้ใช้เศวตศาสตรา” เฮเซคียาห์มองด้านข้างของมูนนี่ ที่ยื่นมือออกไปเปิดประตูรถบ้าน
“เศวตศาสตราของฉันเปลี่ยนตัวเองเป็นพาหนะอะไรก็ได้” เขาอธิบาย
เฮเซคียาห์ขมวดคิ้ว หันไปมองเศวตศาสตราของเขาบ้างอะไรเหรอ?
“คำถาม: อะไรเหรอ?”
“เปลี่ยนเป็นอะไรแบบนั้น ดูจะมีประโยชน์กว่าเยอะเลย”
เศวตศาสตราของเขาเขย่าตัวของมันเอง
“ไม่พอใจเหรอ” เฮเซคียาห์ทำเสียงเยาะในคอ
“มาสิ ให้ฉันหาเสื้อผ้าให้นายใส่” มูนนี่เสนอน้ำใจ ไม่สนใจประโยคโต้ตอบกันระหว่างเฮเซคียาห์และเศวตศาสตรา
เฮเซคียาห์เปิดปาก ตั้งใจจะปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่าย เขาไม่อยากได้ชื่อว่า ถูกมนุษย์ให้ความช่วยเหลือ
“นายคงไม่คิดจะเดินโทงๆ อย่างนั้นไปตลอดนะ” เศวตศาสตราดักคอเขา
เฮเซคียาห์ยู่หน้า
“คิดอะไรมาก หรือเป็นพวกไม่ชอบติดหนี้บุญคุณคนอื่น” มูนนี่เอียงคอ “หรือว่าระแวงฉัน ว่าฉันจะทำร้ายนาย”
“ฉันแค่ไม่ถูกโรคที่ต้องอยู่กับมนุษย์”
“เป็นพวกปฏิเสธสังคมอย่างนั้นเหรอ” มูนนี่ตีความไปอีกแบบ “เข้าสังคมกับฉันคนเดียว ไม่ใช่เรื่องยากหรอก”
“รับน้ำใจจากเขาเถอะเจ้าชาย พระองค์อย่ามัวแต่ทรงหยิ่งอยู่เลย” เศวตศาสตราสัพยอก
เฮเซคียาห์กัดฟันกรอด จ้องเศวตศาสตรา
“ฉันจะเปิดประตูไว้นะ ถ้าสนใจก็เข้ามา” มูนนี่ยุติการคะยั้นคะยอ หายตัวขึ้นไปในรถบ้าน
เฮเซคียาห์นิ่งเฉยอยู่หน้ารถบ้าน นิ่งอยู่นาน และไม่ยอมคุยกับเศวตศาสตราที่พูดพึมพำเรื่องดินฟ้าอากาศ และเดี๋ยวมันขยายตัวให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าหมอนอิง เดี๋ยวมันหดเล็กลงเท่ากับเมล็ดถั่วเขียว
จนครู่หนึ่ง เฮเซคียาห์ถอนใจ คิดว่ายอมรับคำคะยั้นคะยอของมนุษย์ดีกว่า
เขาได้กลิ่นเบคอน ไข่ดาวและขนมปังปิ้งลอยมาจากด้านในรถบ้าน
“นายกำลังจะไปไหนล่ะ?” เฮเซคียาห์เปิดปากถาม ในปากมีเบคอนที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดผสมกับไข่ดาว
“ทางตะวันตก ฉันมีธุระเยอะแยะที่นั่น” มูนนี่มองไปทางทะเลทรายผ่านทางหน้าต่างรถบ้าน แล้วเขาก็หันมามองเฮเซคียาห์ “นาย นายมาจากที่ไหนกันคีห์”
“ฉันมาจากทางตะวันออก” เฮเซคียาห์ไม่บอกความจริงว่าเขามาจากเมืองหลวงของเขตการปกครองที่ 1
มูนนี่ย่นหัวคิ้ว เขม้นมองเฮเซคียาห์
“ฉันจำได้ว่าหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด คือหมู่บ้านของสเวน” มูนนี่เคาะนิ้วของเขาบนโต๊ะ ปากพูดโดยที่ตาไม่ได้มองจ้องมาบนใบหน้าของเฮเซคียาห์ “หมู่บ้านพวกนั้นแตกหรือไง นายถึงได้มาเพ่นพ่านอยู่แถวนี้คนเดียว”
“ฉันไม่ได้มาจากหมู่บ้านไหนทั้งนั้น”
“อ้าว! นายเร่ร่อนเหรอ แล้วครอบครัวนายล่ะ”
“อยู่ในเมืองหลวงของเขตการปกครองที่ 1” เฮเซคียาห์หรุบตาลง
“พวกเขาถูกจับไปเป็นทาสสินะ” มูนนี่ตีความเอง
เฮเซคียาห์ลดมือของเขาซ่อนใต้โต๊ะ ปลายนิ้วขยุ้มลงบนกางเกงที่มูนนี่มอบให้ใส่
“การเข้าไปในเมืองหลวง เป็นไปไม่ได้” เศวตศาสตราของเฮเซคียาห์ในขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่วเขียว บินมาอยู่ตรงหน้าของมูนนี่ “นายคงไม่เสนอความคิดแปลกๆ ให้เขาใช่ไหม”
เฮเซคียาห์มองมูนนี่ คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะมีทางออกให้กับคนที่พบทางตันอย่างเขา
“ไม่! มันเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะเข้าใกล้เมืองหลวง หรือเข้าไปในเมืองหลวงโดยที่ไม่มีพวกมัสตินพาเข้าไป”
“ให้ตายสิ!” เฮเซคียาห์สบถ ใจฟีบห่อเหี่ยว “ฉันก็นึกว่านายจะพูดอะไรที่แตกต่าง”
“คำเตือน: บอกแล้วว่าไม่มีทาง ไม่มีทางแน่ๆ” เศวตศาสตราเบ่งตัวของมันออกจนมีขนาดใหญ่พอดีมือของเฮเซคียาห์ “ตัดใจแล้วออกเดินทางไปกันต่อดีกว่า”
“ไปไหนล่ะ พวกนายตั้งใจจะไปที่ไหนกัน”
เศวตศาสตราไม่โต้ตอบกับมูนนี่
“เห็นมันบอกว่าเดินทางต่อไปเรื่อยๆ ทางทิศใต้ ฉันจะได้เจอกับมนุษย์จำนวนมาก” เฮเซคียาห์เป็นคนตอบคำถามแทน
“ทางใต้อย่างนั้นเหรอ” มูนนี่พยักหน้ากับตัวเอง “เศวตศาสตราของนายให้ข้อมูลที่นายไม่รู้ได้ งั้นมันก็เป็นประเภทเสริมสร้างเชาว์ปัญญาสินะ”
“ก็อย่างที่นายว่า ใช่! มันทำได้แค่วิเคราะห์ข้อมูล หาข้อมูล มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรนักหนาหรอก”
จู่ๆ เศวตศาสตราก็เปล่งแสงเป็นสีแดง
“นั่น มันเป็นอะไรของมัน” มูนนี่ขมวดคิ้ว
“โกรธ” เศวตศาสตราตอบเอง
เฮเซคียาห์เลิกคิ้ว
มูนนี่หัวเราะ
“มันตลกดีนะ ฉันไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน”
“ฉันก็ว่ามันแปลก” เฮเซคียาห์ยิ้มเหยียดๆ ไปที่เศวตศาสตราของเขา “ฉันไม่อยากให้มันแสดงความรู้สึกหรือบอกฉันหรอกว่ารู้สึกยังไง บางทีมันก็พูดได้เป็นคุ้งเป็นแคว น่ารำคาญเป็นบ้า”
“ลึกๆ นายเป็นคนขี้เหงารึเปล่า” มูนนี่มองเฮเซคียาห์อย่างสำรวจตรวจตรา
เฮเซคียาห์รับรู้ได้จากภาษากายว่ามูนนี่ยังมองว่าเขาอายุน้อยกว่า มันทำให้หงุดหงิด
“ไม่นี่ ทำไมถามแบบนั้น” เฮเซคียาห์ฉุนเฉียว “เอาอะไรมาตัดสิน”
“เศวตศาสตราจะตอบสนองความปรารถนาของผู้ใช้ ฉันคิดว่านายรู้ตรงนี้ดี” มูนนี่มองเศวตศาสตราของเฮเซคียาห์ไม่วางตา เฮเซคียาห์รู้สึกได้ว่าถ้ามูนนี่จับมันได้คงจะจับไปแล้ว แต่การจับเศวตศาสตราที่ไม่ใช่ของตัวเอง ทำให้เจ็บตัว “มันพูดเยอะขนาดนี้ นายอาจจะเป็นประเภทอยากหาคนคุยด้วยตลอดเวลา”
“คงไม่ใช่ละ”
“เฮ้ นายตกลงจะเดินทางไปกับฉันไหม ฉันว่าฉันรู้จักที่ดีๆ นายควรไปพักที่นั่น” มูนนี่เปลี่ยนเรื่อง
เฮเซคียาห์ชั่งใจ แล้วส่ายหน้า
“แค่ขออะไรอร่อยๆ กินอีก นายมีอะไรอร่อยๆ อย่างอื่นไหม”
“โอเค ฉันมีพวกเนื้อตากแห้งรสชาติใช้ได้ ผลไม้เชื่อมในตู้เย็น ไอศกรีม แล้วยังผักดองที่ฉันหมักเอง แต่เดี๋ยวเย็นนี้ทำสตูว์ด้วย นายอยู่เฝ้าที่นี่ไปก่อน ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะหาสมุนไพรกับวัตถุดิบบางอย่างจากป่าแถวนี้มาเพิ่ม” มูนนี่ยิ้มกว้าง ดูจริงใจ
เฮเซคียาห์กะพริบตาปริบๆ มองมูนนี่ลุกขึ้นและเดินไวๆ ผลุบหายออกไปทางประตูรถบ้าน
ไม่นานมูนนี่ก็กลับเข้ามาพร้อมไก่ป่าตัวใหญ่สองตัว ไข่ของพวกมัน ผักและผลไม้ป่า เขาเปิดตู้เย็น ค่อยๆ เก็บของที่หามาได้เข้าไป
“ฉันจะนอนกลางวันสักหน่อย นายเองก็สักงีบไหมล่ะ นอนในนี้ปลอดภัยนะ”
เฮเซคียาห์จ้องไปที่โซฟาตัวนุ่ม
มูนนี่หายเข้าไปในห้องด้านใน
เฮเซคียาห์พาตัวเองไปนั่งบนโซฟา มันนุ่ม แม้จะนุ่มไม่เท่าเตียงที่เขาเคยใช้ แต่มันก็นุ่มเหลือเกิน เขาพริ้มตาลง และรู้สึกสบายและปลอดภัยอย่างที่โหยหา
เขาหลับปุ๋ย ทั้งที่เตือนตัวเองไว้ก่อนแล้วว่า ควรระวังตัวไว้หน่อยก็ดี
มูนนี่ลงมือทำอาหารอย่างรวดเร็ว เฮเซคียาห์ที่นั่งมองมูนนี่ทำอาหารเริ่มน้ำลายสอเมื่อเขาได้กลิ่นผัดผักและซุปที่หอมกรุ่นได้ที่พร้อมรับประทาน
ทั้งช่วงสาย กลางวัน เย็น และค่ำ ในวันต่อมาหลังจากได้พบกัน เฮเซคียาห์รับประทานอาหารรสชาติดีฝีมือมูนนี่
เขาตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างตอนแรกที่ต้องมาคุยกับมนุษย์ด้วยท่าทีเสมอกัน
แต่มูนนี่ชวนเขาคุยตลอด และไม่ใส่ใจกับท่าทีไม่ค่อยสุภาพของเขา เฮเซคียาห์ที่ตงิดๆ ใจว่าตัวเขาไม่ควรคุยกับมนุษย์มากนัก จึงเริ่มเปิดใจขึ้นมาหน่อย ฝืนๆ คุยไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเกินทนได้ นอกจากนี้การที่มูนนี่มอบความสบายให้กับเขา เขาอดไม่ได้ที่จะคิดอยากเกาะอีกฝ่ายและออกเดินทางไปด้วย
เขารู้ว่ามูนนี่จะออกเดินทางสู่ทะเลทรายในเช้าวันพรุ่งนี้
มูนนี่บอกกับเฮเซคียาห์ว่า มูนนี่ตัดสินใจค้างคืนอีกวันก็เพราะเฮเซคียาห์
พวกเขาเป็นมนุษย์เหมือนกัน และมูนนี่รู้สึกเป็นห่วงที่จะปล่อยเฮเซคียาห์เอาไว้คนเดียวในป่า
อย่างไรก็ตาม เฮเซคียาห์ตัดใจจากความสบายที่ได้รับจากการอยู่กับมูนนี่ได้ในที่สุด เขาคุยกับมูนนี่ก่อนเข้านอนว่าจะขอแยกไปตามลำพังตั้งแต่เช้าตรู่ ให้เหตุผลแค่ว่า เขารักความสันโดษ
“ดื้อชะมัด ไม่ว่ายังไงก็ต้องกลับเข้าไปในเมืองหลวงให้ได้สินะ” เศวตศาสตราคุยกับเฮเซคียาห์ที่กำลังนั่งอยู่ด้านข้างลำธารสายเล็กๆ ที่มีปลาจำนวนมากกำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำใส
ด้านหน้าเฮเซคียาห์มีกองไฟที่เฮเซคียาห์เอาไว้ประกอบอาหาร เขาเพิ่งหยิบเอาไม้ที่เสียบปลาย่างไฟขึ้น ปากอ้าออกพลางใช้ฟันกัดเนื้อปลาที่เพิ่งทำสุกใหม่ๆ เข้าปาก สมุนไพรที่ได้มาจากมูนนี่ทำให้กลิ่นของปลาปิ้งหอมน่ารับประทาน
ข้างตัวเขามีกระเป๋าสัมภาระ มูนนี่เป็นคนให้เขามา ด้านในมีของใช้จำเป็นรวมถึงมีดเล่มเล็กๆ
“นายจะอาศัยอยู่ในป่านี้จนกว่าจะแก่ตายหรือยังไง” เศวตศาสตราไม่ลดละที่จะพยายามโน้มน้าวเขาให้เปลี่ยนใจเดินทางไปลงหลักปักฐานอยู่กับมนุษย์ในที่ไกลออกไป
“...”
เฮเซคียาห์มีแต่ความเงียบให้แก่เศวตศาสตรา หลายวันมานี้เขามีแต่ความเครียด
เศวตศาสตราไม่บอกทางที่นำเขากลับไปยังเมืองหลวง และมันก็เอาแต่ย้ำให้เขาเดินทางต่อไปยังที่ที่มันต้องการ
“พูดด้วยก็ไม่พูด...” เศวตศาสตราวนเวียนไปรอบๆ ตัวเขา
“...”
“นี่มันน่าเบื่อไปหน่อยนะ”
“...”
“โอ๊ย! ก่อนหน้านี้ยังมีโต้ตอบกลับมาบ้างแท้ๆ วันนี้นายไม่ตอบเลย นายเป็นอะไรของนาย”
เฮเซคียาห์มองเศวตศาสตราด้วยดวงตาเรียบเฉย แต่ในอกอึดอัดเหลือทนกับการกลับไปยังเมืองหลวงไม่ได้ แล้วเขาก็ละสายตาไปมองไม้แหลมในมือที่ตัวปลาเหลือแต่ก้างแทน จากนั้นก็ค่อยๆ รูดเอาส่วนหัวและก้างปลาออกจากไม้
เขาวางมือข้างหนึ่งไว้บนพื้น แล้วเงื้อไม้ที่ถูกเหลาจนแหลมด้วยมีด จ้วงแทงแรงๆ ไปที่มือของตัวเอง
ริมฝีปากที่บิดเบี้ยวเปิดครางออกมาในที่สุด มือชโลมไปด้วยเลือด
“คำถาม: ทำบ้าอะไรของนาย?” เศวตศาสตราบินฉวัดเฉวียน มันคงอยากหยุดเขา
แต่เฮเซคียาห์ยังคงใช้ไม้เสียบย่างปลาแทงตัวเองต่อไปไม่หยุด ถึงจุดหนึ่งไม้เสียบย่างปลาหักคาแผลที่ถูกแทง
เฮเซคียาห์หันไปหยิบมีดซึ่งวางอยู่บนพื้น
“ไม่!”
เศวตศาสตราของเขาเข้ามาเก็บมันไปเสียก่อน ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมขยายขนาดออกจนใหญ่เท่ากล่องรองเท้า มันใช้ปากกล่องงับมีดโยนขึ้นบนอากาศแล้วอ้าฝากล่องให้กว้างขึ้นขณะที่มีดร่วงสู่พื้นโลกตามแรงโน้มถ่วง เพื่อให้มีดหล่นลงมาในกล่อง ฝากล่องถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว เฮเซคียาห์เห็นเศวตศาสตราเอามีดไปเก็บ เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่มีทางแย่งมีดคืนมาได้
เขาเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้ที่สุด แล้วก็โขกศีรษะตัวเองอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า
เลือดไหลโกรกลงมาจากศีรษะบริเวณที่แตก
“หยุดเถอะ ทำไมนายมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง” เศวตศาสตราโวยวาย
เฮเซคียาห์ไม่ตอบ เขากระแทกศีรษะต่อไป กระแทกจนรู้สึกได้ว่ากะโหลกศีรษะข้างหนึ่งบุบเข้าไปเล็กน้อย แต่ไม่ยอมหยุด เขากระแทกศีรษะจนได้ยินเสียงกระดูกต้นคอหักสะบั้น และรับรู้ได้ว่าร่างกายของเขาทรุดลงกับพื้น
เฮเซคียาห์รู้สึกว่า เขาอยากนอนสักตื่น
เขาหมดสติไป...
หลังจากนั้นอีก 5 นาที เขาฟื้นขึ้นมาเพื่อพบว่าร่างกายฟื้นฟูเป็นปกติดีแล้ว
“นายอุตส่าห์เก่งขึ้น เริ่มใช้เพนดูลัมอย่างชำนาญโดยไม่ต้องพึ่งพาการควบคุมธาตุลม ต่อสู้กับสัตว์ป่าและฆ่าพวกมันได้ นายไม่ตายอีกแล้วด้วย แต่กลับมาตายเพราะตัวเองเอาหัวโหม่งต้นไม้ นายทำเรื่องบ้าแบบนี้ทำไม” เศวตศาสตราโหวกเหวกโวยวายขณะที่เขาค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่ง
เฮเซคียาห์ไม่ตอบ เขาเดินโซเซเข้าไปในป่า เท้าหรือขาไม่ได้บาดเจ็บ แต่เขาไร้เรี่ยวแรงเพราะตรอมใจ
เฮเซคียาห์หักกิ่งไม้ที่ยาวเรียวมาถือไว้ แล้วเขาก็ง้างมือขึ้น กะจะทิ่มกิ่งไม้นั้นเข้าไปในดวงตา หวังจะให้กิ่งไม้เกี่ยวเอาสมองของเขาออกมา เขาจะได้ตายคาที่ลาโลกนี้ไปสักที
ถ้ากลับไปเป็นชาวมัสตินไม่ได้ สู้ตายไปเลยดีกว่า จะใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ แบบมนุษย์ ไปอยู่กับพวกมนุษย์ มันเสียชาติเกิดมาเป็นชาวมัสติน
“พอ! พอได้แล้วกับเรื่องบ้าๆ พรรค์นี้!” เศวตศาสตราโวยวาย “จริงๆ ฉันหาทางพานายกลับเข้าไปในเมืองหลวงได้แล้ว”
เฮเซคียาห์ที่ตอนนี้เบ้าตาข้างหนึ่งเต็มไปด้วยเลือด เพราะกิ่งไม้เข้าไปในดวงตาแล้วหยุดมือไว้
“แนะนำ: เอาไม้นั่นออกจากตาของนาย เอามันออกไป”
เฮเซคียาห์มองเศวตศาสตราด้วยดวงตาที่สะท้อนความมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้น
“มีคนๆ หนึ่งช่วยให้นายกลับเข้าไปในเมืองหลวงได้”
“คน? มนุษย์?” เฮเซคียาห์พึมพำ มือของเขาค่อยๆ ดึงกิ่งไม้ออกจากเบ้าตา ปากครางเบาๆ ลูกตาหลุดออกจากเบ้าดังบั๊วะติดกิ่งไม้ออกมาด้วย
“ไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็เป็นสายพันธุ์ที่ใกล้เคียง นายต้องไปตามหาเขากับฉัน ฉันหาพิกัดของเขาได้อย่างคร่าวๆ เท่านั้น”
“แกไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม” เฮเซคียาห์ตะคอก โยนกิ่งไม้พร้อมลูกตาตัวเองทิ้ง มือไขว่คว้าจะเอาเศวตศาสตรามากุมไว้
มันพยายามหลบให้พ้นมือเขา แล้วจู่ๆ ก็ยอมให้เขาจับมันไว้ในอุ้งมือได้
“ยืนยัน: ฉันไม่ได้หลอกนาย นายเชื่อฉัน”
“ฉันต้องกลับเข้าไปในเมืองหลวง ฉันเชื่อว่าถ้าฉันกลับไปที่นั่นได้ ฉันจะหาวิธีทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากคำสาปนี้ได้” เฮเซคียาห์ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมามอง “ฉันต้องทำให้ไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิดเชื่อมต่อกับฉันตามปกติ ทำให้แกเลิกเรียกฉันว่าเป็นมนุษย์ ฉันต้องกลับไปเป็นชาวมัสตินเต็มตัว”
“ฉันจะทำให้นายกลับเข้าไปในเมืองหลวง และเจอกับราชินีเอสเธอร์ แต่ฉันไม่คิดหรอกว่าจะมีคนที่สามารถทำให้นายกลับไปเป็นชาวมัสตินได้ นายเป็นมนุษย์ แม้นายอาจจะยังมีอะไรเหมือนมัสตินอยู่บ้าง แต่จริงๆ ก็แค่มนุษย์ที่มีเศษไลฟ์ควอตซ์อยู่ในตัวเท่านั้น”
“ฉันยังเป็นชาวมัสติน” เฮเซคียาห์ตะโกนใส่เศวตศาสตรา
เศวตศาสตราเงียบไป
“บอกฉันมา ต้องไปที่ไหนถึงจะพบคนที่พาฉันกลับเข้าไปในเมืองหลวงได้” เฮเซคียาห์ตะคอกใส่เศวตศาสตรา
ฉับพลันในสมองของเขาปรากฏภาพแผนที่ซึ่งแสดงเส้นทางตั้งแต่จุดที่เขาอยู่จนถึงจุดหมายปลายทางซึ่งเขาสามารถพบกับคนที่จะช่วยเขาได้ แล้วเขาก็ได้รับนิมิตอื่นแทรกเขามาแทนภาพแผนที่เมื่อเขาปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงเพื่อกะพริบตา ดังนั้นเฮเซคียาห์จึงไม่เปิดเปลือกตาขึ้น แต่เพ่งสมาธิรับภาพที่ปรากฏในนิมิต ชายหนุ่มวัยกลางคนท่าทางอิดโรยที่มีท่อนแขนปกคลุมไปด้วยขนนกสีดำคล้ายกับขนกาอยู่ในนิมิตของเขา ผมของคนที่เขาเห็นในภาพด้านหนึ่งเป็นสีทอง อีกด้านเป็นสีดำ
เฮเซคียาห์เซไปหนึ่งก้าวเมื่อเขาออกจากนิมิต เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมตรงเบ้าตาข้างที่ว่างเปล่า แล้วก็ค่อยๆ ลากมือขึ้นลูบหน้าผากปัดเหงื่อที่เปียกชื้นให้หายไปในกลุ่มผม ก่อนจะเปิดเปลือกตาทั้งสองข้างขึ้น อวดเศวตศาสตราที่เขากุมเอาไว้ในมืออีกข้างว่าเขามีลูกตาอยู่ครบทั้งสองข้างอีกครั้ง
“ไปกันบรอธ ฉันจะต้องหาคนๆ นั้นให้เจอ”
บรอธมาจากคำว่าบราเธอร์ (Brother) หรือพี่ชาย น้องชาย เฮเซคียาห์เปลี่ยนวิธีการเรียกเศวตศาสตรา
“นายตั้งชื่อให้ฉันเหรอ” บรอธตอบรับอย่างกระตือรือร้น มันเปล่งแสงสีเขียว
“เราต้องเดินทางกันอีกไกล ฉันว่าเรียกเศวตศาสตราจะยาวไป”
“ขอบคุณ: ขอบคุณนะคีห์” บรอธตอบกลับ ร่อนไปมาอย่างร่าเริง “ฉันชอบที่มีชื่อ ฉันรู้สึกว่าเรากำลังจะสนิทกันมากขึ้น”
“ฉันไม่อยากสนิทกับแกนักหรอกนะ” เฮเซคียาห์ทำหน้าไม่สบอารมณ์
เขาเลือกชื่อบรอธก็เพราะคิดว่าเสียงของมันสั้น และง่ายต่อการออกเสียง อีกอย่างเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าบรอธเหมือนกับเพื่อนรุ่นพี่ของเขาบางคนที่ในเมือง คนพวกนั้นเขาก็เรียกบรอธอย่าสนิทสนมเมื่อสนทนากันอย่างเป็นส่วนตัว พวกเขาชอบพูด บ่น แล้วก็พล่าม โดยไม่สนใจว่าเฮเซคียาห์จะเงียบใส่
“ถ้าเราสนิทกัน การเดินทางจะสนุกขึ้น” แสงสีเขียวจากบรอธไม่ดับลง “ฉันจะรอวันที่นายสนิทกับฉัน วันที่นายจะเห็นฉันเป็นเพื่อนแท้ของนาย”
“มันจะไม่มีวันนั้น”
“มันต้องมีสิ” บรอธเถียงกลับ
เฮเซคียาห์ถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินกลับมายังข้างกองไฟสำหรับทำอาหารที่มอดดับลงไปแล้ว เขาหยิบเอาผ้าคลุมที่กองอยู่บนพื้นมาสวม แล้วออกเดินมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก บรอธที่ลอยอยู่ในอากาศข้างกายของเขาวิเคราะห์เส้นทางแล้วแจ้งให้เขาทราบว่าถ้าเขาเดินเท้าด้วยระดับความเร็วที่เดินอยู่ รุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้เขาน่าจะเข้าสู่เขตทะเลทรายที่มูนนี่เคยเล่าให้ฟังว่ามีสัตว์ประหลาดดุร้าย และกับระเบิดที่ฝังอยู่ในพื้นนับตั้งแต่สมัยสงครามที่อาจระเบิดได้ทุกเมื่อ