ตอนที่แล้วตอนที่ 2 อะไรนักหนาเนี่ย?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 4 เอาผมไปด้วย ฮือ…

ตอนที่ 3 ทำไมต้องทำแบบนี้กับเค้าด้วย?


ตอนที่ 3 ทำไมต้องทำแบบนี้กับเค้าด้วย?

 

ครอกฟี้… Zzzz

ลินจินึกไม่ออกว่าเมื่อคืนเขาสลบหรือเหนื่อยจนหลับไปกันแน่ แดดยามสายส่องใส่หน้าไร้ซันบล็อกป้องกันยูวี ทักทายลินจิอย่างรู้จักมักจี่ราวกับเป็นมิตรที่ดีต่อกัน

อุณหภูมิในป่าท้อยามสายไม่ร้อนมาก ลินจิจึงอยากนอนต่ออีกสักหน่อย แต่ก็มีคนมาเขย่าตัวเขาอย่างแรง

ก่อนหน้านี้ลินจิกำลังฝันดีว่า… ตนกำลังยัดเยียดต้นฉบับนิยายวายให้บรรณาธิการอ่าน ตอนแรกหล่อนก็ทำทีจะไม่อ่าน แต่พอเจอประโยคแรกเข้าไปเท่านั้น หล่อนถึงกับต้องทึ่ง อ้าปากหวอ ดวงตาทอประกาย จนต้องยื่นสัญญานักเขียนให้ลินจิเซ็นเดี๋ยวนั้น พร้อมกับตบโต๊ะเสียงดังก่อนลุกขึ้น “น้องลินจิคะ ทางสำนักพิมพ์แบ่งยอดขายให้ 50-50 เลยค่ะ”

“ตื่นได้แล้ว จะหลับไปถึงไหน”

ใครบางคนกวนความฝันของเขาอย่างไร้ความเกรงใจ

ลินจิยิ้มอยู่ในฝัน แล้วปัดมือคนที่มาก่อกวนการนอนหลับ ก่อนจะหยิบเป้ที่กอดอยู่มาทับหัวแล้วพลิกตัวไปอีกด้าน พึมพำอย่างรำคาญว่า “หนวกหูจริง คนจะนอน”

“นอนอุตุกลางป่าแบบนี้ ถ้าปีศาจกินฝันมาเอาวิญญาณไป ข้าไม่รู้ด้วยนะ”

“เพ้อเจ้อ ปีส่งปีศาจอะไรกัน อ่านการ์ตูนหนุ่มน้อยมากไปสิท่า”

ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ลินจิทำเสียงฮึดฮัดอย่างหงุดหงิดก่อนลุกขึ้นมา สองตายังปิดสนิท เขาหลงคิดว่าตัวเองยังอยู่ที่บ้าน ลืมไปว่าหลุดมาอยู่ในโลกนิยายแฟนตาซี

“…อ๊ะ ขอโทษครับ ผมคิดว่านอนอยู่ที่บ้านของตัวเอง”

“ก่อนหน้านี้พูดว่าอะไรนะเจ้าหนู”

ชุนกระแอมออกมาก่อนถาม พอลินจิลืมตาก็ตกใจ ใบหน้าของชุนเดี๋ยวขาวเดี๋ยวเขียว หัวคิ้วขมวดเกร็ง

…เผลอด่าคุณชุนไปว่าเพ้อเจ้อเสียแล้ว ลินจิเสียวสันหลังวาบ เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ชุนโกรธ

“ผมไม่ได้ตั้งใจ คิดว่าเป็นสุนัข”

“สุนัขพูดได้ด้วยงั้นรึ”

“แหม ก็แบ่บว่าร์…”

ยังไม่ทันพูดจบชุนก็ชักดาบออกมา …หน็อย แอบหลอกด่าว่าเขาเป็นหมา แบบนี้ต้องสั่งสอนให้รู้ดำรู้แดงกันสักที

“อ๊ากกก”

ลินจิร้องลั่นหงายหลังล้มนอนอย่างไร้แรงต่อต้าน ก่อนจะใช้สองแขนดันพื้นตะแคงตัวขึ้นมา ตั้งแต่เมื่อวานเขายังไม่ได้กินอะไรเลย มีแค่น้ำจากลำธารที่คอยประทังชีวิตเพียงอย่างเดียว

เมื่อชุนเห็นอย่างนั้น ใบหน้าที่ขมวดเกร็งขบกรามก็ผ่อนคลาย ราวกับว่าแค่อยากเห็นใบหน้าลินจิตอนตกใจเท่านั้น

จากนั้นเขาก็ร้อง “หึ” เบา ๆ ก่อนจะเก็บดาบเข้าฝัก พลางหันหลังขวับก้าวขาเดินอย่างไม่รอ

พอลินจิเห็นชุนรุดหน้านำไป เขาก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะนอนต่อ ลินจิไม่อยากถูกทิ้งในป่าท้อจึงรีบสะพายเป้แล้วลุกขึ้นสาวเท้าตามทันที

หันซ้าย หันขวา มองไปตรงไหนก็เห็นแต่สิ่งอันตราย มีทั้งผลท้อปีศาจ และตัวประหลาดที่บินอยู่บนฟ้าผึบผับ สำหรับลินจิทุกอย่างในโลกนี้ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ เขาต้องเรียนรู้และระมัดระวัง ขืนทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอาจเสียชีวิตได้

…ก็แหม เราไม่มีทักษะต่อสู้เลย

ด้วยเหตุนี้ เรื่องที่จะหาอะไรกินข้างทางลินจิจึงขอพักเอาไว้ก่อน เมื่อคิดว่าต้องอยู่ในโลกที่อันตรายแบบนี้ เขาก็อยากมีทักษะต่อสู้ไว้ป้องกันตัวบ้าง ถึงจะไม่ชอบใช้ความรุนแรง แต่มันก็จำเป็น

...ไอ้การเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเนี่ย ยังไงก็ไม่ไหวหรอกนะ เด็กชายไร้เดียงสาอย่างเขาเหมาะกับการนั่งเมาธ์มอยกับเพื่อนผู้หญิงในร้านคาเฟ่มากกว่า หรือไม่ก็หมกตัวอยู่ในคฤหาสน์หรูหรา นั่งทำสปาเท้าด้วยการให้ปลาเล็กปลาน้อยมาตอดเล็บ

…อื้ม มันต้องแบบนั้นสิ ลินจิพยักหน้าตอบรับความคิดตัวเองเบา ๆ

เมื่อทั้งสองเดินผ่านทางโค้งของป่าท้อ เบื้องหน้าก็เปลี่ยนเป็นที่โล่งกว้าง ดูเหมือนจะเป็นชานเมือง เพราะมีแปลงผักและสุ่มไก่ เพ่งไปสุดลูกหูลูกตาไกล ๆ ก็เห็นบ้านเรือนและผู้คน

“ถึงแล้วเหรอครับ”

 

“ยังหรอก แต่ก็ใกล้แล้วล่ะ”

ลินจิเหยียดแขนบิดขี้เกียจแล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอด น่าแปลกที่อากาศในชานเมืองสดชื่นกว่าในป่าท้อมาก คงเพราะในป่าเต็มไปด้วยไอปีศาจ หรือไม่เขาก็แค่คิดไปเอง

ขณะเดินตามชุนต้อย ๆ ลินจิก็เพิ่งสังเกตว่า บนพื้นมีก้อนหินสีขาวลักษณะกลมแบนอยู่เต็มไปหมด รูปทรงที่สวยงามแปลกตาดึงดูดให้ลินจิสนใจ

…ว่าแล้วลองใช้ทักษะหยั่งรู้ดูข้อมูลดีกว่า

[‘หยั่งรู้’ เริ่มทำงาน]

[‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’ ‘หิน B’]

ลินจิไม่อยากนึกถึงคำผวน รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในดง ‘หิน B’ เขารีบยกเลิกการใช้ทักษะหยั่งรู้ทันที ดูเหมือนจะมีข้อมูลไหลเข้ามาในหัวเยอะเกินไป

[ได้รับทักษะ ‘กลายร่าง LV1’]

“เอ๊ะ”

“อะไร”

“คุณชุนได้ยินเสียงอะไรไหมครับ”

“ไม่นี่”

ลินจิลองถามชุนเพื่อความแน่ใจ เมื่อได้คำตอบเขาจึงถามสิ่งที่สงสัยอีกข้อ

“คุณชุนครับ อย่างเวลาที่ใช้พลัง คุณชุนได้ยินเสียงในหัวบ้างรึเปล่าครับ”

“ก็ไม่นี่”

…อย่างนี้นี่เอง มีเพียงเขาคนเดียวที่ได้ยินเสียงพวกนี้สินะ

แต่คราวนี้หลังชื่อของทักษะมีบอกระดับเลเวลกำกับอยู่ด้วย เมื่อสงสัยลินจิจึงลองใช้ทักษะที่เพิ่งได้มา

< [กลายร่าง LV1] เริ่มทำงาน >

ทันใดนั้นทัศนวิสัยของลินจิก็เปลี่ยนไป เขาไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นอะไร รู้ตัวอีกทีก็พบก้อนหินก้อนใหญ่วางกองอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด แถมชุนก็เหมือนจะตัวใหญ่กว่าเดิมเป็นร้อยเท่า

“นี่มันเรื่องบ้าบออะไร เจ้าหนู”

ชุนหยุดฝีเท้าแล้วหันมาขมวดคิ้วใส่ ลินจิอยากจะตอบกลับไปแต่ก็ไม่มีเสียง …ฝั่งนั้นนั่นแหละที่บ้า แค่แปลงร่างนิด ๆ หน่อย ๆ มันบ้าตรงไหนกัน ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าสมองคนแบบนี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง

เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีลินจิจึงลองใช้ทักษะหยั่งรู้เพื่อส่องดูตัวเอง

[‘หยั่งรู้’ เริ่มทำงาน]

[หิน B]

…อ๊ะ! กลายเป็นก้อนหินไปซะแล้ว

รู้แบบนั้นลินจิก็ยกเลิกใช้ทักษะแล้วกลายร่างกลับเป็นเหมือนเดิม

…จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน แปลงร่างเป็นหินได้ แบบนี้เวลาเจอศัตรูก็ไม่ต้องแกล้งตายแล้ว แถมยังสามารถใช้ทักษะอื่น ๆ ในร่างนั้นได้อีกด้วย

…อืม ดีจริง ๆ

“อะ…โอ๊ย!”

ไม่ทันไรลินจิก็ถูกสันมือของชุนสับเข้ากลางหัว

“ไม่มีเหตุจำเป็นอย่าเที่ยวใช้พลังมั่วซั่วสิ เป็นถึงเทพเจ้าอัญเชิญแท้ ๆ รู้จักทำตัวให้มันดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง เกิดพลังเวทหมดตอนพวกปีศาจบุกเข้ามาจะทำยังไงกัน”

หลังจากโดนสันมือพิฆาตพร้อมคำบ่น ลินจิก็ย่นจมูกใส่ ฟังไปฟังมาก็เข้าใจ ที่แท้ชุนโกรธที่เขาใช้พลังสิ้นเปลืองนี่เอง

ลินจิคิดว่าชุนเอาแต่ออกคำสั่ง ถ้าไม่ตอบกลับบ้างคงจะได้ใจ เขาจึงพูดโพล่งออกไป

“ทำแบบนี้กับเทพเจ้าเดี๋ยวสวรรค์ก็ลงโทษหรอกครับ”

“อะไรนะ เจ้าหนูว่าไงนะ”

ได้ยินแบบนั้นชุนก็หรี่ตามองลินจิ พูดเสร็จก็กระตุกยิ้มอย่างมีเล่ห์นัยก่อนค่อย ๆ ก้าวเข้ามา

ลินจิเห็นแบบนั้นจึงรีบถอยหลัง ถึงหน้าตาจะหล่อเหลาเอาการ แต่สีหน้าของชุนตอนนี้ดูสยองชอบกล

“เหวอ! สุภาพบุรุษเค้าไม่ใช้กำลังกับเด็กตาดำ ๆ หรอกนะครับ มีอะไรก็พูดกันดี ๆ อย่าอารมณ์เสียไปเลยครับ”

ชุนไม่ไหวแล้ว …คุยกับเด็กบ้านี่ไม่เกินสามประโยคก็รู้สึกหงุดหงิดจนหัวแทบระเบิด ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าต้องตัวติดกับลินจิตลอด เขาคงต้องหัวเสียวันละหลาย ๆ หนแน่

“อ้า! คุณชุน อย่าทำตรงนี้เลย รออยู่กันตามลำพังในที่ลับตาคนดีกว่า”

พอลินจิพูดด้วยน้ำเสียงทะลึ่งตึงตัง ชุนก็รู้สึกสับสนในอารมณ์ขึ้นมา เขาจวนจะหมดความอดทนเข้าไปบีบคอลินจิขึ้นมาจริง ๆ แล้ว

ในที่สุดชุนก็ถอดใจยอมแพ้แล้วเหลียวหลังกลับ ลินจิเห็นแบบนั้นก็โล่งอกจึงพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ

…เกือบไปแล้ว

เมื่อเข้าใกล้ตัวหมู่บ้าน ลินจิก็สาวเท้าดีดตัวโหยงเหยงอย่างลั่นล้าดีใจ พลางมองผ้าคลุมไหล่สีดำของชุนที่กำลังพลิ้วไหว

ทันใดนั้นชุนก็หยุดเดินแบบไม่ส่งสัญญาณ

“อ๊ะ!”

ลินจิเกือบจะเดินชนบั้นท้ายหนุ่มหล่อเสียแล้ว

“เจ้าหนู รีบใช้เขตอาคมเร็วเข้า”

ตลกคาเฟ่พอแค่นี้ ยังไม่ทันได้พักก็เกิดเหตุอีกแล้วหรือนี่ หลังจากย่นระยะห่างในจังหวะที่ชุนหยุดเดินได้ทันท่วงที ลินจิก็รีบกางเขตอาคมตามคำสั่ง ปรากฏแสงสีทองล้อมตัวทั้งสองอย่างฉับพลัน

“มีอะไรเหรอครับ”

“เงียบก่อน”

พอลินจิสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวแว่วเข้ามา น่าจะมาจากด้านในของหมู่บ้าน

…ให้ตายสิ มากรีดร้องอะไรเอาป่านนี้ คนกำลังจะได้พักแท้ ๆ

 

ลินจิคิดในใจว่าถ้าเจอเจ้าของเสียงจะจับมาอบรมมารยาทสักหน่อย กลางวันแสก ๆ กุลสตรีไม่ควรโหวกเหวกโวยวาย เดี๋ยวก็หาสามีไม่ได้หรอก อันที่จริงเขาแค่หงุดหงิดที่ไม่ได้พัก

“นี่ เจ้าหนู”

“หืม?”

“มานี่เร็ว”

“อ๊ะ….อ้า”

ขณะจมอยู่ในความคิดที่จะไปสั่งสอนเจ้าของเสียงกรี๊ด ลินจิก็ถูกอุ้มพาดบ่าในท่าห้อยหัว ส่วนชุนก็ย่อตัวลงก่อนพุ่งทะยานขึ้นฟ้า

“ว๊ากกก!”

“อยู่นิ่ง ๆ”

สายลมตีริมผีปากล่างของลินจิจนกระพือ เขาร้องลั่นหน้าเขียวอื๋อไม่แพ้เสียงของหญิงสาวเมื่อครู่นี้ มุมมองเปลี่ยนผันอย่างกับเล่นรถไฟเหาะ เดี๋ยวเห็นดินเดี๋ยวเห็นฟ้า สติกระเจิงไปหมด

ลินจิยังไม่อยากตาย ถึงรู้ตัวว่าชาตินี้ไม่สามารถแต่งงานมีลูกได้ แต่เขาก็รักชีวิตของตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใด ลินจิเป็นวัยรุ่นสมัยใหม่ ถึงเสียใจหรือเจอเรื่องแย่แค่ไหน เขาก็ไม่เคยคิดเอาหัวโขกฝาหรือทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดเพื่อเรียกร้องความสนใจ น่าเศร้าที่ชีวิตเด็กหนุ่มอย่างเขาต้องมาเสี่ยงภัยแบบนี้

“โอ๊ะ…โอ๊ย”

เมื่อลงมาสู่พื้น พริบตาเดียวลินจิก็เสียหลักไถลตกจากบ่าของชุน โชคดีที่โน้ตบุ๊กและของสำคัญในเป้ไม่หล่นร่วงกระจายเสียหาย

พอชุนรีบยื่นมือออกไปให้จับ ลินจิก็ทำแก้มป่องอย่างไม่พอใจ พลางคิดว่า …ถ้าเหาะได้ทำไมชุนต้องพาเขาเดินไกล ๆ ด้วย เหนื่อยก็เหนื่อย หิวก็หิว อารมณ์เสีย

“ลุกขึ้นเร็ว ๆ”

ลินจิยื่นมือออกมาเกือบจะแตะโดนมือของชุน ทว่าสุดท้ายเขาก็รีบดึงมือกลับไปโดยพลัน เพราะนึกขึ้นได้ว่ากำลังงอนเรื่องที่ชุนปล่อยให้เขาต้องลำบากลำบนอยู่ในป่า ลินจิส่งเสียง “ฮึ” ออกมา พร้อมกับพยายามลุกขึ้นด้วยตัวเอง

 

“ผมไม่อยากเอามือไปจับกับผู้ชายที่ไม่รู้ว่าเคยเอามือไปแตะอะไรมาบ้างหรอกครับ”

ลินจิยิ้มอย่างผู้ชนะ ไม่รู้ว่าเขากำลังสะใจกับเรื่องอะไรกันแน่

“งั้นเหรอ”

ชุนพูดกัดฟัน ก่อนใช้มือใหญ่ยาวบีบเข้าที่แก้มลินจิจนปากยื่นออกมาเหมือนเลข ‘8’ พร้อมกับใช้นิ้วชี้ป้ายที่ริมฝีปากล่างของลินจิ

“ถ้าไม่อยากจับก็จงลิ้มรสซะ”

…โหดร้าย พอชุนปล่อยมือ ลินจิก็ล้มลงในท่าพับเพียบ อีกมือแตะพื้น อีกมือปิดปาก มองชุนด้วยแววตาสั่นระริก ราวกับสาวน้อยที่ถูกใช้ความรุนแรง จากนั้นเขตอาคมสีทองก็เลือนดับหายไป

“นิสัยไม่ดี”

“เอาเถอะ ข้ารู้ตัวดี”

ชุนก้มจ้องลินจิด้วยสายตาเอือมระอา ทว่าลินจิกลับไม่รู้สึกรู้สา หรือสำนึกผิดในความงี่เง่าของตัวเองเลย

“อยากทำอะไรก็เชิญ”

ชุนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเดินสำรวจทางเพื่อตามหาที่มาของเสียงกรีดร้อง ทิ้งลินจินั่งเป็นผีเฝ้าเมืองเพียงลำพัง

...ให้ตายสิ ทำไมเด็กหนุ่มอย่างเขาต้องมาเจอกับเรื่องสะเทือนใจแบบนี้ด้วย

ในที่สุดชุนผู้โหดร้ายก็เดินจากไป ในสายตาของลินจิตอนนี้ ถ้าเทียบความอำมหิตในหมู่ปีศาจที่เคยรู้จักในการ์ตูนญี่ปุ่น ชุนน่าจะเป็นบอสใหญ่ที่โผล่มาในตอนสุดท้าย

ลินจิรู้สึกโล่งอก อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องไปเสี่ยงตายแล้ว …เชิญไปสู้คนเดียวเถอะ

หลังจากสังเกตบริเวณโดยรอบลินจิก็แปลกใจ เพราะไม่พบผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย เป็นหมู่บ้านแท้ ๆ ถ้าเทียบกับทางผ่านในชานเมือง ผู้คนแถวนั้นยังเยอะเสียกว่า แถมบ้านเรือนที่สร้างจากไม้ก็ดูรกร้างเหมือนบ้านผีสิง ขณะที่กำลังคิดว่าน่าเบื่อเสียจริง ความวังเวงก็เข้าครอบงำ

อีกอย่างที่ทำให้ลินจิรู้สึกแปลก ๆ คือเคล้าไอที่ทำให้รู้สึกไม่ดี แม้ไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่ลินจิก็สัมผัสได้ว่าต้องเป็นสิ่งอัปมงคลแน่ ๆ เขาพยายามเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมา

…หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกช้า ๆ จากนั้นก็ใช้ทักษะหยั่งรู้เพื่อดูข้อมูลของเมืองนี้

[‘หยั่งรู้’ เริ่มทำงาน]

[เมืองโมโมะ]

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด