ตอนที่ 2 อะไรนักหนาเนี่ย?
ตอนที่ 2 อะไรนักหนาเนี่ย?
[มาซาโตะ ชุน มนุษย์ เพศชาย]
หลังจากใช้ทักษะ ‘หยั่งรู้’ ดูอีกครั้ง ก็เป็นไปอย่างที่ลินจิคิด
แต่เพื่อความมั่นใจว่าข้อมูลที่ตนได้มานั้นจะไม่ใช่การทึกทักคิดไปเอง ลินจิจึงเอ่ยถาม…
“คุณชื่อ… มาซาโตะ ชุน ใช่เปล่าครับ”
“ใช่! ถามทำไมกัน ข้าไม่ได้ให้เจ้ามาเล่นทายชื่อสักหน่อย ข้าถามว่าเจ้าเป็นเทพสังกัดไหนกัน”
ชายที่ชื่อ ‘มาซาโตะ ชุน’ ถามเสียงเข้ม
“เทพอะไรกัน ผมชื่อลินจิ”
เมื่อชุนเห็นสีหน้าไม่รู้ปี่รู้ขลุ่ยของฝ่ายตรงข้าม เขาก็บิดริมฝีปากคว่ำเล็กน้อยด้วยแววตาคมปลาบ คิดว่าคงพยายามข่มขู่ลินจิ
“รีบกลับไปที่ของเจ้าซะ! เจ้าเทพอ่อนหัด”
ได้ยินแบบนั้นลินจิก็รู้สึกไม่พอใจ
เทพเทิบอะไรบ้าไปแล้ว เขาเป็นมนุษย์ เป็นนักเรียน ม.ปลาย และถ้าเขารู้วิธีกลับก็คงจะไม่อยู่ที่นี่หรอก ผู้ชายหน้าเหม็นคนนี้ประสาทเสียไปแล้วหรืออย่างไรกัน หล่อเสียเปล่าแต่มารยาทถ่อยเหลือเกิน เพิ่งจะเจอหน้ากันแท้ ๆ พูดกันดี ๆ ก็ได้นี่
ถึงจะคิดเช่นนั้นแต่ลินจิก็ไม่ตอบโต้ คนฉลาดต้องรู้จักประนีประนอมแล้วสร้างมิตร ส่วนคนเขลาก็มักจะคิดสร้างศัตรู
จากนั้นลินจิพูดเสียงอ่อย…
“ให้ผมกลับยังไงล่ะครับ”
“จริงหรือ เจ้ากลับไปไม่ได้จริง ๆ หรือ”
“ครับ”
“โธ่เว้ย!”
ชุนเอ่ยอย่างไม่พอใจ พอสังเกตใบหน้าของอีกฝ่ายเขาก็รู้สึกเอะใจขึ้นมา
รูปร่างหน้าตาของเทพอัญเชิญตนนี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับ ‘เทพเจ้าผู้สร้างโลก’ ในตำนาน แต่เมื่อเห็นท่าทางเหยาะแหยะ ชุนก็ชักจะไม่แน่ใจ จึงเอ่ยถามอีกครั้งว่า…
“เจ้าเป็นเทพเจ้าสังกัดไหน”
ลินจิได้ยินคำถามเดิมก็ยู่หน้า
…สมองเสื่อมไปแล้วหรืออย่างไร เมื่อกี้ตนเพิ่งจะตอบว่าเป็นมนุษย์อยู่หมาด ๆ แต่ในเมื่อถูกเข้าใจผิด ลินจิก็ไม่อยากเรื่องมาก จึงตอบผ่าน ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“ช่างเถอะ เทพก็เทพ ว่าแต่จะยืนตากแดดไปถึงไหนกัน ดูสิครับ ตัวผมแดงหมดแล้ว”
คิ้วขวาของชุนกระตุกหงึก ตั้งแต่เกิดมาเขายังเคยเห็นเทพอัญเชิญที่ไหนสำออยแบบนี้ และถ้าปล่อยทิ้งไว้ชุนก็คงจะลำบาก เพราะ ‘เวทอัญเชิญเทพเจ้า’ สามารถอัญเชิญเทพมาได้ครั้งละตนเท่านั้น
คิดได้แบบนั้นชุนก็ไม่รอช้า รีบหลับตาทำสมาธิร่ายบทคาถาทันที
“ยกเลิกอัญเชิญเทพเจ้า”
สิ้นสุดคำประกาศแสงสว่างก็เจิดจ้าขึ้น…
“...”
ทว่า…
“ไม่ได้ผล”
การอัญเชิญเทพเจ้าเป็นอย่างไรกันแน่ หากไม่เข้าใจเรื่องนี้ลินจิคงไม่อาจกลับโลกของตนได้ หรือว่าอันที่จริงเขาได้ตายไปแล้ว
ขณะที่ชุนกำลังฮึดฮัดเพราะร่ายเวทล้มเหลว ลินจิก็เอ่ยถามอย่างสงสัย
“เอ่อ…โทษที ที่นี่คือที่ไหนเหรอครับ”
ชุนรู้สึกไม่เข้าใจกับคำถามของอีกฝ่าย เทพเจ้าอัญเชิญทุกตนล้วนแต่ต้องทราบข้อมูลพื้นฐานของโลกที่ตนปรากฏตัวทั้งสิ้น แต่ในเมื่อเห็นใบหน้าที่เหมือนกำลังบอกว่า ‘อะไรหรือ’ ของอีกฝ่าย ชุนก็ถอนหายใจ
“นี่เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือโกหก”
“ก็ไม่รู้จริง ๆ น่ะสิ ไม่งั้นจะถามทำไมเล่า!”
เมื่อชุนเห็นสีหน้าจริงจังเหมือนอยากรู้ของอีกฝ่าย เขาก็ยกฝ่ามือทาบหน้าผากพลางส่ายหน้า
“ที่นี่คือ ‘อินเนอร์เวิลด์’”
“อินเนอร์เวิลด์”
ลินจิพึมพำเสียงเบาก่อนนึกขึ้นได้
‘อินเนอร์เวิลด์’ คือชื่อนิยายแฟนตาซีที่เขาเคยแต่งสมัยประถม หรือว่าเขาจะหลุดมาอยู่ในโลกนิยายแฟนตาซี
ทั้งชีวิตของลินจิ เขาเคยแต่งนิยายแฟนตาซีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น แถมยังแต่งไม่จบ ที่เหลือก็เป็นนิยายชายรักชายเสียทั้งหมด
ถ้าที่นี่คือต่างโลกจริง ลินจิก็อยากจะหลุดมาอยู่ในโลกที่มีแต่หนุ่มหล่อเพียงอย่างเดียว มันต้องไม่ใช่โลกที่ใช้ความรุนแรงแบบนี้สิ
“ห๊ะ…”
ลินจิเงยหน้า หรี่ตา อ้าปากค้างอุทานออกมา
“อะไร”
“นี่ผมหลุดเข้ามาอยู่ในโลกนิยายเหรอเนี่ย!”
ชุนจ้องลินจิอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า
“ข้าไม่เข้าใจ เจ้าพูดเรื่องอะไรของเจ้า”
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่สามารถให้คำตอบได้ ลินจิก็คิดหนัก คิดแล้ว คิดอีก แต่คิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบ รู้เพียงแค่ว่า ‘อินเนอร์เวิลด์’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกตามหา ‘ผลึกดวงดาว’ เพื่อขอพรให้โลกสงบสุข เขาจำได้เพียงเท่านี้จริง ๆ
“เจ้าบ่นว่าร้อนไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นก็ตามมาก่อนแล้วกัน”
ตอนนั้นเองที่คำเชื้อเชิญของชุนก็ได้ทำลายห้วงความคิดของลินจิจนไม่เหลือชิ้นดี
ลินจิเขินจนหน้าแดง ถึงไม่แน่ใจว่าตนจะฝันไปหรือเปล่า แต่การที่มีชายหนุ่มมาเชื้อเชิญแบบนี้ ก็ถือเป็นฤกษ์งามยามดีต่อชีวิตลินจิ …อ๊ายยย ♡
“ครับผม”
แม้จะจับต้นชนปลายไม่ถูก และดูเหมือนเป็นการหนีตามผู้ชาย แต่ลินจิก็พยักหน้าตอบรับแต่โดยดี
อยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน ถึงจะมีอันตรายแต่ก็คงตื่นสายได้อย่างไร้ขอบเขต แถมตัวเขาเองยังถูกเข้าใจว่าเป็นเทพเจ้าด้วย หรือถ้าเขาเป็นเทพเจ้าจริง ๆ ก็คงจะมีพลังพิเศษเหมือนในนิยายต่างโลก
ถ้าแบบนั้นล่ะก็…เจ๋งเลย
พอนึกถึงตรงนี้ ภาพที่โดนมังกรสีฟ้าจู่โจมเมื่อครู่ก็แวบเข้ามาในหัว
ดูเหมือนประสบการณ์ที่พบเจอจะไม่สอดคล้องกับความคาดหวัง ลินจิจึงถอนหายใจพลางทำคอตกอย่างยอมแพ้
เมื่อเงยหน้าขึ้นมา วินาทีนั้นสองสายตาก็ประสานโดยไม่ได้ตั้งใจ
“…”
“…”
ทั้งสองกระพริบตาสองครั้ง
และฝ่ายที่เอ่ยขึ้นมาก่อนคือลินจิ
“ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับ ผมไม่เข้าใจ”
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ”
ระหว่างที่ลินจิรอฟัง ชุนก็ตัดบทสนทนาพลางหันหลังสาวท้าวรุดหน้าไป
“โธ่เอ๊ย…”
เมื่อถูกเมินลินจิก็สบถออกมาก่อนถอนหายใจ วินาทีนั้นเองที่สายตาก็พลางสังเกตไปเห็นตัวประหลาดลักษณะคล้ายผีเสื้อกลางคืนตัวมหึมาบินอยู่ไกล ๆ
ขณะที่คิดว่าตอนนี้ยังเช้าจะมีผีเสื้อกลางคืนโผล่มาได้อย่างไร ลินจิก็ลองใช้ ‘ทักษะหยั่ง’ รู้ส่องดูข้อมูล
[ไนท์บลัด ปีศาจ เพศเมีย]
…เหวอ
ลินจิรีบก้าวขาวิ่งตามชุนอย่างไว ก่อนจะสะดุดล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่อย่างทุลักทุเล
แสงตะวันอบอุ่นส่องลงมา ลินจิเงยหน้าช้า ๆ แล้วหยีตา ก่อนจะก้มลงหลบแสงแดด
“โอย เหนื่อยจัง”
กว่าหกชั่วโมงแล้วที่ลินจิเดินโดยไม่พัก กล้ามเนื้อบริเวณขาเริ่มเกร็งจนรู้สึกปวด ผ่านทุ่งกว้างเขียวขจีก็เข้าสู่ป่าท้อ
ลินจิถอนหายใจแล้วใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ไหลย้อยบนใบหน้า
ท้อจัดเป็นไม้เมืองหนาว แต่สำหรับที่นี่คงไม่ใช่ เมื่อทั้งสองเดินมาถึงบริเวณที่มีแต่ต้นท้อขนาดใหญ่ ร่มเงาจากกิ่งก้านสาขาและใบก็ปกคลุมทั่วบริเวณ
ชาวจีนมีความเชื่อกันว่าท้อเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว แถมยังป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นลินจิก็ยังรู้สึกว่าที่นี่อันตรายอยู่ดี
“เดินกันมาตั้งนาน ยังไม่ถึงอีกเหรอครับ”
“ยังหรอกเจ้าหนู ถ้าพระอาทิตย์ตกก็ค้างคืนมันซะที่นี่แหละ”
“ผมชื่อลินจิครับ ไม่ได้ชื่อเจ้าหนู”
“เรียก ‘เจ้าหนู’ น่าจะเหมาะกว่านะ”
“อะไรเนี่ย เอาแต่ใจชะมัด” ลินจิพึมพำด้วยเสียงเบา ๆ
“ข้าได้ยินนะ”
ชุนพูดอย่างเคือง ๆ แต่ไม่ได้หันมองลินจิ หากแต่จับจ้องทางข้างหน้าเพียงอย่างเดียว
“ฮ่ะฮ่ะฮ่า…ได้ยินด้วยหรือครับ”
“แต่ก็พูดไม่ผิดหรอก คิดเสียว่าไม่มีข้าอยู่ด้วยก็แล้วกัน”
แม้ชุนจะพูดอย่างนั้น แต่ลินจิกลับไม่สะทกสะท้านหรือรู้สึกผิดแต่อย่างใด ขณะที่เดินตามชุนต้อย ๆ กระเพาะของเขาก็ส่งเสียงโครกครากออกมา …ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
มองทางไหนก็มีแต่ต้นท้อ …ท้อ ท้อ ท้อ
ลินจิหยุดเดินแล้วกวาดสายตาหาผลท้อที่อยู่ใกล้ ๆ “เจอแล้ว” ท่าทางของเขาเปลี่ยนไป จากสภาพอิดโรยเมื่อกี้กลายเป็นซุกซน
ลินจิวิ่งเหยาะ ๆ ไปที่ต้นท้อข้างทาง ก่อนเขย่งขาเพื่อเด็ดผลเต่งสีชมพูขนาดเท่ากำปั้น เขาค่อย ๆ ใช้มือสัมผัสแล้วบิดผลท้ออย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เด็ดอีกผลเอาไว้เผื่อชุน
“ทำอะไรเจ้าหนู!”
ชุนหันมาเบิกตากว้าง ส่วนลินจิก็มองกลับอย่างไม่เข้าใจ ขณะนั้นอุณหภูมิของลูกท้อก็เพิ่มขึ้นจนร้อนราวกับไฟ พร้อมกับมีควันสีชมพูระเหยออกมา
ลินจิรีบโยนลูกท้อทิ้งทันที …อุ๊ย!
ทันใดนั้นชุนก็ชักดาบเตรียมสู้ ตัวดาบเปล่งแสงสีแดงดั่งไฟลาวา ไม่ใช่แสงสีฟ้าเหมือนตอนที่สู้กับมังกร
ส่วนลินจิก็ได้แต่ยืนทึ่ง ไม่ใช่ทึ่งดาบแต่อึ้งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ใครจะไปคิดว่าผลท้อที่เด็ดมาจะมีฟังก์ชันพิสดารแบบนี้ เขาก้าวถอยหลังอย่างประหม่า ก่อนจะสะดุดก้อนหินล้มก้นจ้ำเบ้า
“อ๊ากกก!”
ลินจิตะโกนลั่นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผลท้อน่ารักมุ้งมิ้งสีชมพูสดใสกลายร่างเป็นปีศาจ …หมดกันท่าทางน่าอร่อยด้วย
ผลท้อสองลูกเมื่อกี้ยังคงเป็นผลท้อเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความใหญ่ ถ้าเทียบไซซ์คงเท่าช้างป่าโตเต็มวัย เมื่อควันสีชมพูสลายไปรูปร่างของมันก็ชัดเจน
“ว๊าก! มีเขี้ยวด้วย”
“ก็ใช่น่ะสิ”
ลินจิอ้าปากแล้วปิดปากก่อนกลืนน้ำลายหนืดลงคอ
[หยั่งรู้ เริ่มทำงาน]
[ทอลานี่ ปีศาจ เพศ -]
…เพราะเป็นพืชเลยไม่มีเพศสินะ แต่ทำไมไม่เห็นเขียนว่า ‘ไร้เพศ’ เหมือนเขาเลย ลินจิรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม
…แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาใช้ความคิดแล้ว
“กางเขตอาคมเร็วเข้า” ชุนออกคำสั่งพร้อมกับพุ่งตัวเข้าหาปีศาจท้อ
เมื่อลินจิใช้เขตอาคม แสงสีทองทรงกลมก็ปรากฏล้อมรอบกายทั้งสอง จากนั้นชุนก็เหวี่ยงคมดาบเป็นแนวนอนฟาดเข้ากลางร่างทอลานี่ทั้งสองตัวในคราวเดียว
ร่างของทอลานี่ขาดอย่างง่ายดายราวกับกระดาษก่อนจะแหลกสลายกลายเป็นจุล จู่ ๆ บนฟ้าก็เกิดพายุหมุน เมื่อแหงนมองทั้งสองก็ตกใจ
ลินจิเบิกตากว้าง …ตัวประหลาดโผล่มาอีกแล้ว ผีเสื้อกลางคืนตัวมหึมากำลังกระพือปีกผับ ๆ อยู่บนฟ้า
[หยั่งรู้ เริ่มทำงาน]
[ไนท์บลัด ปีศาจ เพศเมีย]
“อย่าเพิ่งยกเลิกเขตอาคมนะเจ้าหนู”
“ครับ!”
ลินจิพยักหน้าหงึก ๆ รับคำ ก่อนใช้มือดันพื้นหญ้าพยุงตัวลุกขึ้นมา ไนท์บลัดกระพือปีกจนเกิดสายลมแรงกล้า ก่อนจะส่งพายุหมุนพุ่งโจมตีไปทางชุน
“หน็อย… ไอ้ผีเสื้อประหลาดดูถูกกันเหรอ”
ความรู้สึกถูกเมินเข้าเล่นงานลินจิ เขากำหมัดกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ ขณะเดียวกันชุนก็กระโดดหลบพายุหมุนของไนท์บลัดอย่างพลิ้วไหว ก่อนจะตั้งหลักหลอมรวมละอองแสงสีแดงตรงปลายดาบเป็นทรงกลม
ชุนชี้ปลายดาบไปทางไนท์บลัด ขนาดของลูกไฟสีแดงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
“เอาลูกไฟไปกินซะ”
เมื่อชุนเหวี่ยงดาบออกไป ลินจิก็เก็บก้อนหินแล้วขว้างใส่ไนท์บลัดพร้อมกับลูกไฟสีแดง
“นี่แหนะ”
ไนท์บลัดกระพือปีกบินขึ้นในแนวดิ่งเพื่อหลบหลีกการโจมตี จากนั้นมันก็พุ่งตัวมาทางลินจิ
“ว๊าก”
ลินจิวิ่งแจ้นรีบหนีไปหลบข้างหลังชุน
แม้ชุนจะปล่อยลูกไฟสีแดงออกไปฟึ่บฟั่บ แต่ไนท์บลัดกลับบินหลบอย่างรวดเร็วจนไม่อาจเล็งตัวมันได้
“เร็วมาก ข้าเล็งไม่ถูกเลย”
ลินจิสูดหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสมาธิ จากนั้นเขาก็เหยียดแขนแบมือทำท่าปล่อยพลัง
“พลังลูกบอลระเบิดสะท้านฟ้า!”
ไม่มีสิ่งใดปรากฏ…
“ถ้ามีเวลาเล่นก็ช่วยทำอะไรสักอย่างสิ”
“ผมก็ช่วยอยู่นี่ไงครับ”
ไม่แปลกที่เสียงของชุนจะฟังดูหงุดหงิด เขารีบตั้งสติรวบรวมแสงสีแดงที่ปลายดาบอีกครั้ง
ไนท์บลัดกระพือปีกแรงขึ้นจนเกิดเป็นลมหมุนกลางอากาศพัลวัน จากนั้นมันก็ซัดพายุเข้าจู่โจมทั้งสอง
ทว่าลูกไฟสีแดงของชุนกลับพุ่งเข้าใส่พายุหมุนจนสลายหายไป แม้ลมจะรุนแรงแค่ไหนแต่มันก็ไม่อาจต้านทานลูกไฟสีแดงของชุนได้
ขณะนั้นคลื่นแสงสีแดงดั่งเปลวเพลิงก็แผ่ล้อมรอบร่างกายของชุน ไม่ถึงวินาทีก็ปรากฏเสาอัคคีขนาดใหญ่พุ่งแหวกท้องฟ้าตรงเข้าไปยังบริเวณที่ไนท์บลัดบินอยู่ จนร่างของไนท์บลัดถูกแผดเผาจนมอดไหม้เป็นตอตะโก ก่อนจะระเบิดดัง…ตูม! แตกกระจายกลางอากาศ
…ปลอดภัยแล้ว
เห็นแบบนั้นลินจิก็ชะเง้อหน้าโผล่ออกมา สองมือกำเสื้อของชุนตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เขาค่อย ๆ คลายมือออก ก่อนจะเดินมายืนมองเศษซากไนท์บลัดที่ปลิวไปตามสายลม
“โห สุดยอดเลยครับคุณชุน”
เมื่อได้ยินเสียงชื่นชมของลินจิ ชุนก็ร้อง “หึ” ในลำคอ แสงสีแดงของดาบวูบดับไปช้า ๆ ก่อนด้ามดาบจะกระทบกับฝักดัง…แก๊ก
“ปกติไนท์บลัดมีนิสัยรักสงบ ข้าไม่เคยเห็นมันดุร้ายแบบนี้มาก่อนเลย”
“โธ่ คุณชุน อย่าคิดมากไปเลยครับ อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็ชนะแล้ว”
“มันน่าสงสัยน่ะสิ”
“สงสัยไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ผมหิวจะแย่แล้ว”
“แปลกจริง ข้าไม่เคยพบเทพเจ้าอัญเชิญที่ไหนต้องกินอาหารเลย”
ถ้าไม่ต้องกินอาหาร เขาคงไม่ไปเด็ดผลท้อจนต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นหรอก ลินจิพ่นลมหายใจจนเขตอาคมสีทองดับหายไป
เมื่อชุนเห็นท่าทีแบบนั้นของลินจิ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วมองหน้า หนึ่งวินาที สองวินาที ก่อนจะเบนสายตาหนีไปทางอื่น
“ผมหิว เดินต่อไม่ไหวแล้วครับ”
“อืม”
ชุนเอ่ยเสียงต่ำ ก่อนจะหมุนตัวขวับจนชายผ้าคลุมสีดำบนไหล่ซ้ายสะบัดพลิ้ว จากนั้นเขาก็เดินนำลินจิไปอย่างไม่รีรอ
“เดี๋ยว รอผมด้วย”
ภายใต้ท้องฟ้าสีสันสดใส ลินจิรีบเดินตามชุนไปโดยไม่สนใจทิวทัศน์ที่สวยงามของป่าท้อ เขาเร่งฝีเท้าจนเดินอยู่ในระนาบเดียวกับชุน
พอลินจิเผลอมองใบหน้าด้านข้างของชุนที่กำลังก้าวขา ชุนก็เลิกคิ้วขึ้นมาปรายตามองลินจิด้วยท่าทางสงสัย
“…มีอะไร”
“เปล่าครับ ก็แค่คิดว่าคุณชุนก็น่าจะหิวอยู่เหมือนกัน”
“งั้นเหรอ”
“พวกเราเดินกันมาตั้งนานแล้วนี่ครับ แถมยังไม่ได้กินอะไรเลย”
นึกขึ้นได้ลินจิก็หยิบสมาร์ทโฟนออกมาจากเป้ เมื่อใช้นิ้วโป้งดำปี๋สัมผัสไปที่ปุ่มโฮม หน้าจอก็แสดงเวลา ’16:49 PM’ น่าแปลกใจที่มันยังทำงานอยู่ มุมซ้ายด้านบนแสดงสัญญาณเป็นรูป X เห็นแบบนั้นลินจิก็ถอดใจแล้วรีบเก็บสมาร์ทโฟนก่อนที่แบตเตอรี่จะหมด
“อุปกรณ์เวทมนตร์หรือเจ้าหนู”
“อ๋อ ป่าวหรอกครับ เจ้านี้เรียกว่าสมาร์ทโฟน ใช้สื่อสาร ดูเวลา เล่นเกม ทำได้หลายอย่างจิปาถะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ต่อสู้ได้สิ”
“อันนั้นไม่ได้หรอกครับ”
“เป็นของที่ไร้ประโยชน์เสียจริง”
แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ชุนก็มีท่าทางสนใจอยู่เหมือนกัน เห็นแบบนั้นลินจิก็แอบหัวเราะในใจ
“แล้วเราจะไปที่กันไหนครับ”
“หมู่บ้านของโมโมะ”
“อีกไกลหรือเปล่า ผมเริ่มไม่ไหวแล้ว”
“ทนเดินอีกหน่อย ค่อยไปพักข้างหน้าแล้วกัน”
“…ก็ดีนะครับ”
อย่างนี้นี่เอง ลินจิสังเกตใบหน้าของชุนที่เริ่มอิดโรย แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีเพราะก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสองไม่ได้หยุดพักเลย
“เมื่อรุ่งสางข้าเดินผ่านทางนี้แล้วเจอซากศพอยู่ข้างทาง”
“สัตว์ป่าเหรอครับ”
“เปล่า ไม่ใช่สัตว์ป่า อสูรน่ะ”
“อสูร?”
สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ดูเหมือนจะน่ากลัวสำหรับลินจิไปเสียหมด นอกจากจะมีรูปร่างหน้าตาประหลาด พวกมันยังเข้ามาจู่โจมปุบปับแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย จึงต้องคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ในตอนที่ลินจิกำลังตะลึงว่า …นั่นมันเรื่องน่ากลัวไม่ใช่หรือ ชุนก็มองลินจิด้วยหางตาก่อนจะยักไหล่
“หิวไม่ใช่เหรอ เจ้าหนู”
“เอ๊ะ…”
ไม่ต้องฟังมากกว่านี้ก็พอจะเดาออก
“อีกไม่ไกลก็ถึงจุดที่ข้าพบซากแล้ว แต่ที่ไม่ตัดชิ้นเนื้อมันมาเพราะมีหนอนและแมลงมาตั้งรกรากอยู่ แถมกลิ่นยังเหม็นเน่าด้วย ข้าน่ะไม่อะไรหรอก ถ้าใช้ไฟเผาก็น่าจะกำจัดเชื้อโรคได้”
“อี๋ ของแบบนั้นใครจะไปกล้ากินกันครับ”
มีทั้งหนอนและแมลง... แค่ฟังลินจิก็รู้สึกคันยุบยิบขึ้นมาแล้ว แต่ชุนกลับพูดแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร แถมยังทำปากยื่นเหมือนถูกขัดใจ
“โธ่เจ้าหนู พืชในป่านี้มีพิษกินไม่ได้หรอกนะ อย่างผลท้อที่นี่ถ้าเด็ดออกจากต้นมันก็จะกลายเป็นปีศาจ”
“เรื่องนั้นผมพอจะรู้แล้วครับ”
“ก็เพราะแบบนี้ไงเลยบอกว่าให้ทนอีกนิดแล้วไปพักข้างหน้า”
“…”
“ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น มันไม่มีของแบบนั้นอยู่หรอก”
“ไม่ครับ ช่วยอย่าเอาเรื่องที่ขำไม่ออกมาพูดล้อเล่นนะครับ”
ถึงลินจิจะโวยวายแต่ลึก ๆ ก็รู้สึกโล่งใจ การประทังชีวิตด้วยซากอสูรคงส่งผลเสียต่อกระเพาะอาหารแน่ ๆ