ตอนที่ 2: ฉันคืออะไร... ?
ตอนที่ 2: ฉันคืออะไร... ?
ป่าในยามค่ำคืนมีเสียงต่างๆ ดังคละเคล้ากัน ทั้งเสียงใบไม้และยอดหญ้าที่เสียดสีกัน เสียงแมลงที่ร้องระงม เสียงเห่าหอนของสุนัขป่าที่ไม่รู้แน่ชัดถึงสายพันธุ์และความสามารถของพวกมัน รวมถึงเสียงกรีดร้องเซ็งแซ่ของสัตว์ที่ออกหากินในยามค่ำคืนอื่นๆ
เฮเซคียาห์เดินเปะปะในป่า คลำหาเส้นทางกลับเมืองหลวงของเขตการปกครองที่ 1
“กลับไปไม่ได้” เศวตศาสตราย้ำสิ่งที่มันบอกกับเขาไปแล้วถึงสองครั้ง
มันเรืองแสงและล่องลอยตามเขามา เหมือนดวงไฟวิญญาณในวรรณกรรมของมนุษย์
“หุบปาก”
“ฉันช่วยนายได้ มีที่อื่นที่นายควรไป”
“ไปให้พ้น”
เศวตศาสตราเงียบเสียง ด้านอดีตเจ้าชายกำมือเข้าสลับกับคลายออก เขาเจ็บๆ คันๆ ตามแขน ระหว่างเดินมา เขาเดินผ่านกอหญ้าสูง และได้รับประสบการณ์ที่ไม่เคยได้รับมาก่อน นั่นคือหญ้าบาดเขาจนเกิดแผลเล็กๆ แต่แผลเหล่านั้นไม่ยอมหายไป
เฮเซคียาห์ได้ยินเสียงไก่ขัน เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า
“ดาวเหนือ” หลักการดาราศาสตร์ผุดขึ้นในสมอง ช่วยให้เขาเดาเวลาได้
“ที่ที่นายมุ่งไป ไม่ใช่ที่ที่นายควรอยู่”
“ฉันบอกให้หุบปาก” เขาตวาด
ใจคิดอยากสลัดเศวตศาสตราทิ้ง แต่หาวิธีไม่ได้ เขาลองบอกมันให้แยกย้ายไปทางอื่น แต่มันไม่ทำตาม
“หิวใช่ไหม เหนื่อยด้วยสิ พักหน่อยไหม”
“อย่ามายุ่งกับฉัน!” อดีตเจ้าชายรำคาญเต็มทน
เขาต้องการคำอธิบายสำหรับทุกสิ่ง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เศวตศาสตราเป็นเทคโนโลยีที่โผล่ขึ้นมาในโลกนี้โดยไม่มีที่มาเมื่อ 500 กว่าปีก่อน มันเป็นปริศนาและเป็นอันตรายในมุมมองของชาวมัสติน เป็นสิ่งที่ถูกออกแบบมาสำหรับมนุษย์เท่านั้น ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนว่าชาวมัสตินสามารถใช้เศวตศาสตราได้
“นายเกลียดฉัน แต่นายก็จะต้องการฉัน”
“ไม่!” เขาเร่งฝีเท้า
แต่เดินต่อสักพัก เขาเริ่มล้า เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก
“แก...” ชายหนุ่มตัดสินใจหันมาเผชิญหน้ากับเศวตศาสตรา เขาบรรเทาจากอาการประสาทเสีย เอาจริงๆ เขาเสียขวัญอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากฟื้นขึ้นมาเพียงลำพังและอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิม แต่ตอนนี้สติค่อยๆ แข็งกล้าขึ้น เขามีความคิดว่าในตอนนี้มีแต่เศวตศาสตราที่ตามเขามาต้อยๆ เท่านั้น ที่เขาพอจะหาข้อมูลจากมันได้บ้าง “พวกแกมาจากไหน”
“ผู้ใช้เป็นผู้ให้กำเนิด”
“ไม่ใช่! ฉันอยากรู้ว่าใครสร้างพวกแกขึ้นมา”
“ผู้ใช้เป็นผู้ให้กำเนิด”
“ฉันให้กำเนิดแกยังไง” เขาอยากให้เศวตศาสตราอธิบายอย่างละเอียด
“นายคลอดฉันออกมา”
เฮเซคียาห์นิ่วหน้า
เขาพอเข้าใจว่าเศวตศาสตราหมายถึงอะไร
จากการวิจัยด้วยการผสมเทียมระหว่างผู้ใช้เศวตศาสตราชายและหญิง เพื่อให้ได้ตัวอ่อน ทีมวิจัยที่แต่งตั้งขึ้นได้ค้นพบว่าเมื่อตัวอ่อนคลอดออกมาแล้วครบ 5,478 วัน จะเกิดอาการเป็นไข้สูง อาเจียน เจ็บปวดเจียนตาย และร่างกายจะผลิตแร่จากผนังกระเพาะอาหารเพื่อหลอมรวมขึ้นเป็นเศวตศาสตรา
เศวตศาสตราจะเคลื่อนที่จากกระเพาะอาหาร ขึ้นมาตามหลอดอาหาร และออกมาทางปาก ทางผู้ใช้เศวตศาสตราจะครอบครองและสามารถใช้งานมันได้ทันที
“ฉันไม่ใช่มนุษย์” เผ่าพันธุ์คือเงื่อนไขการใช้งาน
“ก็บอกว่าใช่ไง ยืนยันเป็นรอบที่สิบ”
เฮเซคียาห์ยกมือขึ้นแตะขมับ เขาปวดศีรษะอย่างมาก หัวตื้อไปหมด การสนทนากับเศวตศาสตราทำให้ความดันของเขาพุ่งสูงขึ้น สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับเขา เขาเครียด
เขาตัดสินใจเดินต่อไปเงียบๆ ไม่ตั้งคำถามอีก สมองพยายามคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ก่อนจะตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองสลบอยู่เพียงลำพังในป่า แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
เท้าของเขาเดินไป เดินอย่างไม่รู้จุดหมาย เดินจนเจ็บเท้าระบมไปหมด
“ให้ตายเถอะ!” เขาพึมพำ และค่อยๆ ก้าวไปทรุดตัวลงนั่งพักใต้ร่มไม้ใหญ่ สายตามองเห็นรอบข้างได้มากขึ้น ฟ้าไม่ได้มืดมิดแต่กลับดูสว่างขึ้นเล็กน้อย บางทีเวลาคงค่อยๆ เดิน เดินไปพร้อมๆ กับเขาซึ่งเดินอย่างโดดเดี่ยว กระทั่งจนตอนนี้ใกล้จะรุ่งเช้าแล้วกระมัง
เปลือกตาของเขาปิดลง นึกอยากหลับลงสักตื่น แม้รอบข้างจะเปียกชื้นเพราะน้ำค้างทำให้กายของเขาหนาวและขนลุกชัน
เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาหลับๆ ตื่นๆ และก็ค่อยๆ กะพริบตาถี่ๆ เมื่อความร้อนซ่านแสนคุ้นเคยบังเกิดตามจุดต่างๆ ทั่วร่าง เขาปรือตามองแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ สาดมาอย่างช้าๆ บนพื้นดินตรงหน้า แสงสีทองขยับขยายพื้นที่ครอบครองกระทั่งมันมาอาบไล้บนร่างกาย แผลทั้งหมดจากหญ้าบาดผิวระหว่างเดินมาในตอนฟ้ามืด รวมถึงรอยเขียวฟกช้ำจากการกระแทกเข้ากับกิ่งไม้ต่างๆ ค่อยๆ หายไป
“ไม่ใช่” เขาลุกลี้ลุกลนยกมือขึ้นแตะไปตามตัว สีหน้าแสดงความโล่งอก “ฉันไม่ใช่มนุษย์”
แล้วเขาก็ถอนหายใจยาว ล้มกายลงนอนกับพื้นท่ามกลางแสงแดดยามเช้า
ความเหนื่อยอ่อนกลับเพิ่มมากขึ้นอีกอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
“ฉันควรจะเดินต่อ...” เขาพึมพำ
แต่จะลุกก็ลุกไม่ขึ้น เปลือกตาของเขาที่ตั้งใจแค่จะปรือขึ้นกลับหนักอึ้งขึ้นมาเสียเฉยๆ เขาลืมตาไม่ขึ้น และแม้จะพยายามฝืนต่อไป เขาก็พ่ายแพ้ให้กับความอ่อนล้าในที่สุด มันครอบงำเขา ทำให้เขาเข้าสู่ภวังค์แห่งนิทรา
“เก็บกู้ความทรงจำตามความปรารถนา” เสียงของเศวตศาสตราลอยมาเข้าหู “ถ่ายโอนสู่ความฝัน”
เฮเซคียาห์รู้สึกเหมือนเขากำลังตกจากที่สูงในภวังค์
เขาสะดุ้ง รู้สึกราวกับเขาจะตื่น
แต่เขาไม่ตื่น นี่ต่างจากหลายๆ คืนในชีวิต เขาไม่ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงแสนสบายเพราะการละเมอว่ากำลังตกจากตึกสูงในชั่ววินาทีที่กำลังจะหลับลึก
ฉันหลับอยู่หรือเปล่า?
เขาถามตัวเอง
“คีห์ ได้ยินแม่ไหม” เสียงของราชินีเอสเธอร์แว่วเข้ามาในหัว ขณะที่เขายังมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด “ลูกได้ยินแม่ไหม ลูกรัก”
“เสด็จแม่” เสียงของเขา
แต่นั่นไม่ใช่เสียงของเขาในขณะนี้
“ลืมตาขึ้นคีห์ ลูกต้องออกไปจากที่นี่”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
เฮเซคียาห์ได้ยินเสียงของเขาพูดขึ้นอีก ทั้งที่เขาไม่ได้พูดออกมา และเขาก็ได้เห็นภาพใบหน้าของราชินีเอสเธอร์ และห้องของเขา
นี่มัน... เขาน่าจะเห็นภาพความทรงจำของตัวเอง!!!
“แม่ไม่สามารถเปลี่ยนเจตนารมณ์ของไลฟ์ควอตซ์ได้ ไลฟ์ควอตซ์ไม่มีความปรานีเลย แม้ว่าลูกเคยเป็นคนที่ถูกตั้งความหวังไว้ ลูกรีบไป รีบหายานแล้วออกไปจากที่นี่”
“ลูกไม่เข้าใจ”
เสียงของตัวเขาเองไอออกมา ตามด้วยเสียงขลุกขลัก แล้วเขาก็ได้เห็นเศวตศาสตราหลุดจากปากลงมากองอยู่ที่พื้น
เศวตศาสตราทำให้เขาได้เห็นช่วงเวลาที่เขาให้กำเนิดมัน
“รีบไป ก่อนที่เฮเซเคียวจะมา”
“น้องชายหน้าโง่นั่น มันจะทำอะไรลูก” เขาได้ยินเสียงตัวเองหัวเราะ แต่หัวเราะแบบเพ้อๆ
“แม่รู้ว่าเขากำลังมา และด้วยสภาพของลูก ลูกในตอนนี้ไม่สามารถสู้น้องได้” ราชินีเอสเธอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า “รีบไปก่อนที่เขาจะมา เขาอาจฆ่าลูกได้สำเร็จ ลูกต้องไปแล้วคีห์ แม่ไม่ได้หวังให้เป็นแบบนี้ แม่ไม่ได้ต้องการแบบนี้ แต่ลูกต้องไป”
“เสด็จแม่ อธิบาย...”
“แก เศวตศาสตรา แกช่วยเขาสิ ทำได้ใช่ไหม เอาเขาไป!” ราชินีคุยกับเศวตศาสตรา “ไม่ว่ายังไง ฉันจะไม่ให้เขามาตายต่อหน้าเด็ดขาด”
ฉับพลัน ทุกอย่างในภาพที่เฮเซคียาห์เห็นหยุดการเคลื่อนไหว ให้ความรู้สึกราวกับว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพจากเทปที่ถูกกดหยุดกลางคัน
พรึบ!
ด้านซ้ายของภาพดับวูบ เห็นเป็นสีดำ
พรึบ!
ตามด้วยด้านขวา
พรึบ!
เสี้ยวตรงกลางของภาพที่เหลืออยู่หายไป
เฮเซคียาห์รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังแทรกเข้ามาในโพรงจมูกของเขา เขาอ้าปากส่งเสียงตะโกน ร่างกระเด้งขึ้น และทันใดนั้น ดวงตาก็เปิดออก เขารู้สึกตัวว่าได้ผุดขึ้นมานั่งแล้ว
และไม่มีอะไรอยู่ในจมูกของเขาทั้งนั้น...
แต่ในสมอง ภาพเหตุการณ์ต่อจากเมื่อราชินีเอสเธอร์คะยั้นคะยอให้เขาจากมา ยังดำเนินต่อไปอีก ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ภาพที่เห็นอยู่ในมุมมองของบุคคลที่สาม น่าจะเป็นแค่บันทึกเหตุการณ์ของเศวตศาสตรา ไม่ใช่ความทรงจำจากสมองของเขาเอง
“ทำไม หลังจากฉันหมดสติไปแล้ว ทำไมอยู่ๆ ฉันลุกขึ้นมา” เขาเบิกตากว้าง จ้องเข้าไปในภาพที่น่าจะมีเพียงเขาที่สามารถมองเห็นได้ “ทำไมฉันฆ่าคนอื่นๆ ทุกคนที่ขวางทาง...”
“รายงาน: ฉันเปิดโหมดป้องกันตัว”
“โหมดป้องกันตัว” เฮเซคียาห์เสียงแหบ ไม่เข้าใจสิ่งที่เศวตศาสตราบอกกับเขา
“ในบางครั้ง เมื่อผู้ใช้งานหมดสติ หรืออยู่ในภาวะไม่สามารถตัดสินใจ เศวตศาสตราบางอันสามารถควบคุมร่างกายของผู้ใช้ได้ชั่วคราว นั่นเป็นกรณีฉุกเฉิน”
“ไม่...” เขาไม่อยากเชื่อ เทคโนโลยีที่เขามองมันเป็นศัตรูสามารถชักใยเขาได้ “ฉันไม่เคยรู้”
“ฉันไม่เป็นภัย ฉันแค่พยายามจะช่วย”
“ช่วย? สิ่งที่เกิดขึ้น นั่นเรียกว่าขโมยร่างคนอื่นไป”
“เป้าหมายของโหมดป้องกันตัว คือการช่วยผู้ใช้เศวตศาสตราเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ฉุกเฉิน” เศวตศาสตราอธิบายกับเขา เสียงเรียบเหมือนการพูดของหุ่นยนต์หรือระบบปฏิบัติการ แต่คนฟังรับรู้ได้ว่ามันรีบร้อนพอสมควรในการให้ข้อมูลกับเขา “ฉันไม่สามารถเปิดโหมดป้องกันตัวได้ หากสติสัมปชัญญะของนายสมบูรณ์”
เฮเซคียาห์หน้าตึง โมโหหงุดหงิด
เทคโนโลยีปริศนาอย่างเศวตศาสตรา มันใช้เขา! มีอำนาจเหนือเขา! ควบคุมเขา!
ในหัวของเขา ภาพในความทรงจำที่ดำเนินไป เขากำลังขับยาน FAF-11 ทำด้วยโลหะเบาสีดำวาว รูปร่างเหมือนขวดน้ำที่ถูกตัดหัวท้ายเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู พุ่งเร็วเพื่อมุ่งออกจากพระราชวัง มีหนึ่งในสมุหเสนาบดี คือชีล่า บุ๊คกี้ สมุหบรรณารักษ์ผู้สนิทสนมกับน้องชายของเขา แต่เคยรับใช้เขาอย่างภักดีขับขี่ตามมา ยานที่เธอโดยสารนั้นเป็นแบบคร่อมขี่ สีม่วงมันเงาและเรืองแสงแปลกๆ เป็นยานยนต์สั่งทำพิเศษ
ชีล่าส่งลูกบอลไฟพุ่งจากมือ บังคับลูกไฟให้ตรงมายังด้านท้ายยานพาหนะของเฮเซคียาห์ แต่เขาซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของเศวตศาสตรากลับควบคุมยานเคลื่อนหลบได้ฉิวเฉียด และเร่งเครื่องหนี
ทว่า จู่ๆ สายฟ้าก็ผ่าโครมลงมาบนยานซึ่งโดยสารอยู่ ความรุนแรงมีอานุภาพทำลายล้างสูง ชนวนไฟฟ้าของยานมีค่าความต้านทานไม่เพียงพอ ระบบเดินเครื่องจึงขัดข้องและไม่สามารถใช้โดยสารได้อีกต่อไป
“แกคิดจะหนีไปไหน” เฮเซเคียว น้องชายของเขาปรากฏตัวขึ้น แขนข้างหนึ่งมีสายฟ้าแล่นพันอยู่รอบ ส่งแสงสว่างออกมาวาบๆ
เฮเซคียาห์ที่ถูกควบคุมร่างกายไม่ตอบ ดวงตาของเขาไม่มีแวว เคลื่อนไหวอย่างตุ๊กตาที่ถูกกำกับจากเศวตศาสตรา
น้องชายพุ่งเข้าหา เขาหลบหลีกด้วยความรวดเร็ว ก่อนทรุดกายเหมือนเข่าอ่อนลงไปนั่งเสียเฉยๆ เฮเซเคียวแสยะยิ้ม แล้ววาดแขนออกมาด้านหน้า สายฟ้าฟาดลงมา แต่เขายังกลิ้งตัวหนีจากจุดโดนฟ้าผ่าได้ทัน พร้อมกันนั้นเขาเหวี่ยงเพนดูลัมออกไป ส่วนของลูกตุ้มเพนดูลัมที่มีความคมจากการถูกขัดมุมและลับเหลี่ยมอย่างสม่ำเสมอสับเข้าที่คอของชีล่าที่กำลังวิ่งเข้ามาจากอีกทาง
เธอทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่า เอามือกุมคอไว้ เลือดพุ่งทะลัก
เฮเซคียาห์พุ่งเข้าไปยึดยานพาหนะของชีล่า และเร่งเครื่องหนีเฮเซเคียวสุดชีวิต วัสดุของยานพาหนะนี้ไม่สามารถทำลายด้วยพลังธาตุระดับสูงธรรมดาได้ ถ้าเฮเซเคียวพุ่งเป้ามาโจมตียานพาหนะ น้องชายของเขาต้องเสียเวลาชาร์จพลังอยู่บ้าง
ทว่า หลังยานวิ่งมาได้สักพัก มันกลับหยุดทำงานลงซะเฉยๆ เพราะถูกตั้งค่าขอบเขตเส้นทางการขับขี่ให้ทำงานได้เฉพาะเมื่ออยู่ในเมือง ซึ่งเขามาถึงประตูทางออกสู่พื้นที่ภายนอกเมืองหลวงแล้ว
โดรนเฝ้าทำหน้าที่ของมันตามปกติ มันไล่ล่าเขา แต่เศวตศาสตราช็อตพวกมันด้วยไฟฟ้าร่วงไปทีละตัว
เฮเซคียาห์วิ่งด้วยเท้าของตัวเองออกจากเมือง
เขาวิ่งไปได้ไกลมาก วิ่งไปจนที่สุดร่างกายของเขาก็ถึงขีดจำกัด แข้งขาสั่น ล้มแผละ
“รายงาน: นั่นคือทั้งหมด จบบันทึก 5 ชั่วโมงแรกหลังนายกลายเป็นมนุษย์”
“โว้ย!” เฮเซคียาห์ในโลกความจริงทุบมือกับหญ้า โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
สมองของเขานึกถึงราชินีเอสเธอร์
“เสด็จแม่ ฉันต้องกลับไปถามให้รู้เรื่อง” เขามีสังหรณ์ “เสด็จแม่ต้องมีคำอธิบายเรื่องนี้ เธอต้องบอกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่”
แม้มีความคิดอยากกลับบ้าน แต่มันไม่ง่ายเลยเมื่อเศวตศาสตราจงใจไม่ยอมบอกทางกลับไปเมืองหลวงแก่เขา เฮเซคียาห์เดินหลงวนเวียนอยู่ในป่าต่อเนื่องไปอีกหลายวัน เขาไม่อยากท้อ แต่ก็เหนื่อยล้า และรู้สึกหดหู่พิกล
“ฉันไม่เชื่อ ฉันต้องไม่ใช่ ไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ”
เขาพร่ำพูดซ้ำๆ กับตัวเอง
ดวงตาของเขาบังเอิญเหลือบไปเห็นประกายลิบๆ วิบวับ เขาหรี่ตามองแล้วพบว่ามีทะเลสาบอยู่ลิบๆ นั่นกระตุ้นเขาให้รีบสาวเท้าไวขึ้น เขาพุ่งไปยังริมทะเลสาบ วักน้ำมาดื่มและล้างหน้า และก้มมองเงาสะท้อนของตนเองในน้ำ แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้า
“ฉันต้องกลับไปให้ได้”
เขาย้ำกับตัวเองเพื่อให้ฮึกเหิม กระเพาะของเขาไม่มีอาหารตกถึงท้องมาเป็นวันแล้ว เขาหาอาหารเองบ้างในช่วงหลายวันมานี้ แต่วันนี้เขายังไม่เจออะไรให้จับกินได้เลย ตอนนี้เขาคิดว่าอาจจะเที่ยงแล้ว
เขาสลดใจเมื่อระลึกได้ว่าชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาไม่สามารถเชื่อมต่อกับไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิดที่ปกติจะคอยให้ข้อมูล ความรู้ และคำแนะนำต่างๆ ดังนั้นจึงไม่อาจแน่ใจแม้แต่ในเรื่องง่ายๆ เช่นว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร
เสียงท้องของเขาดังขึ้น
“อีก 500 เมตร มีกวางธรรมดาๆ อยู่”
จู่ๆ เศวตศาสตราพูดขึ้น
“ฉันไม่ได้ถามแก” ชายหนุ่มเสียงกร้าวใส่อย่างหงุดหงิด เขาไม่อยากให้มันมาคอยลอยตามหลังเขาเหมือนเงาตามตัวและคอยบอกนั่นบอกนี่เลียนแบบไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิด
“...”
“ฉันต้องหาเหตุผลให้ได้ว่าจู่ๆ แกออกมาจากตัวฉันได้ยังไง และฉันเสื่อมจากความเป็นมัสตินได้ยังไง” เขามองลงมาที่ร่างกายของเขาเองซึ่งซีดหม่นแสง ตอนนี้เขาไม่ได้ดูเหมือนมนุษย์ไปซะทีเดียว สีผมของเขาก็ยังแปลกตาผิดปกติจากมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด แล้วยังพลังธาตุของเขา เขาไม่รู้สึกถึงมัน ใช้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นพลังจากดิน น้ำ ลม หรือไฟ ซึ่งทั้งหมดเป็นธาตุพื้นฐานซึ่งชาวมัสตินควบคุมพวกมันได้
“นายเป็นมนุษย์ที่พิเศษสุดๆ”
“ถุย! พิเศษเหรอ มนุษย์เหรอ” เขาแค่นหัวเราะ
“มนุษย์เพียงหนึ่งเดียวที่รักษาตัวเองได้” เศวตศาสตราพูดต่อแม้ว่าเขาแสดงออกชัดว่าไม่อยากฟังมันพูด “เพราะเศษไลฟ์ควอตซ์ในหัวใจของนายถูกตัดขาดจากไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิดแล้ว นายจึงไม่สามารถควบคุมธาตุต่างๆ หรือส่งโทรจิตได้ แต่เศษไลฟ์ควอตซ์เล็กๆ ก็ยังทำงานต่อไปได้ด้วยตัวเองโดยใช้แสงอาทิตย์ในกระบวนการทำงาน ช่วยให้นายฟื้นฟูร่างกายได้เสมอในตอนกลางวัน”
“หุบปาก!!! ฉันไม่ใช่มนุษย์” เขาเอื้อมมือไปจะคว้าเจ้ากล่องปากมาก แต่มันหลบพ้น
อดีตเจ้าชายบริภาษหยาบคายคำแล้วคำเล่าใส่มัน ก่อนจะหมุนกายทิ้งลำธารไป
เขาตามหากวางตามคำบอกของเจ้ากล่องบัดซบ และใช้เวลาไม่นานก็ล้มมันลงได้ด้วยเพนดูลัมของเขา ตอนนี้เขาเริ่มกลับมาใช้งานอาวุธประจำตัวได้ แต่เหมือนต้องเกร็งกล้ามเนื้อแขนมากกว่าที่เคยและมีความสามารถจำกัดเหลือเกิน เมื่อเขาไม่สามารถใช้ลมร่วมด้วยได้เหมือนเช่นเคย
“คำถาม: จะพักที่นี่เหรอ”
เศวตศาสตราคงสงสัย เพราะชายหนุ่มไม่มีทีท่าว่าอยากออกเดินทางทั้งที่รับประทานเนื้อกวางย่างจนอิ่มไปแล้ว ตัวกวางไร้เขี้ยวเล็บที่ถูกแล่เนื้อบางส่วนด้วยเพนดูลัมมาย่างไฟถูกทิ้งไว้ห่างออกไปมาก ชายหนุ่มตั้งใจทำแบบนั้น เพราะจะได้ไม่ถูกทั้งกลิ่นและแมลงวันที่สนใจเนื้อสดเข้ามารบกวนการนอนของเขา
“ไปให้พ้น” เขาตะคอก
เปรี้ยง!!!
เสียงบางอย่างดังมาจากแต่ไกล เขาผุดลุกนั่ง
“รายงาน: ตรวจพบฝูงไลท์ติ้งวูล์ฟไกลออกไปประมาณ 15 กิโลเมตร มีการต่อสู้เกิดขึ้นในฝูง”
“ฉันไม่จำเป็นต้องแคร์” อดีตเจ้าชายยักไหล่ ยังคิดว่าระยะห่างระหว่างเขากับสัตว์ร้ายยังอีกไกล เขาอยู่ในอารมณ์ซังกะตาย และไม่อยากเคลื่อนไหว เขาต้องการปักหลักอยู่เฉยๆ ไปก่อน แล้วตอนเช้าพรุ่งนี้ค่อยมาคิดถึงวิธีเดินทางกลับไปที่เมืองหลวง
“คำเตือน: มนุษย์อย่างนายสามารถพ่ายแพ้ให้แกสัตว์ร้าย หากไม่ระวังตัว”
ชายหนุ่มยักไหล่ขณะหลับตาอยู่
ช่างแม่งมันเถอะ! กะอีแค่ไลท์ติ้งวูล์ฟ ถ้าต้องเผชิญหน้ากัน พ่อจะแล่ขนเอามาทำเสื้อกันหนาวซะเลย