ตอนที่ 1 ฮือ ที่นี่ที่ไหน
ตอนที่ 1 ฮือ ที่นี่ที่ไหน
“ช่วยด้วย!”
ลินจิร้องลั่น วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างคงต้องตายแน่
จู่ ๆ เขาก็เข้ามาอยู่ในป่าซึ่งมีหมอกหนาทึบ แถมยังมีตัวประหลาดลักษณะคล้ายงูก็โผล่ออกมาไล่ล่าอย่างไร้เหตุผล ลักษณะส่วนหัวและลำตัวของมันเหมือนคน แต่ท่อนล่างนั้นมีหางเหมือนงู ผมเผ้าสีดำดูกะเซอะกะเซิง ถ้าใช้นิ้วสางคงจะมีสังกะตังหลุดออกมา …อี้
วินาทีที่เหลียวหลังพลางจินตนาการแปลก ๆ เขาก็ก้าวพลาดเหยียบเข้าที่เชือกรองเท้าของตัวเอง จนสะดุดล้มหน้าคว่ำพื้น
...เจ็บ
ใบหน้าของลินจิเริ่มซีดเซียวราวกับจะสิ้นชีพไปเดี๋ยวนั้น เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง ตัวสั่นระริกด้วยความกลัว จู่ ๆ ขาก็แข็งทื่อส่งผลให้ลุกขึ้นยืนไม่ได้
ความทรงจำครั้งสุดท้ายลินจิจำได้ว่าเขาส่งการบ้านวิชาศิลปะ อาจารย์ให้วาดรูปภาพอิสระ เขาเลยวาดรูปสตรีผู้มีช่วงล่างเป็นงูยักษ์พร้อมใส่ชื่อผู้สอนลงไปด้วย
เมื่อเหลียวหลังมอง เม็ดเหงื่อก็หยดลงบนใบหน้า อีกแค่เมตรเดียวปีศาจงูก็จะเลื้อยมาถึงตัวแล้ว
…เหวอ
ทันใดนั้นปีศาจงูขดหางเหมือนสปริงดีดร่างขึ้นฟ้า ก่อนจะตีลังกา 360 องศา พุ่งดิ่งลงมาทางลินจิ
…ตายแน่นอน แบบนี้ต้องตายแน่นอน
ลินจิหลับตาปี๋ ใจลอยหนีจากความเป็นจริง เขาเป็นแค่เด็กชั้นประถมห้า ทำไมต้องมาอยู่ในสมรภูมิแบบนี้ด้วย สวรรค์น่าจะส่งสายฟ้าฟาดปีศาจงูให้ตายไปเสีย ลินจินึกสาปแช่งในใจ
เมื่อลืมตา…ลินจิก็นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพบว่าตัวเองเผลอฟุบหลับบนโต๊ะในคาบเรียน จากนั้นจึงเข้าใจขึ้นมา
…ฝันหรอกรึ
เขายืดตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า มองดูบนสมุดโน้ตบนโต๊ะตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
‘อินเนอร์เวิลด์’
ตอนนั้นเองบรรยากาศภายในห้องเรียนก็เงียบกริบ ลินจิรู้สึกแปลก ๆ จึงกวาดสายตามองรอบตัว ก็เห็นเพื่อนนักเรียนต่างจับจ้องมาทางเขาพลางเอามือปิดปากหัวเราะกันคิกคัก ทำให้ความเงียบสงัดมีสีสันขึ้นมาเล็กน้อย
ขณะที่คิดว่า มารดามันเถอะ หัวเราะบ้าบออะไรกัน ลินจิก็ต้องตะลึงงัน เมื่อพบว่าอาจารย์กำลังยืนจ้องเขาตาเขียวอยู่ข้างโต๊ะ ใบหน้าของอาจารย์ถมึงทึงดูโกรธเกรี้ยว ปลายจมูกบวมแดงมีเม็ดสิว ราวกับหมีที่ถูกฝูงผึ้งรุมต่อยตรงปลายจมูก
เห็นแบบนั้นลินจิก็รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนจะเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหนมาก่อน
เมื่อนึกขึ้นได้…
หวาย ปีศาจงู คราวนี้ได้ตายจริงแน่
“ลินจิ แอบเอาวิชาอื่นมาทำในคาบศิลปะอีกแล้ว”
สมุดนิยายที่แต่งค้างไว้ตรงหน้าถูกคว้าด้วยเงื้อมมือของหญิงวัยกลางคน ลินจิก้มหน้าลง ก่อนจะเงยขึ้นช้า ๆ
อาจารย์เปลี่ยนสีหน้าทันควันดูมีออร่าข่มขวัญ ถ้าได้สู้กับฝูงควายป่าตกมันเธอคงชนะอย่างขาดลอย ขณะที่ลินจิคิดในใจ อาจารย์ก็กวาดสายตาอ่านสมุดเล่มนั้นก่อนจะวางลงที่เดิมดังแปะ
“เพ้อฝันอีกแล้ว”
“ผะ…ผมเปล่าเพ้อฝันนะครับ นั่นมันนิยายของผม”
“อย่าเอาของไร้สาระขึ้นมาในคาบเรียนอีกนะ”
“ปีศาจ”
ความในใจเล็ดลอดออกมา ส่งผลให้สีหน้าของอาจารย์เปลี่ยนไปอีกขั้น คราวนี้เขาได้ตายจริง ๆ แน่
อ๊ากกก!
ลินจิอยากจะกรีดร้องแต่ก็ไม่มีเสียงออกมา เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองนั้นฝันไป …ฝันซ้อนฝันอีกแล้ว แถมยังฝันว่าหลุดเข้าไปในนิยายที่เคยแต่งสมัยประถมห้า เขายกตัวขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะคว้าผ้าห่มตรงปลายเท้ามาคลุมแล้วกลิ้งหลุน ๆ จนมันพันรอบตัวเหมือนหนอนดักแด้
ขณะนั้นไฟก็พลันดับขึ้นมา ลินจิจึงหลับตาลงช้า ๆ พลางนึกถึงนิยายเล่มแรกที่เขาเคยแต่ง…
‘อินเนอร์เวิลด์’ คือ นิยายแฟนตาซี ซึ่งเป็นโลกที่มีสัตว์อสูร ปีศาจ วิญญาณ มังกร เทพ ฯลฯ เท่าที่เด็กชั้นประถมห้าจะจินตนาการได้ ภารกิจหลักของตัวละครคือ การออกตามหา ‘ผลึกดวงดาว’ ทั้งแปดชิ้น จากวันนั้นก็ผ่านมาหกปี เป็นเรื่องธรรมดาที่ลินจิจะลืมข้อมูลบางส่วนของนิยายเรื่องนี้ไป แต่สิ่งที่เขาจำได้ขึ้นใจก็คือ …แต่งไม่จบ
ขณะที่จมอยู่ในห้วงความคิดลินจิก็รู้สึกร้อนขึ้นมา
ให้ตายสิเด็กหนุ่มวัยสิบหก จะต้องมาตายในผ้าห่มลายเคโรโระแบบนี้เหรอ ลินจิถีบผ้าห่มออกจากตัวดังผับ ๆ คืนกลางฤดูร้อนมีความชื้นในอากาศไม่มากนัก แถมไฟยังดับทำให้เครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน ในห้องปิดหน้าต่างสนิททำให้ไม่มีลมแม้แต่นิดโชยเข้ามา ถ้าไม่เปิดหน้าต่างต้องถือเป็นการฆ่าตัวตายแน่ ๆ
…โอย
ห้องที่ปิดทึบอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ ลินจิกลิ้งตกจากที่นอนคิงไซซ์แล้วคลานไปตามพื้นในสภาพหนอนแมลง เขาพยุงตัวอย่างเชื่องช้าก่อนใช้มือเลื่อนเปิดบานหน้าต่าง
…อา ไม่มีลมเลย
ลินจิทรุดตัวลงพื้นแล้วค่อย ๆ คลานขึ้นที่นอน
สิบนาที…
ยี่สิบนาที…
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปเขาก็สติแตกเพราะทนความร้อนไม่ได้ ทำไมไฟต้องมาดับด้วย ไอ้ความหงุดหงิดนี้คืออะไร เหมือนไม่ได้พักเลยสักนิด เมื่อคืนเขาปั่นนิยายวายจนถึงตีสาม พอกดโทรศัพท์ดูเวลาก็ตีห้าแล้ว ขณะคร่ำครวญด้วยความแค้นใจ เสียงปี๊บ ๆ จากเครื่องปรับอากาศก็ดังขึ้นมา
ลินจินอนฟังเสียงนั้นนิ่ง ๆ แล้วกลิ้งลงจากที่นอนอีกครั้ง คราวนี้เขาลุกขึ้นยืนสองขาในสภาพมนุษย์แล้วตรงไปปิดหน้าต่าง ก่อนจะกลับมามุดในผ้าห่มเคโรโระเหมือนเดิม
ถึงจะเป็นนักเรียนชั้นมัธยมห้า สูงร้อยเจ็ดสิบตามมาตรฐาน ตัวผอม ร่างกายบอบบาง ผิวขาวเหลือง ไว้รองทรง หรือดูผ่าน ๆ เหมือนลูกคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็น แต่ลินจิก็งานยุ่งทุกวัน เขาประกวดการแต่งนิยายวายจนได้รับรางวัล ‘Reader’s Choice’ ตั้งแต่ชั้นมัธยมสาม ผ่านไปสองปีนิยายของเขาจะดังเปรี้ยงปร้าง แถมพักนี้เขามักจะฝันถึงนิยายที่เคยแต่งสมัยประถมแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมาบ่อย ๆ ซึ่งมันช่างรบกวนเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดของเขาเหลือเกิน
รุ่งเช้าลินจิไดร์ผมหลังอาบน้ำ ปลายผมสีดำชี้ตั้งไม่เป็นระเบียบ เขาค่อย ๆ หวีผมอย่างประณีตหน้ากระจกก่อนเส้นผมกลางศีรษะจะกระดกชี้ขึ้นอีกครั้ง
“เฮ้อ”
ลินจิถอนหายใจอย่างยอมแพ้แล้วตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า ข้างในนั้นมียูนิฟอร์มและชุดเก่าปอนแขวนอยู่อย่างโหรงเหรง เขาหยิบชุดนักเรียนที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าออกมา แล้วคว้าถุงเท้าที่สุมอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่
เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยลินจิก็เอาโน้ตบุ๊กใส่เป้แล้วรีบลงไปชั้นล่าง เขาสวมรองเท้าผ้าใบที่ถอดระเกะระกะอยู่ตรงหน้าทางเข้าก่อนออกจากบ้านไป ส่วนคุณพ่อคุณแม่ของลินจินั้นไปฮันนีมูนที่นิวยอร์กหนึ่งสัปดาห์ ปล่อยให้ลูกชายใช้ชีวิตหน้าร้อนในต้นเดือนพฤษภาคมเพียงลำพัง
ครอบครัวของลินจิเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แม้ผู้ปกครองจะไม่เคยทราบว่าลูกชายทำอะไรอยู่ในห้องคนเดียวบ้าง แต่ลินจิก็เป็นเด็กชายที่น่ารัก เขาเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง และมักจะเก็บตัวอยู่ในห้องเงียบ ๆ แต่นั่นก็เพราะภารกิจลับสำคัญ
…ใครจะบอกให้พ่อแม่รู้กันว่าลูกชายหมกมุ่นกับการแต่งนิยายชายรักชายกันล่ะ
ลินจิสาวเท้าออกจากซอย พอเลี้ยวขวาก็เข้าสู่ถนนใหญ่ ด้านหน้าเห็นสถานีบีทีเอสนานาอยู่ไม่ไกล เขาก้าวขาอย่างไวเพื่อรักษาเวลา พลางคิดว่า…ต้นฉบับนิยายวายที่ส่งไปให้สำนักพิมพ์พิจารณา เมื่อไหร่จะได้รับการตอบรับสักที เขาส่งไปหลายเรื่องแต่ก็เงียบฉี่ อยากจะเสกอุกกาบาตยักษ์ตกใส่หัวบรรณาธิการเสียเหลือเกิน
เมื่อเข้ามาในตัวสถานีลินจิก็ใช้บัตรรายเดือนแสกนเพื่อผ่านเครื่องตรวจตั๋วอัตโนมัติ จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นบันไดฉับ ๆ ไปยังชานชาลา ยังไม่ทันได้ยืนรอ รถไฟฟ้าก็มาพอดี
ท่ามกลางฝูงประชาชนที่เบียดเสียดเหมือนปลากระป๋อง ลินจิเบียดเสียดตัวเข้าไปในขบวนเพราะไม่มีทางเลือก จากนั้นเขาก็ทิ้งน้ำหนักตัวดันฝูงชนเข้าด้านในเพื่อหลบไม่ให้ประตูหนีบ
อันตรายจริง ถ้าโดนหนีบต้องตายแน่
ความคิดพิลึกพิลั่นเกิดขึ้นขณะที่ประตูรถไฟกำลังปิด พอเสียงสัญญาณปิ๊บ ๆ ดังขึ้น รถไฟก็ออกจากสถานีอย่างปลอดภัย
อึดอัด
จู่ ๆ ลินจิก็รู้สึกหน้ามืด แม้แสงอาทิตย์ฤดูร้อนจะส่องผ่านหน้าต่าง แต่ทุกอย่างสำหรับเขาก็กำลังมืดมน
ตอนนั้นเองลินจิก็คิดว่า …ไม่น่าไปสาปแช่งให้อุกกาบาตให้ตกใส่หัวบรรณาธิการเลย กรรมตามสนองแล้วสิเรา
...อา จะตายแล้วเหรอ
ทัศนวิสัยตรงหน้าเริ่มพร่ามัว การรับรู้เลือนลาง ความอ่อนล้าบีบบังคับให้ลินจิต้องปิดตาลงในที่สุด
วินาทีนั้นลินจิก็รู้สึกเสียดาย หากรู้ว่าต้องตายเขาก็อยากจะใช้ชีวิตให้คุ้มกว่านี้
อย่างน้อยก็อยากจะมีแฟนสักคน
แต่คงไม่ทันแล้ว
เมื่อร่างผอมโซทรุดลง เสียงวี้ดว๊ายก็ดังขึ้นบนรถไฟฟ้า ลินจิไม่รับรู้อะไรแล้ว
“จัดการศัตรูตรงหน้าซะ”
แย่แล้ว แย่แล้ว…
ลืมตาขึ้นมาลินจิก็รู้สึกสับสนเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่กลางทุ่งกว้างเขียวขจี แถมยังมีชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวชี้นิ้วสั่งให้เขาไปสู้กับมังกร เขาไม่ใช่ตัวประหลาดนะ ให้สู้กับสิ่งมีชีวิตหัวรุนแรงแบบนั้นไม่เอาหรอก อีกฝั่งเป็นถึงมังกรยักษ์ตัวสีฟ้าตาแดงหางยาว จะให้เด็กมัธยมห้าไร้เดียงสาอย่างเขาไปเสี่ยงตายได้อย่างไร
“นี่เจ้า! ทำอะไรสักอย่างสิ”
“เหวอออ ให้สู้เหรอ ไม่ไหวหรอก”
ลินจิในสภาพนั่งพับเพียบส่ายหน้ากระพริบตาปริบ ๆ ขณะเดียวกันมังกรฟ้าก็กางปีกอ้าปากจนเห็นซี่ฟันแหลมคม ลูกไฟสีส้มค่อย ๆ ปรากฏในปากมังกร …สวยจัง
แต่ไม่ใช่เวลามาชื่นชมตอนนี้…
“ว๊ากกก”
ลินจิร้องลั่นสะพายเป้วิ่งหนีหน้าตั้งยกสองแขนชูชันขึ้นเหยียดฟ้า ลูกไฟสีส้มตระการตาพุ่งลงมาในตำแหน่งที่ลินจินั่งแผละก่อนหน้านี้ แรงระเบิดส่งผลให้ร่างของเขากระเด็นลอยกลางอากาศ ก่อนจะตกลงมาสู่พื้นจนขาชี้ฟ้าเป็นตัว ‘V’ ลินจิหลับตาปี๋ โชคดีที่ตรงนั้นเป็นกอหญ้า ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องสิ้นชีพอย่างแน่นอน
“เจ้าหนู! เป็นอะไรรึเปล่า…”
เมื่อลินจิลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มคนนั้นก็ปรากฏในระยะสายตา เขาถามลินจิด้วยเสียงเย็นชาแต่ก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใย
“มะ มันมาแล้ว”
“เจ้าก็ช่วยทำอะไรบ้างสิ”
ลินจิพูดเสียงสั่นเมื่อเห็นมังกรยักษ์ชูคอตั้งตระหง่าน มันอ้าปากเตรียมพ่นลูกไฟอีกแล้ว
ขณะเดียวกันจิตสังหารสีแดงก็พวยพุ่งล้อมรอบกายชายผู้นั้น เมื่อมังกรฟ้าพ่นลูกไฟออกมา เขาก็ชักดาบออกจากฝักตั้งท่าเตรียมจู่โจม
ลูกไฟพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงปะทะขึ้น แรงระเบิดดันร่างลินจิกระเด็นไถพื้นไปไกล ส่วนชายผู้นั้นถึงกับเสียหลักล้มลงไป จากนั้นมังกรยักษ์สีฟ้าก็อ้าปากเตรียมพ่นลูกไฟอีกครั้ง
[ได้รับทักษะ ‘เขตอาคมเทพเจ้า’]
[‘เขตอาคมเทพเจ้า’ เริ่มทำงาน]
ลินจิได้ยินเสียงผู้หญิงเหมือนสิริดังขึ้นในหัว
“อะไรนะ”
แม้จะถามแต่ก็ไม่มีการตอบกลับ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาสงสัยแล้ว คิดได้แบบนั้นลินจิก็ดันร่างลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เขาเห็นลูกไฟพุ่งเข้าหาชายผู้นั้นอีกครั้ง เกิดเสียงระเบิดลั่น จากนั้นควันสีดำก็ปกคลุมทั่วบริเวณ
“ขอบใจมาก”
เสียงตะโกนดังขึ้นในกลุ่มควัน ลินจิตะลึงงันว่าทำไมชายผู้นั้นถึงไม่ตาย เมื่อกลุ่มควันจางหายลินจิก็สังเกตเห็นแสงสีทองทรงกลมที่ล้อมรอบร่างกายของพวกเขา
เห็นแบบนั้นลินจิก็เริ่มเข้าใจ ตอนนี้เขาคงหลุดมาในโลกเกมออนไลน์ เหมือนในพล็อตนิยายที่กำลังฮิตในสมัยนี้ แม้จะไม่มีหลักฐานใดมาฟันธง แต่ลินจิก็ปักใจเชื่ออย่างนั้นเสียแล้ว
“อย่าเอาแต่ใช้เขตอาคมสิ”
ชายผู้นั้นแผดเสียงอย่างหงุดหงิด
ลินจิรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่แทนที่จะมาต่อปากต่อคำ เขาต้องกำจัดมังกรตัวนั้นให้ได้ก่อน คิดแล้วลินจิก็รีบถอดเป้วางลงพื้น ในนั้นมีต้นฉบับนิยายวายอยู่ด้วย เรื่องอะไรเขาจะเอาไปเสี่ยง
ทันใดนั้นมังกรก็กระพือปีกบินขึ้นฟ้า มันกำลังอ้าปากเตรียมพ่นลูกไฟ
ลินจิเห็นแบบนั้นก็โล่งใจ เพราะมังกรกำลังเล็งไปที่ชายผู้นั้น
…เหวอออ มันหันมาทางนี้แล้ว
ผิดคาด ลินจิใจหวิวรีบนั่งยองก้มหยิบเป้ขึ้นมากอดทันที มังกรพ่นลูกไฟมาทางเขาแล้ว
เมื่อลูกไฟพุ่งเข้าใกล้ ไอร้อนก็แผดเผาต้นหญ้าทั่วบริเวณ
“ม่ายยย”
ลินจิหลับตากอดเป้ไว้แน่น แม้รู้ว่าตัวเองมีเขตอาคมเทพเจ้าปกป้องอยู่ แต่ด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัวของมนุษย์ ร่างกายจึงตอบสนองให้ปิดตาอย่างอัตโนมัติ แถมยังไม่รู้ว่าเขตอาคมที่ว่าจะมีพลังทนทานขนาดไหน
เกิดเสียงระเบิดขึ้นอีกครั้ง น่าแปลกที่ลินจิแทบไม่รับรู้ถึงสัมผัสของลูกไฟเลย
เมื่อลืมตาเขาก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่ท่ามกลางหลุมขนาดใหญ่ เว้นแต่บริเวณที่เขาอยู่เท่านั้นที่ไม่ถูกทำลาย พื้นดินและต้นหญ้าในวงแสงสีทองยังคงอยู่ในสภาพเดิม
“เอานี่ไปกินซะ!”
ชายผู้นั่นพูดโพล่งขึ้นมาในระยะสายตาของลินจิ ดาบในมือของเขาเปล่งประกายเป็นแสงสีฟ้า เกิดลูกไฟสีขาวสว่างตรงหน้าพร้อมกับประจุสายฟ้าล้อมรอบ
ลูกไฟสีขาวทรงกลมขนาดเล็กพุ่งซัดมังกรตัวมหึมาที่บินอยู่บนฟ้าจนกระเด็น ร่างของมังกรสีฟ้าต้านทานแรงโจมตีไม่ได้ จึงปริร้าวก่อนพังทลายกลายเป็นฝุ่นผงร่วงหล่นลงมา
ขณะที่คิดว่า…ในที่สุดก็หลุดพ้นจากเรื่องอันตรายแล้ว ลินจิก็ถอนหายใจ ก่อนจะล้มไถลลงไปในหลุมระเบิด
...เจ็บ
เขาลุกขึ้นมาคลานสี่ขาอย่างเชื่องช้าแล้วปีนขึ้นมายังพื้นที่ราบด้านบน เมื่อเงยหน้าก็เห็นชายผู้นั้นยืนรออยู่แล้ว
“ยกเลิกอัญเชิญ!”
ชายผู้นั้นเหยียดแขนตรงไปยังด้านข้าง เมื่อเปล่งเสียงออกมาก็เกิดวงเวทสีทองล้อมรอบตัวลินจิ แต่ไม่นานวงเวทรูปดาวห้าแฉกก็ดับไป
ลินจิกระพริบตาปริบ ๆ มองชายผู้นั้นจากด้านหลังก็รู้สึกว่าเป็นคนที่สูงพอควร น่าจะสูงมากกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรได้ เขาสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงสีกรมเนื้อผ้าหรูหรา แขนเสื้อกลัดด้วยกระดุมทอง ตั้งแต่บริเวณไหล่เกือบถึงข้อเท้าคลุมผ้าสีดำปักด้ายทองรูปวงเวท แม้ยืนอยู่เฉย ๆ ก็ดึงดูดสายตา ราวกับภาพวาดที่งดงาม
“สวัสดีครับ!”
ลินจิส่งเสียงทัก ถึงเขาอยากจะชมภาพบั้นท้ายอันงดงามอีกสักพักจนกว่าชายผู้นั้นจะรู้ตัว แต่ลินจิเป็นมนุษย์ใจร้อน จึงอดทนรอไม่ไหว
“อ้าว ยังไม่กลับสวรรค์อีกเหรอ” ชายผู้นั้นหันมาตอบอย่างประหลาดใจ
ลินจิรู้สึกว่าเขาคิดถูกแล้วที่ส่งเสียงทักไปก่อน ถึงฝ่ายนั้นจะทำหน้าเหลอหลาแถมยังชอบออกคำสั่ง แต่ลินจิก็ได้รู้จักคำว่า ‘เทพบุตรสุดหล่อ’ จากใบหน้าของชายผู้นี้ทั้งสิ้น เมื่อคาดคะเนจากสายตา เขาน่าจะอายุประมาณยี่สิบปีได้
“สวรรค์อะไรเหรอครับ”
“แปลกจริง… ข้ายกเลิกการอัญเชิญไปเรียบร้อยแล้วนี่”
ชายผู้นั้นพึมพำอย่างไม่สนใจคำถาม เมื่อเห็นสีหน้าไม่รู้ประสีประสาของลินจิ เขาก็ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมกับเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง
“ยกเลิกอัญเชิญ”
ปรากฏวงเวทแสงสีทองล้อมรอบตัวของลินจิ แต่เพียงไม่กี่วินาทีแสงนั้นก็ดับลงโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไมกัน… ทำไมยกเลิกการอัญเชิญไม่ได้ เป็นปัญหาขึ้นมาแล้วสิ”
พอชายผู้นั้นเอ่ย ลินจิก็โค้งคิ้วราวกับตัว U อย่างน่าสงสาร พูดเสียงเบาว่า…
“ขอโทษที่เป็นปัญหานะครับ”
พลางคิดว่า มารดามันสิ ปัญหาบ้าบออะไรกัน เขาต่างหากที่เจอปัญหา ทำตัวเป็นศูนย์กลางจักรวาลอยู่นั่นแหละ แม้ฝ่ายนั้นจะหล่อเหลาเอาการ แต่ถ้ามีทัศนคติลบ ๆ แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ ขณะที่ก่นด่าอยู่ในใจอย่างไม่ดูตัวเอง ชายผู้นั้นจ้องมาทางลินจิแล้วเปิดปาก
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ว่าแต่เจ้าเป็นทวยเทพสังกัดไหนกัน”
“หา…”
ลินจิเงยหน้ามองคนถามอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะใช้ฝ่ามือดันพื้นหญ้าแล้วลุกขึ้นยืนปัดมือดังแปะ ๆ พอพยายามตั้งสติครุ่นคิดหาคำตอบ เสียงในหัวก็ดังขึ้น
[ได้รับทักษะ ‘หยั่งรู้’] มาถึงตรงนี้ ลินจิก็เริ่มเข้าใจบางอย่าง
‘หยั่งรู้’ คงเป็นทักษะที่ใช้ดูข้อมูลต่าง ๆ เหมือนในนิยายเกมออนไลน์ทั่วไปที่จำเป็นต้องมีติดตัว เมื่อรู้อย่างนั้นลินจิจึงลองเพ่งสมาธิเข้ามายังตนเอง
[‘หยั่งรู้’ เริ่มทำงาน]
[ลินจิ เทพเจ้า ไร้เพศ]
ซึ่งเป็นอย่างที่ลินจิคิด ‘หยั่งรู้’ สามารถใช้ดูข้อมูลระดับเบื้องต้นได้
แต่…
ให้ตายสิ ไอ้คำว่า ‘ไร้เพศ’ ทำให้ลินจิรู้สึกแย่ ระหว่างนั้นเขาก็ลองใช้มือสัมผัสไปที่หว่างขาของตัวเอง เพื่อเป็นการตรวจสอบทางกายภาพ เมื่อรู้ว่าน้องชายยังอยู่ ลินจิก็พ่นลมออกมาโล่งใจ
ชายผู้นั้นเห็นภาพเบื้องหน้าก็ขมวดคิ้ว พลางคิดว่าเทพเจ้าอัญเชิญตนนี้ช่างพิลึกพิลั่น เล่นมาจับของลับในที่สาธารณะแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน จากนั้นเขาก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง
ลินจิรู้สึกถึงปลายเส้นผมที่กระดิกจึงเงยหน้าพร้อมกับลองใช้ทักษะหยั่งรู้กับชายผู้นั้น…