ตอนที่ 1: รัชทายาท ผู้ถูกเลือก
ตอนที่ 1: รัชทายาท ผู้ถูกเลือก
ห้องทดลองขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยแสงสีฟ้าหม่นไร้ผู้คน ความสูงจากพื้นถึงเพดานเทียบได้กับตึกสองชั้นจึงปกคลุมด้วยบรรยากาศวังเวงไร้เสียงอื่น เว้นแต่เสียงบุ๋งๆ ที่นานๆ ครั้งจะดังมาจากกำแพงด้านหนึ่งของห้องซึ่งเป็นกระจกใสขนาดใหญ่อันสามารถมองทะลุไปเห็นอีกด้านของกำแพงที่มีลักษณะเหมือนกับถังเก็บน้ำ
ที่ก้นถังแสนลึก บางอย่างถูกทิ้งให้หลับใหลรวมกันอยู่ในเงามืด
ฟี๊ซซซ
เสียงดังจากประตูห้องทดลองที่เปิดออก คนสองคนก้าวเข้ามา กำแพงรอบห้องเรืองแสง ทำให้ทั้งห้องสว่างขึ้นเล็กน้อย
หน้าต่างโปรแกรมสำหรับยืนยันตัวตนเพื่อเข้าระบบปรากฏขึ้นบนกำแพงกระจก
“ฉันแปลกใจ ที่คราวนี้นายปล่อยให้คนตายไปถึงสองคน” เฮเซคียาห์ นิมบีมัสตินเอ่ยเสียงขรึมกับคนสนิท
รัชทายาทแห่งเผ่าพันธุ์มัสติน เจ้าชายคนโตผู้กุมอำนาจเด็ดขาดรองจากราชินีเอสเธอร์ผู้เป็นพระมารดา เขาขยับไปใกล้กำแพงกระจก เพียงเขากะพริบตา หน้าต่างโปรแกรมเลือนหายไป และขณะเดียวกัน ถังเก็บน้ำสว่างขึ้นด้วยหลอดไฟที่ถูกติดตั้งไว้ภายใน
แสงสีขาวจากถังเก็บน้ำส่องมาถึงเจ้าชายรัชทายาท รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ผมดูเหมือนสีเงินแต่ส่องประกายแปลกๆ คล้ายเป็นสีม่วงยามเขาเบือนหน้าไปมองคนสนิท ภายนอกของเขาดูเป็นวัยรุ่น แต่ดวงตาสีเขียวต้นสนมีความเยือกเย็นและเหมือนไตร่ตรองบางอย่างอยู่ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมานาน ชุดที่เขาสวมอยู่ด้านในเป็นสีขาวที่ประดับเครื่องทรงอิสริยยศบ่งบอกความสำคัญของเขาภายในราชวงศ์ เสื้อคลุมไหล่สีเขียวรับกับสีตา กางเกงสีดำเข้มเข้ารูป
“สองคนนั้นเป็นเด็กใหม่” เอ็กซัส ฟัสแตงตอบด้วยเสียงเนือยๆ
“เพราะนายประมาท”
“ใช่ อย่างที่นายว่า” เอ็กซัสใช้คำพูดเป็นกันเองกับเจ้าชายรัชทายาท และไม่มีท่าทียำเกรงความสูงศักดิ์ของอีกฝ่าย
เอ็กซัสเป็นนักฆ่าที่เก่งฉกาจในหมู่นักฆ่า ดำรงตำแหน่งสมุหเพชฆาต แต่แทนที่จะดูลึกลับและกลมกลืนไปกับคนทั่วไป เขากลับมีความโดดเด่นด้วยรูปร่างภายนอกที่หล่อเหลาราวกับเทวดา ผิวสีขาวของเขาเรืองแสงได้เช่นเดียวกับชาวมัสตินคนอื่นๆ ส่วนผมสีทองเปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าทองใส่กากเพชรรับกับดวงตาโทนสีเดียวกัน
“เศวตศาสตราของมนุษย์พวกนั้น อันหนึ่งสร้างพลังแรงดึงดูด อีกอันแปรสภาพเป็นหอกที่ปรับความยาวและลักษณะได้ตามที่เจ้าของต้องการ ฉันเองก็ถูกแทงเข้าที่ท้องสองแผลตอนที่ตัวถูกตรึงให้อยู่กับที่”
“นายพูดถึงแผล เรียกร้องความเห็นใจหรือไง เห็นอยู่ว่าแผลหายแล้ว”
“นี่! ไม่คิดจะถามกันเลยเหรอว่า เจ็บไหม”
“เจ็บไหมล่ะ” เจ้าชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ เหยียดๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ห่วงใยอย่างจริงใจถึงได้ตั้งคำถาม
“ให้ฉันทะลวงท้องนายดูบ้างไหมคีห์ เดี๋ยวก็หายเหมือนกัน”
“ไม่” เขายิ้มไม่เต็มที่ เป็นกิริยาที่แฝงความนัยให้อีกฝ่ายหยุดพูดไร้สาระ
รัชทายาทเฮเซคียาห์แตะแป้นรับคำสั่งสู่ระบบที่อยู่บนแท่นเล็กๆ ด้านหน้าถังเก็บน้ำที่มองทะลุเข้าไปได้ มันเป็นแค่ปุ่มๆ เดียว แต่ก็เพียงพอที่จะใช้สื่อสารคำสั่งทั้งหมดไปยังระบบปฏิบัติการ เขากะพริบตา หน้าต่างระบบปฏิบัติการปรากฏขึ้นบนกำแพงใส และเปลี่ยนไปแสดงวันที่และเวลาปัจจุบันด้วยตัวอักษรในภาษามัสติน
โลก 26 พ.ย. ค.ศ. 3430
นิมบีมัสตินที่ 25VVI เวลา 22:30
แล้วหน้าจอก็เปลี่ยนไป แสดงคำว่าค้นหาแทน
ไฟล์ข้อมูลอันหนึ่งถูกเรียกขึ้นมาเปิดดู ภาพของมนุษย์กลุ่มหนึ่งแสดงขึ้นมาบนหน้าจอ พวกเขาเปลี่ยนของใช้ติดตัวที่มีลักษณะเป็นกล่องสีเหลี่ยมเล็กๆ ให้กลายเป็นอะไรต่อมิอะไรอย่างน่าอัศจรรย์ คนหนึ่งในกลุ่มแหกปากร้องลั่น พลางรัวปืนกลที่อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่กล่องสีขาวในมืออย่างกะทันหัน ก่อนปืนกลจะเปลี่ยนเป็นจรวดนำวิถีที่ยิงมาทางกล้องราวกับใช้มายากล
กล้องจับภาพวูบดับไป แล้วไม่นาน มันกลับมาแสดงภาพอีกครั้ง มนุษย์นับสิบคนเหลือเพียงสองคน คนหนึ่งถือหอกอันใหญ่ ปลายหอกเหี่ยวลู่เหมือนเปลือกกล้วย อีกคนถือกล่องสีขาวคล้ายกับของเพื่อนๆ ที่ตายไปแล้ว ซึ่งกล่องนี้เรืองแสงเป็นสีม่วงอมฟ้า
“นั่นคือเศวตศาสตราสองอันที่นายเอากลับมาใช่ไหม” เจ้าชายหนุ่มถามเอ็กซัสโดยไม่มองหน้า
สีหน้าของเขานิ่งเฉย คาดเดาได้ยากว่า กำลังคาดหวังกับสิ่งที่เอ็กซัสนำกลับมา หรือผิดหวัง
ถังเก็บน้ำสว่างยิ่งขึ้น ด้านล่างสุดของถังเก็บน้ำเต็มไปด้วยกล่องสีขาววางกองทับรวมกัน นิ้วของเขายังอยู่บนปุ่มรับคำสั่ง กำแพงใสปรากฏสัญลักษณ์เปอร์เซ็นต์ความคืบหน้าของการเชื่อมโยงข้อมูล
ระบบรับคำสั่ง บังคับการส่งคลื่นความคิดจากสัตว์ทดลองรหัส HM-1035-26-VVI ไปยังเศวตศาสตราคู่กำเนิด
กล่องสีขาวใบหนึ่งที่ก้นถังเก็บน้ำลอยขึ้น มันเปล่งแสง แล้วเปลี่ยนสภาพเป็นหอกยาวขนาดเหมาะมือ
“อ้า... ฉันพอเห็นภาพที่นายเล่าให้ฟัง ปลายหอกที่เห็น แข็งตัวทะลวงเข้าไปในลูกตาถึงสมองของเด็กพวกนั้น แล้วบิดเปลี่ยนเป็นตะขอคว้านเอาสมองออกมาจากหัวกะโหลก”
“ใช่ น่าสยดสยอง”
“พวกนี้น่ะมันจะเป็นแค่ของเล่น ถ้าหากว่าพวกมนุษย์เข้าไม่ถึงตัวเรา” เจ้าชายหรี่ตาอย่างประเมินสิ่งที่กำลังมองอยู่ด้วยความดูแคลน
กำแพงใสเปลี่ยนไปแสดงข้อมูลของมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของเศวตศาสตราที่ลอยตัวเด่นอยู่
“โดนเด็กแบบนี้เล่นงานได้ ไม่สมกับเป็นทีมที่นายนำออกไปเองเลย”
ระบบแสดงผลว่าสัตว์ทดลองที่กำลังให้ความสนใจมีอายุ 23 ปี
“พวกทีมปราชญ์ก็อะไรนักหนา ฉันให้วิจัยมาเกือบ 50 ปี ยังไม่ค่อยได้เรื่องอะไร” เฮเซคียาห์พึมพำ เบือนใบหน้าไปมองประตูคนละด้านกับที่เดินเข้ามา ด้านหลังประตูบานนั้นเป็นคอนโดบรรจุมนุษย์นับร้อยร่างที่ถูกเลือกสรรเก็บแช่น้ำยาไว้เพื่อบังคับเข้าสู่ภาวะนิทรา มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเป็นสัตว์ทดลอง ใช้ในการวิจัยเศวตศาสตราของชาวมัสติน
เมื่อ ค.ศ. 2500 เผ่าพันธุ์มัสตินได้ยึดครองโลก พวกเขาเคยคิดอยากเป็นมิตรกับมนุษย์ แต่มนุษย์กลับต่อต้านการปกครองของพวกเขาอย่างรุนแรง ชาวมัสตินจึงค่อยๆ ปฏิรูปสังคม จนมนุษย์กลายเป็นทาส ต้องขึ้นกับเจ้านายชาวมัสตินภายใต้กฎหมายซึ่งห้ามพวกเขาไม่ให้ทำงานทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับการคิดค้นและวิจัยเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการพัฒนาอาวุธมาไว้ใช้ก่อกบฏ
เฮเซคียาห์เกิดมา เขาก็รู้จักมนุษย์ในฐานะทาส
สำหรับเขา มนุษย์เหมือนกับสัตว์เลี้ยง บางตัวก็น่ารัก และบางตัว เขาแค่เห็น เขาก็ขยะแขยง
“สักวันหนึ่ง ฉันจะทำให้พวกผู้ใช้เศวตศาสตราทุกคนพร้อมใจกันมาทำงานให้ แทนที่จะพยายามฆ่าฉันหรือพวกเราทุกคน”
“รับใช้นาย? นายก็รู้ว่าไลฟ์ควอตซ์...”
“ไลฟ์ควอตซ์สั่งให้พวกเราฆ่าพวกผู้ใช้เศวตศาสตรา เพราะเศวตศาสตราเป็นข้อได้เปรียบเดียวที่ทำให้มนุษย์ฆ่าเราสำเร็จ แต่เปอร์เซ็นต์ที่จะฆ่าเราได้ก็แค่ 10-15% เท่านั้น ฉันคิดว่าเอาพวกผู้ใช้เศวตศาสตราไปเป็นสุนัขรับใช้ ดีกว่ามาไล่ฆ่าพวกมัน”
“นายมีความคิดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“ปีที่แล้วนี้เอง นายจำเศวตศาสตราที่ทำให้ผู้ใช้เล่นหมากรุกเก่งๆ ได้ไหม ฉันลองบังคับส่งคลื่นความคิดจากสัตว์ทดลองไปที่เศวตศาสตรา เพื่อให้ฝันว่าเล่นหมากรุกกับฉัน มันสนุกเป็นบ้า” เจ้าชายหนุ่มยกมือขึ้นโบก กำแพงกระจกแสดงหน้าจอบันทึกการเล่นหมากรุกของเขาและผู้ใช้เศวตศาสตราในโลกสมมติภายในภวังค์ของผู้ใช้เศวตศาสตรา “มนุษย์พวกนี้เหมาะเป็นสิ่งสร้างความบันเทิงให้เราอย่างดีทีเดียว”
“ไม่มีมัสตินคนไหนอยากเสี่ยงด้วยแน่”
“ถ้าฉันต้องการจริงๆ ใครจะกล้าขัดกันละหือ โดยเฉพาะถ้าหากฉันขึ้นเป็นราชาในอีกหลายร้อยปีหลังจากนี้”
ผู้นำราชวงศ์มัสติน มีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้รับพลังจิตที่ทำให้ประชากรชาวมัสตินไม่สามารถปฏิเสธความต้องการได้ ราชินีเอสเธอร์เป็นผู้เดียวที่ใช้พลังแบบนั้นได้ในปัจจุบัน และคนถัดไปที่ทุกคนคาดว่าจะมีพลังแบบเดียวกันคือเฮเซคียาห์ผู้ที่ไลฟ์ควอตซ์ยอมรับในความสามารถและเลือกให้เป็นเจ้าชายรัชทายาท
สังคมของชาวมัสติน เป็นสังคมที่คล้ายกับผึ้ง ทุกคนเกิดมาพร้อมกับตำแหน่งและหน้าที่ สิ่งที่วางกฎเกณฑ์การใช้ชีวิตของพวกเขา และคอยเป็นที่ปรึกษาด้านการปกครองแก่ราชาหรือราชินี คือเทคโนโลยีที่เรียกว่า ไลฟ์ควอตซ์ หรือ อัญมณีมีชีวิต
“อ๊ะ!” เฮเซคียาห์ยกมือขึ้นแตะขมับ อยู่ๆ เขาปวดจี๊ดในศีรษะ
“เฮ้! เกิดอะไรขึ้น” เอ็กซัสจับแขนเขา
“ไม่ ไม่มีอะไร”
“แน่นะ นายปกปิดอะไรไว้หรือเปล่าคีห์”
“ไม่” เขาส่ายหน้า
ทว่า เกิดความไม่สบายใจขึ้น เพราะชาวมัสตินยากจะเจ็บป่วย อาการเล็กน้อยอย่างปวดศีรษะอาจเป็นการเตือนถึงโรคร้ายแรงซึ่งจะพรากชีวิตของพวกเขาไปอย่างฉับพลัน หรือไม่สามารถรักษาได้ แต่เขาไม่อยากให้เอ็กซัสเป็นห่วง เขาคิดถึงอัครมหาเสนาบดีอีกคนที่ช่วยดูอาการของเขาได้
“กลับไปที่งานเลี้ยงกันเถอะ นี่ใกล้เวลาดื่มฉลองแล้ว” รัชทายาทหนุ่มหมุนกายขวับ รีบนำลูกน้องไปยังประตูผ่านเข้าออก เขาใช้เวลาไม่นานขึ้นมาจากห้องทดลองใต้ดิน เดินออกจากตัวตึกที่สูงถึงสามสิบกว่าชั้นเหนือพื้นดิน มือของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋า ยืนรอจนราชบริพารนำยานยนต์มาจอดรับด้านหน้าตึก
ไม่ถึงสิบนาที ทั้งเขาและเอ็กซัสเดินทางกลับมาถึงพระราชวังและตรงเข้าสู่ห้องจัดเลี้ยงซึ่งกำลังครื้นเครงด้วยเสียงดนตรี
เฮเซคียาห์เดินเข้ามาเงียบๆ เขาตรงไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ถูกจัดไว้ด้านข้างแม่ น้องชาย และน้องสาวปล่อยให้เอ็กซัสแยกไปอีกทาง
“ทำไมถึงนั่งเงียบแบบนั้น เป็นอะไรไป” ราชินียื่นมือมาแตะแขนของเขาอย่างห่วงใย
“ไม่มีอะไร” ปากฝืนยิ้มบางๆ
“แน่นะ...”
“ลูกบอกไม่มี คือไม่มี...” รัชทายาทหนุ่มเสียงนิ่งๆ แข็งๆ
เขาลุกขึ้นทันทีเมื่อข้ารับใช้เข้ามาหาพร้อมแก้วบรรจุน้ำอมฤตขนานพิเศษที่ผ่านการบ่มมาถึงห้าร้อยปี มือจับยกแก้วขึ้นชู และกล่าวขอบคุณแขกเหรื่อที่เดินทางมาจากทั่วจักรวาลเพียงเพื่อมาฉลองวันเกิดให้กับเขาด้วยท่าทีมีพิธีรีตอง แต่น้ำเสียงนั้นนุ่มทุ้มน่าฟัง
“ลูกอยากกลับไปที่ห้อง”
เมื่อทำหน้าที่เยี่ยงเจ้าของวันเกิดเสร็จ เขาเปิดปากทันทีกับพระมารดา และยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มของเธอ
มือของรัชทายาทหนุ่มยันพนักเก้าอี้ขึ้นยืน เขากวาดสายตามองแขกเหรื่อทั่วงาน และเลี่ยงคนรู้จัก เดินเลียบกำแพงออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างเนิบช้า พอพ้นจากประตูห้องจัดเลี้ยงมาได้ เขาจึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เหงื่อผุดพรายออกมาจากบริเวณไรผมและข้างขมับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นประตูห้องนอน เท้าวิ่งเข้าหา มือฉวยคว้าลูกบิดประตู ก่อนพุ่งตรงไปยังห้องน้ำในห้อง
“แหวะ!”
เขาอาเจียน
“นี่มัน! อะไรกันวะ” เขาสะบัดหน้า ตาลาย และวิงเวียนศีรษะ
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
เฮเซคียาห์เดินโงนเงนไปเปิดประตู
เปรี๊ยะ!
เสียงนั้นดังลั่นในหู เขาได้กลิ่นเนื้อไหม้ พร้อมกับตัวชา ไฟฟ้าที่ช็อตมายังร่างน่าจะถูกปรับเป็นระดับเข้มข้น เขาถอยหลังไปสามก้าว ทรุดกายลงนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ดวงตาพร่ามัว
เขาเงยหน้ามอง ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นบางอย่าง แม้จะเห็นมันได้เพียงลางๆ
วัตถุทรงสามเหลี่ยมมีช่องให้สอดนิ้วจับโกร่งขณะเหนี่ยวไกใช้งาน ภายในนั้นบรรจุของเหลวสีเขียว มันคือสารสกัดจากไลฟ์ควอตซ์ สารตัวนี้จะเข้าไปหยุดการทำงานของเศษผลึกไลฟ์ควอตซ์ซึ่งปกติคอยช่วยปลุกชีพชาวมัสตินจากความตายหรือเร่งการฟื้นฟูร่างกายของชาวมัสตินเมื่อได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่มันจะมอบความตายให้แก่คนซึ่งรับมันเข้าไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงของราชินีเอสเธอร์แว่วมาเข้าหู
เฮเซคียาห์หายใจถี่ๆ แรงๆ ตาของเขาพร่าลงไปกว่าเดิม เขาคลื่นไส้ขึ้นมาอีกระลอก คอแห้ง และรู้สึกว่าร่างกายร้อนจนผิวกายแทบสุก
เขาไอ ไออย่างแรง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เขาไอ
เขาขดตัว พลิกกายนอนตะแคงข้างอย่างทุรนทุราย ความเจ็บปวดในช่องท้องรุนแรง
อ้า...อ้า...
เสียงหอบหายใจช่างแสนเบา วิสัยทัศน์ครานี้กลับมืดมิดราวกับตาทั้งสองข้างบอดลงเสียแล้ว ในภวังค์เขาคล้ายเข้าสู่ภาวะไร้น้ำหนัก กายหมุนวนเคว้งคว้างในความมืด แขนหรือขาไม่สามารถขยับได้ ไม่อาจรู้สึกถึงอากาศรอบตัวว่ามันร้อนหรือมันหนาว ไม่ได้ยินเสียงจากรอบข้าง
มีแค่ความมืด และความเงียบ สถิตอยู่กับเขา
“ฮ๊า!... ฮ๊า...”
เฮเซคียาห์ลืมตาขึ้นสำเร็จ และผุดกายนั่งอย่างรวดเร็ว
“อะไร...” เขามองไปรอบตัวอย่างสับสน
รอบข้างเขายังคงมีแต่ความมืด แต่เพียงครู่หนึ่ง ตาของเขาเริ่มมองเห็นทุกอย่างได้ลางๆ ด้วยแสงจากพระจันทร์ข้างแรมและดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า
“ทำไม...” เขามองร่างกาย ผิวกายไม่ส่องแสงเรืองอย่างปกติ
แล้วเขายังสังเกตพบด้วยว่า เสื้อผ้าของเขาขาดลุ่ยบางจุด และมีเลือดเปรอะเปื้อนเป็นด่างดวง
“คำถาม: นาย! อยากรู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน” เสียงหนึ่งลอยมาจากทางด้านหลัง
เฮเซคียาห์เบือนหน้าไปมองอย่างหวาดระแวง
เขาเห็นกล่องสีขาวคุ้นตาค่อยๆ เรืองแสงขึ้นมาในความมืด
“เศวตศาสตรา!” เขาลุกและถอยไปตั้งหลัก มือล้วงเข้าไปในช่องเล็กๆ ข้างกระเป๋ากางเกง ดึงลูกตุ้มเพนดูลัมกับสายสร้อยแบบพิเศษ ทำจากโลหะที่เรียกว่าคาร์ปซึ่งยืดหดได้ตามแรงเหวี่ยงขึ้นมา ใจของเฮเซคียาห์หวาดระแวงว่ามีผู้ใช้เศวตศาสตราอยู่ใกล้และเขากำลังจะถูกจู่โจม
“คำถาม: ทำไมนายถึงตกใจ”
“แก! พวกมนุษย์ แกอยู่ที่ไหน” เฮเซคียาห์ตวาด
“วิเคราะห์คำพูด: พวกแกอยู่ที่ไหน” เศวตศาสตราทวนคำพูดของเฮเซคียาห์
มันลอยเข้ามาใกล้
เฮเซคียาห์ตวัดเพนดูลันในมือ กะให้ส่วนลูกตุ้มสกัดมันให้ถอยไป สายตามองรอบข้างอย่างระมัดระวัง
“เฮ้ย!” เขาอุทานลั่น ไม่อยากเชื่อว่าเขาส่งลูกตุ้มเพนดูลัมให้ลอยพลาดไป ไม่กระทบเข้ากับเศวตศาสตรา ความสามารถในการควบคุมธาตุลมของเขาในการต่อสู้ไม่ทำงาน
“ประมวลผลเสร็จสิ้น: มนุษย์ผู้ใช้อยู่ในความสับสน”
“อะไร?” ชายหนุ่มงงไปหมด
“อธิบาย: นายเป็นมนุษย์ ฉันคือเศวตศาสตราของนาย”
“อะไรนะ!?”
“ข้อมูลที่จำเป็น: นายเป็นมนุษย์”
“วะ?”
“ใช่ มนุษย์” เศวตศาสตราย้ำ เสียงที่ดังอยู่ในหัวของเฮเซคียาห์นั้นเนิบๆ เหมือนไม่มีอารมณ์ความรู้สึก แต่ขณะเดียวกันด้วยคำพูดและการเว้นวรรคระหว่างพูด ทำให้รู้สึกว่าเศวตศาสตราที่กำลังพูดอยู่กับเขาเหมือนมีชีวิต “เป้าหมายในการดำรงอยู่ของฉัน: การเป็นคู่หูกับนาย เพื่อโค่นล้มเผ่าพันธุ์มัสติน ทำลายไลฟ์ควอตซ์ และจัดการโลกเข้าสู่ระเบียบ”
เฮเซคียาห์งุนงง ปากของเขาเผยอค้างอย่างไม่อยากเชื่อหู
เขาขบริมฝีปากที่สั่นแบบหยุดไม่ได้ และรู้สึกได้ด้วยว่า มือเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
เศวตศาสตราบอกว่า เขาคือเจ้าของมัน และมันประกาศออกมา ว่าเขาเป็นมนุษย์
แต่...
ให้ตายเถอะ!
มนุษย์อะไร?
เขาเป็นคนเผ่าพันธุ์มัสตินไม่ใช่เหรอ ตั้งแต่เกิดและตลอดระยะเวลา 150 ปีที่เขาอาศัยอยู่บนโลกใบนี้
นี่เขากำลังเจอกับเรื่องบ้าอะไร!!!